Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก 40

Now you are reading Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก Chapter 40 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เน้นย้ำกับตัวเองจบ มูคยอมก็ปราดตามองไปทางฮาจุน เพราะจองคยูมัวแต่ตื่นเต้นจนพูดไม่หยุด ฮาจุนจึงทำได้แค่ยิ้มและร่วมคุยไปด้วย

“อย่างที่คิดเลยจริงๆ คนมีความสามารถเนี่ย ต้องใช้เวลารอดูผลงานสินะ ใครจะคิดว่าอยู่ๆ นายจะหามาได้”

“นั่นสิ ฮีมังจะต้องชอบแน่ๆ”

“ฮีมังเขายังเด็กน่ะ ชอบทุกอย่างนั่นแหละ ของเล่นเด็กอายุประมาณนี้ก็มาจากความชอบพ่อแม่ทั้งนั้น คุณยอนซูเขาอยากซื้อตุ๊กตาตัวนั้นให้ฮีมังไง พอเจ้าหนูเห็นว่าคุณยอนซูชอบก็เลยชอบตามไปด้วย”

ฮาจุนพลอยชื่นใจยิ้มตาม เมื่อเห็นจองคยูแย้มยิ้มอย่างเปี่ยมสุขเพียงได้นึกถึงภรรยาที่รัก

“อิมจองคยู! มานี่เดี๋ยวสิ”

“อ่า ครับ!”

การเม้าท์มอยจบลงเท่านั้น จองคยูรีบวิ่งออกไปหลังผู้จัดการทีมเรียกหา ทิ้งมูคยอมกับฮาจุนให้อยู่เพียงลำพังสองคน มูคยอมกังวลขึ้นมาอย่างไร้เหตุผลราวกับเป็นความรู้สึกที่มักเกิดกับคนที่ไปพูดจาไม่น่าฟังใส่คนอื่นไว้โดยไม่ยั้งคิด จนถึงตอนนี้ต้องขอบคุณการพูดเรื่อยเปื่อยของจองคยูที่ช่วยให้สถานการณ์เป็นไปด้วยดี แต่บอกเลยว่าแม้กระทั่งตัวมูคยอมเองก็ยังไม่สามารถเดาได้ง่ายๆ ว่าฮาจุนจะมีท่าทีตอบกลับอย่างไร

ฮาจุนมองหน้ามูคยอม แล้วเอ่ยโดยที่รอยยิ้มระหว่างคุยกับจองคยูยังไม่จางหายไป

“ฉันเองก็ต้องขอบใจนายเหมือนกัน ขอบใจนะ คิมมูคยอม”

มูคยอมไม่ได้ตอบกลับในทันที และมองหน้าฮาจุนอยู่ครู่หนึ่ง

…แค่นี้ จบแล้วเหรอ เป็นการตอบกลับที่เรียบง่ายเสียจนเขากระดากอายที่มัวแต่คิดวุ่นวายอยู่คนเดียว

“นายดูดื่มไปเยอะอยู่นะ หายเมาค้างแล้วเหรอ”

“…อืม”

“ถ้าอย่างนั้นมาขยับตัวเบาๆ กันหน่อยดีกว่า นายมาสายด้วยนี่วันนี้ ต้องรีบแล้ว คนอื่นเขาวอร์มร่างกายกันหมดแล้วนะ”

ฮาจุนพูดเช่นนั้น ก่อนกระชับสมุดโน้ตในมือ แล้วเริ่มเดินนำไป บทสนทนาจบลงด้วยดี ดังนั้นถ้าเขาเงียบปากไว้ และปล่อยผ่านไปเรื่องก็จะสิ้นสุดลงแค่นี้ แต่ไม่รู้ทำไม เขาถึงรู้สึกไม่สบายใจเหมือนกับว่ามีอะไรติดค้างอยู่ สุดท้ายมูคยอมที่เดินตามอยู่ด้านหลังก็เป็นฝ่ายเปิดปากพูดขึ้นก่อน

“น้องนายว่ายังไงบ้าง”

แม้จะบอกไปว่าให้ของกับทั้งสองฝั่ง แต่การตอบรับแบบนี้มันไม่ดูเมินเฉยไปหน่อยเหรอ กับคนที่ไปหาตอนเช้ามืด แล้วเอาของขวัญให้ เทียบกับท่าที่ในเวลาปกติแล้วเหมือนฮาจุนแค่ทำมันพอเป็นพิธีเลยด้วยซ้ำ

ทันทีที่มูคยอมถาม อาการตกใจเล็กน้อยก็เผยให้เห็นบนใบหน้าของฮาจุนเพียงชั่วครู่ ก่อนรอยยิ้มจะหวนกลับมา

“ขอโทษนะ ฉันยังไม่ได้เอาให้น้องเลย แต่เดี๋ยวจะส่งให้อย่างดีแน่นอน”

“ยังไม่ให้อีกเหรอ”

“น้องฉันอยู่ม. 6 น่ะ เลยไม่ค่อยได้เจอหน้าเพราะเวลาไม่ตรงกัน ตั้งใจว่าจะให้วันนี้หลังเลิกงานนี่แหละ เขาคงจะชอบมากแน่ๆ เดี๋ยวบอกให้แน่นอนว่านายเป็นคนให้มา ขอบใจจริงๆ นะ”

เมื่อนึกถึงความมีชีวิตชีวาของเด็กสาว เธอคงจะแสดงอาการดีใจผ่านทุกส่วนของร่างกายเป็นแน่แท้

ถือเป็นเรื่องดีที่ของได้ไปหาคนที่ต้องการมันจริงๆ แต่เมื่อเทียบกับความกังวลที่มีก่อนหน้า มูคยอมก็แอบเศร้าเล็กน้อย กับการตอบรับที่เรียบง่ายเอาเสียมากๆ ของฮาจุน ทว่าเขาก็พยายามคิดอย่างมีเหตุผล

“ตอนนั้นกลับถึงบ้านปลอดภัยดีหรือเปล่า”

จู่ๆ ฮาจุนก็ถามขึ้นมาระหว่างที่เขากำลังตบตีกับตัวเองด้วยเรื่องไร้สาระ มูคยอมยักไหล่ขึ้นเล็กน้อย พูดตามตรงว่าหลังจากเหตุการณ์ที่ไปหยิกแก้มฮาจุน แถมยังปากไวไปชมว่าน่ารัก ความทรงจำต่อจากนั้นก็หายไปเป็นบางช่วงจนแทบจะนึกไม่ออก หรือแม้แต่เรื่องที่ดื่มมากเกินไป จนถึงตอนนี้เขายังคิดไม่ถึงเลยด้วยซ้ำว่าจะเกิดขึ้นได้

ตอนที่ลืมตาขึ้น เขาอยู่ในสภาพเปลือยเปล่าไม่มีเสื้อผ้าอยู่บนตัวสักชิ้น นอนแผ่หลาอยู่บนเตียงในห้องที่ฮาจุนใช้ คงเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ทำให้ขี้เกียจขึ้นไปชั้นบนและเลือกที่จะนอนตรงนั้นอย่างแน่นอน สิ่งที่หมอนั่นถามก็แค่เช็กว่าถึงบ้านปลอดภัยไหม ทั้งที่กังวลว่าไปทำตัวประหลาด ๆ ตอนตกอยู่ในอาการมึนเมาแล้วจะทำให้ฮาจุนคิดอะไรเหลวไหลขึ้นมา แต่ก็เป็นไปอย่างที่คิด วันนี้ฮาจุนก็ไม่ได้ดูติดใจอะไร หนาวก็ว่าหนาว ถ้าเขาไม่ได้คิดอะไรมากก็ควรจะโล่งใจสักที โอเค เท่านี้ก็วางใจได้แล้ว

“อืม พอลืมตาตื่นขึ้นมา ก็ถึงบ้านพอดี”

ทันทีที่ได้รับคำตอบสั้นๆ ฮาจุนก็พยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มที่ยังคงอยู่ ทำเอามูคยอมแอบขมวดคิ้วขึ้นมา

ที่ฮาจุนเป็นเช่นนี้อาจเพราะเจ้าตัวกำลังบอกขอบคุณอยู่ แล้วเราก็ยังอยู่ในช่วงฝึกซ้อมด้วย แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกไม่ชอบใจนัก ที่วันนี้ฮาจุนเอาแต่ยิ้มให้คนอื่นไปทั่วแบบนี้

ก็ดีอยู่หรอกที่ฮาจุนดูไม่ติดใจอะไร แต่เขารู้สึกว่าวันนี้มีอะไรแปลกไป ปกติแล้วเวลาอยู่ต่อหน้าเขา อีฮาจุนไม่ยิ้มแบบนี้ แค่หาตุ๊กตาไปให้น้องได้ มันน่าดีใจขนาดนั้นเลยหรือไง?

“อย่าเอาแต่พูดเลยน่า ถ้าอยากขอบคุณจริงๆ วันนี้นายคงต้องมาตอบแทนกันที่บ้านฉันแล้วไหม”

ในความทรงจำอันเลือนรางมีภาพหนึ่งยังคงหลงเหลืออยู่ในหัวของมูคยอม เป็นภาพของฮาจุนเมื่อวานที่กำลังยั่วยวนกันด้วยคำพูดที่ว่า ‘คิมมูยอม ถ้าแค่แป๊บเดียว ฉันทำได้นะ…’ ความรู้สึกอยากหยอกเย้าที่ผุดขึ้นมา ทำให้มูคยอมเลือกส่งคำถามนี้ออกไป หลังลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ฮาจุนก็ยิ้มพร้อมส่ายหัวออกมาเชิงว่ารู้สึกขอโทษ

“พอดีวันนี้แม่ฉันไปโรงพยาบาลมาน่ะ เลยต้องกลับเร็ว”

ระหว่างที่มูคยอมเปิดปากค้างไว้เพราะยังรู้สึกอยากจะพูดบางอย่างต่อก็มีใครบางคนเรียกฮาจุนขึ้นมา

“โค้ชครับ!”

“อื้ม เดี๋ยวไป”

ฮาจุนรีบวิ่งไปทางคนที่เรียกหา ส่วนมูคยอมเองก็เดินตามมายืนมองอยู่ด้านหลัง

“ต้นขาผมตึงมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ผมทั้งพันเทปแล้วก็นวดตามที่โค้ชสอนเลยนะ แต่ก็ยังไม่หายครับ”

“งั้นเหรอ ถ้าตรวจดูแล้วว่าไม่มีอะไรผิดปกติ ก็น่าเป็นปัญหาจากกล้ามเนื้อ… มานั่งตรงนี้สิ เราคงต้องลองเปลี่ยนแผนกันแล้ว”

จากนั้นเขาก็หันมาทางมูคยอม และพูดขึ้น

“คิมมูคยอม ดูเหมือนวันนี้นายจะต้องไปวอร์มร่างกายกับโค้ชคนอื่นนะ”

มันไม่ใช่เรื่องยากอะไรหรอก แต่มันเป็นการเริ่มฝึกที่เขาไม่ชอบใจเท่าไร

ทำไม ให้โค้ชคนอื่นมาดูเจ้านี่แทนไม่ได้หรือไง นับตั้งแต่ที่มูคยอมเข้าทีมมาก็นานแล้วกับการสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ฮาจุนพยายามหลบหน้ากันแบบเงียบๆ อาจเพราะเอาอารมณ์ส่วนตัวเข้าไปเกี่ยวข้องแต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงมีความรู้สึกเล็กๆ ว่าเคยเห็นภาพนี้มาก่อน ราวกับว่าบรรยากาศเมื่อตอนนั้นเวียนกลับมาอีกครั้ง

“โอเค”

ทว่ามูคยอมไม่เซ้าซี้อะไรอีกแล้วหมุนตัวไปอีกทาง ฮาจุนมองแผ่นหลังของคนที่เดินออกไปอยู่ครู่หนึ่งแล้วรีบหันหน้ากลับเหมือนกับว่าสิ่งที่ทำนั้นผิด และกลับมาสนใจกับขาของนักเตะที่ตนต้องดูแลตรงหน้า

ผ่านไปไม่นานผู้จัดการทีมก็เรียกนักเตะให้มารวมตัวกัน แต่ละคนแยกไปยังจุดของตัวเอง ฮาจุนไปประจำตำแหน่งของกลุ่มโค้ช ขณะที่มูคยอมไปรวมตัวกับนักเตะคนอื่น ก่อนที่การฝึกซ้อมทั้งหมดจะเริ่มต้นขึ้น ผู้จัดการทีมก็ได้ประกาศบางอย่าง

“รายละเอียดของการฝึกซ้อมนอกสถานที่ช่วงฤดูร้อนที่เราจะไปกันสัปดาห์หน้าออกมาแล้ว เข้าอินเทอร์เน็ตไปอ่านประกาศให้ละเอียด ฉันไม่มีเรื่องอะไรจะฝากเป็นพิเศษ ถ้าใครมีเรื่องที่ต้องบอกเป็นการส่วนตัวก็มาหาฉันได้”

“ครับ”

สัปดาห์ใหม่หลังวันหยุดเริ่มต้นขึ้น เหล่านักเตะเริ่มวิ่งบนลู่วิ่งในสนามกันอย่างแข็งขัน แม้การแข่งขันในช่วงครึ่งปีแรกจะจบลงไปแล้ว แต่การฝึกซ้อมก็ไม่ได้จบลงในทันที พวกเขายังต้องซ้อมเพื่อที่จะคงสภาพร่างกายไว้ และตอนนี้ยังเหลือเวลาอยู่อีกนิดหน่อยก่อนที่เหล่านักเตะจะได้รับวันหยุด

ในช่วงพัก กัปตันทีมอย่างจองคยูที่มักจะไม่พูดพร่ำอะไรหากมีนักเตะคนอื่นอยู่ด้วย ได้บ่นออกมาอย่างไม่ชอบใจ เมื่อพื้นที่ข้างตัวเหลือเพียงมูคยอมและฮาจุน

“เรื่องฝึกซ้อมนอกสถานที่ เราไปแค่ครั้งเดียวตอนหน้าหนาวไม่ได้เหรอ”

ฮาจุนตอบกลับ

“ช่วยไม่ได้นี่ สปอนเซอร์สำคัญจะตายไป”

“แล้วทำไมสปอนเซอร์เราถึงต้องมาเปิดรีสอร์ตช่วงหน้าร้อนด้วยเนี่ย”

“งั้นนายจะให้เขาเปิดรีสอร์ตริมทะเลตอนหน้าหนาวหรือไง”

เป็นมูคยอมที่ย้อนถาม แบคซันกรุ๊ป เจ้าของธุรกิจก่อสร้างและสปอนเซอร์รายใหญ่สุดของทีมซิตี้โซลได้เปิดตัวรีสอร์ตใหม่ทางฝั่งทะเลตะวันออก ทางนั้นส่งหนังสือขอความร่วมมือมา และบอกว่าจะจัดสถานที่สำหรับการฝึกซ้อมนอกสถานที่ช่วงฤดูร้อนให้กับนักเตะในทีม

แม้จะเขียนบอกว่าขอความร่วมมือและจะจัดสถานที่ให้ แต่กลับอ่านออกเสียงได้ว่าจงเสนอหน้ามาซะดีๆ เช่นเดียวกับในยุโรป ทีมในเคลีกจะไม่ทำกิจกรรมตั้งแต่เริ่มเข้าฤดูใบไม้ร่วงจนถึงฤดูใบไม้ผลิในปีถัดไป และเริ่มกลับมาทำกิจกรรมกันช่วงฤดูใบไม้ผลิก่อนไปจบลงในฤดูหนาว จึงมีกรณีที่พวกเขาข้ามช่วงฤดูร้อนช่วงกลางของฤดูกาล และฝึกซ้อมในฤดูหนาวเพียงอย่างเดียว เพราะแบบนี้มูคยอมเลยพอจะเข้าใจสิ่งที่จองคยูเพิ่งบ่นออกมา ในปีนี้ทีมซิตี้โซลก็ตั้งใจว่าจะตัดการฝึกนอกสถานที่ช่วงฤดูร้อนออก แต่เพราะหนังสือขอความร่วมมือที่อยู่ๆ ก็ลอยมาหานั่น พวกเขาจึงต้องรีบเตรียมตัวสำหรับการฝึกนอกสถานที่ ซึ่งเป็นตัวการพาลทำให้ความรู้สึกไม่พอใจของเหล่านักเตะก่อตัวใหญ่กว่าเดิม

ถึงจะบอกว่าเป็นช่วงพัก แต่ในปีนี้มีการวางตารางแมตช์เอไว้ช่วงหนึ่งตั้งแต่เดือนกันยายน ดังนั้นพวกเขาคงจะยุ่งไปกับการฝึกซ้อมแม้จะอยู่ในช่วงพักอย่างแน่นอน เอาจริงๆ มันแทบจะไม่เหมือนการได้หยุดพักหนึ่งสัปดาห์เลยด้วยซ้ำ จองคยูที่หวังจะใช้วันหยุดยาวกับครอบครัวนานกว่านี้ก็ได้แต่พยักหน้าราวกับยอมรับชะตากรรม

“นั่นสิ ได้ไปดูทะเลตอนหน้าร้อนก็ไม่แย่เท่าไรหรอกเนอะ”

“ฉันไม่ได้ไปทะเลมานานมากเลย”

ฮาจุนมองตรงไปยังพื้นหญ้าอันไกลโพ้นพร้อมพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ มูคยอมส่งสายตาไปยังใบหน้าด้านข้างของคนพูด ก่อนที่จองคยูจะเป็นฝ่ายตอบกลับไป

“น้องยังเรียนม.ปลายกันอยู่เลย นายคงจะไปไหนมาไหนลำบากสินะ”

“อื้อ ปีนี้ก็อยู่ม.6 กันทั้งคู่แล้วละ”

“นี่ แล้วทำไมนายถึงยังไม่ยอมไปเที่ยวไหนอีก รีบหาแฟนได้แล้ว นายควรไปเที่ยวภูเขา ทะเล หรือไปเมืองนอกกับแฟนบ้างนะ ส่วนน้องก็ส่งไปมหา’ลัยซะ เดี๋ยวพวกเขาก็เลิกสนใจนาย ไม่มานั่งเรียกหาพี่ชาย ไปทำนู่นทำนี่จนไม่มีเวลาว่างแล้ว”

ฮาจุนเพียงแค่ยิ้มกลับไป จองคยูหันไปทางมูคยอมราวกับว่ากำลังขอกำลังเสริม

“ไม่พูดแล้วเอาแต่ยิ้มแบบนี้ ฉันว่าเขามีแฟนแล้วแน่เลย นายไม่คิดงั้นเหรอ”

“สรุปว่าฟุตบอลนี่เป็นแค่งานอดิเรก ส่วนอาชีพหลักคือการยุ่งเรื่องคนอื่นใช่ไหม”

มูคยอมด่าจองคยูไปทีก่อนแค่นหัวเราะในใจ

แฟนเฟินอะไรกัน มูคยอมรู้ดีเลยล่ะว่าหมอนี่ไม่มีเวลาไปคบกับใครหรอก ช่วงนี้ถ้าว่างฮาจุนก็มานอนแผ่อยู่กับเขา และเหตุผลที่ฮาจุนปฏิเสธคำเชิญของมูคยอมก็มีแค่เรื่องของแม่ไม่ก็น้องเท่านั้น ดังนั้นหมอนี่ไม่มีเวลาที่จะไปมองหาอะไรแบบนั้นแน่นอน ระหว่างที่มูคยอมแอบยิ้มเยาะจองคยู ฮาจุนก็พูดขึ้นมา

“ใช่ ฉันเองก็อยากให้เป็นแบบนั้นนะ”

ฮาจุนที่มักจะยิ้มและเงียบอยู่เสมอเมื่อโดนจองคยูตำหนิ วันนี้กลับตอบตามน้ำออกมา และเป็นไปตามคาด จองคยูพุ่งเข้าใส่ฮาจุนอย่างรวดเร็ว

“ฮาจุน ฉันหาคนนัดบอดให้ไหม คนอยากคบกับนายเยอะแยะไป ยืนรอกันเป็นแถวเลยนะ”

“ไม่ดีกว่า ฉันไม่ชอบให้ใครมาจับคู่ให้น่ะ จะคบด้วยก็ต้องเป็นคนที่ฉันสนใจสิ”

“นายนี่พูดอะไรน่าหงุดหงิดจริงๆ ก็ต้องออกไปเจอกันก่อนไหม จะได้รู้ว่าน่าสนใจหรือเปล่า!”

มูคยอมขมวดคิ้วออกมาโดยไม่รู้ตัวเมื่อได้ฟังบทสนทนาของทั้งสองคน ที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกถึงบรรยากาศเช่นนี้มาก่อน ดูเหมือนว่าตอนนี้ฮาจุนคงจะอยากมีแฟนแล้วจริงๆ

ไม่ทันได้หาช่องว่างพูดอะไรต่อ การฝึกซ้อมก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง เมื่อฤดูร้อนมาเยือนอย่างเป็นทางการ การใช้ชีวิตแบบ ‘เสียเวลาเปล่า’ ของมูคยอมก็กำลังดำเนินผ่านครึ่งทางเป็นที่เรียบร้อย

เพียงพ้นออกจากกรุงโซลอากาศที่เคยร้อนอบอ้าวเหมือนอยู่ในหม้ออบและเต็มไปด้วยกลิ่นควันก็เปลี่ยนเป็นอากาศที่เย็นสบายและปลอดโปร่งกว่าเดิม เหล่านักเตะที่ก่อนหน้านี้แอบบ่นว่าขี้เกียจฝึกนอกสถานที่บ้าง หรืออยากพัก อยากไปเที่ยวบ้าง ทันทีที่ลงจากรถบัสและได้สูดอากาศสดชื่น พวกเขากลับแสดงออกถึงความตื่นเต้น และหยอกล้อกันพร้อมหัวเราะอย่างสนุกสนาน

มูคยอมลงจากรถบัสเป็นคนสุดท้ายก่อนหันมองรอบตัว นี่คือรีสอร์ตสร้างใหม่ที่ในตอนนี้เปิดให้เข้าพักเป็นที่เรียบร้อย สะอาดเอี่ยมอ่องและหรูหราสมกับเป็นรีสอร์ตเปิดใหม่ เมื่อยืนอยู่ใต้ผืนฟ้าครามจะพบอาคารขนาดใหญ่สะท้อนแสงระยิบระยับที่ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของไรฝุ่นหรือความทรุดโทรมให้ได้เห็น เพียงได้มองก็ทำให้รู้สึกสดชื่นตาม

“เลิกเล่น แล้วทำตัวโตๆ กันหน่อย”

ผู้จัดการทีมชั่วคราวแกล้งพูดหยอกเหล่านักเตะก่อนสั่งให้ทุกคนมารวมตัวกัน ในทีแรกมูคยอมไม่ยินดีเอามากๆ กับการต้องต้อนรับคนที่มารับตำแหน่งผู้จัดการทีมชั่วคราวในช่วงที่จุนซองไปฟื้นฟูร่างกาย แต่หลังจากได้รู้ว่าคนคนนี้คือรุ่นน้องที่จุนซองไว้วางใจ ทั้งยังถูกบีบบังคับให้ออกจากสโมสรท้องถิ่นแห่งหนึ่งที่เคยดูแลเนื่องจากออกมาต่อต้านการทุจริตในการบริหารในตอนนี้มูคยอมจึงเปลี่ยนมาแสดงท่าทีอ่อนน้อมด้วย

“ผู้จัดการทีมกำลังพูดอยู่นะ”

ทันทีที่มูคยอมกดเสียงต่ำพูดออกมา เหล่านักเตะที่ส่งเสียงดังโวยวายก็ลดเสียงเบาลง และกลับมาอยู่ในความสงบ เมื่อตัวจ้อจำนวนหนึ่งปิดปาดทั้งทีมก็เงียบลงถนัดตา

ในกรีนฟอร์ดมูคยอมเป็นนักเตะที่มีอายุอยู่ในช่วงกลางๆ แต่มันไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อเขามาอยู่ในทีมซิตี้โซลที่มีนักเตะอายุน้อยเป็นส่วนมาก หากไม่นับรวมนักเตะอาวุโสไม่กี่คนในทีม มูคยอมก็มักจะถูกเรียกว่าพี่จากทุกคน นี่จึงเป็นจุดที่เขาชอบมาก เมื่อมาอยู่ในทีมนี้ ผู้จัดการทีมกระแอมไอในลำคอหนึ่งครั้งแล้วเริ่มพูดต่อ

“ไหนๆ วันนี้ก็เป็นวันแรก เอาสัมภาระไปเก็บ แล้วมาวอร์มร่างกายแบบง่ายๆ ก็พอ เสร็จแล้วไปรวมกันที่สนามฝึก ฉันให้เวลาถึงสามโมง ตอนนี้พวกนายไปเอากุญแจห้องที่ล็อบบี้ได้เลย บอกเขาว่ามาจากทีมซิตี้โซลก่อนแล้วค่อยบอกชื่อตัวเอง”

“ครับ!”

เหล่านักเตะเดินกรูกันไปทางล็อบบี้ ส่วนมูคยอมกระชับกระเป๋าเข้ากับไหล่ และเดินตามไปอย่างไม่เร่งรีบ รูมเมทของเขาคือจองคยู ดังนั้นแม้เขาจะไม่รีบเดี๋ยวเจ้านั่นก็ไปหากุญแจห้องมาให้เอง

มูคยอมใช้สายตากวาดหาตัวฮาจุน จนเจอว่ายืนรวมอยู่กับกลุ่มโค้ช วันนี้ก็เช่นกัน หมอนั่นกำลังยิ้มและพูดคุยกับคนอื่นๆ เมื่อหนึ่งในโค้ชตรงนั้นยกมือขึ้นยีผมฮาจุนจนไม่เป็นทรงเหมือนกำลังหยอกล้ออะไรกันอยู่ มูคยอมจึงได้เห็นภาพของฮาจุนที่หัวเราะเสียงดังออกมา

ช่างเถอะ… ไม่เห็นจะน่าสนุกตรงไหน

จิ๊ มูคยอมเดาะลิ้นหนึ่งครั้งแล้วหมุนตัวเดินออกไปในทันที

ราวกับต้องการดึงดูดใจเหล่าทีมกีฬาทั้งในและนอกประเทศให้เลือกใช้รีสอร์ตในการฝึกซ้อมนอกสถานที่ นอกจากสนามกีฬาในร่มแบบทั่วไป รีสอร์ตยังสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับชนิดกีฬาที่หลากหลายขึ้นมา เช่น สนามกอล์ฟ สนามฟุตบอล สนามเบสบอล หรือแม้แต่ลานโบว์ลิ่ง เหล่านักเตะมุ่งหน้าไปยังสนามฟุตบอลเพื่อที่จะไปตรวจสอบสภาพหญ้าในสนามซ้อม รวมทั้งฝึกวิ่ง ฝึกหยุดและส่งบอลกัน

ทุกครั้งที่เหล่านักเตะเดินผ่านด้านในของรีสอร์ตผู้คนบริเวณนั้นก็จะมองตาม ซิตี้โซลเป็นทีมที่มีนักเตะชื่อดังจำนวนไม่น้อย ถึงขนาดที่ว่าแม้แต่คนที่ไม่ได้รู้เรื่องฟุตบอลดีก็ต้องรู้จักแค่ได้เห็นหน้าพวกเขา เหนือสิ่งอื่นใดทีมนี้ยังมีมูคยอมอยู่ด้วย ดังนั้นไม่ว่าจะไปที่ใดพวกเขาจึงมักจะกลายเป็นจุดสนใจเสมอ

“นักเตะคิมมูคยอม สวัสดีค่ะ”

“สวัสดีครับ”

ทันทีที่มูคยอมยิ้มและตอบกลับแฟนคลับหญิงคนหนึ่งที่รวบรวมความกล้าเอ่ยทักขึ้นมา เสียงเอะอะอย่างตื่นเต้นจากคนในทีมก็ดังมาจากด้านหลัง จองคยูวางแขนพาดบนไหล่มูคยอม ก่อนพูดล้อ

“อย่างน้อยนายก็เอาใจแฟนคลับเก่ง เห็นแบบนี้ฉันก็โล่งใจ”

“ช่วยอย่าพูดเหมือนฉันเก่งแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวได้ไหม”

ตอนนี้กลุ่มโค้ชถึงสนามฝึกเป็นที่เรียบร้อย และกำลังเตรียมตัวกันอยู่ อากาศในวันนี้แจ่มใสเป็นพิเศษราวกับรู้ว่านี่คือวันแรกของการฝึกซ้อมนอกสถานที่ ใต้ฟ้าสีคราม ฮาจุนยืนอยู่บนพื้นหญ้าเขียวชอุ่มในเสื้อโปโลแขนสั้นสีขาวที่ยิ่งขับให้ผิวดูขาวและสดใสกว่าที่เคย

หมอนั่นไม่โดนแดดเผาเลยสักนิด มูคยอมส่งสายตาไปทางนั้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรีบหันกลับมา ในตอนที่เหล่านักเตะยืนเรียงหน้ากระดาน เฉกเช่นเดียวกับผู้จัดการทีมและกลุ่มโค้ชที่ยืนเรียงกันเป็นแถว ผู้จัดการทีมก็ชะเง้อมองซ้ายขวาราวกับว่ากำลังหาใครอยู่

“ยังไม่มาอีกเหรอ”

“เห็นบอกว่าใกล้จะถึงแล้วครับ เขาส่งข้อความมาบอกว่ารถติดนิดหน่อย เราเริ่มก่อนเลยก็ได้ครับ”

เมื่อได้ยินคำพูดเหมือนรำพึงรำพันคนเดียวของผู้จัดการทีม ฮาจุนก็ตอบกลับไป จากสีหน้าที่แสดงออกว่าในใจเต็มไปด้วยคำถามของนักเตะคนอื่นๆ เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังสงสัยว่าคนในบทสนทนาคือใคร และในตอนนั้นเองประตูเข้าสนามฝึกก็ถูกเปิดขึ้น หลังบานประตูที่เปิดออกมีชายคนหนึ่งกำลังโค้งทักทาย และเดินเข้ามา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก 40

Now you are reading Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก Chapter 40 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เน้นย้ำกับตัวเองจบ มูคยอมก็ปราดตามองไปทางฮาจุน เพราะจองคยูมัวแต่ตื่นเต้นจนพูดไม่หยุด ฮาจุนจึงทำได้แค่ยิ้มและร่วมคุยไปด้วย

“อย่างที่คิดเลยจริงๆ คนมีความสามารถเนี่ย ต้องใช้เวลารอดูผลงานสินะ ใครจะคิดว่าอยู่ๆ นายจะหามาได้”

“นั่นสิ ฮีมังจะต้องชอบแน่ๆ”

“ฮีมังเขายังเด็กน่ะ ชอบทุกอย่างนั่นแหละ ของเล่นเด็กอายุประมาณนี้ก็มาจากความชอบพ่อแม่ทั้งนั้น คุณยอนซูเขาอยากซื้อตุ๊กตาตัวนั้นให้ฮีมังไง พอเจ้าหนูเห็นว่าคุณยอนซูชอบก็เลยชอบตามไปด้วย”

ฮาจุนพลอยชื่นใจยิ้มตาม เมื่อเห็นจองคยูแย้มยิ้มอย่างเปี่ยมสุขเพียงได้นึกถึงภรรยาที่รัก

“อิมจองคยู! มานี่เดี๋ยวสิ”

“อ่า ครับ!”

การเม้าท์มอยจบลงเท่านั้น จองคยูรีบวิ่งออกไปหลังผู้จัดการทีมเรียกหา ทิ้งมูคยอมกับฮาจุนให้อยู่เพียงลำพังสองคน มูคยอมกังวลขึ้นมาอย่างไร้เหตุผลราวกับเป็นความรู้สึกที่มักเกิดกับคนที่ไปพูดจาไม่น่าฟังใส่คนอื่นไว้โดยไม่ยั้งคิด จนถึงตอนนี้ต้องขอบคุณการพูดเรื่อยเปื่อยของจองคยูที่ช่วยให้สถานการณ์เป็นไปด้วยดี แต่บอกเลยว่าแม้กระทั่งตัวมูคยอมเองก็ยังไม่สามารถเดาได้ง่ายๆ ว่าฮาจุนจะมีท่าทีตอบกลับอย่างไร

ฮาจุนมองหน้ามูคยอม แล้วเอ่ยโดยที่รอยยิ้มระหว่างคุยกับจองคยูยังไม่จางหายไป

“ฉันเองก็ต้องขอบใจนายเหมือนกัน ขอบใจนะ คิมมูคยอม”

มูคยอมไม่ได้ตอบกลับในทันที และมองหน้าฮาจุนอยู่ครู่หนึ่ง

…แค่นี้ จบแล้วเหรอ เป็นการตอบกลับที่เรียบง่ายเสียจนเขากระดากอายที่มัวแต่คิดวุ่นวายอยู่คนเดียว

“นายดูดื่มไปเยอะอยู่นะ หายเมาค้างแล้วเหรอ”

“…อืม”

“ถ้าอย่างนั้นมาขยับตัวเบาๆ กันหน่อยดีกว่า นายมาสายด้วยนี่วันนี้ ต้องรีบแล้ว คนอื่นเขาวอร์มร่างกายกันหมดแล้วนะ”

ฮาจุนพูดเช่นนั้น ก่อนกระชับสมุดโน้ตในมือ แล้วเริ่มเดินนำไป บทสนทนาจบลงด้วยดี ดังนั้นถ้าเขาเงียบปากไว้ และปล่อยผ่านไปเรื่องก็จะสิ้นสุดลงแค่นี้ แต่ไม่รู้ทำไม เขาถึงรู้สึกไม่สบายใจเหมือนกับว่ามีอะไรติดค้างอยู่ สุดท้ายมูคยอมที่เดินตามอยู่ด้านหลังก็เป็นฝ่ายเปิดปากพูดขึ้นก่อน

“น้องนายว่ายังไงบ้าง”

แม้จะบอกไปว่าให้ของกับทั้งสองฝั่ง แต่การตอบรับแบบนี้มันไม่ดูเมินเฉยไปหน่อยเหรอ กับคนที่ไปหาตอนเช้ามืด แล้วเอาของขวัญให้ เทียบกับท่าที่ในเวลาปกติแล้วเหมือนฮาจุนแค่ทำมันพอเป็นพิธีเลยด้วยซ้ำ

ทันทีที่มูคยอมถาม อาการตกใจเล็กน้อยก็เผยให้เห็นบนใบหน้าของฮาจุนเพียงชั่วครู่ ก่อนรอยยิ้มจะหวนกลับมา

“ขอโทษนะ ฉันยังไม่ได้เอาให้น้องเลย แต่เดี๋ยวจะส่งให้อย่างดีแน่นอน”

“ยังไม่ให้อีกเหรอ”

“น้องฉันอยู่ม. 6 น่ะ เลยไม่ค่อยได้เจอหน้าเพราะเวลาไม่ตรงกัน ตั้งใจว่าจะให้วันนี้หลังเลิกงานนี่แหละ เขาคงจะชอบมากแน่ๆ เดี๋ยวบอกให้แน่นอนว่านายเป็นคนให้มา ขอบใจจริงๆ นะ”

เมื่อนึกถึงความมีชีวิตชีวาของเด็กสาว เธอคงจะแสดงอาการดีใจผ่านทุกส่วนของร่างกายเป็นแน่แท้

ถือเป็นเรื่องดีที่ของได้ไปหาคนที่ต้องการมันจริงๆ แต่เมื่อเทียบกับความกังวลที่มีก่อนหน้า มูคยอมก็แอบเศร้าเล็กน้อย กับการตอบรับที่เรียบง่ายเอาเสียมากๆ ของฮาจุน ทว่าเขาก็พยายามคิดอย่างมีเหตุผล

“ตอนนั้นกลับถึงบ้านปลอดภัยดีหรือเปล่า”

จู่ๆ ฮาจุนก็ถามขึ้นมาระหว่างที่เขากำลังตบตีกับตัวเองด้วยเรื่องไร้สาระ มูคยอมยักไหล่ขึ้นเล็กน้อย พูดตามตรงว่าหลังจากเหตุการณ์ที่ไปหยิกแก้มฮาจุน แถมยังปากไวไปชมว่าน่ารัก ความทรงจำต่อจากนั้นก็หายไปเป็นบางช่วงจนแทบจะนึกไม่ออก หรือแม้แต่เรื่องที่ดื่มมากเกินไป จนถึงตอนนี้เขายังคิดไม่ถึงเลยด้วยซ้ำว่าจะเกิดขึ้นได้

ตอนที่ลืมตาขึ้น เขาอยู่ในสภาพเปลือยเปล่าไม่มีเสื้อผ้าอยู่บนตัวสักชิ้น นอนแผ่หลาอยู่บนเตียงในห้องที่ฮาจุนใช้ คงเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ทำให้ขี้เกียจขึ้นไปชั้นบนและเลือกที่จะนอนตรงนั้นอย่างแน่นอน สิ่งที่หมอนั่นถามก็แค่เช็กว่าถึงบ้านปลอดภัยไหม ทั้งที่กังวลว่าไปทำตัวประหลาด ๆ ตอนตกอยู่ในอาการมึนเมาแล้วจะทำให้ฮาจุนคิดอะไรเหลวไหลขึ้นมา แต่ก็เป็นไปอย่างที่คิด วันนี้ฮาจุนก็ไม่ได้ดูติดใจอะไร หนาวก็ว่าหนาว ถ้าเขาไม่ได้คิดอะไรมากก็ควรจะโล่งใจสักที โอเค เท่านี้ก็วางใจได้แล้ว

“อืม พอลืมตาตื่นขึ้นมา ก็ถึงบ้านพอดี”

ทันทีที่ได้รับคำตอบสั้นๆ ฮาจุนก็พยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มที่ยังคงอยู่ ทำเอามูคยอมแอบขมวดคิ้วขึ้นมา

ที่ฮาจุนเป็นเช่นนี้อาจเพราะเจ้าตัวกำลังบอกขอบคุณอยู่ แล้วเราก็ยังอยู่ในช่วงฝึกซ้อมด้วย แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกไม่ชอบใจนัก ที่วันนี้ฮาจุนเอาแต่ยิ้มให้คนอื่นไปทั่วแบบนี้

ก็ดีอยู่หรอกที่ฮาจุนดูไม่ติดใจอะไร แต่เขารู้สึกว่าวันนี้มีอะไรแปลกไป ปกติแล้วเวลาอยู่ต่อหน้าเขา อีฮาจุนไม่ยิ้มแบบนี้ แค่หาตุ๊กตาไปให้น้องได้ มันน่าดีใจขนาดนั้นเลยหรือไง?

“อย่าเอาแต่พูดเลยน่า ถ้าอยากขอบคุณจริงๆ วันนี้นายคงต้องมาตอบแทนกันที่บ้านฉันแล้วไหม”

ในความทรงจำอันเลือนรางมีภาพหนึ่งยังคงหลงเหลืออยู่ในหัวของมูคยอม เป็นภาพของฮาจุนเมื่อวานที่กำลังยั่วยวนกันด้วยคำพูดที่ว่า ‘คิมมูยอม ถ้าแค่แป๊บเดียว ฉันทำได้นะ…’ ความรู้สึกอยากหยอกเย้าที่ผุดขึ้นมา ทำให้มูคยอมเลือกส่งคำถามนี้ออกไป หลังลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ฮาจุนก็ยิ้มพร้อมส่ายหัวออกมาเชิงว่ารู้สึกขอโทษ

“พอดีวันนี้แม่ฉันไปโรงพยาบาลมาน่ะ เลยต้องกลับเร็ว”

ระหว่างที่มูคยอมเปิดปากค้างไว้เพราะยังรู้สึกอยากจะพูดบางอย่างต่อก็มีใครบางคนเรียกฮาจุนขึ้นมา

“โค้ชครับ!”

“อื้ม เดี๋ยวไป”

ฮาจุนรีบวิ่งไปทางคนที่เรียกหา ส่วนมูคยอมเองก็เดินตามมายืนมองอยู่ด้านหลัง

“ต้นขาผมตึงมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ผมทั้งพันเทปแล้วก็นวดตามที่โค้ชสอนเลยนะ แต่ก็ยังไม่หายครับ”

“งั้นเหรอ ถ้าตรวจดูแล้วว่าไม่มีอะไรผิดปกติ ก็น่าเป็นปัญหาจากกล้ามเนื้อ… มานั่งตรงนี้สิ เราคงต้องลองเปลี่ยนแผนกันแล้ว”

จากนั้นเขาก็หันมาทางมูคยอม และพูดขึ้น

“คิมมูคยอม ดูเหมือนวันนี้นายจะต้องไปวอร์มร่างกายกับโค้ชคนอื่นนะ”

มันไม่ใช่เรื่องยากอะไรหรอก แต่มันเป็นการเริ่มฝึกที่เขาไม่ชอบใจเท่าไร

ทำไม ให้โค้ชคนอื่นมาดูเจ้านี่แทนไม่ได้หรือไง นับตั้งแต่ที่มูคยอมเข้าทีมมาก็นานแล้วกับการสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ฮาจุนพยายามหลบหน้ากันแบบเงียบๆ อาจเพราะเอาอารมณ์ส่วนตัวเข้าไปเกี่ยวข้องแต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงมีความรู้สึกเล็กๆ ว่าเคยเห็นภาพนี้มาก่อน ราวกับว่าบรรยากาศเมื่อตอนนั้นเวียนกลับมาอีกครั้ง

“โอเค”

ทว่ามูคยอมไม่เซ้าซี้อะไรอีกแล้วหมุนตัวไปอีกทาง ฮาจุนมองแผ่นหลังของคนที่เดินออกไปอยู่ครู่หนึ่งแล้วรีบหันหน้ากลับเหมือนกับว่าสิ่งที่ทำนั้นผิด และกลับมาสนใจกับขาของนักเตะที่ตนต้องดูแลตรงหน้า

ผ่านไปไม่นานผู้จัดการทีมก็เรียกนักเตะให้มารวมตัวกัน แต่ละคนแยกไปยังจุดของตัวเอง ฮาจุนไปประจำตำแหน่งของกลุ่มโค้ช ขณะที่มูคยอมไปรวมตัวกับนักเตะคนอื่น ก่อนที่การฝึกซ้อมทั้งหมดจะเริ่มต้นขึ้น ผู้จัดการทีมก็ได้ประกาศบางอย่าง

“รายละเอียดของการฝึกซ้อมนอกสถานที่ช่วงฤดูร้อนที่เราจะไปกันสัปดาห์หน้าออกมาแล้ว เข้าอินเทอร์เน็ตไปอ่านประกาศให้ละเอียด ฉันไม่มีเรื่องอะไรจะฝากเป็นพิเศษ ถ้าใครมีเรื่องที่ต้องบอกเป็นการส่วนตัวก็มาหาฉันได้”

“ครับ”

สัปดาห์ใหม่หลังวันหยุดเริ่มต้นขึ้น เหล่านักเตะเริ่มวิ่งบนลู่วิ่งในสนามกันอย่างแข็งขัน แม้การแข่งขันในช่วงครึ่งปีแรกจะจบลงไปแล้ว แต่การฝึกซ้อมก็ไม่ได้จบลงในทันที พวกเขายังต้องซ้อมเพื่อที่จะคงสภาพร่างกายไว้ และตอนนี้ยังเหลือเวลาอยู่อีกนิดหน่อยก่อนที่เหล่านักเตะจะได้รับวันหยุด

ในช่วงพัก กัปตันทีมอย่างจองคยูที่มักจะไม่พูดพร่ำอะไรหากมีนักเตะคนอื่นอยู่ด้วย ได้บ่นออกมาอย่างไม่ชอบใจ เมื่อพื้นที่ข้างตัวเหลือเพียงมูคยอมและฮาจุน

“เรื่องฝึกซ้อมนอกสถานที่ เราไปแค่ครั้งเดียวตอนหน้าหนาวไม่ได้เหรอ”

ฮาจุนตอบกลับ

“ช่วยไม่ได้นี่ สปอนเซอร์สำคัญจะตายไป”

“แล้วทำไมสปอนเซอร์เราถึงต้องมาเปิดรีสอร์ตช่วงหน้าร้อนด้วยเนี่ย”

“งั้นนายจะให้เขาเปิดรีสอร์ตริมทะเลตอนหน้าหนาวหรือไง”

เป็นมูคยอมที่ย้อนถาม แบคซันกรุ๊ป เจ้าของธุรกิจก่อสร้างและสปอนเซอร์รายใหญ่สุดของทีมซิตี้โซลได้เปิดตัวรีสอร์ตใหม่ทางฝั่งทะเลตะวันออก ทางนั้นส่งหนังสือขอความร่วมมือมา และบอกว่าจะจัดสถานที่สำหรับการฝึกซ้อมนอกสถานที่ช่วงฤดูร้อนให้กับนักเตะในทีม

แม้จะเขียนบอกว่าขอความร่วมมือและจะจัดสถานที่ให้ แต่กลับอ่านออกเสียงได้ว่าจงเสนอหน้ามาซะดีๆ เช่นเดียวกับในยุโรป ทีมในเคลีกจะไม่ทำกิจกรรมตั้งแต่เริ่มเข้าฤดูใบไม้ร่วงจนถึงฤดูใบไม้ผลิในปีถัดไป และเริ่มกลับมาทำกิจกรรมกันช่วงฤดูใบไม้ผลิก่อนไปจบลงในฤดูหนาว จึงมีกรณีที่พวกเขาข้ามช่วงฤดูร้อนช่วงกลางของฤดูกาล และฝึกซ้อมในฤดูหนาวเพียงอย่างเดียว เพราะแบบนี้มูคยอมเลยพอจะเข้าใจสิ่งที่จองคยูเพิ่งบ่นออกมา ในปีนี้ทีมซิตี้โซลก็ตั้งใจว่าจะตัดการฝึกนอกสถานที่ช่วงฤดูร้อนออก แต่เพราะหนังสือขอความร่วมมือที่อยู่ๆ ก็ลอยมาหานั่น พวกเขาจึงต้องรีบเตรียมตัวสำหรับการฝึกนอกสถานที่ ซึ่งเป็นตัวการพาลทำให้ความรู้สึกไม่พอใจของเหล่านักเตะก่อตัวใหญ่กว่าเดิม

ถึงจะบอกว่าเป็นช่วงพัก แต่ในปีนี้มีการวางตารางแมตช์เอไว้ช่วงหนึ่งตั้งแต่เดือนกันยายน ดังนั้นพวกเขาคงจะยุ่งไปกับการฝึกซ้อมแม้จะอยู่ในช่วงพักอย่างแน่นอน เอาจริงๆ มันแทบจะไม่เหมือนการได้หยุดพักหนึ่งสัปดาห์เลยด้วยซ้ำ จองคยูที่หวังจะใช้วันหยุดยาวกับครอบครัวนานกว่านี้ก็ได้แต่พยักหน้าราวกับยอมรับชะตากรรม

“นั่นสิ ได้ไปดูทะเลตอนหน้าร้อนก็ไม่แย่เท่าไรหรอกเนอะ”

“ฉันไม่ได้ไปทะเลมานานมากเลย”

ฮาจุนมองตรงไปยังพื้นหญ้าอันไกลโพ้นพร้อมพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ มูคยอมส่งสายตาไปยังใบหน้าด้านข้างของคนพูด ก่อนที่จองคยูจะเป็นฝ่ายตอบกลับไป

“น้องยังเรียนม.ปลายกันอยู่เลย นายคงจะไปไหนมาไหนลำบากสินะ”

“อื้อ ปีนี้ก็อยู่ม.6 กันทั้งคู่แล้วละ”

“นี่ แล้วทำไมนายถึงยังไม่ยอมไปเที่ยวไหนอีก รีบหาแฟนได้แล้ว นายควรไปเที่ยวภูเขา ทะเล หรือไปเมืองนอกกับแฟนบ้างนะ ส่วนน้องก็ส่งไปมหา’ลัยซะ เดี๋ยวพวกเขาก็เลิกสนใจนาย ไม่มานั่งเรียกหาพี่ชาย ไปทำนู่นทำนี่จนไม่มีเวลาว่างแล้ว”

ฮาจุนเพียงแค่ยิ้มกลับไป จองคยูหันไปทางมูคยอมราวกับว่ากำลังขอกำลังเสริม

“ไม่พูดแล้วเอาแต่ยิ้มแบบนี้ ฉันว่าเขามีแฟนแล้วแน่เลย นายไม่คิดงั้นเหรอ”

“สรุปว่าฟุตบอลนี่เป็นแค่งานอดิเรก ส่วนอาชีพหลักคือการยุ่งเรื่องคนอื่นใช่ไหม”

มูคยอมด่าจองคยูไปทีก่อนแค่นหัวเราะในใจ

แฟนเฟินอะไรกัน มูคยอมรู้ดีเลยล่ะว่าหมอนี่ไม่มีเวลาไปคบกับใครหรอก ช่วงนี้ถ้าว่างฮาจุนก็มานอนแผ่อยู่กับเขา และเหตุผลที่ฮาจุนปฏิเสธคำเชิญของมูคยอมก็มีแค่เรื่องของแม่ไม่ก็น้องเท่านั้น ดังนั้นหมอนี่ไม่มีเวลาที่จะไปมองหาอะไรแบบนั้นแน่นอน ระหว่างที่มูคยอมแอบยิ้มเยาะจองคยู ฮาจุนก็พูดขึ้นมา

“ใช่ ฉันเองก็อยากให้เป็นแบบนั้นนะ”

ฮาจุนที่มักจะยิ้มและเงียบอยู่เสมอเมื่อโดนจองคยูตำหนิ วันนี้กลับตอบตามน้ำออกมา และเป็นไปตามคาด จองคยูพุ่งเข้าใส่ฮาจุนอย่างรวดเร็ว

“ฮาจุน ฉันหาคนนัดบอดให้ไหม คนอยากคบกับนายเยอะแยะไป ยืนรอกันเป็นแถวเลยนะ”

“ไม่ดีกว่า ฉันไม่ชอบให้ใครมาจับคู่ให้น่ะ จะคบด้วยก็ต้องเป็นคนที่ฉันสนใจสิ”

“นายนี่พูดอะไรน่าหงุดหงิดจริงๆ ก็ต้องออกไปเจอกันก่อนไหม จะได้รู้ว่าน่าสนใจหรือเปล่า!”

มูคยอมขมวดคิ้วออกมาโดยไม่รู้ตัวเมื่อได้ฟังบทสนทนาของทั้งสองคน ที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกถึงบรรยากาศเช่นนี้มาก่อน ดูเหมือนว่าตอนนี้ฮาจุนคงจะอยากมีแฟนแล้วจริงๆ

ไม่ทันได้หาช่องว่างพูดอะไรต่อ การฝึกซ้อมก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง เมื่อฤดูร้อนมาเยือนอย่างเป็นทางการ การใช้ชีวิตแบบ ‘เสียเวลาเปล่า’ ของมูคยอมก็กำลังดำเนินผ่านครึ่งทางเป็นที่เรียบร้อย

เพียงพ้นออกจากกรุงโซลอากาศที่เคยร้อนอบอ้าวเหมือนอยู่ในหม้ออบและเต็มไปด้วยกลิ่นควันก็เปลี่ยนเป็นอากาศที่เย็นสบายและปลอดโปร่งกว่าเดิม เหล่านักเตะที่ก่อนหน้านี้แอบบ่นว่าขี้เกียจฝึกนอกสถานที่บ้าง หรืออยากพัก อยากไปเที่ยวบ้าง ทันทีที่ลงจากรถบัสและได้สูดอากาศสดชื่น พวกเขากลับแสดงออกถึงความตื่นเต้น และหยอกล้อกันพร้อมหัวเราะอย่างสนุกสนาน

มูคยอมลงจากรถบัสเป็นคนสุดท้ายก่อนหันมองรอบตัว นี่คือรีสอร์ตสร้างใหม่ที่ในตอนนี้เปิดให้เข้าพักเป็นที่เรียบร้อย สะอาดเอี่ยมอ่องและหรูหราสมกับเป็นรีสอร์ตเปิดใหม่ เมื่อยืนอยู่ใต้ผืนฟ้าครามจะพบอาคารขนาดใหญ่สะท้อนแสงระยิบระยับที่ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของไรฝุ่นหรือความทรุดโทรมให้ได้เห็น เพียงได้มองก็ทำให้รู้สึกสดชื่นตาม

“เลิกเล่น แล้วทำตัวโตๆ กันหน่อย”

ผู้จัดการทีมชั่วคราวแกล้งพูดหยอกเหล่านักเตะก่อนสั่งให้ทุกคนมารวมตัวกัน ในทีแรกมูคยอมไม่ยินดีเอามากๆ กับการต้องต้อนรับคนที่มารับตำแหน่งผู้จัดการทีมชั่วคราวในช่วงที่จุนซองไปฟื้นฟูร่างกาย แต่หลังจากได้รู้ว่าคนคนนี้คือรุ่นน้องที่จุนซองไว้วางใจ ทั้งยังถูกบีบบังคับให้ออกจากสโมสรท้องถิ่นแห่งหนึ่งที่เคยดูแลเนื่องจากออกมาต่อต้านการทุจริตในการบริหารในตอนนี้มูคยอมจึงเปลี่ยนมาแสดงท่าทีอ่อนน้อมด้วย

“ผู้จัดการทีมกำลังพูดอยู่นะ”

ทันทีที่มูคยอมกดเสียงต่ำพูดออกมา เหล่านักเตะที่ส่งเสียงดังโวยวายก็ลดเสียงเบาลง และกลับมาอยู่ในความสงบ เมื่อตัวจ้อจำนวนหนึ่งปิดปาดทั้งทีมก็เงียบลงถนัดตา

ในกรีนฟอร์ดมูคยอมเป็นนักเตะที่มีอายุอยู่ในช่วงกลางๆ แต่มันไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อเขามาอยู่ในทีมซิตี้โซลที่มีนักเตะอายุน้อยเป็นส่วนมาก หากไม่นับรวมนักเตะอาวุโสไม่กี่คนในทีม มูคยอมก็มักจะถูกเรียกว่าพี่จากทุกคน นี่จึงเป็นจุดที่เขาชอบมาก เมื่อมาอยู่ในทีมนี้ ผู้จัดการทีมกระแอมไอในลำคอหนึ่งครั้งแล้วเริ่มพูดต่อ

“ไหนๆ วันนี้ก็เป็นวันแรก เอาสัมภาระไปเก็บ แล้วมาวอร์มร่างกายแบบง่ายๆ ก็พอ เสร็จแล้วไปรวมกันที่สนามฝึก ฉันให้เวลาถึงสามโมง ตอนนี้พวกนายไปเอากุญแจห้องที่ล็อบบี้ได้เลย บอกเขาว่ามาจากทีมซิตี้โซลก่อนแล้วค่อยบอกชื่อตัวเอง”

“ครับ!”

เหล่านักเตะเดินกรูกันไปทางล็อบบี้ ส่วนมูคยอมกระชับกระเป๋าเข้ากับไหล่ และเดินตามไปอย่างไม่เร่งรีบ รูมเมทของเขาคือจองคยู ดังนั้นแม้เขาจะไม่รีบเดี๋ยวเจ้านั่นก็ไปหากุญแจห้องมาให้เอง

มูคยอมใช้สายตากวาดหาตัวฮาจุน จนเจอว่ายืนรวมอยู่กับกลุ่มโค้ช วันนี้ก็เช่นกัน หมอนั่นกำลังยิ้มและพูดคุยกับคนอื่นๆ เมื่อหนึ่งในโค้ชตรงนั้นยกมือขึ้นยีผมฮาจุนจนไม่เป็นทรงเหมือนกำลังหยอกล้ออะไรกันอยู่ มูคยอมจึงได้เห็นภาพของฮาจุนที่หัวเราะเสียงดังออกมา

ช่างเถอะ… ไม่เห็นจะน่าสนุกตรงไหน

จิ๊ มูคยอมเดาะลิ้นหนึ่งครั้งแล้วหมุนตัวเดินออกไปในทันที

ราวกับต้องการดึงดูดใจเหล่าทีมกีฬาทั้งในและนอกประเทศให้เลือกใช้รีสอร์ตในการฝึกซ้อมนอกสถานที่ นอกจากสนามกีฬาในร่มแบบทั่วไป รีสอร์ตยังสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับชนิดกีฬาที่หลากหลายขึ้นมา เช่น สนามกอล์ฟ สนามฟุตบอล สนามเบสบอล หรือแม้แต่ลานโบว์ลิ่ง เหล่านักเตะมุ่งหน้าไปยังสนามฟุตบอลเพื่อที่จะไปตรวจสอบสภาพหญ้าในสนามซ้อม รวมทั้งฝึกวิ่ง ฝึกหยุดและส่งบอลกัน

ทุกครั้งที่เหล่านักเตะเดินผ่านด้านในของรีสอร์ตผู้คนบริเวณนั้นก็จะมองตาม ซิตี้โซลเป็นทีมที่มีนักเตะชื่อดังจำนวนไม่น้อย ถึงขนาดที่ว่าแม้แต่คนที่ไม่ได้รู้เรื่องฟุตบอลดีก็ต้องรู้จักแค่ได้เห็นหน้าพวกเขา เหนือสิ่งอื่นใดทีมนี้ยังมีมูคยอมอยู่ด้วย ดังนั้นไม่ว่าจะไปที่ใดพวกเขาจึงมักจะกลายเป็นจุดสนใจเสมอ

“นักเตะคิมมูคยอม สวัสดีค่ะ”

“สวัสดีครับ”

ทันทีที่มูคยอมยิ้มและตอบกลับแฟนคลับหญิงคนหนึ่งที่รวบรวมความกล้าเอ่ยทักขึ้นมา เสียงเอะอะอย่างตื่นเต้นจากคนในทีมก็ดังมาจากด้านหลัง จองคยูวางแขนพาดบนไหล่มูคยอม ก่อนพูดล้อ

“อย่างน้อยนายก็เอาใจแฟนคลับเก่ง เห็นแบบนี้ฉันก็โล่งใจ”

“ช่วยอย่าพูดเหมือนฉันเก่งแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวได้ไหม”

ตอนนี้กลุ่มโค้ชถึงสนามฝึกเป็นที่เรียบร้อย และกำลังเตรียมตัวกันอยู่ อากาศในวันนี้แจ่มใสเป็นพิเศษราวกับรู้ว่านี่คือวันแรกของการฝึกซ้อมนอกสถานที่ ใต้ฟ้าสีคราม ฮาจุนยืนอยู่บนพื้นหญ้าเขียวชอุ่มในเสื้อโปโลแขนสั้นสีขาวที่ยิ่งขับให้ผิวดูขาวและสดใสกว่าที่เคย

หมอนั่นไม่โดนแดดเผาเลยสักนิด มูคยอมส่งสายตาไปทางนั้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรีบหันกลับมา ในตอนที่เหล่านักเตะยืนเรียงหน้ากระดาน เฉกเช่นเดียวกับผู้จัดการทีมและกลุ่มโค้ชที่ยืนเรียงกันเป็นแถว ผู้จัดการทีมก็ชะเง้อมองซ้ายขวาราวกับว่ากำลังหาใครอยู่

“ยังไม่มาอีกเหรอ”

“เห็นบอกว่าใกล้จะถึงแล้วครับ เขาส่งข้อความมาบอกว่ารถติดนิดหน่อย เราเริ่มก่อนเลยก็ได้ครับ”

เมื่อได้ยินคำพูดเหมือนรำพึงรำพันคนเดียวของผู้จัดการทีม ฮาจุนก็ตอบกลับไป จากสีหน้าที่แสดงออกว่าในใจเต็มไปด้วยคำถามของนักเตะคนอื่นๆ เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังสงสัยว่าคนในบทสนทนาคือใคร และในตอนนั้นเองประตูเข้าสนามฝึกก็ถูกเปิดขึ้น หลังบานประตูที่เปิดออกมีชายคนหนึ่งกำลังโค้งทักทาย และเดินเข้ามา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+