Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน 83 มีเวลาพอ

Now you are reading Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน Chapter 83 มีเวลาพอ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 83 มีเวลาพอ

หลินเยวียนกลายเป็นคนดังของชมรมจิตรกรรม นักศึกษาซึ่งเรียนเฉพาะทางด้านการสเก็ตช์ก็ยิ่งยกหลินเยวียนไว้เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ

แต่ว่าเรื่องนี้ก็ยังคงไม่ได้มีผลกับเขามากนัก

ในฐานะที่วิทยาลัยศิลปะฉินโจวเป็นสถาบันศิลปะขนาดใหญ่ที่สุดของภูมิภาค นักเรียนในแต่ละคณะมีมากมายนับไม่ถ้วน คนดังหลากหลายประเภทมีเยอะแยะไปหมด

ถ้าหากไม่ใช่คนดังที่มีคนติดตามอย่างใกล้ชิด ใครจะไปจำได้ล่ะ

วันเวลาต่อจากนั้น

ชีวิตของหลินเยวียนก็ยังเป็นดังเดิม

เช้าตรู่ของวันนี้ หลินเยวียนลืมตาขึ้น พบว่านอกห้องพายุฝนกำลังโหมกระหน่ำ

หัวคิ้วของเขาขมวดอย่างห้ามไม่อยู่ ฝนตกหนักขนาดนี้ จะออกไปข้างนอกไม่สะดวกเอาซะเลย ช่วงสายวันนี้เขามีตารางเรียนแน่นมาก

ในตอนนั้นโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

เป็นซุนเย่าหั่วที่โทรศัพท์มา

น้ำเสียงของเขาฟังดูระมัดระวัง “รุ่นน้อง คงไม่ได้โทรมารบกวนหรอกใช่มั้ย ครั้งก่อนจะพูดเรื่องอัดเพลงหรอกเหรอ พวกเราจะอัดเสียงเมื่อไหร่ล่ะ ทางฉันรอรับคำสั่งตลอดเวลา!”

“เดี๋ยวผมแจ้งไปนะครับ”

หลินเยวียนมองไปทางหน้าต่าง “รุ่นพี่ซุน ตอนนี้พอจะมีเวลาช่วยผมหน่อยได้มั้ย”

“ช่วยอะไรเหรอ”

“ขับรถมารับผมไปเรียนหน่อยฮะ” หลินเยวียนจำได้ว่ารุ่นพี่ซุนเย่าหั่วซื้อรถแล้ว ครั้งก่อนตอนกินข้าวก็ยังเอ่ยถึงเรื่องนี้

“นายส่งที่อยู่มาเลย”

ซุนเย่าหั่วไม่เพียงไม่ได้รู้สึกว่ายุ่งยาก มิหนำซ้ำน้ำเสียงยังฟังดูตื่นเต้น ดังนั้นหลินเยวียนรู้สึกว่า บางทีรุ่นพี่ซุนเย่าหั่วอาจชื่นชอบความรู้สึกเวลาขับรถแบบนี้ก็ได้

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง

หลินเยวียนนั่งรถของซุนเย่าหั่วมาถึงวิทยาลัย

หลังจากจอดรถ ซุนเย่าหั่วก็กางร่มสีดำคันหนึ่ง รีบลงจากรถ ใช้ร่มกางเหนือประตูฝั่งหลินเยวียน พลางช่วยเปิดประตูด้านหลังให้หลินเยวียน

ขอบเขตที่ร่มสามารถกันฝนได้นั้นมีจำกัด ทำให้ร่มบังแผ่นหลังของเขาไม่มิด และถูกฝนสาดจนเปียกชุ่ม

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ใส่ใจ ยังกำชับหลินเยวียนอีกว่า “รุ่นน้องระวังด้วย”

“ขอบคุณครับรุ่นพี่”

“เรื่องแค่นี้ขอบคุณอะไรกัน วิทยาลัยไม่ให้ฉันเข้าไป นายอยู่สาขาการประพันธ์เพลงใช่มั้ยล่ะ จะให้ฉันช่วยกางร่มไปมั้ย” ใบหน้าของซุนเย่าหั่วเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม

“ไม่ต้องหรอกครับ”

“งั้นนายเอาร่มไปใช้”

ซุนเย่าหั่วยิ้มพลางส่งร่มให้หลินเยวียน ส่วนตนก็ใช้มือกำบังศีรษะ ก่อนจะรีบกลับเข้าไปในรถ โบกมือลาหลินเยวียนอย่างกระตือรือร้นเฉกเช่นที่เคยเป็นมา

“บ๊ายบายครับ”

หลินเยวียนโบกมือ จากนั้นก็ถือร่มเดินไปยังห้องเรียน

เมื่อวางร่มเรียบร้อยแล้ว หลินเยวียนก็พบว่าบรรยากาศของห้องเรียนนั้นผิดแปลกไป

แม้แต่หัวหน้าห้องที่ปกติแล้วจะร่าเริงสดใส วันนี้กลับดูห่อเหี่ยวไร้ชีวิตชีวาราวกับกับมะเขือแช่แข็ง

ทุกคนกำลังบ่นกันว่า

“เมื่อวานเวรใครอะ ตอนออกไปไม่ได้ปิดหน้าต่างด้วย”

“วันอื่นไม่ปิดหน้าต่างก็ว่าไปอย่าง อย่างมากน้ำก็เข้าห้องเรียนนิดๆ หน่อยๆ แต่ครั้งนี้ยุ่งเลย หนังสือพิมพ์กระดานดำที่พวกเรากว่าจะทำเสร็จ ถูกลบไปหมดเลย!”

“นั่นสิ”

“เพราะว่าไม่ได้ปิดหน้าต่าง หนังสือพิมพ์กระดานดำที่หัวหน้าห้องกับฝ่ายศิลป์ทำมาครึ่งเดือนกว่าจะเสร็จ ตอนนี้ถูกลบทิ้งไปเกินครึ่ง”

หนังสือพิมพ์กระดานดำเขียนด้วยชอล์ก

เครื่องเขียนอย่างชอล์ก เดิมทีก็โดนน้ำไม่ได้อยู่แล้ว พายุฝนกระหน่ำทั้งคืน ย่อมไม่แปลกที่หนังสือพิมพ์กระดานดำจะถูกทำลายไปครึ่งหนึ่ง

“จบเห่แล้ว”

“ก็คงต้องทำแก้ขัดไปก่อน แต่ว่าทุกคนก็ไม่ต้องหวังรางวัลแล้วแหละ เพราะมองจากเวลาแล้วไม่ทัน แถมวันนี้พวกเรามีเรียนทั้งช่วงเช้า เวลากระชั้นเกินไป”

“…”

หลินเยวียนได้ยินดังนั้นจึงเหลือบมองหนังสือพิมพ์กระดานดำ

เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ฝ่ายศิลป์ของเซคก็เริ่มง่วนอยู่กับหนังสือพิมพ์กระดานดำนี้จริงๆ นั่นแหละ

พวกเขาลงแรงไปมากเพื่อหนังสือพิมพ์กระดานดำนี้ บางครั้งยุ่งกันอยู่จนดึกดื่นกว่าจะได้กลับหอ

ตอนนี้ผลงานที่หลังขดหลังแข็งทำขึ้นมาได้ถูกทำลายไปแล้ว ถ้าเป็นหลินเยวียนก็คงรู้สึกไม่ดีเหมือนกัน

ในตอนนั้น

ผู้หญิงใส่แว่นซึ่งนั่งอยู่อีกมุมหนึ่งก็ยกมือขึ้น พูดขึ้นด้วยเสียงสั่นเครือราวกับจะร้องไห้ “เมื่อวานเป็นเวรฉันเอง ฉันรีบเกินไปหน่อยเลยลืมปิดหน้าต่าง ขอโทษทุกคนด้วยนะ…”

“ไม่เป็นไร ไม่ได้โทษเธอหรอก”

เฉาปินหัวหน้าห้องข่มกลั้นความหดหู่ เอ่ยปลอบ “ไม่มีใครคิดหรอกว่าวันนี้ฝนจะตก เมื่อวานพยากรณ์อากาศก็บอกว่าอากาศแจ่มใส อีกอย่างต้องโทษที่การออกแบบห้องเรียนเราไม่เหมาะสม กระดานดำด้านหลังอยู่ใกล้หน้าต่างเกินไป ห้องอื่นไม่ได้เป็นแบบห้องเรา”

“งั้นตอนนี้ทำไงดีล่ะ”

เสียงของเหยียนเมิ่งเจียซึ่งอยู่ฝ่ายศิลป์ฟังดูแหบพร่าเล็กน้อย “ช่วงบ่ายจะมีการคัดเลือกหนังสือพิมพ์กระดานดำแล้ว อาจารย์ที่รับผิดชอบการตัดสินไม่มีทางสนใจว่าหนังสือพิมพ์กระดานดำของเราถูกฝนสาดหรอก”

ต้องเข้าใจว่า

หนังสือพิมพ์กระดานดำนั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนใช้เวลาไปครึ่งเดือนกว่าจะทำเสร็จ และทำออกมาได้ดีมาก เพื่อคว้ารางวัลชนะเลิศของกลุ่มชั้นปีที่สอง!

เมื่อปีที่แล้ว

เหยียนเมิ่งเจียนำทีมเพื่อนๆ ในเซคที่วาดภาพได้ สร้างสรรค์หนังสือพิมพ์กระดานดำออกมา แถมยังช่วงชิงบัลลังก์แชมป์ของกลุ่มปีหนึ่งเอาไว้

ในตอนนี้

อีกเพียงครึ่งวันก็จะตัดสินผลการแข่งขัน หนังสือพิมพ์กระดานดำซึ่งทำออกมาเสียดิบดีกลับถูกทำลาย และดันแก้ใหม่ไม่ทันแล้วด้วย จนพานให้ทุกคนเหงื่อกาฬผุดเต็มหน้าผากด้วยความร้อนรน

วิทยาลัยศิลปะฉินโจวจะมีการจัดประกวดหนังสือพิมพ์กระดานดำทุกปี

กลิ่นอายของศิลปะบลูสตาร์นั้นเข้มข้น

วิทยาลัยศิลปะฉินโจวในฐานะที่เป็นสถาบันศิลปะย่อมให้ความสำคัญกับเรื่องนี้

ฉะนั้นแต่ละชั้นเรียนจะสนอกสนใจการประกวดหนังสือพิมพ์กระดานดำมาก

หนังสือพิมพ์กระดานดำซึ่งได้รับรางวัลของทุกครั้งจะถูกนำไปโชว์ในเว็บไซต์ทางการของโรงเรียน ทำให้ทั้งชั้นเรียนได้หน้าไปเต็มๆ วิทยาลัยเองก็อาจให้รางวัลบางอย่าง ถึงขั้นที่ให้หน่วยกิตเพื่อเป็นกำลังใจให้เหล่านักศึกษา เรียกได้ว่าตบรางวัลให้อย่างงาม

“เรียนกันก่อนเถอะ”

หัวหน้าห้องเอ่ยปาก “เวลาที่เหลือค่อยมาจัดการ ทำได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น ทุกคนเองก็ไม่ต้องเศร้าไป ถึงยังไงทำไม่ดีก็ไม่ได้โดนลงโทษอะไร”

ทุกคนพยักหน้า

ทว่าในคาบเรียนวันนี้ แต่ละคนก็ไม่มีกะจิตกะใจจะเรียน โดยเฉพาะคนกลุ่มที่รับผิดชอบหนังสือพิมพ์กระดานดำ ก็ยิ่งสีหน้าคร่ำเครียด เหยียนเมิ่งเจียฝ่ายศิลป์ซึ่งรับผิดชอบหนังสือพิมพ์กระดานดำในครั้งนี้ก็อยู่ในสภาพหมดอาลัยตายอยาก

ช่วยไม่ได้

ช่วงพักระหว่างวิชาเรียน

ทุกคนก็ช่วยกันวาดเพิ่มเติม

น่าเสียดายที่ผลลัพธ์จากการแก้ไขในครั้งนี้ไม่ได้ดีเอาซะเลย ความแตกต่างของฝั่งซ้ายและขวานั้นเด่นชัดเกินไป มิหนำซ้ำยังพลอยให้หนังสือพิมพ์กระดานดำแลดูอีรุงตุงนังไปสักหน่อย แถมสไตล์อันเรียบง่ายของฝั่งขวากับความประณีตละเอียดลออของฝั่งซ้ายนั้นช่างไม่เข้ากันแม้แต่น้อย

ช่วงเที่ยงวัน

เหยียนเมิ่งเจียฝ่ายศิลป์กับคนอื่นๆ ไม่ได้ออกจากห้องไป ยืนเหม่อมองกระดานดำ จนเฉาปินหัวหน้าห้องทนดูต่อไปไม่ไหว จึงพูดขึ้นอย่างอดไม่ได้ “ทุกคนไปกินข้าวที่โรงอาหารกันก่อนเถอะ กินข้าวเสร็จแล้วค่อยขึ้นมาแก้”

“จะทำยังไงได้อีกล่ะ”

เหยียนเมิ่งเจียยักไหล่ ก่อนจะเดินออกจากห้องเรียนไป

คนอื่นๆ ในทีมหนังสือพิมพ์กระดานดำก็ทยอยตามกันออกไป

เมื่อพวกเขาออกไปแล้ว เฉาปินกลับไม่ได้ตามไปด้วย เพียงแต่เงยหน้าเหม่อมองกระดานดำซึ่งพอจะถูๆ ไถๆ ไปประกวดได้

ในตอนนั้นเอง

ด้านหลังของเฉาปิน จู่ๆ ก็มีเสียงซึ่งค่อนข้างคุ้นเคยดังขึ้น “หรือว่า ให้ฉันลองมั้ย”

“อ๋า?”

เฉาปินจึงพบว่า ในห้องเรียนยังมีคนเหลืออยู่อีกคน “หลินเยวียน?”

หลินเยวียนไม่ได้เป็นเพียงเพื่อนร่วมชั้นเรียนกับเฉาปิน แต่ยังเคยเป็นรูมเมตกับเฉาปินด้วย เพียงแต่ในตอนนี้หลินเยวียนย้ายออกมาแล้ว

แต่ถึงอย่างนั้นความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ไม่เลวเลย

น้อยครั้งนักที่จะมีคนเข้ากับหลินเยวียนไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นเฉาปินยังเป็นหัวหน้าห้องซึ่งมีความรับผิดชอบ ได้รับความไว้วางใจจากเพื่อนร่วมชั้นเรียน และเอาใจใส่หลินเยวียนซึ่งร่างกายไม่แข็งแรงเป็นอย่างดี

“นายวาดรูปได้เหรอ”

แววตาของเฉาปินทอประกายความหวัง

จากนั้นเขาก็ทอดถอนใจออกมาราวกับนึกเรื่องบางอย่างขึ้นได้ “ต่อให้วาดได้ เวลาของพวกเราก็ไม่พอหรอก ช่วงบ่ายก็จะเริ่มตัดสินการประกวดหนังสือพิมพ์กระดานดำแล้ว”

“มีเวลาพอ”

หลินเยวียนพูดจบ ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาจงอวี๋

……………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน 83 มีเวลาพอ

Now you are reading Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน Chapter 83 มีเวลาพอ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 83 มีเวลาพอ

หลินเยวียนกลายเป็นคนดังของชมรมจิตรกรรม นักศึกษาซึ่งเรียนเฉพาะทางด้านการสเก็ตช์ก็ยิ่งยกหลินเยวียนไว้เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ

แต่ว่าเรื่องนี้ก็ยังคงไม่ได้มีผลกับเขามากนัก

ในฐานะที่วิทยาลัยศิลปะฉินโจวเป็นสถาบันศิลปะขนาดใหญ่ที่สุดของภูมิภาค นักเรียนในแต่ละคณะมีมากมายนับไม่ถ้วน คนดังหลากหลายประเภทมีเยอะแยะไปหมด

ถ้าหากไม่ใช่คนดังที่มีคนติดตามอย่างใกล้ชิด ใครจะไปจำได้ล่ะ

วันเวลาต่อจากนั้น

ชีวิตของหลินเยวียนก็ยังเป็นดังเดิม

เช้าตรู่ของวันนี้ หลินเยวียนลืมตาขึ้น พบว่านอกห้องพายุฝนกำลังโหมกระหน่ำ

หัวคิ้วของเขาขมวดอย่างห้ามไม่อยู่ ฝนตกหนักขนาดนี้ จะออกไปข้างนอกไม่สะดวกเอาซะเลย ช่วงสายวันนี้เขามีตารางเรียนแน่นมาก

ในตอนนั้นโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

เป็นซุนเย่าหั่วที่โทรศัพท์มา

น้ำเสียงของเขาฟังดูระมัดระวัง “รุ่นน้อง คงไม่ได้โทรมารบกวนหรอกใช่มั้ย ครั้งก่อนจะพูดเรื่องอัดเพลงหรอกเหรอ พวกเราจะอัดเสียงเมื่อไหร่ล่ะ ทางฉันรอรับคำสั่งตลอดเวลา!”

“เดี๋ยวผมแจ้งไปนะครับ”

หลินเยวียนมองไปทางหน้าต่าง “รุ่นพี่ซุน ตอนนี้พอจะมีเวลาช่วยผมหน่อยได้มั้ย”

“ช่วยอะไรเหรอ”

“ขับรถมารับผมไปเรียนหน่อยฮะ” หลินเยวียนจำได้ว่ารุ่นพี่ซุนเย่าหั่วซื้อรถแล้ว ครั้งก่อนตอนกินข้าวก็ยังเอ่ยถึงเรื่องนี้

“นายส่งที่อยู่มาเลย”

ซุนเย่าหั่วไม่เพียงไม่ได้รู้สึกว่ายุ่งยาก มิหนำซ้ำน้ำเสียงยังฟังดูตื่นเต้น ดังนั้นหลินเยวียนรู้สึกว่า บางทีรุ่นพี่ซุนเย่าหั่วอาจชื่นชอบความรู้สึกเวลาขับรถแบบนี้ก็ได้

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง

หลินเยวียนนั่งรถของซุนเย่าหั่วมาถึงวิทยาลัย

หลังจากจอดรถ ซุนเย่าหั่วก็กางร่มสีดำคันหนึ่ง รีบลงจากรถ ใช้ร่มกางเหนือประตูฝั่งหลินเยวียน พลางช่วยเปิดประตูด้านหลังให้หลินเยวียน

ขอบเขตที่ร่มสามารถกันฝนได้นั้นมีจำกัด ทำให้ร่มบังแผ่นหลังของเขาไม่มิด และถูกฝนสาดจนเปียกชุ่ม

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ใส่ใจ ยังกำชับหลินเยวียนอีกว่า “รุ่นน้องระวังด้วย”

“ขอบคุณครับรุ่นพี่”

“เรื่องแค่นี้ขอบคุณอะไรกัน วิทยาลัยไม่ให้ฉันเข้าไป นายอยู่สาขาการประพันธ์เพลงใช่มั้ยล่ะ จะให้ฉันช่วยกางร่มไปมั้ย” ใบหน้าของซุนเย่าหั่วเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม

“ไม่ต้องหรอกครับ”

“งั้นนายเอาร่มไปใช้”

ซุนเย่าหั่วยิ้มพลางส่งร่มให้หลินเยวียน ส่วนตนก็ใช้มือกำบังศีรษะ ก่อนจะรีบกลับเข้าไปในรถ โบกมือลาหลินเยวียนอย่างกระตือรือร้นเฉกเช่นที่เคยเป็นมา

“บ๊ายบายครับ”

หลินเยวียนโบกมือ จากนั้นก็ถือร่มเดินไปยังห้องเรียน

เมื่อวางร่มเรียบร้อยแล้ว หลินเยวียนก็พบว่าบรรยากาศของห้องเรียนนั้นผิดแปลกไป

แม้แต่หัวหน้าห้องที่ปกติแล้วจะร่าเริงสดใส วันนี้กลับดูห่อเหี่ยวไร้ชีวิตชีวาราวกับกับมะเขือแช่แข็ง

ทุกคนกำลังบ่นกันว่า

“เมื่อวานเวรใครอะ ตอนออกไปไม่ได้ปิดหน้าต่างด้วย”

“วันอื่นไม่ปิดหน้าต่างก็ว่าไปอย่าง อย่างมากน้ำก็เข้าห้องเรียนนิดๆ หน่อยๆ แต่ครั้งนี้ยุ่งเลย หนังสือพิมพ์กระดานดำที่พวกเรากว่าจะทำเสร็จ ถูกลบไปหมดเลย!”

“นั่นสิ”

“เพราะว่าไม่ได้ปิดหน้าต่าง หนังสือพิมพ์กระดานดำที่หัวหน้าห้องกับฝ่ายศิลป์ทำมาครึ่งเดือนกว่าจะเสร็จ ตอนนี้ถูกลบทิ้งไปเกินครึ่ง”

หนังสือพิมพ์กระดานดำเขียนด้วยชอล์ก

เครื่องเขียนอย่างชอล์ก เดิมทีก็โดนน้ำไม่ได้อยู่แล้ว พายุฝนกระหน่ำทั้งคืน ย่อมไม่แปลกที่หนังสือพิมพ์กระดานดำจะถูกทำลายไปครึ่งหนึ่ง

“จบเห่แล้ว”

“ก็คงต้องทำแก้ขัดไปก่อน แต่ว่าทุกคนก็ไม่ต้องหวังรางวัลแล้วแหละ เพราะมองจากเวลาแล้วไม่ทัน แถมวันนี้พวกเรามีเรียนทั้งช่วงเช้า เวลากระชั้นเกินไป”

“…”

หลินเยวียนได้ยินดังนั้นจึงเหลือบมองหนังสือพิมพ์กระดานดำ

เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ฝ่ายศิลป์ของเซคก็เริ่มง่วนอยู่กับหนังสือพิมพ์กระดานดำนี้จริงๆ นั่นแหละ

พวกเขาลงแรงไปมากเพื่อหนังสือพิมพ์กระดานดำนี้ บางครั้งยุ่งกันอยู่จนดึกดื่นกว่าจะได้กลับหอ

ตอนนี้ผลงานที่หลังขดหลังแข็งทำขึ้นมาได้ถูกทำลายไปแล้ว ถ้าเป็นหลินเยวียนก็คงรู้สึกไม่ดีเหมือนกัน

ในตอนนั้น

ผู้หญิงใส่แว่นซึ่งนั่งอยู่อีกมุมหนึ่งก็ยกมือขึ้น พูดขึ้นด้วยเสียงสั่นเครือราวกับจะร้องไห้ “เมื่อวานเป็นเวรฉันเอง ฉันรีบเกินไปหน่อยเลยลืมปิดหน้าต่าง ขอโทษทุกคนด้วยนะ…”

“ไม่เป็นไร ไม่ได้โทษเธอหรอก”

เฉาปินหัวหน้าห้องข่มกลั้นความหดหู่ เอ่ยปลอบ “ไม่มีใครคิดหรอกว่าวันนี้ฝนจะตก เมื่อวานพยากรณ์อากาศก็บอกว่าอากาศแจ่มใส อีกอย่างต้องโทษที่การออกแบบห้องเรียนเราไม่เหมาะสม กระดานดำด้านหลังอยู่ใกล้หน้าต่างเกินไป ห้องอื่นไม่ได้เป็นแบบห้องเรา”

“งั้นตอนนี้ทำไงดีล่ะ”

เสียงของเหยียนเมิ่งเจียซึ่งอยู่ฝ่ายศิลป์ฟังดูแหบพร่าเล็กน้อย “ช่วงบ่ายจะมีการคัดเลือกหนังสือพิมพ์กระดานดำแล้ว อาจารย์ที่รับผิดชอบการตัดสินไม่มีทางสนใจว่าหนังสือพิมพ์กระดานดำของเราถูกฝนสาดหรอก”

ต้องเข้าใจว่า

หนังสือพิมพ์กระดานดำนั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนใช้เวลาไปครึ่งเดือนกว่าจะทำเสร็จ และทำออกมาได้ดีมาก เพื่อคว้ารางวัลชนะเลิศของกลุ่มชั้นปีที่สอง!

เมื่อปีที่แล้ว

เหยียนเมิ่งเจียนำทีมเพื่อนๆ ในเซคที่วาดภาพได้ สร้างสรรค์หนังสือพิมพ์กระดานดำออกมา แถมยังช่วงชิงบัลลังก์แชมป์ของกลุ่มปีหนึ่งเอาไว้

ในตอนนี้

อีกเพียงครึ่งวันก็จะตัดสินผลการแข่งขัน หนังสือพิมพ์กระดานดำซึ่งทำออกมาเสียดิบดีกลับถูกทำลาย และดันแก้ใหม่ไม่ทันแล้วด้วย จนพานให้ทุกคนเหงื่อกาฬผุดเต็มหน้าผากด้วยความร้อนรน

วิทยาลัยศิลปะฉินโจวจะมีการจัดประกวดหนังสือพิมพ์กระดานดำทุกปี

กลิ่นอายของศิลปะบลูสตาร์นั้นเข้มข้น

วิทยาลัยศิลปะฉินโจวในฐานะที่เป็นสถาบันศิลปะย่อมให้ความสำคัญกับเรื่องนี้

ฉะนั้นแต่ละชั้นเรียนจะสนอกสนใจการประกวดหนังสือพิมพ์กระดานดำมาก

หนังสือพิมพ์กระดานดำซึ่งได้รับรางวัลของทุกครั้งจะถูกนำไปโชว์ในเว็บไซต์ทางการของโรงเรียน ทำให้ทั้งชั้นเรียนได้หน้าไปเต็มๆ วิทยาลัยเองก็อาจให้รางวัลบางอย่าง ถึงขั้นที่ให้หน่วยกิตเพื่อเป็นกำลังใจให้เหล่านักศึกษา เรียกได้ว่าตบรางวัลให้อย่างงาม

“เรียนกันก่อนเถอะ”

หัวหน้าห้องเอ่ยปาก “เวลาที่เหลือค่อยมาจัดการ ทำได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น ทุกคนเองก็ไม่ต้องเศร้าไป ถึงยังไงทำไม่ดีก็ไม่ได้โดนลงโทษอะไร”

ทุกคนพยักหน้า

ทว่าในคาบเรียนวันนี้ แต่ละคนก็ไม่มีกะจิตกะใจจะเรียน โดยเฉพาะคนกลุ่มที่รับผิดชอบหนังสือพิมพ์กระดานดำ ก็ยิ่งสีหน้าคร่ำเครียด เหยียนเมิ่งเจียฝ่ายศิลป์ซึ่งรับผิดชอบหนังสือพิมพ์กระดานดำในครั้งนี้ก็อยู่ในสภาพหมดอาลัยตายอยาก

ช่วยไม่ได้

ช่วงพักระหว่างวิชาเรียน

ทุกคนก็ช่วยกันวาดเพิ่มเติม

น่าเสียดายที่ผลลัพธ์จากการแก้ไขในครั้งนี้ไม่ได้ดีเอาซะเลย ความแตกต่างของฝั่งซ้ายและขวานั้นเด่นชัดเกินไป มิหนำซ้ำยังพลอยให้หนังสือพิมพ์กระดานดำแลดูอีรุงตุงนังไปสักหน่อย แถมสไตล์อันเรียบง่ายของฝั่งขวากับความประณีตละเอียดลออของฝั่งซ้ายนั้นช่างไม่เข้ากันแม้แต่น้อย

ช่วงเที่ยงวัน

เหยียนเมิ่งเจียฝ่ายศิลป์กับคนอื่นๆ ไม่ได้ออกจากห้องไป ยืนเหม่อมองกระดานดำ จนเฉาปินหัวหน้าห้องทนดูต่อไปไม่ไหว จึงพูดขึ้นอย่างอดไม่ได้ “ทุกคนไปกินข้าวที่โรงอาหารกันก่อนเถอะ กินข้าวเสร็จแล้วค่อยขึ้นมาแก้”

“จะทำยังไงได้อีกล่ะ”

เหยียนเมิ่งเจียยักไหล่ ก่อนจะเดินออกจากห้องเรียนไป

คนอื่นๆ ในทีมหนังสือพิมพ์กระดานดำก็ทยอยตามกันออกไป

เมื่อพวกเขาออกไปแล้ว เฉาปินกลับไม่ได้ตามไปด้วย เพียงแต่เงยหน้าเหม่อมองกระดานดำซึ่งพอจะถูๆ ไถๆ ไปประกวดได้

ในตอนนั้นเอง

ด้านหลังของเฉาปิน จู่ๆ ก็มีเสียงซึ่งค่อนข้างคุ้นเคยดังขึ้น “หรือว่า ให้ฉันลองมั้ย”

“อ๋า?”

เฉาปินจึงพบว่า ในห้องเรียนยังมีคนเหลืออยู่อีกคน “หลินเยวียน?”

หลินเยวียนไม่ได้เป็นเพียงเพื่อนร่วมชั้นเรียนกับเฉาปิน แต่ยังเคยเป็นรูมเมตกับเฉาปินด้วย เพียงแต่ในตอนนี้หลินเยวียนย้ายออกมาแล้ว

แต่ถึงอย่างนั้นความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ไม่เลวเลย

น้อยครั้งนักที่จะมีคนเข้ากับหลินเยวียนไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นเฉาปินยังเป็นหัวหน้าห้องซึ่งมีความรับผิดชอบ ได้รับความไว้วางใจจากเพื่อนร่วมชั้นเรียน และเอาใจใส่หลินเยวียนซึ่งร่างกายไม่แข็งแรงเป็นอย่างดี

“นายวาดรูปได้เหรอ”

แววตาของเฉาปินทอประกายความหวัง

จากนั้นเขาก็ทอดถอนใจออกมาราวกับนึกเรื่องบางอย่างขึ้นได้ “ต่อให้วาดได้ เวลาของพวกเราก็ไม่พอหรอก ช่วงบ่ายก็จะเริ่มตัดสินการประกวดหนังสือพิมพ์กระดานดำแล้ว”

“มีเวลาพอ”

หลินเยวียนพูดจบ ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาจงอวี๋

……………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด