Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน 109 ฟ้าดินไร้ปรานี เห็นสรรพสิ่งเฉกเช่นสุนัขฟาง

Now you are reading Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน Chapter 109 ฟ้าดินไร้ปรานี เห็นสรรพสิ่งเฉกเช่นสุนัขฟาง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 109 ฟ้าดินไร้ปรานี เห็นสรรพสิ่งเฉกเช่นสุนัขฟาง

วันต่อมา

หลังจากที่หลินเยวียนตื่นนอนและล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อยแล้ว ก็ลงไปกินอาหารเช้า แต่ขณะที่กำลังจะคิดเงิน เจ้าของร้านอาหารเช้ากลับปัดมืออย่างยิ้มแย้ม

“ไม่ต้องจ่ายเงิน”

หลินเยวียนถาม “ทำไมล่ะครับ”

เจ้าของร้านยิ้มอย่างดีอกดีใจยิ่งกว่าเดิม “ร้านอาหารเช้าของเราเปลี่ยนเจ้าของแล้ว เจ้าของร้านคนใหม่ชื่อว่าซุนเย่าหั่ว เขาเคยให้ผมดูรูปคุณ บอกว่าเป็นเพื่อนสนิทกับคุณล่ะครับ เขายังบอกอีกว่าคุณเป็นสมาชิกวีไอพีคนสำคัญของร้านอาหารเช้าของเรา ให้กินฟรีตลอดชีพ”

“ขอบคุณครับ”

หลินเยวียนไม่ทัดทาน

อันที่จริงเขาก็แอบตกใจอยู่บ้าง

ว่ากันว่าศิลปินในวงการบันเทิงชื่นชอบการลงทุนทำร้านอาหาร นึกไม่ถึงว่ารุ่นพี่ซุนเย่าหั่วจะชื่นชอบเรื่องพวกนี้ด้วย

ก่อนหน้านี้ก็ทำร้านชานม ตอนนี้ก็ลงทุนกับร้านอาหารเช้าอีก

ต่อไปตนจะลงทุนด้วยบ้างดีไหมนะ

ช่างเถอะ

อย่าเพิ่งคิดเรื่องนี้เลย

ในตอนนี้เรื่องกระบี่เทพสังหารเล่มที่หนึ่งเขียนเสร็จแล้ว หลินเยวียนคิดว่าจะตีพิมพ์โดยเร็วที่สุด

สำนักพิมพ์ก็เลือกคลังหนังสือซิลเวอร์บลูก็แล้วกัน

ความประทับใจที่หลินเยวียนมีต่อคลังหนังสือซิลเวอร์บลูนับว่าไม่เลว เรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาระหว่างการตีพิมพ์ หรือช่องทางการวางขายสินค้า หรือว่าช่องทางการโปรโมตก็มีผลงานครบถ้วนสมบูรณ์เลยทีเดียว ระหว่างนั้นก็ยังเพิ่มส่วนแบ่งในสัญญาให้เขาด้วย จึงไม่มีเหตุผลให้เปลี่ยนผู้ร่วมงาน

นอกจากนั้นแล้ว หลินเยวียนยังปักธงร่วมงานกับนิตยสารอ่านสนุกของคลังหนังสือซิลเวอร์บลูมาแล้วครั้งหนึ่ง ประสบการณ์ที่ได้รับก็ไม่เลวเช่นกัน

ค่าต้นฉบับของพวกเขาน่าพอใจมากทีเดียว

ครั้งนี้หลินเยวียนมีความมั่นใจในเรื่องกระบี่เทพสังหารอยู่บ้าง ต่างจากความรู้สึกกระวนกระวายในครั้งก่อน

เมื่อครุ่นคิดมาถึงตรงนี้

ระหว่างทางไปวิทยาลัย หลินเยวียนก็ส่งข้อความหาบรรณาธิการหยางเฟิง ‘ผมเขียนเรื่องใหม่เสร็จแล้วครับ’

‘เร็วขนาดนั้นเลย?’

หยางเฟิงตอบกลับอย่างรวดเร็ว ‘ส่งมาให้ผมตอนนี้เลยได้ไหม’

ที่หยางเฟิงตอบได้อย่างรวดเร็วถึงขนาดนี้ ก็เพราะเขาตั้งฉู่ขวงเอาไว้เป็นรายการโปรด

แม้ว่าเขาจะรับผิดชอบในการประสานงานกับนักเขียนจำนวนมาก แต่ฉู่ขวงเป็นนักเขียนตัวท็อปที่สุดซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของหยางเฟิง ดังนั้นจึงต้องให้ความสำคัญเอาไว้

ไม่ทันรอให้ฉู่ขวงตอบ

มือของหยางเฟิงกดหน้าจอ พิมพ์ซักไซ้ต่อด้วยความเร็วสูง ‘เรื่องใหม่เขียนเกี่ยวกับเทนนิสใช่ไหมครับ นี่คงจะเป็นกีฬาที่คุณถนัดที่สุดแล้ว แถมยังมีประสบการณ์จากเล่มแรกมาแล้ว คงจะเขียนได้คล่องมือ ผมว่าเขียนอีกก็คงไม่ยาก’

หยางเฟิงปลุกใจฉู่ขวง

ในความคิดของเขา นิยายเรื่องใหม่ของฉู่ขวงจะยังคงเขียนแนวการแข่งขันกีฬาที่เขาถนัด ผลักดันนิยายแนวเฉพาะกลุ่มนี้ให้ถึงที่สุดอย่างแน่นอน และนี่ก็เป็นสิ่งที่ทุกคนในแผนกแฟนตาซีเยาวชนกองบรรณาธิการของคลังหนังสือซิลเวอร์บลูคาดหวังเป็นที่สุด

ฉู่ขวง ‘ไม่ใช่ครับ’

หยางเฟิง ‘แล้วเขียนอะไรล่ะ’

ถ้าไม่เขียนเกี่ยวกับเทนนิส หรือว่าฉู่ขวงจะเขียนเกี่ยวกับบาสเกตบอลหรือฟุตบอลซึ่งเป็นกีฬาที่ค่อนข้างได้รับความนิยมในตอนนี้ ระยะนี้มีคนมากมายในวงการเขียนแนวการแข่งขันกีฬาตามกระแสของฉู่ขวง โดยส่วนมากเน้นไปทางฟุตบอลและบาสเกตบอล ฉู่ขวงคงคิดจะสอนคนพวกนี้ว่านิยายเกี่ยวกับฟุตบอลและบาสเกตบอลนั้นเขียนอย่างไร

ใจกล้าสุดๆ ไปเลย!

สมแล้วที่เป็นฉู่ขวง!

หยางเฟิงรู้สึกว่าการคาดเดาของตนนั้นแม่นยำทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อเขาได้เห็นคำตอบของฉู่ขวง ก็ชะงักงันไปทั้งตัว เพราะฉู่ขวงตอบมาด้วยคำสั้นๆ ทำให้บรรณาธิการอย่างเขารู้สึกไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย

‘เทพเซียนกำลังภายใน’

ฉู่ขวงจะเขียนแนวเทพเซียนกำลังภายใน

ปัญหาคือเทพเซียนกำลังภายในคืออะไรล่ะ

หยางเฟิงรู้สึกท้อแท้เหลือเกิน ในฐานะที่เป็นบรรณาธิการมืออาชีพ เขาไม่มีทางไม่รู้จักว่าเทพเซียนกำลังภายในคืออะไร แต่ก็เพราะว่ารู้จักนี่แหละ เขาถึงได้ปวดเศียรเวียนเกล้าขนาดนี้ ‘แบบมหาศึกเซียนปะทะมารน่ะเหรอครับ’

‘ประมาณนั้นครับ’

ก่อนหน้านี้หลินเยวียนค้นข้อมูลมาแล้ว จึงรู้ว่ามหาศึกเซียนปะทะมารนั้นเป็นผลงานแนวเทพเซียนกำลังภายในเรื่องล่าสุดของบลูสตาร์แล้ว หลังจากผลงานชิ้นนี้ ฉินโจวก็ไม่มีนิยายแนวเทพเซียนกำลังภายในอีกแล้ว จวบจนวันนี้ก็นับเป็นเวลาแปดสิบปีมาแล้ว

‘โทรศัพท์ได้ไหม’

‘ผมกำลังจะเข้าเรียนครับ’

ฉู่ขวงพูดจบก็ไม่ตอบกลับมาอีก แต่หยางเฟิงก็ได้รับนิยายซึ่งมีชื่อว่ากระบี่เทพสังหารในอีเมล ทำเอาหยางเฟิงร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออกไปชั่วขณะ ฉู่ขวงมาบุกเบิกนิยายแนวนี้จริงๆ หรือนี่!

มาเขียนอะไรนิยายเทพเซียนกำลังภายใน

ฉู่ขวงเป็นคนหัวโบราณหรือยังไง

เห็นชัดๆ ว่าเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย

สำหรับนักอ่านที่ยังพอมีภาพจำต่อนิยายแนวเทพเซียนกำลังภายใน คงต้องนับถอยหลังไปรุ่นคุณปู่ของหยางเฟิง มหาศึกเซียนปะทะมารเป็นผลงานที่ให้ความบันเทิงกับคนในยุคนั้น แต่หากบอกว่าในยุคนี้มีคนเขียนแนวเทพเซียนกำลังภายใน หยางเฟิงก็ยากที่จะจินตนาการ

……

หยางเฟิงมาถึงบริษัทด้วยสีหน้าสลดหดหู่

เพื่อนร่วมงานเห็นท่าทางของหยางเฟิงก็รู้สึกแปลกใจ “โดนเลื่อนส่งต้นฉบับอีกแล้วเหรอ”

“น่ากลัวกว่านั้นอีก”

หยางเฟิงกล่าว “ฉู่ขวงออกนิยายเรื่องใหม่”

ทุกคนชะงักไป ต่างคนต่างผุดยิ้มขึ้นมาทันใด

“ก็เป็นเรื่องดีนี่นา”

“ฉู่ขวงออกนิยายเรื่องใหม่ ไหงนายทำหน้าเศร้าขนาดนั้นล่ะ”

“นั่นน่ะสิ ฉู่ขวงยอมเขียนนิยายเรื่องยาว นายก็ต้องดีใจสิ!”

“ก่อนหน้านี้ฉันยังเป็นห่วงว่าฉู่ขวงจะไปร่วมงานกับสำนักพิมพ์อื่นหรือเปล่า ตอนนี้ดูท่าเขาจะพอใจกับคลังหนังสือซิลเวอร์บลูมากทีเดียว”

“นิยายเรื่องใหม่ยังเขียนเกี่ยวกับเทนนิสหรือเปล่า”

“ฉันว่าน่าจะเขียนเกี่ยวกับบาสไม่ก็ฟุตบอล”

“…”

เพื่อนร่วมงานถกเถียงกันอย่างออกรสออกชาติ

หยางเฟิงมองทุกคนพลางเอ่ยว่า “นิยายเรื่องใหม่ของฉู่ขวงเป็นเทพเซียนกำลังภายใน”

ทั้งกองบรรณาธิการพลันเงียบกริบไปทันที

ผ่านไปเนิ่นนาน กว่าจะมีคนถามหยั่งเชิงขึ้นมาหนึ่งประโยค “เป็นแนวเทพเซียนกำลังภายในแบบที่ฉันเข้าใจหรือเปล่า”

หยางเฟิงฝืนยิ้ม “มหาศึกเซียนปะทะมารน่ะเข้าใจหรือยัง”

จริงๆ เหรอเนี่ย?

นิยายแนวเทพเซียนกำลังภายใน?

ยุคไหนกันครับเนี่ย

ทุกคนต่างมีสีหน้างงงัน ทั้งแผนกเงียบกริบลงอีกครั้ง

หยางเฟิงไม่ได้ใส่ใจคนอื่นๆ อีกต่อไป

เขานั่งลงกับโต๊ะ

ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เขาก็ต้องตรวจต้นฉบับ ดูสักหน่อยว่าสรุปแล้วนิยายแนวเทพเซียนกำลังภายในของฉู่ขวงเขียนเกี่ยวกับอะไร

พูดตามตรง

หยางเฟิงแทบจะกัดฟันกดเปิดเรื่องกระบี่เทพสังหาร สิ่งแรกที่ปรากฏแก่สายตาก็คืออารัมภบทของหนังสือเล่มนี้ ‘ฟ้าดินไร้ปรานี เห็นสรรพสิ่งเฉกเช่นสุนัขฟาง[1]’

ถ้าหากหยางเฟิงอ่านหนังสือมาน้อย ก็คงรู้สึกเพียงว่าประโยคนี้ยอดเยี่ยมมาก

แต่กระนั้นหยางเฟิงเคยอ่านเต้าเต๋อจิง ย่อมรู้ว่าประโยคนี้มาจากผลงานชิ้นนี้

เหล่าจื่อเป็นถึงหนึ่งในบุคคลซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดในยุควสันตสารท[2]

ดังนั้นสำหรับประโยคนี้ ในโลกวิชาการมีสมมติฐานอยู่สองประเภท

สมมติฐานประเภทแรกคือ เหล่าจื่อต้องการนำเสนอแนวคิดเรื่องความเที่ยงธรรมของธรรมชาติ

สมมติฐานประเภทที่สองคือ สวรรค์ไร้ความเมตตา มองสรรพสิ่งเป็นเพียงเครื่องสังเวยอันไร้ชีวิต

ไม่ว่าสมมติฐานประเภทไหนจะสอดคล้องกับความคิดของเหล่าจื่อ ฉู่ขวงสามารถดึงประโยคนี้มาใช้เป็นประโยคเปิดในนิยายได้ นับว่าสร้างแสนยานุภาพได้มากทีเดียว

ดูท่าแล้วฉู่ขวงจะไม่ได้อยู่ๆ นึกครึ้มอยากเขียนแนวเทพเซียนกำลังภายในขึ้นมา แต่ทำการบ้านมาก่อนล่วงหน้าแล้ว

แต่ทำไมคุณถึงคิดไม่ได้ แล้วต้องเลือกเขียนแนวเทพเซียนกำลังภายในออกมาล่ะเนี่ย?

หยางเฟิงส่ายหน้า อ่านต่อไป

บรรณาธิการอ่านหนังสือได้อย่างรวดเร็ว หยางเฟิงก็เช่นกัน

อารัมภบท ตอนที่หนึ่ง ตอนที่สอง ตอนที่สาม หยางเฟิงอ่านรวดเดียวอย่างเร็วรี่โดยไม่ยั้งคิด

แต่เมื่ออ่านไปจนถึงตอนที่สาม หยางเฟิงก็หยุดลงฉับพลัน

ราวกับว่าถูกคนกดปุ่มหยุดเล่นชั่วคราว

เมื่อภาพเหตุการณ์ดำเนินต่อไป ประหนึ่งกดเล่นซ้ำอีกครั้ง และไม่รู้ว่าทำไม หยางเฟิงก็เปิดอารัมภบทของเรื่องกระบี่เทพสังหาร แล้วเริ่มต้นอ่านอีกครั้ง

ในครั้งนี้ ความเร็วในการอ่านของเขากล่าวได้ว่าเชื่องช้าเหลือเกิน อ่านทีละตัวอักษรก็ว่าได้

ในชีวิตการเป็นบรรณาธิการของเขา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้ความเร็วระดับเต่าคลานในการอ่านหนังสือเช่นนี้

ประดุจกลัวว่าจะตกหล่นไปหนึ่งตัวอักษรก็มิปาน

………………………………………………

[1] ฟ้าดินไร้ปรานี เห็นสรรพสิ่งเช่นสุนัขฟาง ต้นฉบับมาจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิง โดยเหล่าจื่อ

[2] ยุควสันตสารท หรือยุคชุนชิว 770 ปีก่อนคริสต์กาล – 453 ปีก่อนคริสต์กาล

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน 109 ฟ้าดินไร้ปรานี เห็นสรรพสิ่งเฉกเช่นสุนัขฟาง

Now you are reading Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน Chapter 109 ฟ้าดินไร้ปรานี เห็นสรรพสิ่งเฉกเช่นสุนัขฟาง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 109 ฟ้าดินไร้ปรานี เห็นสรรพสิ่งเฉกเช่นสุนัขฟาง

วันต่อมา

หลังจากที่หลินเยวียนตื่นนอนและล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อยแล้ว ก็ลงไปกินอาหารเช้า แต่ขณะที่กำลังจะคิดเงิน เจ้าของร้านอาหารเช้ากลับปัดมืออย่างยิ้มแย้ม

“ไม่ต้องจ่ายเงิน”

หลินเยวียนถาม “ทำไมล่ะครับ”

เจ้าของร้านยิ้มอย่างดีอกดีใจยิ่งกว่าเดิม “ร้านอาหารเช้าของเราเปลี่ยนเจ้าของแล้ว เจ้าของร้านคนใหม่ชื่อว่าซุนเย่าหั่ว เขาเคยให้ผมดูรูปคุณ บอกว่าเป็นเพื่อนสนิทกับคุณล่ะครับ เขายังบอกอีกว่าคุณเป็นสมาชิกวีไอพีคนสำคัญของร้านอาหารเช้าของเรา ให้กินฟรีตลอดชีพ”

“ขอบคุณครับ”

หลินเยวียนไม่ทัดทาน

อันที่จริงเขาก็แอบตกใจอยู่บ้าง

ว่ากันว่าศิลปินในวงการบันเทิงชื่นชอบการลงทุนทำร้านอาหาร นึกไม่ถึงว่ารุ่นพี่ซุนเย่าหั่วจะชื่นชอบเรื่องพวกนี้ด้วย

ก่อนหน้านี้ก็ทำร้านชานม ตอนนี้ก็ลงทุนกับร้านอาหารเช้าอีก

ต่อไปตนจะลงทุนด้วยบ้างดีไหมนะ

ช่างเถอะ

อย่าเพิ่งคิดเรื่องนี้เลย

ในตอนนี้เรื่องกระบี่เทพสังหารเล่มที่หนึ่งเขียนเสร็จแล้ว หลินเยวียนคิดว่าจะตีพิมพ์โดยเร็วที่สุด

สำนักพิมพ์ก็เลือกคลังหนังสือซิลเวอร์บลูก็แล้วกัน

ความประทับใจที่หลินเยวียนมีต่อคลังหนังสือซิลเวอร์บลูนับว่าไม่เลว เรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาระหว่างการตีพิมพ์ หรือช่องทางการวางขายสินค้า หรือว่าช่องทางการโปรโมตก็มีผลงานครบถ้วนสมบูรณ์เลยทีเดียว ระหว่างนั้นก็ยังเพิ่มส่วนแบ่งในสัญญาให้เขาด้วย จึงไม่มีเหตุผลให้เปลี่ยนผู้ร่วมงาน

นอกจากนั้นแล้ว หลินเยวียนยังปักธงร่วมงานกับนิตยสารอ่านสนุกของคลังหนังสือซิลเวอร์บลูมาแล้วครั้งหนึ่ง ประสบการณ์ที่ได้รับก็ไม่เลวเช่นกัน

ค่าต้นฉบับของพวกเขาน่าพอใจมากทีเดียว

ครั้งนี้หลินเยวียนมีความมั่นใจในเรื่องกระบี่เทพสังหารอยู่บ้าง ต่างจากความรู้สึกกระวนกระวายในครั้งก่อน

เมื่อครุ่นคิดมาถึงตรงนี้

ระหว่างทางไปวิทยาลัย หลินเยวียนก็ส่งข้อความหาบรรณาธิการหยางเฟิง ‘ผมเขียนเรื่องใหม่เสร็จแล้วครับ’

‘เร็วขนาดนั้นเลย?’

หยางเฟิงตอบกลับอย่างรวดเร็ว ‘ส่งมาให้ผมตอนนี้เลยได้ไหม’

ที่หยางเฟิงตอบได้อย่างรวดเร็วถึงขนาดนี้ ก็เพราะเขาตั้งฉู่ขวงเอาไว้เป็นรายการโปรด

แม้ว่าเขาจะรับผิดชอบในการประสานงานกับนักเขียนจำนวนมาก แต่ฉู่ขวงเป็นนักเขียนตัวท็อปที่สุดซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของหยางเฟิง ดังนั้นจึงต้องให้ความสำคัญเอาไว้

ไม่ทันรอให้ฉู่ขวงตอบ

มือของหยางเฟิงกดหน้าจอ พิมพ์ซักไซ้ต่อด้วยความเร็วสูง ‘เรื่องใหม่เขียนเกี่ยวกับเทนนิสใช่ไหมครับ นี่คงจะเป็นกีฬาที่คุณถนัดที่สุดแล้ว แถมยังมีประสบการณ์จากเล่มแรกมาแล้ว คงจะเขียนได้คล่องมือ ผมว่าเขียนอีกก็คงไม่ยาก’

หยางเฟิงปลุกใจฉู่ขวง

ในความคิดของเขา นิยายเรื่องใหม่ของฉู่ขวงจะยังคงเขียนแนวการแข่งขันกีฬาที่เขาถนัด ผลักดันนิยายแนวเฉพาะกลุ่มนี้ให้ถึงที่สุดอย่างแน่นอน และนี่ก็เป็นสิ่งที่ทุกคนในแผนกแฟนตาซีเยาวชนกองบรรณาธิการของคลังหนังสือซิลเวอร์บลูคาดหวังเป็นที่สุด

ฉู่ขวง ‘ไม่ใช่ครับ’

หยางเฟิง ‘แล้วเขียนอะไรล่ะ’

ถ้าไม่เขียนเกี่ยวกับเทนนิส หรือว่าฉู่ขวงจะเขียนเกี่ยวกับบาสเกตบอลหรือฟุตบอลซึ่งเป็นกีฬาที่ค่อนข้างได้รับความนิยมในตอนนี้ ระยะนี้มีคนมากมายในวงการเขียนแนวการแข่งขันกีฬาตามกระแสของฉู่ขวง โดยส่วนมากเน้นไปทางฟุตบอลและบาสเกตบอล ฉู่ขวงคงคิดจะสอนคนพวกนี้ว่านิยายเกี่ยวกับฟุตบอลและบาสเกตบอลนั้นเขียนอย่างไร

ใจกล้าสุดๆ ไปเลย!

สมแล้วที่เป็นฉู่ขวง!

หยางเฟิงรู้สึกว่าการคาดเดาของตนนั้นแม่นยำทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อเขาได้เห็นคำตอบของฉู่ขวง ก็ชะงักงันไปทั้งตัว เพราะฉู่ขวงตอบมาด้วยคำสั้นๆ ทำให้บรรณาธิการอย่างเขารู้สึกไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย

‘เทพเซียนกำลังภายใน’

ฉู่ขวงจะเขียนแนวเทพเซียนกำลังภายใน

ปัญหาคือเทพเซียนกำลังภายในคืออะไรล่ะ

หยางเฟิงรู้สึกท้อแท้เหลือเกิน ในฐานะที่เป็นบรรณาธิการมืออาชีพ เขาไม่มีทางไม่รู้จักว่าเทพเซียนกำลังภายในคืออะไร แต่ก็เพราะว่ารู้จักนี่แหละ เขาถึงได้ปวดเศียรเวียนเกล้าขนาดนี้ ‘แบบมหาศึกเซียนปะทะมารน่ะเหรอครับ’

‘ประมาณนั้นครับ’

ก่อนหน้านี้หลินเยวียนค้นข้อมูลมาแล้ว จึงรู้ว่ามหาศึกเซียนปะทะมารนั้นเป็นผลงานแนวเทพเซียนกำลังภายในเรื่องล่าสุดของบลูสตาร์แล้ว หลังจากผลงานชิ้นนี้ ฉินโจวก็ไม่มีนิยายแนวเทพเซียนกำลังภายในอีกแล้ว จวบจนวันนี้ก็นับเป็นเวลาแปดสิบปีมาแล้ว

‘โทรศัพท์ได้ไหม’

‘ผมกำลังจะเข้าเรียนครับ’

ฉู่ขวงพูดจบก็ไม่ตอบกลับมาอีก แต่หยางเฟิงก็ได้รับนิยายซึ่งมีชื่อว่ากระบี่เทพสังหารในอีเมล ทำเอาหยางเฟิงร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออกไปชั่วขณะ ฉู่ขวงมาบุกเบิกนิยายแนวนี้จริงๆ หรือนี่!

มาเขียนอะไรนิยายเทพเซียนกำลังภายใน

ฉู่ขวงเป็นคนหัวโบราณหรือยังไง

เห็นชัดๆ ว่าเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย

สำหรับนักอ่านที่ยังพอมีภาพจำต่อนิยายแนวเทพเซียนกำลังภายใน คงต้องนับถอยหลังไปรุ่นคุณปู่ของหยางเฟิง มหาศึกเซียนปะทะมารเป็นผลงานที่ให้ความบันเทิงกับคนในยุคนั้น แต่หากบอกว่าในยุคนี้มีคนเขียนแนวเทพเซียนกำลังภายใน หยางเฟิงก็ยากที่จะจินตนาการ

……

หยางเฟิงมาถึงบริษัทด้วยสีหน้าสลดหดหู่

เพื่อนร่วมงานเห็นท่าทางของหยางเฟิงก็รู้สึกแปลกใจ “โดนเลื่อนส่งต้นฉบับอีกแล้วเหรอ”

“น่ากลัวกว่านั้นอีก”

หยางเฟิงกล่าว “ฉู่ขวงออกนิยายเรื่องใหม่”

ทุกคนชะงักไป ต่างคนต่างผุดยิ้มขึ้นมาทันใด

“ก็เป็นเรื่องดีนี่นา”

“ฉู่ขวงออกนิยายเรื่องใหม่ ไหงนายทำหน้าเศร้าขนาดนั้นล่ะ”

“นั่นน่ะสิ ฉู่ขวงยอมเขียนนิยายเรื่องยาว นายก็ต้องดีใจสิ!”

“ก่อนหน้านี้ฉันยังเป็นห่วงว่าฉู่ขวงจะไปร่วมงานกับสำนักพิมพ์อื่นหรือเปล่า ตอนนี้ดูท่าเขาจะพอใจกับคลังหนังสือซิลเวอร์บลูมากทีเดียว”

“นิยายเรื่องใหม่ยังเขียนเกี่ยวกับเทนนิสหรือเปล่า”

“ฉันว่าน่าจะเขียนเกี่ยวกับบาสไม่ก็ฟุตบอล”

“…”

เพื่อนร่วมงานถกเถียงกันอย่างออกรสออกชาติ

หยางเฟิงมองทุกคนพลางเอ่ยว่า “นิยายเรื่องใหม่ของฉู่ขวงเป็นเทพเซียนกำลังภายใน”

ทั้งกองบรรณาธิการพลันเงียบกริบไปทันที

ผ่านไปเนิ่นนาน กว่าจะมีคนถามหยั่งเชิงขึ้นมาหนึ่งประโยค “เป็นแนวเทพเซียนกำลังภายในแบบที่ฉันเข้าใจหรือเปล่า”

หยางเฟิงฝืนยิ้ม “มหาศึกเซียนปะทะมารน่ะเข้าใจหรือยัง”

จริงๆ เหรอเนี่ย?

นิยายแนวเทพเซียนกำลังภายใน?

ยุคไหนกันครับเนี่ย

ทุกคนต่างมีสีหน้างงงัน ทั้งแผนกเงียบกริบลงอีกครั้ง

หยางเฟิงไม่ได้ใส่ใจคนอื่นๆ อีกต่อไป

เขานั่งลงกับโต๊ะ

ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เขาก็ต้องตรวจต้นฉบับ ดูสักหน่อยว่าสรุปแล้วนิยายแนวเทพเซียนกำลังภายในของฉู่ขวงเขียนเกี่ยวกับอะไร

พูดตามตรง

หยางเฟิงแทบจะกัดฟันกดเปิดเรื่องกระบี่เทพสังหาร สิ่งแรกที่ปรากฏแก่สายตาก็คืออารัมภบทของหนังสือเล่มนี้ ‘ฟ้าดินไร้ปรานี เห็นสรรพสิ่งเฉกเช่นสุนัขฟาง[1]’

ถ้าหากหยางเฟิงอ่านหนังสือมาน้อย ก็คงรู้สึกเพียงว่าประโยคนี้ยอดเยี่ยมมาก

แต่กระนั้นหยางเฟิงเคยอ่านเต้าเต๋อจิง ย่อมรู้ว่าประโยคนี้มาจากผลงานชิ้นนี้

เหล่าจื่อเป็นถึงหนึ่งในบุคคลซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดในยุควสันตสารท[2]

ดังนั้นสำหรับประโยคนี้ ในโลกวิชาการมีสมมติฐานอยู่สองประเภท

สมมติฐานประเภทแรกคือ เหล่าจื่อต้องการนำเสนอแนวคิดเรื่องความเที่ยงธรรมของธรรมชาติ

สมมติฐานประเภทที่สองคือ สวรรค์ไร้ความเมตตา มองสรรพสิ่งเป็นเพียงเครื่องสังเวยอันไร้ชีวิต

ไม่ว่าสมมติฐานประเภทไหนจะสอดคล้องกับความคิดของเหล่าจื่อ ฉู่ขวงสามารถดึงประโยคนี้มาใช้เป็นประโยคเปิดในนิยายได้ นับว่าสร้างแสนยานุภาพได้มากทีเดียว

ดูท่าแล้วฉู่ขวงจะไม่ได้อยู่ๆ นึกครึ้มอยากเขียนแนวเทพเซียนกำลังภายในขึ้นมา แต่ทำการบ้านมาก่อนล่วงหน้าแล้ว

แต่ทำไมคุณถึงคิดไม่ได้ แล้วต้องเลือกเขียนแนวเทพเซียนกำลังภายในออกมาล่ะเนี่ย?

หยางเฟิงส่ายหน้า อ่านต่อไป

บรรณาธิการอ่านหนังสือได้อย่างรวดเร็ว หยางเฟิงก็เช่นกัน

อารัมภบท ตอนที่หนึ่ง ตอนที่สอง ตอนที่สาม หยางเฟิงอ่านรวดเดียวอย่างเร็วรี่โดยไม่ยั้งคิด

แต่เมื่ออ่านไปจนถึงตอนที่สาม หยางเฟิงก็หยุดลงฉับพลัน

ราวกับว่าถูกคนกดปุ่มหยุดเล่นชั่วคราว

เมื่อภาพเหตุการณ์ดำเนินต่อไป ประหนึ่งกดเล่นซ้ำอีกครั้ง และไม่รู้ว่าทำไม หยางเฟิงก็เปิดอารัมภบทของเรื่องกระบี่เทพสังหาร แล้วเริ่มต้นอ่านอีกครั้ง

ในครั้งนี้ ความเร็วในการอ่านของเขากล่าวได้ว่าเชื่องช้าเหลือเกิน อ่านทีละตัวอักษรก็ว่าได้

ในชีวิตการเป็นบรรณาธิการของเขา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้ความเร็วระดับเต่าคลานในการอ่านหนังสือเช่นนี้

ประดุจกลัวว่าจะตกหล่นไปหนึ่งตัวอักษรก็มิปาน

………………………………………………

[1] ฟ้าดินไร้ปรานี เห็นสรรพสิ่งเช่นสุนัขฟาง ต้นฉบับมาจากคัมภีร์เต้าเต๋อจิง โดยเหล่าจื่อ

[2] ยุควสันตสารท หรือยุคชุนชิว 770 ปีก่อนคริสต์กาล – 453 ปีก่อนคริสต์กาล

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด