Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน 381 ร้องไห้

Now you are reading Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน Chapter 381 ร้องไห้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ทำไมล่ะคะ”

หลัวเวยตกตะลึง

หลินเยวียนบอก “ถ้ามีเวลาผมจะบอก”

พูดจบ หลินเยวียนก็ออกจากออฟฟิศไป

หลายวันให้หลัง หลินเยวียนก็ไม่ได้แวะไปบริษัทมากนัก แต่กลับมาทำงานที่ออฟฟิศอย่างขยันขันแข็ง ด้านหนึ่งวาดการ์ตูน อีกด้านหนึ่งสอนวาดภาพ

หลังจากเรียนวาดภาพ หลัวเวยมักขบคิดถึงความหมายโดยนัยของสิ่งที่หลินเยวียนพูด ‘คุณคือศิษย์น้องหญิงเล็ก’

หรือว่ายังมีคนอื่นที่เรียนวาดภาพกับอาจารย์อีก?

หลัวเวยถึงกับเกิดความรู้สึกผิดหวังอย่างบอกไม่ถูกที่ ‘ฉันไม่ได้มาคนแรก’

เธอยังสอบถามเรื่องนี้จากจินมู่ ปรากฏว่าจินมู่หัวเราะลั่นหลังจากที่ได้ฟัง “ยินดีด้วย คุณเป็นลูกศิษย์คนที่สี่ของหัวหน้า”

“คะ…คนที่เท่าไหร่นะคะ”

หลัวเวยคิดว่าบางทีนอกจากตนแล้ว อาจารย์ยังมีลูกศิษย์อีกหนึ่งคน แต่เธอคาดไม่ถึงเลยแม้แต่น้อยว่าด้านหน้าของตนยังมีอีกสามคน!

เมื่อเห็นว่าจินมู่ยังคงหัวเราะไม่หยุด เธอจึงกระวนกระวายขึ้นมา “ฉันเป็นคนที่สี่จริงเหรอคะ?”

“จริงครับ”

จินมู่ท่าทางมีพิรุธ

หลัวเวยเอ่ยด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “อาจินคะ สามคนก่อนหน้านี้คือใคร บอกฉันหน่อยได้ไหม”

“สามคนก่อนหน้าคือ…”

จินมู่ชะงัก มองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง ก่อนจะกดเสียงเบา “คุณเก็บความลับได้ไหม?”

“ได้ค่ะ!”

หลัวเวยโพล่งขึ้นมาเสียงดัง

จินมู่ชี้ไปที่ตนเอง “ผมก็ทำได้เหมือนกัน”

หลัวเวย “???”

แบบนี้ก็ได้เหรอ?

หลัวเวยหัวเสีย “อาจิน บอกหน่อยก็ไม่ได้!”

พูดจบ หลัวเวยก็กลอกตา ก่อนจะเดินออกไปด้วยความโกรธ

และด้านนอกห้องทำงาน

ในฝ่ายโพสต์โพรดักชันของแผนกภาพยนตร์สตาร์ไลท์ หลังจากอี้เฉิงกงพรูลมหายใจยาวเหยียด ในที่สุดขั้นโพสต์โพรดักชันเรื่องปากง สุนัขยอดกตัญญูก็เสร็จสมบูรณ์!

“ฮู้”

อี้เฉิงกงหยัดกายลุกขึ้น กล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ฝ่ายโพสต์โพรดักชันที่ทำงานร่วมกัน แล้วจึงต่อสายโทรหาหลินเยวียน

การอนุมัติในรอบแรก จำเป็นต้องให้หลินเยวียนพยักหน้า

หลังจากหลินเยวียนรับสายได้ไม่นาน เขาก็นั่งรถมายังบริษัท

“แจ้งหัวหน้าโจว ให้มาดูหนังก่อน”

หลินเยวียนกำชับ บริษัทมีระบบฉายภายในซึ่งจะไม่เปิดเผยที่มาของภาพยนตร์

“ครับ”

ไม่นาน โจวรุ่ยหมิงก็รุดมา ผู้ที่มาพร้อมกับเขายังมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากแผนกภาพยนตร์อีกสองคน

“ตัวแทนหลิน”

พวกเขาเอ่ยทักทายหลินเยวียนอย่างเกรงอกเกรงใจ หลินเยวียนเองก็ยิ้มตอบตามมารยาทเฉกเช่นที่สังคมคาดหวัง

พวกเขาเข้าไปในห้องฉายภาพยนตร์ เพื่อดูเรื่องปากง สุนัขยอดกตัญญู

ภาพยนตร์มีความยาวทั้งหมดเก้าสิบนาที ถ้าหากนับรวมฉากเปิดและเอนด์เครดิต จะมีเวลาเพิ่มขึ้นอีกสามสี่นาที

หลินเยวียนตั้งใจสังเกต

นับตั้งแต่ช่วงที่ศาสตราจารย์เสียชีวิต ผู้คนในห้องฉายภาพยนตร์เริ่มร้องไห้

และเมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนก็ร้องไห้มากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าอารมณ์ของพวกเขาส่งต่อกันได้ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังคงอดกลั้น เพียงแค่ถูจมูกอย่างผิดธรรมชาติ

ที่น่ากลัวที่สุดเห็นจะเป็นเหล่าโจว

คนอื่นๆ ล้วนสะอื้นเบาๆ ยังไม่ลืมว่าตนกำลังชมภาพยนตร์อยู่

แต่เขาถึงขั้นปล่อยโฮ คร่ำครวญเสียงดังจนหลินเยวียนซึ่งอยู่ด้านข้างแทบสะดุ้ง

นอกจากนั้น เนื่องจากเสียงของเหล่าโจว ผู้บริหารระดับสูงจากแผนกภาพยนตร์ซึ่งก่อนหน้านี้เพียงแค่สะอื้นเสียงเบา ก็ร้องไห้ออกมาเสียงดังโดยไม่สนใจภาพลักษณ์ของพวกตน

นั่นส่งผลให้กำแพงป้องกันของหัวหน้าหลายคนซึ่งพยายามกลั้นน้ำตาอย่างเต็มที่พังทลายลง

ไม่มีใครรอดชีวิต

หลินเยวียนเชื่อว่าถ้าหากอยู่ในโรงภาพยนตร์ แกะดำอย่างเหล่าโจวคงถูกไล่ออกไปแล้ว

ส่วนตัวหลินเยวียนเอง…

เขาเป็นคนที่เยือกเย็นที่สุด

ไม่ใช่เพียงเพราะเขาดูต้นฉบับของภาพยนตร์เรื่องนี้มาหลายรอบ และเป็นเพราะเจ้านักแสดงตัวน้อย ซึ่งก็คือเจ้าสุนัขตัวนั้น เขาเป็นคนเลี้ยงเอง

เมื่อหลินเยวียนเห็นสุนัขตัวนี้ ภาพที่สุนัขตัวนี้ฉี่ใส่ประตูห้องนอนของเขาเมื่อเช้าวานก็ผุดขึ้นมาทันที

แม้ว่าจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้เมื่อเลี้ยงสุนัข แต่กลิ่นฉุนชวนเวียนหัวนั้นทำให้หลินเยวียนดื่มด่ำไม่ลง แถมทำให้ต่อมน้ำตาของหลินเยวียนอุดตันอีกต่างหาก

ต้องบอกก่อนว่าหลินเยวียนก็เป็นคนอารมณ์อ่อนไหว

หากไม่ใช่สุนัขที่มีทักษะการแสดงเป็นเลิศ หรือสุนัขที่หลินเยวียนเลี้ยงเอง น้ำตาของหลินเยวียนคงไม่ได้น้อยไปกว่าคนอื่นๆ หรอก

“อายุมากแล้ว”

อี้เฉิงกงขยี้ตาเบาๆ

เขาเป็นผู้รับผิดชอบและดูการตัดต่อภาพยนตร์เรื่องนี้ ทว่าเมื่อภาพยนตร์เวอร์ชันเต็มฉาย เขายังร้องไห้ออกมาอย่างอดไม่ได้ เพียงแต่น้ำตาส่วนหนึ่งของเขามาจากความตื่นเต้นหลังจากได้รับชมผลงานฉบับสมบูรณ์

ด้านนอกห้องฉายภาพยนตร์

เจ้าหน้าที่ซึ่งกำลังรอเจ้านายดูภาพยนตร์กำลังพักผ่อนกัน ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญดังมาจากด้านใน พวกเขาตกใจจนสะดุ้งโหยง แทบอดไม่ไหวอยากผลักประตูเข้าไปดูว่าเกิดวิกฤตการณ์อะไรขึ้นด้านใน

“เกิดอะไรขึ้น”

“ร้องไห้กันหนักขนาดนี้เลย”

“หรือว่าหนังเรื่องนี้มีอะไรเหนือความคาดหมาย”

“เอ้อ ฉันได้ยินพรรคพวกในฝ่ายโพสต์โพรดักชันบอกว่าหนังเรื่องนี้แอบเศร้า”

“ตอนดูเลยร้องไห้ว่างั้น?”

“คนทั่วไปจะร้องไห้หนักขนาดนี้เลยเหรอ?”

“……” “…”

ระหว่างที่เจ้าหน้าที่ถกเถียงกัน เสียงร้องไห้จากด้านในก็ดังขึ้นเรื่อยๆ

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน

กว่าประตูของห้องฉายภาพยนตร์จะเปิดออก

คนแรกที่ออกมาคือเหล่าโจว ทว่าสภาพของเหล่าโจวนั้นทำให้เจ้าหน้าที่ซึ่งอยู่ด้านหน้าประตูต้องตะลึงงัน

เหล่าโจวผมเผ้ายุ่งเหยิง ขอบตาแดงก่ำ แถมยังมีน้ำมูกไหลย้อย

“หัวหน้าโจว…”

“ไม่เป็นไร มีบุหรี่ไหม?”

“หา?”

“มีบุหรี่ไหม”

“มะ…มะ…มีครับ ไม่ใช่บุหรี่ยี่ห้อดีเท่าไหร่ หวังว่าหัวหน้าจะไม่รังเกียจ”

เจ้าหน้าที่คนแรกหยิบบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าและยื่นให้เหล่าโจว

“ขอผมหนึ่งมวน”

“ผมขอด้วย”

“ผมขอสูบสักมวน”

“ผมสูบไม่ได้ รอเป็นเพื่อนพวกคุณแล้วกัน”

อี้เฉิงกงและหัวหน้าระดับสูงจากแผนกภาพยนตร์ต่างทยอยกันออกมา ก่อนจะรีบแจกจ่ายบุหรี่หนึ่งซองซึ่งไม่ได้เปิดมานาน

แม้หัวหน้าระดับสูงเหล่านี้จะไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายเหมือนเหล่าโจว แต่พวกเขาก็ขอบตาแดงก่ำ ประหนึ่งเพิ่งประสบพบเจอกับการพรากจากอย่างไรอย่างนั้น

หลังจากที่คนเหล่านี้หยิบบุหรี่เดินไปยังห้องน้ำ เจ้าหน้าที่หน้าประตูต่างมองหน้ากัน

หนังอะไร ถึงดูแล้วเปลืองบุหรี่ขนาดนี้

ในขณะนั้น หลินเยวียนก็เดินทอดน่องออกมา

เจ้าหน้าที่ลอบชำเลืองมองหลินเยวียน พบว่าหลินเยวียนยังมีสภาพเป็นปกติดี ไม่ได้ร้องไห้จนตาแดงก่ำเฉกเช่นเหล่าชายวัยกลางคนหลายคนก่อนหน้านี้

“บุหรี่ไหมครับ?”

เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง

หลินเยวียนชะงัก เอ่ยพลางโบกมือ “ผมไม่สูบบุหรี่ ขอบคุณครับ”

พูดจบ หลินเยวียนก็เดินกลับห้องทำงานไป

เจ้าหน้าที่หลายคนมองตามหลินเยวียน ก่อนจะคาดเดาว่า

“หนังเรื่องนี้เกี่ยวกับวิกฤตวัยกลางคน[1]เหรอ?”

“น่าจะใช่นะ”

“ไม่งั้นทำไมตัวแทนหลินถึงไม่รู้สึกอะไรเลยล่ะ”

“อ้าว คนนี้คือตัวแทนหลิน?”

“ใช่แล้ว นายอยู่ที่บริษัทมาตั้งนาน ไม่รู้หรือ?”

“ฉันไม่มีโอกาสไปที่แผนกประพันธ์เพลงสักหน่อย”

“อย่าเอ็ดไป ถ้าคนที่ไม่รู้ คงคิดว่าพวกหัวหน้าโจวถูกตัวแทนหลินซ้อมอยู่ข้างในแน่ๆ ไม่งั้นจะหาอะไรมาอธิบายเรื่องที่ตัวแทนหลินไม่ร้องไห้ แต่คนอื่นร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหลกันแบบนี้ล่ะ”

“ฮ่าๆๆ นั่นน่ะสิ”

พวกเขาเดินเข้าไปยังห้องฉายภาพยนตร์เพื่อเก็บของด้านใน และพบว่าบนพื้นเต็มไปด้วยกระดาษทิชชู

ดูท่าแล้วหนังเรื่องนี้จะไม่ได้แค่เปลืองบุหรี่แฮะ แต่ยังเปลืองกระดาษทิชชูด้วย

เศร้าแน่นอน!

ขณะเดียวกันนั้นเอง

หัวหน้าระดับล่างของแผนกภาพยนตร์คนหนึ่งวิ่งกุมท้องเข้าไปในห้องน้ำ ทันทีที่เขาก้าวผ่านประตู ก็ปะทะเข้ากับควันจนไอโขลกอยู่นาน

“ไอ้เวรเอ๊ย ใครมันมาสูบบุหรี่ที่นี่วะเนี่ย!”

เมื่อเห็นกลุ่มควันลอยอยู่เหนือห้องน้ำ เขาสาปแช่งด้วยความโกรธ และรีบพุ่งเข้าไป

“พวกเอ็งออกมาเดี๋ยวนี้นะ…”

เสียงของหัวหน้าระดับล่างคนนี้หยุดลงทันใด ราวกับมีใครไปบีบคอเข้า

หัวหน้าระดับสูงของแผนกภาพยนตร์อย่างเหล่าโจวและคนอื่นๆ เงยหน้าขึ้นพร้อมกันและจ้องมองเขาอย่างเงียบงัน ดวงตาแดงก่ำ และไม่มีใครเอื้อนเอ่ยวาจา

ในตอนนี้

จู่ๆ ผู้บริหารระดับล่างของแผนกภาพยนตร์ก็หวนนึกถึงตอนที่เขาประสบกับหายนะในโรงเรียนประถม อ่านจดหมายสารภาพผิดต่อหน้าคนทั้งโรงเรียน และเป็นชั่วขณะที่ต้องเผชิญกับสายตาพิฆาตคู่แล้วคู่เล่าส่งมา

อึก

เขากลืนน้ำลาย

หัวหน้าระดับล่างตกใจกลัวเสียจนขี้หดตดหายก็ว่าได้

…………………………………………….

[1] วิกฤตวัยกลางคน (Midlife crisis) เป็นปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาซึ่งเกิดขึ้นกับสุขภาวะทางจิตของคนวัยประมาณ 40-60 ปี โดยมีผลมาจากปัจจัยต่างๆ ที่ต้องเผชิญในช่วงวัยนี้ เช่น ความเสื่อมถอยของร่างกาย ความเครียด ความสูญเสีย ความคาดหวังในชีวิต เป็นต้น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด