Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน 39 การฝึกฝนตนของผู้ช่วยงาน

Now you are reading Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน Chapter 39 การฝึกฝนตนของผู้ช่วยงาน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ถึงแม้จะมีแค่เขาและหลินเยวียนที่กินข้าวกันอยู่สองคน ทว่าซุนเย่าหั่วก็สั่งอาหารมาเต็มโต๊ะ แม้แต่หลินเยวียนก็ทนดูต่อไม่ไหวแล้ว

“ไม่ต้องสั่งแล้วครับ กินไม่หมด”

ซุนเย่าหั่วยิ้มเอ่ย “รุ่นน้องไม่ต้องเกรงใจเลย ดื่มเหล้ามั้ย”

หลินเยวียนส่ายหน้า

ซุนเย่าหั่วพูด “งั้นพวกเราก็ไม่ดื่ม”

หลินเยวียนพยักหน้า “พนักงาน ขอเป็นข้าวสองที่ครับ”

ซุนเย่าหั่วโบกมือ เอ่ยว่า “ช่วงนี้ฉันลดน้ำหนัก ไม่กินข้าวน่ะ”

หลินเยวียนเหลือบมองด้วยสายตาชอบกล “ผมสั่งให้ตัวเอง”

ซุนเย่าหั่ว “…”

เมื่อข้าวมาเสิร์ฟขึ้นโต๊ะ หลินเยวียนก็ลงมือกินทันที เขาจะไม่ทำให้อาหารมื้อใหญ่นี้เสียของ

ซุนเย่าหั่วยิ้มเอ่ย “นักโภชนาการบอกว่าคนที่กินข้าวให้น้อยลงจะไม่แก่ง่าย รุ่นน้องนายกินผักให้เยอะๆ นะ”

หลินเยวียนมองซุนเย่าหั่วอย่างจริงจัง “ผมมีเพื่อนคนนึงไม่ได้กินข้าวสิบวัน ตอนหลังเขาอายุสิบแปดไปตลอดกาล”

ซุนเย่าหั่ว “…”

หลินเยวียนขมวดคิ้ว “มุกนี้ไม่ตลกเหรอครับ”

เขาคิดว่าตนเองมีอารมณ์ขันซะอีก

ซุนเย่าหั่วอึ้งงันไปหลายวินาที ทันใดนั้นก็หัวเราะลั่นออกมา “ตลกจริงๆ ตลกมากเลย ฉันขำแทบตายแน่ะ ฮ่าๆๆๆ!”

อนาถตัวเองจริงๆ

บริกรมองซุนเย่าหั่วด้วยสายตาประหลาด จากนั้นก็เข้าใจนัยยะของรอยยิ้มฝืนบนใบหน้าของซุนเย่าหั่ว

“แค่ก”

หัวเราะอยู่ครู่หนึ่ง

ซุนเย่าหั่วก็ก้มหน้ากินข้าวเงียบๆ

อันที่จริงเมื่อกี้เขาคิดว่าจะปลอบหลินเยวียนอย่างไรดี

เพราะเขาฟังไม่ออกเลยสักนิดว่าหลินเยวียนกำลังเล่ามุกตลก เห็นสีหน้าจริงจังของหลินเยวียน เขายังคิดไปว่าอีกฝ่ายมีเพื่อนที่ไม่ได้กินข้าวนานจนเป็นอะไรไปจริงๆ

……

“คนกินเก่งนั้นมีพรสวรรค์[1]”

หลินเยวียนใช้เวลาอยู่หลายวินาที ก่อนจะเอ่ยถามว่า “อันนี้ตลกมั้ยครับ”

ซุนเย่าหั่วเงยหน้าด้วยความสับสน จากนั้นก็ตบเข่าฉาดอย่างขบขัน “ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”

จริงสิ

หลินเยวียนฉุกคิดขึ้นได้ว่าบนโลกนี้ไม่มีสามก๊ก ย่อมไม่มีเรื่องราวคลาสสิกอย่างคนเก่งนั้นมีพรสวรรค์

งั้นตกลงว่าซุนเย่าหั่วขำอะไรกัน

หลินเยวียนเหลือบมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจ

ดูท่ารุ่นพี่จะเส้นตื้นอยู่นะ

ดังนั้นทั้งสองจึงเกิดความเห็นพ้องต้องกันโดยอัตโนมัติ ต่างคนต่างก้มหน้าก้มตากินข้าว

กินไปครึ่งหนึ่ง ซุนเย่าหั่วถึงเริ่มเอ่ยปากสร้างบรรยากาศครึกครื้นขึ้นมาอีกครั้ง “ฉันฟังสองเพลงที่นายเพิ่งปล่อยออกมาแล้ว ชอบมากเลยละ!”

แม้ว่าจะทำไปเพื่อสร้างบรรยากาศ แต่คำพูดนี้ซุนเย่าหั่วพูดมาจากใจจริง

ก่อนหน้านี้เพลงชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์ดังแล้ว ขณะที่บริษัทถกเถียงกันเรื่องของเซี่ยนอวี๋ ก็มีคนบอกว่าเซี่ยนอวี๋อาจโชคดีถึงเขียนเพลงนี้ออกมาได้

เมื่อได้ฟังคำพูดพวกนี้มากเข้า ซุนเย่าหั่วก็คิดมาตลอดว่าหลินเยวียนเป็นแบบนั้น

แต่เขากลับไม่คิดว่าหลังจากนั้นหลินเยวียนจะเขียนเพลงออกมาอีกสองเพลง หนำซ้ำยังฮ็อตฮิตสุดๆ รุ่นน้องคนนี้เป็นอัจฉริยะดีๆ นี่เอง ก่อนหน้านี้ตนได้พบกับอีกฝ่ายนับเป็นโชคครั้งใหญ่จริงๆ!

หลินเยวียนตอบอย่างมีมารยาท “ขอบคุณฮะ”

ซุนเย่าหั่วหัวเราะ เอ่ยขึ้นอย่างมีความหวัง “ไม่แน่ว่าต่อไป อาจมีแต่นักร้องเบอร์ต้นๆ ของบริษัทที่จะร่วมงานกับรุ่นน้องได้ ตอนนี้คนที่ร่วมงานกับรุ่นน้องก็ต้องระดับจ้าวอิ๋งเก้อเป็นอย่างน้อยแล้ว” หลินเยวียนส่ายหน้า “แพงเกินไป”

ซุนเย่าหั่วชะงัก “อะไรแพงเกินไปเหรอ”

หลินเยวียนตอบ “พี่ไม่รู้เหรอครับ ว่าส่วนแบ่งของนักร้องเบอร์ต้นๆ น่ะสูงมาก”

ซุนเย่าหั่วนึกดีใจขึ้นมา นึกแค่ว่าหลินเยวียนเล่นมุกอีกแล้ว “หรือว่ารุ่นน้องอยากร่วมงานกับเด็กใหม่ไปตลอด? งั้นเด็กใหม่ในบริษัทก็โชคดีมากเลยละ ถ้าอยากร่วมงานกับนาย ไม่ได้ส่วนแบ่งฉันก็ยินดีนะ ฉันเย่าหั่ว ไม่เอาส่วนแบ่ง!”

อยากดัง[2] ไม่เอาส่วนแบ่ง?

นี่เป็นการฝึกฝนตนของผู้ช่วยงาน

ดวงตาของหลินเยวียนเป็นประกายวาบ “จริงเหรอครับ”

ซุนเย่าหั่วเริ่มยอมรับในอารมณ์ขันของหลินเยวียนบ้างแล้ว “จริงแท้แน่นอน นายอย่ามาล้อฉันเล่นนะ ระดับอย่างนายไม่มีทางมองฉันแล้วล่ะมั้ง แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก แค่นายช่วยฉันให้ได้เดบิวต์ฉันก็ซาบซึ้งมากแล้ว ตอนนี้อานิสงส์ที่ได้จากนายก็ไม่เลวเลย ถึงจะไม่ได้ดังเป็นพลุแตก แต่ก็ได้ไปออกรายการบ้างเป็นครั้งคราว”

“รุ่นพี่”

หลินเยวียนมองประเมินซุนเย่าหั่วอีกครั้ง “ช่วงเสียงของพี่มีสามอ็อกเทฟใช่มั้ยครับ”

“หา?”

ซุนเย่าหั่วกล่าว “ช่วงที่ฉันร้องได้สบายหน่อยก็ระหว่างD2ถึงA4 ช่วงประสานเสียงจริงก็C2ถึงC5 ฟอลเซ็ตโทสูงสุดตอนนี้A5”

หลินเยวียนคล้ายกับใช้ความคิด “งั้นก็พอแล้วละครับ”

ซุนเย่าหั่วชะงักไป “อะไรพอแล้วเหรอ”

“ไม่มีอะไรครับ กินข้าวเถอะ” หลินเยวียนบอก

ยังไม่ถึงเวลา เขาต้องรอสักพักแล้วค่อยออกเพลงใหม่

แต่ว่ารุ่นพี่ซุนเย่าหั่วจะกลายเป็นผู้ช่วยของเพลงกุหลาบแดงได้ เนื้อเสียงและช่วงเสียงของเขาแตะถึงระดับที่หลินเยวียนต้องการ อารมณ์ในการร้องเพลงก็ใช้ได้เลย

แน่นอนว่า ปัจจัยในการตัดสินใจไม่ใช่เรื่องพวกนี้

……

หลายวันให้หลัง ณ คลังหนังสือซิลเวอร์บลู

หัวหน้าบรรณาธิการมองหยางเฟิง “ฉันอ่านปรินซ์ออฟเทนนิสที่นายส่งมาแล้ว พูดตามตรงนะ เขียนได้ไม่เลวเลย ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสรรค์ตัวละคร หรือสไตล์การเขียนก็มีชั้นเชิงมาก มีชั้นเชิงจนแทบไม่เหมือนหน้าใหม่ ปัญหาเดียวก็คือแนวนี้กลุ่มผู้อ่านแคบเกินไป!”

“แต่ก็ดีที่ความแปลกใหม่”

หยางเฟิงพยายามโต้แย้ง “จากพล็อตเรื่องหนึ่งแสนตัวอักษร บวกกับโครงเรื่องที่นักเขียนส่งมา ผมรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ดีเลยนะครับ บางทีนักอ่านอาจอยากเปลี่ยนรสชาติบ้าง ถึงยังไงตอนนี้ในตลาดก็ผูกขาดแนวเดียวมากเกินไป ยากที่นักอ่านจะไม่รู้สึกเหนื่อยหน่าย”

“เหล่าเสิ่น คุณคิดว่าไง”

หัวหน้าบรรณาธิการหันไปถามรองบรรณาธิการทางขวา

รองบรรณาธิการเงียบงันไปสักพัก “เป็นเพราะแนวนี้ขายออกยาก ผมเลยไม่ค่อยไว้ใจปรินซ์ออฟเทนนิสเหมือนคุณนั่นละ แต่ถ้ามองจากตัวเนื้อเรื่องแล้ว ผมว่าจะทิ้งไปก็น่าเสียดาย หรือว่าพวกเราจะลองประนีประนอมดู?”

“คุณหมายความว่า?”

“รอให้ตรวจต้นฉบับทั้งหมดเสร็จ พวกเราลองใส่มันไว้อันดับห้าของซูเปอร์โนวาอวอร์ดก็แล้วกัน อีกอย่างการตีพิมพ์ก็กันไว้สักหน่อย ตีพิมพ์ก่อนหนึ่งแสนเล่ม สี่อันดับแรกทำตามเกณฑ์เดิม วางขายก่อนห้าแสนเล่ม”

ซูเปอร์โนวาอวอร์ดจะคัดเลือกเพียงห้าเล่มเท่านั้น

โดยปกติแล้วทั้งห้าเรื่องจะลงทุนตีพิมพ์ครั้งแรกเริ่มที่ห้าแสนเล่ม แต่ปรินซ์ออฟเทนนิสคลับคล้ายคลับคลาว่าจะไม่มีอนาคตเท่าไรนัก ฉะนั้นรองบรรณาธิการจึงอยากจำกัดการตีพิมพ์สักหน่อย ลองตีพิมพ์มาหนึ่งแสนเล่มเพื่อหยั่งเชิงเสียงตอบรับของตลาดก่อน

“ฉันเห็นด้วย”

หัวหน้าบรรณาธิการใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า กล่าวด้วยรอยยิ้มขื่น “พวกเราใช้นิยายเรื่องนี้สำรวจตลาดก่อนแล้วกัน เพราะฉันเองก็อยากทำให้ตลาดนิยายมีแนวหลากหลายกว่านี้ ถึงยังไงเรื่องการผูกขาดประเภทนิยายนี้วงการสำนักพิมพ์ก็ต้องแบกรับร่วมกัน ทำให้ช่วงนี้สำนักพิมพ์ขนาดใหญ่เจ้าอื่นๆ ในฉินโจวเปิดตัวนิยายแนวใหม่ออกมา ถึงการลองตลาดของนิยายแนวใหม่พวกนี้ส่วนมากจะล้มเหลวก็เถอะ เชื่อว่าหยางเฟิงนายก็คงคิดแบบนี้ล่ะมั้ง”

หยางเฟิงพยักหน้า

เขายอมรับว่ายอดขายของปรินซ์ออฟเทนนิสอาจสู้สี่เรื่องแรกในซูเปอร์โนวาอวอร์ดไม่ได้ แต่ตลาดก็ต้องมีนิยายประเภทใหม่ๆ ปรากฏขึ้นบ้าง แต่การปรากฏขึ้นของนิยายประเภทใหม่ก็จำต้องมีสำนักพิมพ์เป็นผู้ชี้นำ มีเพียงสัญญาณในยามที่ตลาดเปิดกว้างว่า ‘สำนักพิมพ์ยินดีรับนิยายแนวใหม่’ นักเขียนหน้าใหม่ถึงจะไม่ทุ่มเทเขียนออกมาแต่แนวผจญภัยในต่างโลก

เมื่อมองจากมุมนี้แล้ว

ฉู่ขวงได้เงินปันผลไปเต็มๆ

เพราะหากพิจารณาถึงยอดขายเพียงอย่างเดียว ด้วยตลาดเฉพาะกลุ่มของปรินซ์ออฟเทนนิส คงไม่มีทางคว้าโอกาสตีพิมพ์มาได้ ดังนั้นที่ได้ตีพิมพ์หนึ่งแสนเล่มในช่วงแรกจึงเรียกได้ว่าเป็นผลลัพธ์ที่ไม่เลวสำหรับนิยายเรื่องนี้แล้ว

“งั้นก็ดี”

หัวหน้าบรรณาธิการพูดอย่างเฉียบขาดว่า “หยางเฟิง คุณไปติดต่อฉู่ขวงก่อน ให้ทางเขาส่งต้นฉบับมาอีกประมาณหนึ่งแสนตัวอักษร ปลายเดือนมกราประกาศห้าอันดับแรกของซูเปอร์โนวาอวอร์ด เดือนกุมภาตีพิมพ์นิยายอย่างเป็นทางการ”

“รับทราบครับ”

หยางเฟิงพยักหย้า

………………………………………..

[1] คนกินเก่งนั้นมีพรสวรรค์ (食食物者为俊杰) เป็นมุกที่เล่นคำกับคนเก่งนั้นมีพรสวรรค์ (识时务者为俊杰)

[2] อยากดัง หรือ 要火 ในภาษาจีนออกเสียงว่า ‘เย่าหั่ว’ ซึ่งไปพ้องเสียงกับคำว่าเย่าหั่ว(耀火) ในชื่อของซุนเย่าหั่ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน 39 การฝึกฝนตนของผู้ช่วยงาน

Now you are reading Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน Chapter 39 การฝึกฝนตนของผู้ช่วยงาน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ถึงแม้จะมีแค่เขาและหลินเยวียนที่กินข้าวกันอยู่สองคน ทว่าซุนเย่าหั่วก็สั่งอาหารมาเต็มโต๊ะ แม้แต่หลินเยวียนก็ทนดูต่อไม่ไหวแล้ว

“ไม่ต้องสั่งแล้วครับ กินไม่หมด”

ซุนเย่าหั่วยิ้มเอ่ย “รุ่นน้องไม่ต้องเกรงใจเลย ดื่มเหล้ามั้ย”

หลินเยวียนส่ายหน้า

ซุนเย่าหั่วพูด “งั้นพวกเราก็ไม่ดื่ม”

หลินเยวียนพยักหน้า “พนักงาน ขอเป็นข้าวสองที่ครับ”

ซุนเย่าหั่วโบกมือ เอ่ยว่า “ช่วงนี้ฉันลดน้ำหนัก ไม่กินข้าวน่ะ”

หลินเยวียนเหลือบมองด้วยสายตาชอบกล “ผมสั่งให้ตัวเอง”

ซุนเย่าหั่ว “…”

เมื่อข้าวมาเสิร์ฟขึ้นโต๊ะ หลินเยวียนก็ลงมือกินทันที เขาจะไม่ทำให้อาหารมื้อใหญ่นี้เสียของ

ซุนเย่าหั่วยิ้มเอ่ย “นักโภชนาการบอกว่าคนที่กินข้าวให้น้อยลงจะไม่แก่ง่าย รุ่นน้องนายกินผักให้เยอะๆ นะ”

หลินเยวียนมองซุนเย่าหั่วอย่างจริงจัง “ผมมีเพื่อนคนนึงไม่ได้กินข้าวสิบวัน ตอนหลังเขาอายุสิบแปดไปตลอดกาล”

ซุนเย่าหั่ว “…”

หลินเยวียนขมวดคิ้ว “มุกนี้ไม่ตลกเหรอครับ”

เขาคิดว่าตนเองมีอารมณ์ขันซะอีก

ซุนเย่าหั่วอึ้งงันไปหลายวินาที ทันใดนั้นก็หัวเราะลั่นออกมา “ตลกจริงๆ ตลกมากเลย ฉันขำแทบตายแน่ะ ฮ่าๆๆๆ!”

อนาถตัวเองจริงๆ

บริกรมองซุนเย่าหั่วด้วยสายตาประหลาด จากนั้นก็เข้าใจนัยยะของรอยยิ้มฝืนบนใบหน้าของซุนเย่าหั่ว

“แค่ก”

หัวเราะอยู่ครู่หนึ่ง

ซุนเย่าหั่วก็ก้มหน้ากินข้าวเงียบๆ

อันที่จริงเมื่อกี้เขาคิดว่าจะปลอบหลินเยวียนอย่างไรดี

เพราะเขาฟังไม่ออกเลยสักนิดว่าหลินเยวียนกำลังเล่ามุกตลก เห็นสีหน้าจริงจังของหลินเยวียน เขายังคิดไปว่าอีกฝ่ายมีเพื่อนที่ไม่ได้กินข้าวนานจนเป็นอะไรไปจริงๆ

……

“คนกินเก่งนั้นมีพรสวรรค์[1]”

หลินเยวียนใช้เวลาอยู่หลายวินาที ก่อนจะเอ่ยถามว่า “อันนี้ตลกมั้ยครับ”

ซุนเย่าหั่วเงยหน้าด้วยความสับสน จากนั้นก็ตบเข่าฉาดอย่างขบขัน “ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”

จริงสิ

หลินเยวียนฉุกคิดขึ้นได้ว่าบนโลกนี้ไม่มีสามก๊ก ย่อมไม่มีเรื่องราวคลาสสิกอย่างคนเก่งนั้นมีพรสวรรค์

งั้นตกลงว่าซุนเย่าหั่วขำอะไรกัน

หลินเยวียนเหลือบมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจ

ดูท่ารุ่นพี่จะเส้นตื้นอยู่นะ

ดังนั้นทั้งสองจึงเกิดความเห็นพ้องต้องกันโดยอัตโนมัติ ต่างคนต่างก้มหน้าก้มตากินข้าว

กินไปครึ่งหนึ่ง ซุนเย่าหั่วถึงเริ่มเอ่ยปากสร้างบรรยากาศครึกครื้นขึ้นมาอีกครั้ง “ฉันฟังสองเพลงที่นายเพิ่งปล่อยออกมาแล้ว ชอบมากเลยละ!”

แม้ว่าจะทำไปเพื่อสร้างบรรยากาศ แต่คำพูดนี้ซุนเย่าหั่วพูดมาจากใจจริง

ก่อนหน้านี้เพลงชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์ดังแล้ว ขณะที่บริษัทถกเถียงกันเรื่องของเซี่ยนอวี๋ ก็มีคนบอกว่าเซี่ยนอวี๋อาจโชคดีถึงเขียนเพลงนี้ออกมาได้

เมื่อได้ฟังคำพูดพวกนี้มากเข้า ซุนเย่าหั่วก็คิดมาตลอดว่าหลินเยวียนเป็นแบบนั้น

แต่เขากลับไม่คิดว่าหลังจากนั้นหลินเยวียนจะเขียนเพลงออกมาอีกสองเพลง หนำซ้ำยังฮ็อตฮิตสุดๆ รุ่นน้องคนนี้เป็นอัจฉริยะดีๆ นี่เอง ก่อนหน้านี้ตนได้พบกับอีกฝ่ายนับเป็นโชคครั้งใหญ่จริงๆ!

หลินเยวียนตอบอย่างมีมารยาท “ขอบคุณฮะ”

ซุนเย่าหั่วหัวเราะ เอ่ยขึ้นอย่างมีความหวัง “ไม่แน่ว่าต่อไป อาจมีแต่นักร้องเบอร์ต้นๆ ของบริษัทที่จะร่วมงานกับรุ่นน้องได้ ตอนนี้คนที่ร่วมงานกับรุ่นน้องก็ต้องระดับจ้าวอิ๋งเก้อเป็นอย่างน้อยแล้ว” หลินเยวียนส่ายหน้า “แพงเกินไป”

ซุนเย่าหั่วชะงัก “อะไรแพงเกินไปเหรอ”

หลินเยวียนตอบ “พี่ไม่รู้เหรอครับ ว่าส่วนแบ่งของนักร้องเบอร์ต้นๆ น่ะสูงมาก”

ซุนเย่าหั่วนึกดีใจขึ้นมา นึกแค่ว่าหลินเยวียนเล่นมุกอีกแล้ว “หรือว่ารุ่นน้องอยากร่วมงานกับเด็กใหม่ไปตลอด? งั้นเด็กใหม่ในบริษัทก็โชคดีมากเลยละ ถ้าอยากร่วมงานกับนาย ไม่ได้ส่วนแบ่งฉันก็ยินดีนะ ฉันเย่าหั่ว ไม่เอาส่วนแบ่ง!”

อยากดัง[2] ไม่เอาส่วนแบ่ง?

นี่เป็นการฝึกฝนตนของผู้ช่วยงาน

ดวงตาของหลินเยวียนเป็นประกายวาบ “จริงเหรอครับ”

ซุนเย่าหั่วเริ่มยอมรับในอารมณ์ขันของหลินเยวียนบ้างแล้ว “จริงแท้แน่นอน นายอย่ามาล้อฉันเล่นนะ ระดับอย่างนายไม่มีทางมองฉันแล้วล่ะมั้ง แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก แค่นายช่วยฉันให้ได้เดบิวต์ฉันก็ซาบซึ้งมากแล้ว ตอนนี้อานิสงส์ที่ได้จากนายก็ไม่เลวเลย ถึงจะไม่ได้ดังเป็นพลุแตก แต่ก็ได้ไปออกรายการบ้างเป็นครั้งคราว”

“รุ่นพี่”

หลินเยวียนมองประเมินซุนเย่าหั่วอีกครั้ง “ช่วงเสียงของพี่มีสามอ็อกเทฟใช่มั้ยครับ”

“หา?”

ซุนเย่าหั่วกล่าว “ช่วงที่ฉันร้องได้สบายหน่อยก็ระหว่างD2ถึงA4 ช่วงประสานเสียงจริงก็C2ถึงC5 ฟอลเซ็ตโทสูงสุดตอนนี้A5”

หลินเยวียนคล้ายกับใช้ความคิด “งั้นก็พอแล้วละครับ”

ซุนเย่าหั่วชะงักไป “อะไรพอแล้วเหรอ”

“ไม่มีอะไรครับ กินข้าวเถอะ” หลินเยวียนบอก

ยังไม่ถึงเวลา เขาต้องรอสักพักแล้วค่อยออกเพลงใหม่

แต่ว่ารุ่นพี่ซุนเย่าหั่วจะกลายเป็นผู้ช่วยของเพลงกุหลาบแดงได้ เนื้อเสียงและช่วงเสียงของเขาแตะถึงระดับที่หลินเยวียนต้องการ อารมณ์ในการร้องเพลงก็ใช้ได้เลย

แน่นอนว่า ปัจจัยในการตัดสินใจไม่ใช่เรื่องพวกนี้

……

หลายวันให้หลัง ณ คลังหนังสือซิลเวอร์บลู

หัวหน้าบรรณาธิการมองหยางเฟิง “ฉันอ่านปรินซ์ออฟเทนนิสที่นายส่งมาแล้ว พูดตามตรงนะ เขียนได้ไม่เลวเลย ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสรรค์ตัวละคร หรือสไตล์การเขียนก็มีชั้นเชิงมาก มีชั้นเชิงจนแทบไม่เหมือนหน้าใหม่ ปัญหาเดียวก็คือแนวนี้กลุ่มผู้อ่านแคบเกินไป!”

“แต่ก็ดีที่ความแปลกใหม่”

หยางเฟิงพยายามโต้แย้ง “จากพล็อตเรื่องหนึ่งแสนตัวอักษร บวกกับโครงเรื่องที่นักเขียนส่งมา ผมรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ดีเลยนะครับ บางทีนักอ่านอาจอยากเปลี่ยนรสชาติบ้าง ถึงยังไงตอนนี้ในตลาดก็ผูกขาดแนวเดียวมากเกินไป ยากที่นักอ่านจะไม่รู้สึกเหนื่อยหน่าย”

“เหล่าเสิ่น คุณคิดว่าไง”

หัวหน้าบรรณาธิการหันไปถามรองบรรณาธิการทางขวา

รองบรรณาธิการเงียบงันไปสักพัก “เป็นเพราะแนวนี้ขายออกยาก ผมเลยไม่ค่อยไว้ใจปรินซ์ออฟเทนนิสเหมือนคุณนั่นละ แต่ถ้ามองจากตัวเนื้อเรื่องแล้ว ผมว่าจะทิ้งไปก็น่าเสียดาย หรือว่าพวกเราจะลองประนีประนอมดู?”

“คุณหมายความว่า?”

“รอให้ตรวจต้นฉบับทั้งหมดเสร็จ พวกเราลองใส่มันไว้อันดับห้าของซูเปอร์โนวาอวอร์ดก็แล้วกัน อีกอย่างการตีพิมพ์ก็กันไว้สักหน่อย ตีพิมพ์ก่อนหนึ่งแสนเล่ม สี่อันดับแรกทำตามเกณฑ์เดิม วางขายก่อนห้าแสนเล่ม”

ซูเปอร์โนวาอวอร์ดจะคัดเลือกเพียงห้าเล่มเท่านั้น

โดยปกติแล้วทั้งห้าเรื่องจะลงทุนตีพิมพ์ครั้งแรกเริ่มที่ห้าแสนเล่ม แต่ปรินซ์ออฟเทนนิสคลับคล้ายคลับคลาว่าจะไม่มีอนาคตเท่าไรนัก ฉะนั้นรองบรรณาธิการจึงอยากจำกัดการตีพิมพ์สักหน่อย ลองตีพิมพ์มาหนึ่งแสนเล่มเพื่อหยั่งเชิงเสียงตอบรับของตลาดก่อน

“ฉันเห็นด้วย”

หัวหน้าบรรณาธิการใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า กล่าวด้วยรอยยิ้มขื่น “พวกเราใช้นิยายเรื่องนี้สำรวจตลาดก่อนแล้วกัน เพราะฉันเองก็อยากทำให้ตลาดนิยายมีแนวหลากหลายกว่านี้ ถึงยังไงเรื่องการผูกขาดประเภทนิยายนี้วงการสำนักพิมพ์ก็ต้องแบกรับร่วมกัน ทำให้ช่วงนี้สำนักพิมพ์ขนาดใหญ่เจ้าอื่นๆ ในฉินโจวเปิดตัวนิยายแนวใหม่ออกมา ถึงการลองตลาดของนิยายแนวใหม่พวกนี้ส่วนมากจะล้มเหลวก็เถอะ เชื่อว่าหยางเฟิงนายก็คงคิดแบบนี้ล่ะมั้ง”

หยางเฟิงพยักหน้า

เขายอมรับว่ายอดขายของปรินซ์ออฟเทนนิสอาจสู้สี่เรื่องแรกในซูเปอร์โนวาอวอร์ดไม่ได้ แต่ตลาดก็ต้องมีนิยายประเภทใหม่ๆ ปรากฏขึ้นบ้าง แต่การปรากฏขึ้นของนิยายประเภทใหม่ก็จำต้องมีสำนักพิมพ์เป็นผู้ชี้นำ มีเพียงสัญญาณในยามที่ตลาดเปิดกว้างว่า ‘สำนักพิมพ์ยินดีรับนิยายแนวใหม่’ นักเขียนหน้าใหม่ถึงจะไม่ทุ่มเทเขียนออกมาแต่แนวผจญภัยในต่างโลก

เมื่อมองจากมุมนี้แล้ว

ฉู่ขวงได้เงินปันผลไปเต็มๆ

เพราะหากพิจารณาถึงยอดขายเพียงอย่างเดียว ด้วยตลาดเฉพาะกลุ่มของปรินซ์ออฟเทนนิส คงไม่มีทางคว้าโอกาสตีพิมพ์มาได้ ดังนั้นที่ได้ตีพิมพ์หนึ่งแสนเล่มในช่วงแรกจึงเรียกได้ว่าเป็นผลลัพธ์ที่ไม่เลวสำหรับนิยายเรื่องนี้แล้ว

“งั้นก็ดี”

หัวหน้าบรรณาธิการพูดอย่างเฉียบขาดว่า “หยางเฟิง คุณไปติดต่อฉู่ขวงก่อน ให้ทางเขาส่งต้นฉบับมาอีกประมาณหนึ่งแสนตัวอักษร ปลายเดือนมกราประกาศห้าอันดับแรกของซูเปอร์โนวาอวอร์ด เดือนกุมภาตีพิมพ์นิยายอย่างเป็นทางการ”

“รับทราบครับ”

หยางเฟิงพยักหย้า

………………………………………..

[1] คนกินเก่งนั้นมีพรสวรรค์ (食食物者为俊杰) เป็นมุกที่เล่นคำกับคนเก่งนั้นมีพรสวรรค์ (识时务者为俊杰)

[2] อยากดัง หรือ 要火 ในภาษาจีนออกเสียงว่า ‘เย่าหั่ว’ ซึ่งไปพ้องเสียงกับคำว่าเย่าหั่ว(耀火) ในชื่อของซุนเย่าหั่ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+