Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน 221 โพสต์โพรดักชันเสร็จสมบูรณ์

Now you are reading Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน Chapter 221 โพสต์โพรดักชันเสร็จสมบูรณ์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ไม่เพียงปู้ลั่วในนามของฉู่ขวงที่กำลังมีจำนวนแฟนคลับเพิ่มขึ้น ค่าความโด่งดังด้านวรรณกรรมของหลินเยวียนก็เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน ในตอนนี้แตะถึงสี่แสนแล้ว นับถึงตอนนี้ ค่าความโด่งดังด้านวรรณกรรมของหลินเยวียนเป็นด้านที่สูงที่สุด…

ผู้มาทีหลังย่อมได้เปรียบ!

ก่อนหน้านี้ค่าความโด่งดังด้านดนตรีของหลินเยวียนนั้นนำเดี่ยวมาโดยตลอด เพราะเซี่ยนอวี๋เป็นตัวตนแรกของหลินเยวียน ขณะเดียวกันเซี่ยนอวี๋เป็นหมากกระดานพื้นฐานที่หลินเยวียนให้ความสำคัญมากที่สุด แต่ความร้อนแรงของนิยายก็ดึงไม่หยุดฉุดไม่อยู่เช่นเดียวกัน

ลองมาคิดๆ ดู

ปล่อยเพลงออกไปเพลงหนึ่ง อย่างมากก็เป็นกระแสฮ็อตฮิตอยู่ระยะหนึ่ง ทว่านิยายแฟนตาซีขนาดยาวเรื่องหนึ่ง กลับปล่อยออกมาติดต่อกันได้ครึ่งปี หรือหนึ่งปี หรือนานกว่านั้น!

ความโด่งดังลักษณะนี้สามารถคงอยู่ได้ต่อไปแม้แต่หลังจากนิยายจบลงแล้ว และนี่ก็เป็นเหตุผลที่บัญชีปู้ลั่วของฉู่ขวงมีแฟนคลับติดตามมากที่สุด

ในขณะนั้นเอง

หลัวเวยซึ่งดูแลบัญชีผู้ใช้ของอิ่งจืออย่างเป็นทางการ ดันไปเห็นคอมเมนต์หลังบ้านเข้า

เธอพูดกับหลินเยวียนด้วยความตื่นเต้น “คุณเห็นหรือยังคะ ก่อนหน้านี้มีบริษัทเสนอมาว่าจะขอทำเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสเป็นอนิเมชัน”

“เห็นแล้วครับ”

หลินเยวียนเอ่ยตอบ “แต่ผมไม่รู้ว่าฝีมือของบริษัทนี้เป็นยังไง”

“บริษัทนี้?”

หลัวเวยชะงักไป ทันใดนั้นก็คลี่ยิ้มพลางเอ่ย “ดูท่าคุณจะไม่ได้ดูหลังบ้านละเอียด ไม่ได้มีแค่บริษัทเดียวค่ะ ตอนนี้มีสี่บริษัทแล้วที่สนใจซื้อลิขสิทธิ์ปรินซ์ออฟเทนนิสไปทำอนิเมชัน หนึ่งในนั้นมีบริษัทยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมอนิเมชันอย่างเสินอี้เทคโนโลยีด้วยนะคะ”

“เสินอี้เทคโนโลยี?”

หลินเยวียนไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้

หลัวเวยอธิบายว่า “เสินอี้นับเป็นบริษัทชั้นนำในการผลิตอนิเมชันของทั้งมณฑลฉินกับมณฑลฉี เรื่อง ‘เล่นแร่แปรธาตุ’ ที่ดังเป็นพลุแตกเมื่อต้นปีที่ผ่านมา บริษัทพวกเขาก็เป็นคนผลิต คุณอาจไม่ได้ติดตามอนิเมชัน ก็เลยไม่ค่อยเข้าใจ ยังไงฉันก็คิดว่าถ้าเป็นบริษัทนี้ละก็ จะลองพิจารณาดูก็ได้นะคะ หรือไม่คุณก็ลองติดต่อไปถามความเห็นของฉู่ขวงก่อน?”

หลัวเวยเรียนศิลปะ และนับว่าเป็นโอตาคุคนหนึ่ง

โอตาคุชื่นชอบอนิเมชัน เกม และสิ่งที่มีความเป็นสองมิติ ดังนั้นเธอจึงพอมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับบริษัทผลิตอนิเมชันมากในระดับหนึ่ง

“ร่วมงานได้เหรอครับ”

“ร่วมงานได้แน่นอนค่ะ”

หลัวเวยเห็นท่าทางกังวลของหลินเยวียน จึงยิ้มพลางกล่าวเสริมว่า “คุณลองดูอนิเมชันคลาสสิกของบริษัทนี้ก่อนก็ได้ โดยมากแล้วคุณภาพเกินมาตรฐาน หรือไม่ฉันจะแนะนำให้คุณลองดูสักสองสามเรื่อง นอกจากเรื่องใหม่ของปีนี้ ยังมีชุด ‘สาวน้อยพลังเวท’ ก่อนหน้านี้ที่เป็นผลงานสุดคลาสสิก…”

“เดี๋ยวผมจะไปดูครับ”

หลินเยวียนจำเป็นต้องตรวจสอบให้ดีเสียก่อน

หลัวเวยพยักหน้า “ลิขสิทธิ์นี้เป็นของใครเหรอคะ…ของคุณหรือฉู่ขวง?”

หลินเยวียนตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่ต่างกันครับ”

หลัวเวยตกใจ ทันใดนั้นก็ผุดรอยยิ้มพิลึกกึกกือ

อย่างไรซะหลินเยวียนก็คิดว่ารอยยิ้มของหลัวเวยมักจะแลดูแปลกชอบกล

เขาเอ่ยตัดบทจินตนาการของหลัวเวย “วาดรูปกันเถอะครับ”

“ได้ค่ะ”

หลัวเวยมีพลังเต็มเปี่ยมขึ้นมาทันที

หลินเยวียนไม่รู้หรอกว่า พลังของหลัวเวยนั้นมาจากเป้าหมายเล็กๆ ในใจของเธอ

เธออยากทำให้ชื่อเสียงของอิ่งจือสูงกว่าเซี่ยนอวี๋!

ส่วนเหตุผล…

ก็เพื่อให้ฉู่ขวงตระหนักถึงคุณค่าของอิ่งจือมากขึ้นยังไงล่ะ!

แม้ว่าเรื่องนี้จะยากเย็นแสนเข็ญ แต่เมื่อการดัดแปลงอนิเมชันมาช่วยอีกแรง บวกกับการ์ตูนเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสซึ่งทยอยอัปเดตอย่างต่อเนื่อง เรื่องนี้ก็ใช้ว่าจะไม่มีความหวังเลย

เพราะด้วยความร่วมมือกันของหลินเยวียนกับหลัวเวย การ์ตูนเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสก็คืบหน้าไปอย่างรวดเร็วมาก

แม้แต่แฟนคลับต่างก็ยอมรับเป็นเสียงเดียวกันว่า อิ่งจือนั้นจัดอยู่ในกลุ่มนักวาดการ์ตูนที่อัปเดตผลงานได้อย่างใจกว้างมากที่สุด

นั่นก็เพราะว่า หลินเยวียนและหลัวเวยกำลังขะมักเขม้นวาดการ์ตูนกันทั้งสองคน…

การสร้างสรรค์การ์ตูนนั้นแตกต่างจากนิยาย

เป็นเรื่องยากหากจะให้คนสองคนเขียนนิยายร่วมกัน แต่การ์ตูนนั้นทำได้

ตราบใดที่หลินเยวียนจัดเตรียมสตอรีบอร์ดเรียบร้อย งานในส่วนที่เหลือ หลินเยวียนกับหลัวเวยสามารถช่วยกันทำให้เสร็จได้

ถึงอย่างไรหลัวเวยกับหลินเยวียนก็มีสไตล์การวาดเป็นหนึ่งเดียวกัน นี่เป็นทักษะพื้นฐานของนักวาดโดจินระดับพระกาฬ

ด้วยรูปแบบความร่วมมือนี้ ในตอนนี้เรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสจึงลงเนื้อหาไปได้ไม่น้อยแล้ว

……

ช่วงเวลาหลังจากนั้น ยอดขายเรื่องคนขุดสุสานก็ยังพลอยให้ปลื้มอกปลื้มใจดังเคย

ผู้อ่านหลายคนซึ่งอ่านเล่มที่หนึ่งจบแล้ว ก็เริ่มตั้งหน้าตั้งตารอเล่มที่สอง!

นั่นก็เพราะตอนจบชวนลุ้นระทึกของเรื่องคนขุดสุสาน

ตอนจบของเล่มที่หนึ่ง หูปาอีติดโรคแปลกประหลาด และมีรอยแดงแปลกประหลาดปรากฏขึ้นบนร่างกาย

ว่ากันว่านี่เป็นคำสาปประเภทหนึ่งซึ่งทำให้คนถึงแก่ความตาย

และหากปรารถนาจะถอนคำสาปนี้ จะต้องให้พวกหูปาอีตามหาลูกแก้วมู่เฉินในตำนาน…

เห็นได้ชัดว่าการตามหาลูกแก้วมู่เฉินก็คือเรื่องราวในเล่มที่สอง

ยังคงเป็นการขุดสุสานดังเคย

นี่เป็นเส้นเรื่องหลักของคนขุดสุสาน

ผู้อ่านอ่านเล่มแรกก็เริ่มติดหนึบแล้ว แต่เล่มที่หนึ่งดันทิ้งท้ายไว้เพียงความสงสัย นักอ่านย่อมตื่นเต้นกับเล่มสองมาก อยากอ่านเรื่องราวหลังจากนี้ต่อไป

ครั้งนี้กลับไม่มีใครสาปส่งเจ้าแก่ฉู่ขวงจอมตัดตอนคนนี้

เพราะทุกคนเห็นได้อย่างชัดเจนว่า คนขุดสุสานเล่มที่หนึ่งนั้นเป็นเรื่องราวที่สมบูรณ์ในตัวเองแล้ว!

ส่วนของเมืองโบราณจิงเจวี๋ยไม่ได้ถูกตัดตอนครึ่งๆ กลางๆ

เนื้อหาอัดแน่นสามสี่แสนตัวอักษร นักอ่านก็ตื่นเต้นจนแทบทนไม่ไหวแล้ว

แน่นอนว่าหลินเยวียนเองก็เขียนคนขุดสุสานเล่มที่สองออกมาแล้วเช่นกัน

ในสถานการณ์ปกติ หลินเยวียนไม่มีทางมีแรงมากขนาดนี้หรอก

ต้องวาดการ์ตูน ต้องเขียนนิยายอีก…

โชคดีที่หลินเยวียนมียาชูกำลัง ซดยาชูกำลังเข้าไป หลินเยวียนก็รู้สึกว่าตนมีเรี่ยวมีแรงขึ้นมาไม่สิ้นสุด

ส่วนราคาของยาชูกำลังน่ะหรือ…

จะว่าแพงก็แพงอยู่หรอก แต่ตนก็ทำไปเพื่อหาเงินไม่ใช่หรือ

ต้องมีการลงทุนถึงจะมีผลตอบแทน

และหลินเยวียนวุ่นวายกับงานจนถึงกลางเดือนมิถุนายน ผู้กำกับอี้เฉิงกงก็ติดต่อมากะทันหัน พร้อมทั้งนำข่าวดีมาบอก

ขั้นโพสต์โพรดักชันของเรื่องถังปั๋วหู่ ใหญ่ไม่ต้องประกาศเสร็จเรียบร้อยแล้ว!

ทันทีที่หลินเยวียนรู้ข่าว ก็พลันตื่นตัวขึ้นมา ในวันรุ่งขึ้นจึงรีบไปพบอี้เฉิงกงที่บริษัท เพื่อดูผลงานที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว

ไม่ต้องให้บอก…

ถึงแม้จะเปลี่ยนนักแสดง แต่เรื่องถังปั๋วหู่ใหญ่ไม่ต้องประกาศก็ยังให้รสชาติอันคุ้นเคย

อย่างไรก็ดี ในทัศนะของหลินเยวียน ภาพยนตร์เรื่องนี้รักษาต้นฉบับไว้ได้เป็นอย่างดี มุกตลกก็เล่นออกมาได้อย่างลงตัว

แต่ระหว่างที่เขาดู กลับไม่ได้เกิดความรู้สึกตื่นเต้นมากนัก

เขาคุ้นเคยกับบทของภาพยนตร์เรื่องนี้มากเกินไป

ส่วนอี้เฉิงกง ในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์ เขาเองก็คุ้นเคยกับบทเช่นเดียวกัน แต่กลับดูอย่างสนุกสนาน แทบจะหัวเราะออกมาตลอดทั้งเรื่อง

เมื่อดูภาพยนตร์จบแล้ว

อี้เฉิงกงค่อยๆ สงบสติอารมณ์ ก่อนจะหันมามองหลินเยวียน “ส่งหนังเรื่องนี้ไปตรวจสอบแล้วครับ น่าจะไม่มีปัญหา หลังจากนี้จะต้องคิดเรื่องเข้าฉาย ตัวแทนหลินไปคุยกับทางแผนกภาพยนตร์หน่อยแล้วกันครับ”

“ได้ครับ”

หลินเยวียนพยักหน้า

เขาศึกษาตำราเกี่ยวกับภาพยนตร์มานับไม่ถ้วน ตอนนี้นับว่าเข้าใจคนในตลาดแล้ว ดังนั้นเขาจึงรู้แล้วว่าหากจะนำหนังเรื่องหนึ่งเข้าฉาย ก่อนอื่นจะต้องได้รับอนุญาตจากโรงภาพยนตร์ ลำพังหลินเยวียนเพียงคนเดียวคงทำเรื่องนี้ได้ยาก จำเป็นต้องให้สตาร์ไลท์ออกหน้า

เรื่องนี้ทำได้ไม่ยาก

ในเมื่อสตาร์ไลท์ยินดีสนับสนุนเงินทุนในการถ่ายทำเรื่องถังปั๋วหู่ ใหญ่ไม่ต้องประกาศ ไม่มีทางเพิกเฉยภาพยนตร์ที่ผลิตเสร็จแล้วหรอก ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องช่วยประสานกับโรงภาพยนตร์ก่อน ตัวหลินเยวียนเองไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดกับเครือโรงภาพยนตร์ใหญ่ของบลูสตาร์

โรงภาพยนตร์ก็ส่วนโรงภาพยนตร์

บริษัทก็ส่วนบริษัท

ภาพยนตร์ของสตาร์ไลท์จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ ย่อมต้องเจรจากับโรงภาพยนตร์ อาจมีการจัดให้คนในเครือโรงภาพยนตร์ได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้เสียก่อน เพื่อประกอบการพิจารณาเวลาฉาย แน่นอนว่าอิทธิพลของบริษัทสตาร์ไลท์เองก็จะถูกนำไปพิจารณาด้วย

ลองคิดดู…

ถ้าหากหลินเยวียนหัวเดียวกระเทียมลีบ ปราศจากบริษัทยักษ์ใหญ่หนุนหลัง ลำพังภาพยนตร์ซึ่งเงินลงทุนไม่ถึงสิบล้านหยวนไปเจรจาเรื่องการเข้าฉายกับโรงภาพยนตร์จะยากเย็นแค่ไหน

ยากเย็นราวกับปีนขึ้นสวรรค์เลยล่ะ!

อย่าว่าแต่คนเขาจะชอบหรือไม่ชอบเรื่องถังปั๋วหู่ใหญ่ไม่ต้องประกาศเลย ต่อให้ชื่นชอบภาพยนตร์เรื่องนี้จริง คนตัวเล็กๆ ไม่มีคุณสมบัติมากพอจะไปเจรจาต่อรองเรื่องใหญ่มูลค่ามหาศาลอย่างการซื้อขายลิขสิทธิ์ฉายภาพยนตร์กับบริษัทภาพยนตร์หรอก

เมื่อคิดถึงจุดนี้

หลินเยวียนจึงกดโทรศัพท์หาเหล่าโจว เรื่องโรงภาพยนตร์เห็นทีมีแต่ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากเหล่าโจว

หลินเยวียนจำได้ว่าเหล่าโจวชื่นชมบทละครเรื่องถังปั๋วหู่ ใหญ่ไม่ต้องประกาศไม่ขาดปากเลย!

…………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด