Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก 97

Now you are reading Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก Chapter 97 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

มูคยอมมองไปที่ฮาจุนซึ่งกำลังยืนอยู่ข้างๆ ผู้จัดการทีม แล้วเดินเข้าไปใกล้กับม้านั่ง

เดือนกันยายน

ตอนนี้ระยะสัญญาการโอนย้ายเหลือไม่ถึงสองเดือน เวลาเกือบ 2 ใน 3 ของฤดูกาลในประเทศเกาหลีใต้ที่เขาเคยตั้งใจว่าจะปล่อยให้เสียไปเปล่าๆ กลับมีมรสุมที่ไม่คาดคิดก่อตัวขึ้นและผ่านเลยไป

หลังจากยืนล้อมวงและตะโกนให้กำลังใจกันเสร็จ เหล่านักกีฬาก็วิ่งเข้าไปในสนามหญ้า ทีมซิตี้โซลที่มีคิมมูคยอมยืนเป็นแนวหน้านั้นมุ่งไปข้างหน้าโดยไม่ปล่อยให้อันดับ 1 หลุดมือตลอดฤดูกาล ตอนนี้คะแนนจึงขึ้นนำและห่างออกไปจนทีมอื่นยากที่จะไล่ตามทัน ถ้าหากไม่มีตัวแปรที่สำคัญพอ ชัยชนะลีกก็คงจะตกเป็นของพวกเขาอย่างแน่นอน

วันนี้ก็ดูเหมือนว่าทีมฝั่งตรงข้ามจะเดินเกมในแนวรับเป็นหลักโดยใช้กลยุทธ์การเข้าสกัดมูคยอมเช่นเคย ไม่ว่ามูคยอมจะวิ่งเร็วและไกลแค่ไหน แต่ถ้าฝ่ายตรงข้ามลงสนามด้วยกลยุทธ์ตามประกบตัว มันก็ยากที่เขาจะแสดงความสามารถของตัวเองออกมาได้จนกว่ากองหลังของอีกทีมจะชะล่าใจ ก่อนอื่นมูคยอมจึงสังเกตช่องโหว่และจับตามองลูกบอลที่เอาแต่กลิ้งไปมาท่ามกลางฝีเท้าของนักกีฬาคนอื่นๆ

ฟุตบอลนั้นไม่ได้ใช้อุปกรณ์ในการเล่น แต่เป็นมนุษย์ หากเน้นไปที่การป้องกันตั้งแต่ช่วงต้นเกมแค่อย่างเดียวแบบนี้ ในระหว่างการแข่งที่ขึ้นอยู่กับเวลาจำนวน 90 นาทียังไงก็ต้องมีจังหวะที่แนวตั้งรับเผลออย่างแน่นอน ก่อนจะถึงตอนนั้นเขาต้องเก็บแรงและรักษาสมาธิไว้เพื่อวิ่งฝ่าช่องโหว่เข้าไป

มูคยอมย้ายตำแหน่งไปมาจนเจอตำแหน่งที่เหมาะจะรับบอล แต่พอนักกีฬาทีมซิตี้โซลคนอื่นๆ พยายามจะส่งลูกให้ เขาก็จะถูกกองหลังสกัดไว้ทุกครั้ง การส่งบอลจึงหยุดชะงักไป แต่ทว่าไม่นานจังหวะที่มูคยอมหวังไว้ก็มาถึง นาทีที่ 25 ของเกมครึ่งแรก ทีมซิตี้โซลที่ได้โอกาสเตะลูกเตะมุมจึงได้ส่งบอลยาวออกไป มูคยอมที่วิ่งไล่ตามวิถีโค้งนั้นไป สลัดผู้เล่นกองหลังฝ่ายตรงข้ามพ้นและสามารถครองบอลได้สำเร็จ และการบุกโจมตีที่มูคยอมชื่นชอบมากที่สุดก็ได้กลายเป็นจริง เขาเลี้ยงบอลไปเรื่อยๆ มุ่งหน้าไปจนถึงเขตของฝ่ายตรงข้ามและทำประตูได้สำเร็จ มูคยอมออกตัววิ่งไปอย่างรวดเร็ว ส่วนกองหลังฝ่ายตรงข้ามก็ตามประกบเขาอย่างเอาเป็นเอาตายเช่นกัน คนที่วิ่งเข้าหามูคยอมคือผู้เล่นอายุน้อยที่ตอนนี้อาจจะอายุ 20 ปี หรืออาจจะไม่ใช่ก็ได้คนหนึ่ง พวกนักกีฬาอายุน้อยที่มีประสบการณ์การแข่งน้อยและเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นกับความมุ่งมั่นที่อยากจะทำเกมนั้นมักจะทำผิดพลาดบ่อยเป็นพิเศษ

เท้าของฝ่ายตรงข้ามกระทบโดนแถวๆ ข้างข้อเท้าของมูคยอม ซึ่งเป็นการเข้าประกบที่ผิดกติกาอย่างไม่ต้องสงสัย

มูคยอมที่วิ่งไล่ตามลูกบอลราวกับเสือดาวล้มลงและกลิ้งไปบนสนามหญ้าไกลพอๆ กับความเร็วที่เร่งออกมาในชั่วพริบตา

ไม่เกินจริงเลยที่ว่ามีนักกีฬาแย่งลูกกันและล้มลงในการแข่งกีฬาฟุตบอลทุกๆ 5 นาที แม้จะมีหลายกรณีที่ล้มลงเพื่อตั้งใจให้ฟาวล์ แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไป ตั้งแต่นาทีที่มูคยอมเริ่มกลิ้งออกไป ตรงที่นั่งผู้ชมที่ผลัดกันส่งเสียงเชียร์และเสียงโห่ไปมาก็เริ่มเสียงดังวุ่นวายขึ้นเรื่อยๆ

มูคยอมที่ล้มลงบนสนามหญ้ากุมข้อเท้าที่ถูกกองหลังฝ่ายตรงข้ามเตะเข้าอย่างแรงและยังไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ ผู้เล่นที่ทำฟาวล์ก็ทำเพียงยืนเหม่อลอยอยู่กับที่มองไปยังมูคยอมที่นอนอยู่เหมือนตกใจกับตัวเองเช่นกัน ส่วนฮาจุนเป็นคนแรกที่ลุกขึ้นจากม้านั่งของทีมซิตี้โซล

“ดูเหมือนจะบาดเจ็บนะครับ”

สตาฟคนหนึ่งพูดขึ้นมาเบาๆ ด้วยความกังวล ผู้จัดการทีมจึงขอให้กรรมการหยุดการแข่งขัน

นักกีฬาคนอื่นๆ จับกลุ่มกันทีละคนสองคนแล้วเข้าไปดูอาการของมูคยอม แม้ว่าระหว่างนั้นมูคยอมจะลุกขึ้นมานั่งแล้ว แต่ก็ยังยากที่จะลุกขึ้นมายืนได้ ทีมแพทย์รีบยกเปลหามเข้าไปในสนามแล้วให้มูคยอมขึ้นไปนอนบนนั้น

ฮาจุนเดินออกไปจนถึงจุดที่ใกล้ที่สุดที่สตาฟอนุญาตให้เข้าถึงได้และมองไปยังเปลซึ่งกำลังตรงมายังม้านั่ง ดวงตาของฮาจุนเบิกกว้าง มูคยอมที่นอนลงและถูกหามเข้ามามองไปยังอีกฝ่ายที่เดินมาก่อนคล้ายกับออกมารับเขาแล้วยิ้มมุมปากทั้งที่ยังขมวดคิ้วอยู่

“โค้ชอี ออกมารับฉันเหรอ”

พอฮาจุนได้ยินก็ทำหน้าบูดบึ้งขึ้นมา

ฮาจุนเดินตามอยู่ข้างๆ มูคยอมตลอดเวลาที่เปลถูกหามเข้ามา เมื่อทีมแพทย์มาถึงและกำลังตรวจดูข้อเท้าให้มูคยอม ฮาจุนก็นั่งยองอยู่ข้างๆ ไม่ขยับไปไหนราวกับตัวได้แข็งทื่อไปแล้ว ทำไมต้องบาดเจ็บที่ข้อเท้าข้างขวาด้วย มันเป็นส่วนที่ฮาจุนรู้สึกเป็นห่วงอยู่เสมอ มูคยอมนิ่งเงียบขณะที่ทำหน้าเหยเกบ้างเป็นบางครั้งในระหว่างที่มีการประคบเจลเย็นและพันผ้าพันแผลเป็นการฉุกเฉิน

แม่งเอ้ย… เขาถูกไอ้โง่นั่นเตะเข้าอย่างจังเลย

ระหว่างที่มูคยอมก่นด่าและบ่นอยู่ในใจ ฮาจุนก็ยังคงนั่งนิ่งอยู่ข้างๆ เหมือนกับคนที่วิญญาณหลุดลอยไปแล้ว และทันทีที่ทีมแพทย์ปฐมพยาบาลเสร็จแล้วเดินออกไป ฮาจุนถึงได้เอามือแตะบนข้อเท้าของมูคยอมอย่างระมัดระวังแล้วถามขึ้นว่า

“ทำยังไงดี เจ็บมากไหม”

ไม่มีทางที่จะไม่เจ็บเพราะเขาถูกเตะที่ข้อเท้าเสียเต็มแรง

แต่มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ข้อเท้าของเขาบาดเจ็บ สมัยที่ยังเล่นฟุตบอลลีกทูเขาก็เคยบาดเจ็บจากการที่ข้อเท้าข้างซ้ายพลิกและถูกให้งดเล่นเป็นเวลาเกือบ 6 อาทิตย์ ครั้งนั้นเจ็บกว่าวันนี้มาก แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะเขาไม่กังวล แต่เพราะตัวมูคยอมเองย่อมมีลางสังหรณ์ในฐานะที่เป็นนักกีฬามานานว่ามันไม่ใช่การบาดเจ็บที่รุนแรง

เนื่องจากการดำเนินการแข่งขันไม่อาจหยุดชะงัก จึงทำได้เพียงหามเปลออกมา หากเป็นสถานการณ์ปกติเขาก็คงจะเดินกะเผลกมาเองได้

“ทำยังไงดีล่ะ…”

“โค้ชอี ไม่…” มูคยอมกำลังจะตอบว่าไม่เป็นไร ยังไงวันนี้ก็คงกลับเข้าไปแข่งอีกไม่ได้แล้ว กรณีเลวร้ายที่สุดก็คืออาจจะไม่ได้ลงสนามไปประมาณ 2 อาทิตย์ ซึ่งมันก็ไม่ได้ร้ายแรงมากขนาดนั้น

“อา บาดเจ็บที่ข้อเท้าอาจมีอาการแทรกซ้อนตามมาทีหลังด้วย มันอันตรายจริงๆ นะ”

มูคยอมพูดได้ไม่จบก็เม้มปากแน่น

สุดท้ายก็มีน้ำตาหนึ่งหยดร่วงเผาะลงมาราวกับภาพวาดจากดวงตาของฮาจุนซึ่งทำหน้าเบะเหมือนเด็กน้อยที่กระทืบเท้าอย่างทำอะไรไม่ถูกพลางพูดพึมพำเบาๆ ด้วยน้ำเสียงอู้อี้

มูคยอมที่กำลังจะแกล้งทำหน้าเหมือนไม่เป็นอะไรอ้าปากค้างมองอีกฝ่ายตาไม่กระพริบและรีบทำหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวดและพึมพำออกมา

“เจ็บ”

ในหัวเขามีความหวังส่องประกาย

นี่แหละ

ไม่ว่าเขาจะทำเป็นเจ๋งหรือวางท่าแค่ไหนก็ไม่มีผลอะไรกับอีฮาจุน เขาเลือกวิธีผิดไปเต็มๆ การทำตัวน่าสงสารนี่แหละถึงเป็นกลยุทธิ์ที่ได้ผลกับโค้ชอีที่เป็นคนจิตใจดี!

ฟ้าเข้าข้างคิมมูคยอม มนุษย์เรานั้นคิดได้แค่เท่าที่รู้จริงๆ ตัวเขาไม่ใช่คนที่จะรู้สึกเห็นใจด้านที่อ่อนแอของคนอื่นเท่าไหร่นัก เลยไม่สามารถเข้าใจความใจดีของอีกฝ่ายได้ มูคยอมเบ้หน้าและคร่ำครวญออกมาอย่างเต็มที่

“อีฮาจุน ฉันเจ็บมากเลย เกิดมาไม่เคยเจ็บแบบนี้มาก่อนเลย”

“อ๋า ทำไงดี เรื่องใหญ่แล้ว”

อยู่ๆ ฮาจุนที่พึมพำออกมาอย่างเจ็บปวดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาราวกับคร่ำครวญก็เอากำปั้นชกลงบนสนามหญ้าดังพลั่ก มูคยอมเบิกตาโพลงกับภาพพื้นหญ้าที่ถูกปลูกไว้อย่างเป็นระเบียบทรุดลงไปและมีดินกระเด็นออกมา

“แม่งเอ้ย ไอ้เวรนั่นคิดว่าตัวเองเตะขาใครกัน…!”

มูคยอมถึงกับอ้าปากค้างเมื่อมองฮาจุนพูดกับตัวเองราวกับกำลังอดกลั้น เขามองฮาจุนด้วยสีหน้าเหลือเชื่อเหมือนเห็นสิ่งมีชีวิตในจินตนาการ และถามอีกฝ่ายที่เอาแต่มองมาที่ข้อเท้าเขาด้วยสีหน้าหม่นหมอง

“โค้ชอีด่าเป็นด้วยเหรอ”

“คิดว่าคนอย่างฉันจะด่าไม่เป็นหรือไง!”

ฮาจุนเถียงกลับเหมือนไม่อยากจะเชื่อ แต่สำหรับมูคยอมมันคือคำถามถูกต้องแล้ว เพราะแม้แต่ช่วงที่เขาพูดจางี่เง่าใส่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ยังไม่เคยด่าเขาเลยสักครั้ง

มูคยอมที่มองฮาจุนเช็ดหน้าอย่างเงียบๆ เหมือนน้ำตายังไม่ยอมหยุดไปไหลง่ายๆ ก็พลอยขอบตาเห่อร้อนไปด้วย แม้จะพยายามกลั้นเอาไว้ แต่คราวนี้ถึงจะนับหนึ่งถึงห้าไปก็ไร้ประโยชน์ สุดท้ายน้ำตาที่เคยคลออยู่ตรงขนตาล่างก็ไหลลงมา ฮาจุนรู้สึกหมดแรงยิ่งขึ้นไปอีก

“ฉันจะไปเรียกทีมแพทย์ นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาทำอะไรแบบนี้ คงต้องไปโรงพยาบาลแล้วแหละ”

“ไม่ โค้ชอี ไม่ต้องไปแล้วจับมือฉันที ฉันเจ็บมากจนทนไว้คนเดียวไม่ไหวแล้ว”

“หา อ๋อ ก็ได้”

ฮาจุนยื่นมือออกมาทันทีโดยไม่ลังเล มูคยอมจับมือขาวเอาไว้แน่นและดึงเข้ามา ฮาจุนนั่งลงข้างๆ มูคยอม ทำตัวไม่ถูกจึงลูบหลังมือของอีกฝ่าย

เมื่อมูคยอมถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางทำเสียงสะอื้นจนแทบจะร้องไห้ออกมา ฮาจุนก็ตกใจยิ่งกว่าเดิมและใช้สองมือจับมือมูคยอมไว้ทันที หลังจากตะโกนเรียกทีมแพทย์แล้ว เขาก็ทำอะไรไม่ถูกและพูดปลอบใจโดยถามว่าเจ็บมากหรือเปล่า และบอกให้อีกฝ่ายรออีกหน่อย

แต่ว่ามูคยอมไม่ได้จะร้องไห้เพราะรู้สึกเจ็บ ไม่ใช่ว่าไม่กังวลเพราะถึงยังไงก็เป็นการบาดเจ็บ แต่เหนือกว่านั้นมันเป็นเพราะเขาชอบช่วงเวลานี้ที่ฮาจุนกุมมือเขาไว้พร้อมกับร้องไห้เพื่อเขา

โล่งอกไปที… ที่อีกฝ่ายยังไม่ได้ตัดเยื่อใยกับเขาจริงๆ…

ช่างเป็นช่วงเวลาที่โชคดีที่สุดของชีวิตมูคยอมในปีนี้จนตัวเขากลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่จริงๆ

ระหว่างนั้นนักกีฬาที่เตะข้อเท้ามูคยอมก็ได้รับใบแดงและถูกให้ออกจากการแข่งขัน ทีมซิตี้โซลจึงกำลังแข่งไปอย่างราบรื่นด้วยจำนวนสมาชิกที่ได้เปรียบคือ 11 ต่อ 10 คน

สมาชิกทีมแพทย์กลับมาหามูคยอมที่กำลังจับมือฮาจุนไว้และส่งเสียงครวญครางเหมือนคนที่กำลังจะตายแล้วถามขึ้นด้วยความตกใจ

“รู้สึกเจ็บมากกว่าเดิมเหรอครับ ต้องย้ายไปโรงพยาบาลไหมครับ”

ไม่ครับ ผมว่าดูแข่งจบแล้วค่อยไปก็ได้ครับ

เขาอยากจะตอบไปแบบนั้น แต่ฮาจุนกลับตอบขึ้นมาก่อน

“ครับ รีบไปเลยดีกว่า แค่ปฐมพยาบาลแล้วนั่งรอคงจะไม่ไหวครับ”

ตอนนี้คงจะทักท้วงคำพูดของอีกฝ่ายไม่ทันแล้ว

* * *

เอ็นอักเสบระดับ 1 มีความเห็นว่าให้งดเข้าร่วมการแข่ง 2 สัปดาห์

ปฏิบัติตามแผนการฟื้นฟูร่างกายและการรักษา ควรโฟกัสกับการฟื้นฟูที่เหมาะสมและการกลับสู่สภาพปกติอย่างรวดเร็ว’

ฮาจุนถือสมุดโน้ตที่มีข้อความสั้นๆ สรุปทิ้งไว้ด้านล่างหลังจากแปะใบวินิจฉัยโรคลงบนกระดาษหน้าหนึ่งเรียบร้อย เขามองมูคยอมที่สวมเฝือกอ่อนที่ข้อเท้าข้างหนึ่งและกำลังออกกำลังกายร่างกายท่อนล่างอยู่ด้วยสีหน้าบึ้งตึง

ข่าวเรื่องที่คิมมูคยอมถูกทำให้ฟาวล์และได้รับบาดเจ็บในรอบลีกในประเทศถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก พร้อมภาพถ่ายซึ่งปรากฎใบหน้าของฮาจุนที่ขมวดคิ้วยุ่งรวมถึงน้ำตาคลอด้วยความเศร้าใจอย่างชัดเจนอยู่ตรงม้านั่งนั้น

กองหลังทีมฝ่ายตรงข้ามที่ทำให้ข้อเท้าของมูคยอมบาดเจ็บถึงขั้นต้องโพสต์ข้อความขอโทษอย่างเป็นทางการโดยระบุว่าตนเองไม่ได้ตั้งใจและรู้สึกเสียใจกับความผิดพลาดที่ทำลงไปจากใจจริงเพื่อรับมือกับคำวิจารณ์ที่ถาโถมเข้ามาจากแฟนคลับจากแต่ละประเทศ ภายหลังทางสโมสรต้องออกแถลงการณ์ว่ามูคยอมไม่ได้บาดเจ็บรุนแรงและจะฟื้นฟูร่างกายได้ในเร็ววัน ข้อถกเถียงถึงได้คลี่คลายไประดับหนึ่ง

แม้ว่าขาดมูคยอมไปแล้วอาจเกิดผลกระทบในช่วงครึ่งหลังของลีกก็จริง แต่ถึงอย่างไรหากไม่ทำเสียคะแนนก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่ ถึงแม้จะไม่มีมูคยอมแต่ทีมเวิร์คในเกมของทีมซิตี้โซลก็ดำเนินไปได้อย่างมั่นคง และเนื่องจากตลอด 2 สัปดาห์ข้างหน้าไม่มีการแข่งขันกับทีมตัวเต็ง ผู้จัดการทีมจึงบอกมูคยอมให้ใช้โอกาสนี้เป็นการเติมพลัง

“ทำครบแล้วโค้ชอี”

ฮาจุนที่เฝ้ามองเขาอยู่ก้มตัวลงและเอามือกดลงบนกล้ามเนื้อด้านหลังต้นขาเพื่อตรวจดูแล้วถามขึ้น

“กดตรงนี้แล้วรู้สึกยังไง”

“อืม รู้สึกตึงๆ นิดหน่อย”

“นวดแป๊บเดียวก็คลาย งั้นเล่นต้นขาหลังเพิ่มอีกสามเซ็ตเถอะ ไหวใช่ไหม”

“แน่นอน ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”

มูคยอมยักไหล่และพูดอย่างสบายๆ ดูสบายใจจนฮาจุนรู้สึกหมั่นไส้ เขาสงสัยท่าทางของมูคยอมที่บ่นว่าเจ็บเจียนตายในวันนั้นจริงๆ

“งั้นเปลี่ยนเครื่องเล่นกัน”

ฮาจุนกำลังจะหันไปชี้และชวนอีกฝ่ายไปที่เครื่องเล่นอื่น แต่มูคยอมกลับไม่คิดจะลุกขึ้นยืน

พอเขาแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นและกำลังจะเดินไปเองคนเดียว ก็คิดได้ว่าถ้าเจ้าตัวไม่ตามมาแล้วมันจะมีประโยชน์อะไรจึงหันกลับไปเงียบๆ มูคยอมยื่นมือมาเหมือนกับรออยู่ ฮาจุนเลยถามขึ้นห้วนๆ

“…อีกแล้วเหรอ”

“เขาบอกว่าถ้าอยากหายเร็วๆ ห้ามลงน้ำหนักที่ข้อเท้าไม่ใช่เหรอ ถ้าก้าวพลาดตอนลุกขึ้นยืนคนเดียวจะทำยังไงล่ะ จับมือฉันหน่อยสิ”

คนที่ยืนสควอทได้ด้วยขาข้างเดียวกลับพูดเสแสร้งได้ขนาดนี้เลย

อดทนไว้ ถึงยังไงคิมมูคยอมก็เป็นคนป่วย ฮาจุนท่องคำนั้นเอาไว้ในหัวราวกับบทสวดขณะที่จับมือและช่วยประคองให้อีกฝ่ายลุกขึ้น มูคยอมจงใจร้องโอดโอยพลางยันร่างกายอันใหญ่โตของตัวเองให้ลุกขึ้นและทรงตัวบนไม้ค้ำยันที่ตั้งทิ้งไว้ข้างๆ

เรื่องมันก็เป็นอย่างนั้น

แม้ว่าโลกนี้จะไม่มีการบาดเจ็บใดที่ไม่เป็นอันตราย แต่หากถามว่าข้อเท้าเคล็ด ระดับ 1 มันเจ็บจนต้องร้องเสียงดังขนาดนั้นเลยหรือเปล่า… คำตอบก็คือ ไม่

เมื่อปีที่แล้วฮาคยองน้องชายเขาก็เคยข้อเท้าพลิกระหว่างเล่นบาสซึ่งอาการหนักพอๆ กับมูคยอมเลยต้องให้เพื่อนประคองและเดินกะเผลกกลับมา ตอนนั้นน้องชายเขาก็หายดีภายในสองอาทิตย์

ฮาจุนเล่นใหญ่ต่อหน้าผู้คนไปอย่างเต็มที่ พอตั้งสติได้ก็เหลือเพียงความอับอาย ถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่เก่งพอแต่ก็เป็นถึงโค้ชหลักที่น่าเคารพ ในขณะที่ทุกคนต่างกำลังวิ่งวุ่น เขากลับขาดสติและไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเหมาะสม แล้วยังบีบน้ำตาอยู่ตรงนั้นเนี่ยนะ

แน่นอนว่าหน้าที่ของโค้ชฟิตเนสก็คือการประเมินสภาพร่างกายในเวลาปกติของนักกีฬาเพื่อพัฒนาสมรรถภาพร่างกายและลดอาการบาดเจ็บ ถึงจะมองภาพรวมยังไงหน้าที่ของโค้ชก็คือการดำเนินการฝึกเพื่อฟื้นฟูร่างกายของผู้ที่บาดเจ็บ ส่วนการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นแล้วก็เป็นขอบเขตหน้าที่ของทีมแพทย์

แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น การที่เขาตกใจจนร้องไห้ออกมาก็เป็นการกระทำที่ใกล้เคียงกับคำว่าขาดคุณสมบัติอย่างชัดเจน… ฮาจุนเลยรู้สึกอับอายมาก

ถ้าทำได้ไม่ดีพอที่หน้างาน อย่างน้อยเขาก็จะชดเชยให้ที่นี่ตอนนี้ เขาเลยคิดจะใช้โอกาสนี้ยกระดับการออกกำลังกายของมูคยอมให้เหมาะสม เพราะยังไงเขาก็คอยใส่ใจดูแลเรื่องข้อเท้าของมูคยอมมาตลอดอยู่แล้ว

พวกเขากำลังเดินไปเพื่อเปลี่ยนเครื่องออกกำลังกาย แต่อยู่ๆ มูคยอมก็หยุดยืนเสียดื้อๆ ฮาจุนเลยถามขึ้นมาโดยอัตโนมัติ

“ทำไมอีกล่ะ”

มูคยอมทำคิ้วตก

“เมื่อกี้เจ็บข้อเท้ามากเลย แบบแปลบๆ จริงๆ นะ”

“อืม เหรอ จะบอกว่าตอนนี้ดีขึ้นแล้วเหรอ”

“เปล่า ยังเจ็บอยู่นิดหน่อย แต่ถ้าโค้ชอีลูบตรงนี้ให้สักนิดก็คงจะหายเจ็บนะ โอ๊ย เบาๆ สิ อย่าลูบแรง”

‘ตรงนี้’ ของอีกฝ่ายก็คือรอบๆ แก้มที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้อเท้าเลย สายตาของฮาจุนเริ่มเยือกเย็นขึ้น

จอมมารยา…

คิมมูคยอมชอบแกล้งเจ็บต่อหน้าเขาจนติดเป็นนิสัยตั้งแต่ช่วงแรกที่เขามาอยู่ในทีมซิตี้โซล พอตอนนี้อีกฝ่ายกลายเป็นคนเจ็บจริงๆ เลยไม่สามารถนับคำว่าเจ็บเป็นมารยาได้ แต่เมื่อเริ่มฝึกซ้อมเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกายทีไรอีกฝ่ายก็จะมองหาช่องทาง และพอได้โอกาสก็บอกว่าเจ็บบ้าง ไม่มีแรงบ้าง ทำอย่างนี้เดี๋ยวก็เกิดเรื่องบ้าง เล่นละครนู่นนี่ไปเรื่อย แล้วยังขอให้ลูบหัว ขอให้ลูบขาหรือขอให้จับมือ เรียงร้องเหมือนเด็กๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

พอเขาทนไม่ไหวบอกให้อีกฝ่ายเลิกล้อเล่นและดีดหน้าผากจริงไปเบาๆ หนึ่งทีครั้งก่อน อีกฝ่ายก็แทบจะกลิ้งตัวตีลังกา ทั้งยังแกล้งทำเป็นเจ็บปวดทรมานต่อหน้าผู้คนจนเขาคิดว่าตัวเองจะตายเพราะรู้สึกอับอายเสียแล้ว

“สวัสดีค่ะ”

และในตอนที่เขากำลังครุ่นคิดอย่างหนักว่าจะลูบแก้มอีกฝ่ายหรือจะตบดี ก็มีเสียงดังก้องขึ้นทั่วสนามกีฬาอันกว้างใหญ่ คนอื่นๆ เดินเข้ามาทางประตูที่เปิดอยู่ มูคยอมและฮาจุนที่ยืนอยู่ตรงนั้นพอดีต่างก็หันไปทางเสียงที่ได้ยิน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก 97

Now you are reading Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก Chapter 97 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

มูคยอมมองไปที่ฮาจุนซึ่งกำลังยืนอยู่ข้างๆ ผู้จัดการทีม แล้วเดินเข้าไปใกล้กับม้านั่ง

เดือนกันยายน

ตอนนี้ระยะสัญญาการโอนย้ายเหลือไม่ถึงสองเดือน เวลาเกือบ 2 ใน 3 ของฤดูกาลในประเทศเกาหลีใต้ที่เขาเคยตั้งใจว่าจะปล่อยให้เสียไปเปล่าๆ กลับมีมรสุมที่ไม่คาดคิดก่อตัวขึ้นและผ่านเลยไป

หลังจากยืนล้อมวงและตะโกนให้กำลังใจกันเสร็จ เหล่านักกีฬาก็วิ่งเข้าไปในสนามหญ้า ทีมซิตี้โซลที่มีคิมมูคยอมยืนเป็นแนวหน้านั้นมุ่งไปข้างหน้าโดยไม่ปล่อยให้อันดับ 1 หลุดมือตลอดฤดูกาล ตอนนี้คะแนนจึงขึ้นนำและห่างออกไปจนทีมอื่นยากที่จะไล่ตามทัน ถ้าหากไม่มีตัวแปรที่สำคัญพอ ชัยชนะลีกก็คงจะตกเป็นของพวกเขาอย่างแน่นอน

วันนี้ก็ดูเหมือนว่าทีมฝั่งตรงข้ามจะเดินเกมในแนวรับเป็นหลักโดยใช้กลยุทธ์การเข้าสกัดมูคยอมเช่นเคย ไม่ว่ามูคยอมจะวิ่งเร็วและไกลแค่ไหน แต่ถ้าฝ่ายตรงข้ามลงสนามด้วยกลยุทธ์ตามประกบตัว มันก็ยากที่เขาจะแสดงความสามารถของตัวเองออกมาได้จนกว่ากองหลังของอีกทีมจะชะล่าใจ ก่อนอื่นมูคยอมจึงสังเกตช่องโหว่และจับตามองลูกบอลที่เอาแต่กลิ้งไปมาท่ามกลางฝีเท้าของนักกีฬาคนอื่นๆ

ฟุตบอลนั้นไม่ได้ใช้อุปกรณ์ในการเล่น แต่เป็นมนุษย์ หากเน้นไปที่การป้องกันตั้งแต่ช่วงต้นเกมแค่อย่างเดียวแบบนี้ ในระหว่างการแข่งที่ขึ้นอยู่กับเวลาจำนวน 90 นาทียังไงก็ต้องมีจังหวะที่แนวตั้งรับเผลออย่างแน่นอน ก่อนจะถึงตอนนั้นเขาต้องเก็บแรงและรักษาสมาธิไว้เพื่อวิ่งฝ่าช่องโหว่เข้าไป

มูคยอมย้ายตำแหน่งไปมาจนเจอตำแหน่งที่เหมาะจะรับบอล แต่พอนักกีฬาทีมซิตี้โซลคนอื่นๆ พยายามจะส่งลูกให้ เขาก็จะถูกกองหลังสกัดไว้ทุกครั้ง การส่งบอลจึงหยุดชะงักไป แต่ทว่าไม่นานจังหวะที่มูคยอมหวังไว้ก็มาถึง นาทีที่ 25 ของเกมครึ่งแรก ทีมซิตี้โซลที่ได้โอกาสเตะลูกเตะมุมจึงได้ส่งบอลยาวออกไป มูคยอมที่วิ่งไล่ตามวิถีโค้งนั้นไป สลัดผู้เล่นกองหลังฝ่ายตรงข้ามพ้นและสามารถครองบอลได้สำเร็จ และการบุกโจมตีที่มูคยอมชื่นชอบมากที่สุดก็ได้กลายเป็นจริง เขาเลี้ยงบอลไปเรื่อยๆ มุ่งหน้าไปจนถึงเขตของฝ่ายตรงข้ามและทำประตูได้สำเร็จ มูคยอมออกตัววิ่งไปอย่างรวดเร็ว ส่วนกองหลังฝ่ายตรงข้ามก็ตามประกบเขาอย่างเอาเป็นเอาตายเช่นกัน คนที่วิ่งเข้าหามูคยอมคือผู้เล่นอายุน้อยที่ตอนนี้อาจจะอายุ 20 ปี หรืออาจจะไม่ใช่ก็ได้คนหนึ่ง พวกนักกีฬาอายุน้อยที่มีประสบการณ์การแข่งน้อยและเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นกับความมุ่งมั่นที่อยากจะทำเกมนั้นมักจะทำผิดพลาดบ่อยเป็นพิเศษ

เท้าของฝ่ายตรงข้ามกระทบโดนแถวๆ ข้างข้อเท้าของมูคยอม ซึ่งเป็นการเข้าประกบที่ผิดกติกาอย่างไม่ต้องสงสัย

มูคยอมที่วิ่งไล่ตามลูกบอลราวกับเสือดาวล้มลงและกลิ้งไปบนสนามหญ้าไกลพอๆ กับความเร็วที่เร่งออกมาในชั่วพริบตา

ไม่เกินจริงเลยที่ว่ามีนักกีฬาแย่งลูกกันและล้มลงในการแข่งกีฬาฟุตบอลทุกๆ 5 นาที แม้จะมีหลายกรณีที่ล้มลงเพื่อตั้งใจให้ฟาวล์ แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไป ตั้งแต่นาทีที่มูคยอมเริ่มกลิ้งออกไป ตรงที่นั่งผู้ชมที่ผลัดกันส่งเสียงเชียร์และเสียงโห่ไปมาก็เริ่มเสียงดังวุ่นวายขึ้นเรื่อยๆ

มูคยอมที่ล้มลงบนสนามหญ้ากุมข้อเท้าที่ถูกกองหลังฝ่ายตรงข้ามเตะเข้าอย่างแรงและยังไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ ผู้เล่นที่ทำฟาวล์ก็ทำเพียงยืนเหม่อลอยอยู่กับที่มองไปยังมูคยอมที่นอนอยู่เหมือนตกใจกับตัวเองเช่นกัน ส่วนฮาจุนเป็นคนแรกที่ลุกขึ้นจากม้านั่งของทีมซิตี้โซล

“ดูเหมือนจะบาดเจ็บนะครับ”

สตาฟคนหนึ่งพูดขึ้นมาเบาๆ ด้วยความกังวล ผู้จัดการทีมจึงขอให้กรรมการหยุดการแข่งขัน

นักกีฬาคนอื่นๆ จับกลุ่มกันทีละคนสองคนแล้วเข้าไปดูอาการของมูคยอม แม้ว่าระหว่างนั้นมูคยอมจะลุกขึ้นมานั่งแล้ว แต่ก็ยังยากที่จะลุกขึ้นมายืนได้ ทีมแพทย์รีบยกเปลหามเข้าไปในสนามแล้วให้มูคยอมขึ้นไปนอนบนนั้น

ฮาจุนเดินออกไปจนถึงจุดที่ใกล้ที่สุดที่สตาฟอนุญาตให้เข้าถึงได้และมองไปยังเปลซึ่งกำลังตรงมายังม้านั่ง ดวงตาของฮาจุนเบิกกว้าง มูคยอมที่นอนลงและถูกหามเข้ามามองไปยังอีกฝ่ายที่เดินมาก่อนคล้ายกับออกมารับเขาแล้วยิ้มมุมปากทั้งที่ยังขมวดคิ้วอยู่

“โค้ชอี ออกมารับฉันเหรอ”

พอฮาจุนได้ยินก็ทำหน้าบูดบึ้งขึ้นมา

ฮาจุนเดินตามอยู่ข้างๆ มูคยอมตลอดเวลาที่เปลถูกหามเข้ามา เมื่อทีมแพทย์มาถึงและกำลังตรวจดูข้อเท้าให้มูคยอม ฮาจุนก็นั่งยองอยู่ข้างๆ ไม่ขยับไปไหนราวกับตัวได้แข็งทื่อไปแล้ว ทำไมต้องบาดเจ็บที่ข้อเท้าข้างขวาด้วย มันเป็นส่วนที่ฮาจุนรู้สึกเป็นห่วงอยู่เสมอ มูคยอมนิ่งเงียบขณะที่ทำหน้าเหยเกบ้างเป็นบางครั้งในระหว่างที่มีการประคบเจลเย็นและพันผ้าพันแผลเป็นการฉุกเฉิน

แม่งเอ้ย… เขาถูกไอ้โง่นั่นเตะเข้าอย่างจังเลย

ระหว่างที่มูคยอมก่นด่าและบ่นอยู่ในใจ ฮาจุนก็ยังคงนั่งนิ่งอยู่ข้างๆ เหมือนกับคนที่วิญญาณหลุดลอยไปแล้ว และทันทีที่ทีมแพทย์ปฐมพยาบาลเสร็จแล้วเดินออกไป ฮาจุนถึงได้เอามือแตะบนข้อเท้าของมูคยอมอย่างระมัดระวังแล้วถามขึ้นว่า

“ทำยังไงดี เจ็บมากไหม”

ไม่มีทางที่จะไม่เจ็บเพราะเขาถูกเตะที่ข้อเท้าเสียเต็มแรง

แต่มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ข้อเท้าของเขาบาดเจ็บ สมัยที่ยังเล่นฟุตบอลลีกทูเขาก็เคยบาดเจ็บจากการที่ข้อเท้าข้างซ้ายพลิกและถูกให้งดเล่นเป็นเวลาเกือบ 6 อาทิตย์ ครั้งนั้นเจ็บกว่าวันนี้มาก แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะเขาไม่กังวล แต่เพราะตัวมูคยอมเองย่อมมีลางสังหรณ์ในฐานะที่เป็นนักกีฬามานานว่ามันไม่ใช่การบาดเจ็บที่รุนแรง

เนื่องจากการดำเนินการแข่งขันไม่อาจหยุดชะงัก จึงทำได้เพียงหามเปลออกมา หากเป็นสถานการณ์ปกติเขาก็คงจะเดินกะเผลกมาเองได้

“ทำยังไงดีล่ะ…”

“โค้ชอี ไม่…” มูคยอมกำลังจะตอบว่าไม่เป็นไร ยังไงวันนี้ก็คงกลับเข้าไปแข่งอีกไม่ได้แล้ว กรณีเลวร้ายที่สุดก็คืออาจจะไม่ได้ลงสนามไปประมาณ 2 อาทิตย์ ซึ่งมันก็ไม่ได้ร้ายแรงมากขนาดนั้น

“อา บาดเจ็บที่ข้อเท้าอาจมีอาการแทรกซ้อนตามมาทีหลังด้วย มันอันตรายจริงๆ นะ”

มูคยอมพูดได้ไม่จบก็เม้มปากแน่น

สุดท้ายก็มีน้ำตาหนึ่งหยดร่วงเผาะลงมาราวกับภาพวาดจากดวงตาของฮาจุนซึ่งทำหน้าเบะเหมือนเด็กน้อยที่กระทืบเท้าอย่างทำอะไรไม่ถูกพลางพูดพึมพำเบาๆ ด้วยน้ำเสียงอู้อี้

มูคยอมที่กำลังจะแกล้งทำหน้าเหมือนไม่เป็นอะไรอ้าปากค้างมองอีกฝ่ายตาไม่กระพริบและรีบทำหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวดและพึมพำออกมา

“เจ็บ”

ในหัวเขามีความหวังส่องประกาย

นี่แหละ

ไม่ว่าเขาจะทำเป็นเจ๋งหรือวางท่าแค่ไหนก็ไม่มีผลอะไรกับอีฮาจุน เขาเลือกวิธีผิดไปเต็มๆ การทำตัวน่าสงสารนี่แหละถึงเป็นกลยุทธิ์ที่ได้ผลกับโค้ชอีที่เป็นคนจิตใจดี!

ฟ้าเข้าข้างคิมมูคยอม มนุษย์เรานั้นคิดได้แค่เท่าที่รู้จริงๆ ตัวเขาไม่ใช่คนที่จะรู้สึกเห็นใจด้านที่อ่อนแอของคนอื่นเท่าไหร่นัก เลยไม่สามารถเข้าใจความใจดีของอีกฝ่ายได้ มูคยอมเบ้หน้าและคร่ำครวญออกมาอย่างเต็มที่

“อีฮาจุน ฉันเจ็บมากเลย เกิดมาไม่เคยเจ็บแบบนี้มาก่อนเลย”

“อ๋า ทำไงดี เรื่องใหญ่แล้ว”

อยู่ๆ ฮาจุนที่พึมพำออกมาอย่างเจ็บปวดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาราวกับคร่ำครวญก็เอากำปั้นชกลงบนสนามหญ้าดังพลั่ก มูคยอมเบิกตาโพลงกับภาพพื้นหญ้าที่ถูกปลูกไว้อย่างเป็นระเบียบทรุดลงไปและมีดินกระเด็นออกมา

“แม่งเอ้ย ไอ้เวรนั่นคิดว่าตัวเองเตะขาใครกัน…!”

มูคยอมถึงกับอ้าปากค้างเมื่อมองฮาจุนพูดกับตัวเองราวกับกำลังอดกลั้น เขามองฮาจุนด้วยสีหน้าเหลือเชื่อเหมือนเห็นสิ่งมีชีวิตในจินตนาการ และถามอีกฝ่ายที่เอาแต่มองมาที่ข้อเท้าเขาด้วยสีหน้าหม่นหมอง

“โค้ชอีด่าเป็นด้วยเหรอ”

“คิดว่าคนอย่างฉันจะด่าไม่เป็นหรือไง!”

ฮาจุนเถียงกลับเหมือนไม่อยากจะเชื่อ แต่สำหรับมูคยอมมันคือคำถามถูกต้องแล้ว เพราะแม้แต่ช่วงที่เขาพูดจางี่เง่าใส่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ยังไม่เคยด่าเขาเลยสักครั้ง

มูคยอมที่มองฮาจุนเช็ดหน้าอย่างเงียบๆ เหมือนน้ำตายังไม่ยอมหยุดไปไหลง่ายๆ ก็พลอยขอบตาเห่อร้อนไปด้วย แม้จะพยายามกลั้นเอาไว้ แต่คราวนี้ถึงจะนับหนึ่งถึงห้าไปก็ไร้ประโยชน์ สุดท้ายน้ำตาที่เคยคลออยู่ตรงขนตาล่างก็ไหลลงมา ฮาจุนรู้สึกหมดแรงยิ่งขึ้นไปอีก

“ฉันจะไปเรียกทีมแพทย์ นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาทำอะไรแบบนี้ คงต้องไปโรงพยาบาลแล้วแหละ”

“ไม่ โค้ชอี ไม่ต้องไปแล้วจับมือฉันที ฉันเจ็บมากจนทนไว้คนเดียวไม่ไหวแล้ว”

“หา อ๋อ ก็ได้”

ฮาจุนยื่นมือออกมาทันทีโดยไม่ลังเล มูคยอมจับมือขาวเอาไว้แน่นและดึงเข้ามา ฮาจุนนั่งลงข้างๆ มูคยอม ทำตัวไม่ถูกจึงลูบหลังมือของอีกฝ่าย

เมื่อมูคยอมถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางทำเสียงสะอื้นจนแทบจะร้องไห้ออกมา ฮาจุนก็ตกใจยิ่งกว่าเดิมและใช้สองมือจับมือมูคยอมไว้ทันที หลังจากตะโกนเรียกทีมแพทย์แล้ว เขาก็ทำอะไรไม่ถูกและพูดปลอบใจโดยถามว่าเจ็บมากหรือเปล่า และบอกให้อีกฝ่ายรออีกหน่อย

แต่ว่ามูคยอมไม่ได้จะร้องไห้เพราะรู้สึกเจ็บ ไม่ใช่ว่าไม่กังวลเพราะถึงยังไงก็เป็นการบาดเจ็บ แต่เหนือกว่านั้นมันเป็นเพราะเขาชอบช่วงเวลานี้ที่ฮาจุนกุมมือเขาไว้พร้อมกับร้องไห้เพื่อเขา

โล่งอกไปที… ที่อีกฝ่ายยังไม่ได้ตัดเยื่อใยกับเขาจริงๆ…

ช่างเป็นช่วงเวลาที่โชคดีที่สุดของชีวิตมูคยอมในปีนี้จนตัวเขากลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่จริงๆ

ระหว่างนั้นนักกีฬาที่เตะข้อเท้ามูคยอมก็ได้รับใบแดงและถูกให้ออกจากการแข่งขัน ทีมซิตี้โซลจึงกำลังแข่งไปอย่างราบรื่นด้วยจำนวนสมาชิกที่ได้เปรียบคือ 11 ต่อ 10 คน

สมาชิกทีมแพทย์กลับมาหามูคยอมที่กำลังจับมือฮาจุนไว้และส่งเสียงครวญครางเหมือนคนที่กำลังจะตายแล้วถามขึ้นด้วยความตกใจ

“รู้สึกเจ็บมากกว่าเดิมเหรอครับ ต้องย้ายไปโรงพยาบาลไหมครับ”

ไม่ครับ ผมว่าดูแข่งจบแล้วค่อยไปก็ได้ครับ

เขาอยากจะตอบไปแบบนั้น แต่ฮาจุนกลับตอบขึ้นมาก่อน

“ครับ รีบไปเลยดีกว่า แค่ปฐมพยาบาลแล้วนั่งรอคงจะไม่ไหวครับ”

ตอนนี้คงจะทักท้วงคำพูดของอีกฝ่ายไม่ทันแล้ว

* * *

เอ็นอักเสบระดับ 1 มีความเห็นว่าให้งดเข้าร่วมการแข่ง 2 สัปดาห์

ปฏิบัติตามแผนการฟื้นฟูร่างกายและการรักษา ควรโฟกัสกับการฟื้นฟูที่เหมาะสมและการกลับสู่สภาพปกติอย่างรวดเร็ว’

ฮาจุนถือสมุดโน้ตที่มีข้อความสั้นๆ สรุปทิ้งไว้ด้านล่างหลังจากแปะใบวินิจฉัยโรคลงบนกระดาษหน้าหนึ่งเรียบร้อย เขามองมูคยอมที่สวมเฝือกอ่อนที่ข้อเท้าข้างหนึ่งและกำลังออกกำลังกายร่างกายท่อนล่างอยู่ด้วยสีหน้าบึ้งตึง

ข่าวเรื่องที่คิมมูคยอมถูกทำให้ฟาวล์และได้รับบาดเจ็บในรอบลีกในประเทศถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก พร้อมภาพถ่ายซึ่งปรากฎใบหน้าของฮาจุนที่ขมวดคิ้วยุ่งรวมถึงน้ำตาคลอด้วยความเศร้าใจอย่างชัดเจนอยู่ตรงม้านั่งนั้น

กองหลังทีมฝ่ายตรงข้ามที่ทำให้ข้อเท้าของมูคยอมบาดเจ็บถึงขั้นต้องโพสต์ข้อความขอโทษอย่างเป็นทางการโดยระบุว่าตนเองไม่ได้ตั้งใจและรู้สึกเสียใจกับความผิดพลาดที่ทำลงไปจากใจจริงเพื่อรับมือกับคำวิจารณ์ที่ถาโถมเข้ามาจากแฟนคลับจากแต่ละประเทศ ภายหลังทางสโมสรต้องออกแถลงการณ์ว่ามูคยอมไม่ได้บาดเจ็บรุนแรงและจะฟื้นฟูร่างกายได้ในเร็ววัน ข้อถกเถียงถึงได้คลี่คลายไประดับหนึ่ง

แม้ว่าขาดมูคยอมไปแล้วอาจเกิดผลกระทบในช่วงครึ่งหลังของลีกก็จริง แต่ถึงอย่างไรหากไม่ทำเสียคะแนนก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่ ถึงแม้จะไม่มีมูคยอมแต่ทีมเวิร์คในเกมของทีมซิตี้โซลก็ดำเนินไปได้อย่างมั่นคง และเนื่องจากตลอด 2 สัปดาห์ข้างหน้าไม่มีการแข่งขันกับทีมตัวเต็ง ผู้จัดการทีมจึงบอกมูคยอมให้ใช้โอกาสนี้เป็นการเติมพลัง

“ทำครบแล้วโค้ชอี”

ฮาจุนที่เฝ้ามองเขาอยู่ก้มตัวลงและเอามือกดลงบนกล้ามเนื้อด้านหลังต้นขาเพื่อตรวจดูแล้วถามขึ้น

“กดตรงนี้แล้วรู้สึกยังไง”

“อืม รู้สึกตึงๆ นิดหน่อย”

“นวดแป๊บเดียวก็คลาย งั้นเล่นต้นขาหลังเพิ่มอีกสามเซ็ตเถอะ ไหวใช่ไหม”

“แน่นอน ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”

มูคยอมยักไหล่และพูดอย่างสบายๆ ดูสบายใจจนฮาจุนรู้สึกหมั่นไส้ เขาสงสัยท่าทางของมูคยอมที่บ่นว่าเจ็บเจียนตายในวันนั้นจริงๆ

“งั้นเปลี่ยนเครื่องเล่นกัน”

ฮาจุนกำลังจะหันไปชี้และชวนอีกฝ่ายไปที่เครื่องเล่นอื่น แต่มูคยอมกลับไม่คิดจะลุกขึ้นยืน

พอเขาแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นและกำลังจะเดินไปเองคนเดียว ก็คิดได้ว่าถ้าเจ้าตัวไม่ตามมาแล้วมันจะมีประโยชน์อะไรจึงหันกลับไปเงียบๆ มูคยอมยื่นมือมาเหมือนกับรออยู่ ฮาจุนเลยถามขึ้นห้วนๆ

“…อีกแล้วเหรอ”

“เขาบอกว่าถ้าอยากหายเร็วๆ ห้ามลงน้ำหนักที่ข้อเท้าไม่ใช่เหรอ ถ้าก้าวพลาดตอนลุกขึ้นยืนคนเดียวจะทำยังไงล่ะ จับมือฉันหน่อยสิ”

คนที่ยืนสควอทได้ด้วยขาข้างเดียวกลับพูดเสแสร้งได้ขนาดนี้เลย

อดทนไว้ ถึงยังไงคิมมูคยอมก็เป็นคนป่วย ฮาจุนท่องคำนั้นเอาไว้ในหัวราวกับบทสวดขณะที่จับมือและช่วยประคองให้อีกฝ่ายลุกขึ้น มูคยอมจงใจร้องโอดโอยพลางยันร่างกายอันใหญ่โตของตัวเองให้ลุกขึ้นและทรงตัวบนไม้ค้ำยันที่ตั้งทิ้งไว้ข้างๆ

เรื่องมันก็เป็นอย่างนั้น

แม้ว่าโลกนี้จะไม่มีการบาดเจ็บใดที่ไม่เป็นอันตราย แต่หากถามว่าข้อเท้าเคล็ด ระดับ 1 มันเจ็บจนต้องร้องเสียงดังขนาดนั้นเลยหรือเปล่า… คำตอบก็คือ ไม่

เมื่อปีที่แล้วฮาคยองน้องชายเขาก็เคยข้อเท้าพลิกระหว่างเล่นบาสซึ่งอาการหนักพอๆ กับมูคยอมเลยต้องให้เพื่อนประคองและเดินกะเผลกกลับมา ตอนนั้นน้องชายเขาก็หายดีภายในสองอาทิตย์

ฮาจุนเล่นใหญ่ต่อหน้าผู้คนไปอย่างเต็มที่ พอตั้งสติได้ก็เหลือเพียงความอับอาย ถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่เก่งพอแต่ก็เป็นถึงโค้ชหลักที่น่าเคารพ ในขณะที่ทุกคนต่างกำลังวิ่งวุ่น เขากลับขาดสติและไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเหมาะสม แล้วยังบีบน้ำตาอยู่ตรงนั้นเนี่ยนะ

แน่นอนว่าหน้าที่ของโค้ชฟิตเนสก็คือการประเมินสภาพร่างกายในเวลาปกติของนักกีฬาเพื่อพัฒนาสมรรถภาพร่างกายและลดอาการบาดเจ็บ ถึงจะมองภาพรวมยังไงหน้าที่ของโค้ชก็คือการดำเนินการฝึกเพื่อฟื้นฟูร่างกายของผู้ที่บาดเจ็บ ส่วนการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นแล้วก็เป็นขอบเขตหน้าที่ของทีมแพทย์

แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น การที่เขาตกใจจนร้องไห้ออกมาก็เป็นการกระทำที่ใกล้เคียงกับคำว่าขาดคุณสมบัติอย่างชัดเจน… ฮาจุนเลยรู้สึกอับอายมาก

ถ้าทำได้ไม่ดีพอที่หน้างาน อย่างน้อยเขาก็จะชดเชยให้ที่นี่ตอนนี้ เขาเลยคิดจะใช้โอกาสนี้ยกระดับการออกกำลังกายของมูคยอมให้เหมาะสม เพราะยังไงเขาก็คอยใส่ใจดูแลเรื่องข้อเท้าของมูคยอมมาตลอดอยู่แล้ว

พวกเขากำลังเดินไปเพื่อเปลี่ยนเครื่องออกกำลังกาย แต่อยู่ๆ มูคยอมก็หยุดยืนเสียดื้อๆ ฮาจุนเลยถามขึ้นมาโดยอัตโนมัติ

“ทำไมอีกล่ะ”

มูคยอมทำคิ้วตก

“เมื่อกี้เจ็บข้อเท้ามากเลย แบบแปลบๆ จริงๆ นะ”

“อืม เหรอ จะบอกว่าตอนนี้ดีขึ้นแล้วเหรอ”

“เปล่า ยังเจ็บอยู่นิดหน่อย แต่ถ้าโค้ชอีลูบตรงนี้ให้สักนิดก็คงจะหายเจ็บนะ โอ๊ย เบาๆ สิ อย่าลูบแรง”

‘ตรงนี้’ ของอีกฝ่ายก็คือรอบๆ แก้มที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้อเท้าเลย สายตาของฮาจุนเริ่มเยือกเย็นขึ้น

จอมมารยา…

คิมมูคยอมชอบแกล้งเจ็บต่อหน้าเขาจนติดเป็นนิสัยตั้งแต่ช่วงแรกที่เขามาอยู่ในทีมซิตี้โซล พอตอนนี้อีกฝ่ายกลายเป็นคนเจ็บจริงๆ เลยไม่สามารถนับคำว่าเจ็บเป็นมารยาได้ แต่เมื่อเริ่มฝึกซ้อมเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกายทีไรอีกฝ่ายก็จะมองหาช่องทาง และพอได้โอกาสก็บอกว่าเจ็บบ้าง ไม่มีแรงบ้าง ทำอย่างนี้เดี๋ยวก็เกิดเรื่องบ้าง เล่นละครนู่นนี่ไปเรื่อย แล้วยังขอให้ลูบหัว ขอให้ลูบขาหรือขอให้จับมือ เรียงร้องเหมือนเด็กๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

พอเขาทนไม่ไหวบอกให้อีกฝ่ายเลิกล้อเล่นและดีดหน้าผากจริงไปเบาๆ หนึ่งทีครั้งก่อน อีกฝ่ายก็แทบจะกลิ้งตัวตีลังกา ทั้งยังแกล้งทำเป็นเจ็บปวดทรมานต่อหน้าผู้คนจนเขาคิดว่าตัวเองจะตายเพราะรู้สึกอับอายเสียแล้ว

“สวัสดีค่ะ”

และในตอนที่เขากำลังครุ่นคิดอย่างหนักว่าจะลูบแก้มอีกฝ่ายหรือจะตบดี ก็มีเสียงดังก้องขึ้นทั่วสนามกีฬาอันกว้างใหญ่ คนอื่นๆ เดินเข้ามาทางประตูที่เปิดอยู่ มูคยอมและฮาจุนที่ยืนอยู่ตรงนั้นพอดีต่างก็หันไปทางเสียงที่ได้ยิน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+