Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก 96

Now you are reading Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก Chapter 96 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

แต่ว่าอีฮาจุน นายเคยชอบจูบไม่ใช่เหรอ ในโลกนี้ใครบ้างจะไม่ชอบจูบกับคนที่ชอบ

ถ้ารวมกับเรื่องที่เกิดขึ้นบนรถรอบก่อน นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาถูกอีกฝ่ายปฏิเสธการจูบ ตอนนั้นมันก็สมควรแล้ว แต่วันนี้…

มูคยอมกางแขนออกเล็กน้อยและเข้าไปประชิดฮาจุนยิ่งกว่าเดิม แม้ว่าจะหัวใจเต้นแรงมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ฮาจุนก็ไม่อยากแสดงออกต่อหน้าอีกฝ่าย

“ยังไม่อยากจูบเหรอ เข้าใจแล้ว ขอโทษนะ ถ้าบอกว่าไม่ให้ทำฉันก็จะไม่ทำ กลับมาตรงนี้สิ”

แต่ทว่าตัวฮาจุนที่เคยนั่งทำหน้าเหมือนตกตะลึงอยู่กลับกะพริบตา และดูเหมือนกำลังสงบสติอารมณ์อยู่ หลังจากนั้นอีกฝ่ายก็ให้คำตอบที่แตกต่างกับที่มูคยอมคาดไว้ ไม่สิ ตอบไม่ตรงกับที่เขาถามเลยด้วยซ้ำ

“ขอโทษนะ… ที่อยู่ๆ ก็บอกว่าทำไม่ได้ นายยังไม่เสร็จงั้นฉันจะใช้ปากทำให้ก็ได้”

เฮ้อ เสียงถอนหายใจเล็ดลอดออกมาจากปากของมูคยอมเพราะคำพูดนั้น

“ใครเขาพูดถึงเรื่องนั้นกัน”

สายตาที่จ้องมองฮาจุนค่อยๆ เต็มไปด้วยประกายความขุ่นมัว สุดท้าย

มูคยอมก็ขมวดคิ้วจนยุ่งและเบ้หน้าใส่ฮาจุน

“ตอนนี้นายเลิกชอบฉันแล้วใช่ไหม สำหรับนายตอนนี้ฉันเป็นแค่ไอ้คนจนตรอกสินะ”

“…”

“เบื่อแล้ว หมดใจแล้วไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงบอกว่าไม่ใช่ล่ะ”

“…ไม่ใช่นะ ถ้าไม่ชอบฉันคงไม่ทำตั้งแต่แรก”

“ไม่ได้เกลียดแต่ก็ไม่ได้ชอบ ยังไงก็ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วใช่ไหม แต่ก็ถูกของนาย เกิดเรื่องแบบนั้นแล้วจะไปเหมือนเดิมได้ยังไง ให้เหมือนเดิมก็คงเป็นไปไม่ได้”

เสียงถอนหายใจปะปนมากับท้ายประโยค เหมือนน้ำตากำลังจะไหลออกมา มูคยอมจึงเม้มปากแน่น จ้องมองเพดานอันว่างเปล่าชั่วครู่แล้วนับหนึ่งถึงสาม

“ต้องลองถึงจะรู้ก็เลยชวนใช่ไหม แล้วมันเหมือนหรือไม่เหมือนกับเมื่อก่อนล่ะ”

มูคยอมถามเช่นนั้นแล้วมองฮาจุนอีกครั้ง อีกฝ่ายมีสีหน้าคลุมเครือเหมือนกับว่าตัวเองก็ไม่รู้คำตอบ

มันเป็นคำถามที่ยุ่งยาก ทำไมถึงไม่ใช่กันนะ ทั้งที่คนที่เข้ามาวนเวียนในพื้นที่หัวใจของเขานานกว่าใครก็คือตัวมูคยอมเองแท้ๆ มูคยอมเอาแต่ทำให้คนอื่นรู้สึกสับสน แต่เขาก็บังคับให้อีกฝ่ายเลิกยุ่งกับตัวเองไม่ได้

ในเวลาแบบนี้ วิธีที่ยังเหลืออยู่ก็คือการทำในสิ่งที่ยังทำได้และอดทนไปจนถึงที่สุด

“ยังไงฉันก็ชอบนาย อีฮาจุน อย่าไล่ฉันไปแบบนี้เลย ฉันอาจจะยังไม่ดีพอสำหรับนาย แต่ฉันจะพยายามให้มากกว่านี้”

ฮาจุนมองมาที่มูคยอมด้วยสายตาที่สับสนกว่าเดิม แล้วอยู่ๆ ก็ลดสายตาลงเล็กน้อยและเริ่มพูดตะกุกตะกักขึ้นมา

“ไม่ใช่ไม่ชอบ ไม่ใช่นะ”

ไม่ชอบแล้วทำไมถึงเอาแต่ปฏิเสธ

แม้ว่ามูคยอมจะทำผิดไปมาก แต่เอาเข้าจริงเมื่อเรื่องกลายเป็นแบบนี้แล้วฮาจุนกลับเอาแต่โทษเขา มูคยอมเม้มปากแน่นและมองฮาจุนด้วยสายตาขุ่นเคือง

“ช่วงนี้ฉันไม่เข้าใจนายเลยสักนิด… ทั้งคำพูดที่นายบอกว่าชอบฉัน แต่การกระทำของนายกลับทำให้ฉันรู้สึกห่างเหินมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนแรกฉันคิดว่ามันเป็นเพราะฉันเหนื่อย แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่แค่นั้น”

“…”

“ถ้าเรื่องมันยากก็ให้ลองกลับไปตอนแรกยังไงล่ะ แทนที่จะคิดไปเองต่อไปเรื่อยๆ สู้ลองทำแบบที่นายเคยบอก ฉันก็อาจจะเจอสาเหตุที่รู้สึกอึดอัดก็ได้ ว่าอะไรที่ไม่เหมือนเดิม แล้วทำไมถึงรู้สึกแบบนี้ แต่นี่ฉันไม่รู้อะไรเลย ก็แค่… เหมือนว่าอยู่ๆ นายก็เปลี่ยนไปฉันเลยรู้สึกไม่สบายใจ”

“ไม่สบายใจ?”

ฮาจุนพยักหน้าอีกครั้ง

“อยู่ๆ ฉันก็ถูกนายหรือใครก็ตามมองว่าเป็นพวกเอาตัวเข้าแลก แล้วถึงนายจะรู้ว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิดแต่ก็ยังไล่ฉันไปให้พ้นหน้า พอฉันไปแล้วกลับมา นายกลับบอกให้เรามีเซ็กซ์กันอีกครั้ง แค่นี้เองเหรอ”

“…”

“ถึงฉันจะปฏิเสธ นายก็ยังจะประชด พูดจาถากถางฉันอยู่เรื่อยไม่ใช่เหรอ พอทำอย่างนั้นแล้วอยู่ๆ ก็มาบอกชอบกันมันเข้าท่าเหรอ รู้อยู่แก่ใจว่าฉันคิดยังไง แต่ขนาดคืนก่อนหน้านายก็ยังทำแบบเดิม”

“อีฮาจุน นั่นมัน…”

“เพราะสิบปีมันนานกว่าที่นายคิดเหรอ หรือเพราะเห็นโฟลเดอร์ไร้สาระไม่กี่อันนั่นก็เลยทำอย่างนั้น ชื่นชมฉัน นั่นมันก็แค่นิสัยพูดจากลับกลอกของนายต่างหาก”

“ไร้สาระ? มันคือโฟลเดอร์ที่นายใช้เวลาทำมาตั้งนานไม่ใช่เหรอ! อย่าพูดแบบนั้นสิ”

มูคยอมสูดหายใจเข้าลึกๆ

“ไม่ว่าขอโทษยังไงก็ไม่ได้เหรอ ถึงจะชอบนายจากใจจริงก็ตาม หรือต่อให้ฉันทำดีกับนายต่อไป ทำทุกอย่างตามที่นายต้องการ ให้ทุกอย่างที่นายอยากได้… ก็ไม่ได้เลยเหรอ”

ฮาจุนขมวดคิ้วเล็กน้อยและมองไปที่คางของมูคยอมราวกับกำลังย้อนคิดอย่างถี่ถ้วน แล้วอยู่ๆ ฮาจุนก็เบิกตาโพลงขึ้นมาสบตาเหมือนคนที่เริ่มนึกคำตอบขึ้นมาได้รางๆ

“ฉันฟังสิ่งที่นายสรุปไปเองคนเดียวมามากพอแล้ว ที่ฉันสงสัยคือ… เหตุผล ว่าทำไมนายถึงสรุปไปอย่างนั้นได้”

“เหตุผล? ชอบก็เพราะชอบ ทำผิดก็เลยขอโทษไง ต้องมีเหตุผลอื่นด้วยเหรอ”

ฮาจุนหรี่ตาลงแล้วส่ายหัว

“ทำไมถึงทำแบบนี้กับฉัน”

“อะไรนะ”

“นายที่ฉันรู้จัก… ถึงจะนิสัยแย่แต่จริงๆ ก็ไม่ใช่คนเลวร้าย”

สายตาของฮาจุนลึกล้ำยิ่งขึ้นเหมือนกับคนที่จดจ่ออยู่กับปัญหาที่ต้องแก้ไข

“ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้นหรอกนะ แต่นายทำเหมือนนายตั้งใจทำร้ายจิตใจฉันต่างหาก นายก็ไม่ได้โง่ ฉันคิดว่านายรู้แน่นอนว่าฉันจะรู้สึกยังไงพอได้ยินคำพูดแบบนั้น”

มูคยอมปิดปากเงียบ

ประเมินเขาสูงไปแล้ว ถ้าอีกฝ่ายคิดว่าเค้าเป็นแค่คนโง่ก็คงจะดี

“ตอนนี้เหมือนว่าฉันจะรู้แล้ว เหตุผลที่ช่วงนี้ฉันเห็นนายแล้วรู้สึกอึดอัดอยู่เรื่อย มันไม่ใช่แค่เพราะว่าต้องฟังคำพูดพล่อยๆ หรือเพราะเริ่มรำคาญนาย แล้วก็ไม่ใช่เพราะรู้สึกแปลกๆ กับที่นายบอกชอบฉันด้วย”

น้ำเสียงของฮาจุนค่อยๆ หนักแน่นขึ้นราวกับนักสืบที่อยู่ในระหว่างการสืบสวน ไม่ก็อาจารย์ที่กำลังตักเตือนนักเรียน

“ฉัน… อยากจะเข้าใจนายนะ ที่บอกว่าชอบ บอกว่าขอโทษ ถ้านายคิดไปเองคนเดียวเสร็จสรรพแล้วโยนข้อสรุปแบบนั้นมาให้ ฉันก็มีแค่สองตัวเลือกคือตอบรับหรือปฏิเสธไม่ใช่หรือไง อย่างนี้ไม่ใช่ว่าต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งเหรอ งั้นถ้านายอยากได้ยินคำตอบ ก็ต้องอธิบายฉันมาก่อน”

ความชัดเจนในนิสัยที่เป็นเอกลักษณ์ของคนที่กำลังพูดเพื่อตามหาคำตอบถูกวาดอย่างสวยงามบนใบหน้าขาวที่เคยบิดเบี้ยวเพราะความสุขสมเมื่อสักครู่ราวกับเส้นที่วาดด้วยน้ำหมึก มันงดงามมากจนมูคยอมพูดไม่ออกและละสายตาไปไม่ได้

“ใช่แล้ว ฉันสงสัยเรื่องนั้นมาตั้งแต่แรกแล้วว่าทำไมนายถึงทำแบบนั้นกับฉัน คิมมูคยอม”

เขาถูกล่วงรู้ความลับสุดยอดเข้าแล้ว

มูคยอมปิดปากเงียบแล้วกลืนน้ำลายแห้งๆ ลงคอหลายครั้ง ทว่าฮาจุนกลับกำลังมองมาที่เขาด้วยสีหน้าแข็งกระด้างดังเช่นเวลาปกติราวกับว่าจะไม่ยอมหันหลังกลับจนกว่าจะได้ฟังคำตอบ

ดังนั้นมูคยอมก็เลยต้องตอบคำตอบที่จะทำให้โค้ชอีฮาจุนผู้ซื่อสัตย์ที่มักจะจดบันทึกและศึกษาเหตุและผลของสถานการณ์ตรงหน้าอย่างเต็มที่สามารถยอมรับได้

“…ก็ฉันเคยแต่คบกับคนอื่นแบบเผินๆ มาตลอด ไม่เคยลองคบกับใครจริงจังนี่ เลยกลัวว่าจะทำผิดแล้วไปสร้างบาดแผลให้กับนาย”

แม้แต่ในขณะที่เขาพูดแก้ตัวยืดยาว อีกฝ่ายก็ดูเหมือนว่าจะไม่คล้อยตามเลยแม้แต่นิด

คะแนนการโกหกเป็นศูนย์

น้ำเสียงของฮาจุนเริ่มแข็งกร้าวขึ้นมาตามคาด

“พูดอะไรให้มันเข้าท่าหน่อย บอกว่ากลัวจะสร้างบาดแผลให้คนอื่น แต่กลับพูดอะไรแบบนั้นออกมางั้นเหรอ ถ้าพูดว่าเป็นห่วงสักสองรอบ คงจะฆ่าคนได้จริงๆ ละมั้ง”

“…”

“ฉันก็ไม่ได้อยากทำแบบนี้หรอก ไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อนด้วย”

ฉันกลัวว่าตัวเองจะเสียสติแล้วทำให้นายเจ็บ

ไม่สิ ความจริงฉันกลัวว่าตัวเองจะเสียสติแล้วทำให้ตัวเองเจ็บ

กลัวว่าจะทำผิดพลาดเพราะฝืนกฎเหล็กที่เฝ้ารักษามาตลอด กลัวว่าชีวิตที่ตัวเองเคยเชื่อมั่นว่ากำลังดำเนินมาอย่างราบรื่นพังทลายลง

แต่ถึงอย่างนั้นมูคยอมก็ยังอยากที่จะดูดซับน้ำหวานของอีกฝ่าย และมันเป็นสิ่งที่เขาเอาแต่นึกถึงมาตั้งแต่ต้นจนจบ

ทว่าคำพูดพวกนี้ไม่ใช่คำตอบที่อีกฝ่ายต้องการ

“ฉันก็อยากจะดีใจจริงๆ ตอนที่นายบอกว่าชอบฉัน ไม่ได้อยากคิดถึงอะไรแบบนี้เลย!”

ฮาจุนขึ้นเสียงเล็กน้อยในตอนท้าย เขาเสยผมพลางถอนหายใจออกมาเหมือนอึดอัดใจแล้วลุกขึ้นขณะที่มองไปยังมูคยอมที่นิ่งเงียบไป

“…ไปอาบน้ำก่อนนะ ยังไงก็ขอโทษด้วยที่ชวนก่อนแต่ไม่ได้ทำให้จนจบ”

ยังคงมีความรับผิดชอบอย่างเต็มเปี่ยมจนถึงที่สุด

มูคยอมไม่สามารถลุกขึ้นยืนและเดินตามไปได้ ทำเพียงเหม่อมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่สวมเสื้อคลุมที่เคยพาดไว้ตรงปลายเตียงแบบลวกๆ เดินพ้นจากประตูไป มูคยอมเอนกายไปด้านหลังและล้มตัวนอนลงไปบนเตียงด้วยความหมดแรงขณะที่มองไปยังพื้นที่ว่างที่ฮาจุนเคยนั่งอยู่

เขาคงสำคัญสถานะตัวเองผิดไป ไม่ใช่ฝ่ายรับกับฝ่ายรุก แต่เป็นตำรวจกับโจรงั้นเหรอ

‘ยอมจำนนแล้วจะพบแสงสว่าง’

ถึงแม้ว่าวลีในแคมเปญสุดคลาสสิกจะวาบขึ้นมาในหัวราวกับป้ายไฟ แต่

มูคยอมก็ไม่มั่นใจพอที่จะพรั่งพรู ‘เหตุผล’ นั้นออกไปต่อหน้าของฮาจุน

——————————————————

การแข่งขันลีกถัดไปถูกกำหนดขึ้นทันทีที่จบแมตช์ A ประจำสัปดาห์ราวกับเฝ้ารออยู่แล้ว เหล่านักกีฬาต่างสะพายกระเป๋าใบใหญ่และยืนต่อแถวเพื่อขึ้นรถบัสที่กำลังจะออกเดินทางไกลไปยังสถานที่แข่งขัน

คนที่ไม่รู้จักเจอมูคยอมก็แค่จะเดินผ่านไป แต่ถ้ามีคนที่รู้จักกันดีเจอเขาเข้าก็จะทำหน้าไม่พอใจและเดินขึ้นรถบัสไปทันที

เมื่อกวาดสายตาสำรวจที่นั่งก็เห็นฮาจุนนั่งอยู่คนเดียวที่ริมหน้าต่างตรงแถวหลังและกำลังมองไปยังสมุดโน้ตเหมือนอย่างทุกครั้ง มูคยอมพ่นลมจมูกเบาๆ แล้วก้าวเท้ายาวๆ ไปยังที่นั่งข้างๆ ฮาจุนราวกับกลัวว่าใครจะมานั่งก่อน เขาวางกระเป๋าไว้ตรงช่องเก็บสัมภาระและทรุดตัวลงนั่ง มูคยอมคงไม่รู้ว่าถึงที่นั่งข้างๆ

ฮาจุนจะว่างแต่ก็ไม่มีใครคิดที่จะมานั่ง เพราะถึงอย่างไรพวกนักกีฬาและทีมงานของทีมซิตี้โซลก็คุ้นเคยกับภาพที่ทั้งสองคนนั่งคู่กันอยู่แล้ว

สุดท้ายวันนั้นก็แยกย้ายกันไปอย่างนั้น จนถึงที่สุดผู้ต้องหาคิมมูคยอมก็ไม่ได้ยอมรับสารภาพออกไป และพนักงานสืบสวนอีฮาจุนก็ไม่ได้คิดที่จะสอบสวนไปตลอดทั้งคืน จึงสวมเสื้อผ้าทีละชิ้นๆ แล้วก็กลับบ้านไป หลังจากอาบน้ำเสร็จฮาจุนที่กลับมาเป็นโค้ชที่ใจเย็นเหมือนเดิมก็ทิ้งการบ้านไว้ให้เด็กนักเรียนหัวทึบ

‘ถ้าพูดตอนนี้ไม่ได้ก็ลองจัดการความคิดไปเรื่อยๆ แล้วค่อยบอกมาแล้วกัน’

ฮาจุนมองมูคยอมที่นั่งอยู่ด้านข้างแค่ปราดเดียวเหมือนกับเช็กว่าอีกฝ่ายเป็นใครแล้วก้มลงมองสมุดโน้ตอีกครั้งทันที แน่นอนว่ามูคยอมก็ไม่ได้หวังให้อีกฝ่ายให้การต้อนรับ หลังจากใส่หูฟังเสร็จเขาก็กอดอกและหลับตาลง

แม้ว่าตอนนี้มูคยอมจะตอบคำถามนั้นไม่ได้แบบที่ฮาจุนบอก แต่ถึงยังไงเขาก็ยืนกรานที่จะอยู่เคียงข้างอีกฝ่ายต่อไป คำพูดที่ว่าชัยชนะจะเป็นของคนที่อดทนคือเรื่องจริง ปัญหาชีวิตนั้นเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ต่างกันไปตามรูปแบบและสถานการณ์ ไม่เหมือนกับโจทย์ในข้อสอบ หากถอดใจก็จะไม่สามารถไปถึงจุดที่จะค้นพบคำตอบได้

ไม่เกินจริงเลยหากจะบอกว่าตอนนี้มูคยอมประสบความสำเร็จหลังจากผ่านการอดทนต่อสู้กับชีวิตมา เขาอดทนเช่นนั้นมาตลอด และเมื่อวิ่งไปเรื่อยๆ ก็จะยิ่งเจอกับสถานการณ์ใหม่ๆ

เมื่อรถออกตัวได้ประมาณครึ่งชั่วโมง เหล่านักกีฬาส่วนใหญ่ที่หลับได้ทุกที่ก็หลับกันไปเกือบหมด ภายในรถบัสที่ต้องใช้เวลาเดินทางกว่าสองชั่วโมงเศษจึงเงียบสงบลง ท่ามกลางเสียงสั่นสะเทือนของรถบัสที่วิ่งไปตามถนน ฮาจุนที่เคยพลิกข้อมูลดูอย่างช้าๆ เริ่มรู้สึกเหมือนเมารถจึงเงยหน้าขึ้นและมองออกไปนอกหน้าต่าง

ในตอนที่กำลังคิดว่าจะนอนบ้าง รถบัสก็แล่นเข้าไปในอุโมงค์ ความมืดทึบปกคลุมภายนอกหน้าต่าง ฮาจุนมองใบหน้าของชายหนุ่มที่กำลังเอียงศีรษะไปด้านข้างและนอนหลับอยู่

‘ดูดีจัง…’

ความคิดชั่วครู่นั้นผุดขึ้นมาในหัวก่อนที่เขาจะทันได้คิดอะไร ฮาจุนขมวดคิ้วอย่างไม่อยากจะเชื่อที่ตัวเองคิดอย่างนั้น หรือว่าที่เขาปล่อยมือไปจากคิมมูคยอมไม่ได้จะเป็นเพราะเรื่องหน้าตาจริงๆ

“อืม…”

ตอนนั้นเองที่มูคยอมขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยและขยับพลิกตัว ฮาจุนสะดุ้งตกใจแล้วเลื่อนสายตาลงมองสมุดโน้ตที่แทบมองไม่เห็นอีกครั้งอย่างเปล่าประโยชน์ ใบหน้าของอีกฝ่ายโน้มลงมาด้านข้างเอียงมาทางฮาจุน หลังจากค่อยๆ ขยับพลิกร่างกายอันใหญ่โตและโน้มลงมาพิงหน้าเข้ากับหัวไหล่ของเขาแล้วมูคยอมถึงหยุดเคลื่อนไหว

ฮาจุนหันไปมองข้างๆ แต่อีกฝ่ายกลับยังหลับตาอยู่เหมือนเดิม ดูเหมือนจะไม่ใช่การแสดง ใบหน้าของมูคยอมเจือไปด้วยความพึงพอใจ อาจเพราะรู้สึกสบายที่เจอที่ค้ำซึ่งช่วยรองรับศีรษะเอาไว้ อีกฝ่ายอ้าปากออกเล็กน้อยและกลับมาหายใจราบเรียบอีกครั้งและหลับต่อ

ไม่ได้การแล้ว นอนแบบนี้คออาจจะพันกันได้

แม้จะคิดอย่างนั้นแต่ฮาจุนก็ไม่กล้าปลุกมูคยอม เขามองอีกฝ่ายด้วยความลังเลและขยับแขนอย่างเชื่องช้าเพื่อไม่ให้ไหล่สั่นไหว ฮาจุนม้วนเสื้อบอลที่ถอดทิ้งไว้และค่อยๆ สอดเข้าไปตรงซอกคอของอีกฝ่ายที่พับลงมาด้านข้างเพื่อทำเป็นหมอน แล้วรถบัสก็วิ่งไปอย่างเงียบๆ อีกพักใหญ่

“ตื่นได้แล้วคิมมูคยอม”

มูคยอมลืมตาขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงปลุก เขาใช้เวลาเล็กน้อยกับการตั้งสติเนื่องจากเมื่อคืนเขานอนหลับได้ไม่เต็มที่เมื่อคิดว่าการแข่งเกมเยือนใกล้จะมาถึง

ถึงแล้วเหรอ

มูคยอมขยับร่างกายที่ยังงัวเงียให้ลุกขึ้นและกะพริบตา ระหว่างนั้นฮาจุนที่หยิบกระเป๋ารวมถึงเอาเสื้อบอลมาสวมก็โบกมือตรงหน้าแล้วพูดปลุก

“ถึงแล้ว ตั้งสติหน่อย”

“อือ”

มูคยอมบิดขี้เกียจและยืดตัวขึ้น ขยับคอซ้ายขวาแล้วหิ้วกระเป๋าที่เคยวางไว้บนช่องเก็บสัมภาระลงมา การนอนหลับไม่เพียงพอ รวมถึงการมีตารางแข่งเพิ่มทันทีที่แข่งเสร็จทำให้เขารู้สึกอ่อนเพลียเล็กน้อย

มูคยอมบ่นในใจ เขาแค่นหัวเราะออกมาขณะที่เดินลงจากรถบัส เขาบ่นพึมพำเรื่องที่ตัวเองมาเกาหลี ทั้งที่มันไม่ได้เหนื่อยเท่าไหร่เมื่อเทียบกับตารางการแข่งอันดุเดือดของพรีเมียร์ลีกในช่วงสิ้นปี

เมื่อเข้าไปในสนามแข่งแล้วเปลี่ยนชุด เหล่านักกีฬาก็ออกมาข้างนอกเพื่อวอร์มร่างกายทันที แม้จะเหลือเวลาอีกไม่นานกว่าที่การแข่งขันจะเริ่มต้นขึ้น แต่เหล่าผู้ชมที่คลั่งไคล้ซึ่งอยากจะดูพวกนักกีฬาวอร์มร่างกายก็ไม่ได้จับจองที่นั่งไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ และกำลังตั้งใจถ่ายรูปหรือไม่ก็พูดให้กำลังใจเหล่านักกีฬากันอยู่

“นักกีฬาคิมมูคยอม! สู้ๆ นะคะ!”

อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าจะเป็นผู้ชมจากฝั่งเจ้าบ้าน มูคยอมยิ้มและโบกมือให้กับแฟนคลับผู้หญิงคนหนึ่งที่ตะโกนเรียกเขาด้วยท่าทางที่เป็นมิตร

ว้าว แม้แต่คนรอบข้างก็ตื่นเต้นและมาร่วมโบกมือกับแฟนคลับคนนั้น

หนึ่งในงานอดิเรกที่มูคยอมทำมานานคือการมาแข่งเกมเยือนแล้วโปรยเสน่ห์ให้กับแฟนคลับของทีมฝั่งตรงข้าม บางครั้งก็ได้รับคำชมว่าเป็นคนดังที่เซอร์วิสแฟนๆ อย่างเท่าเทียมไม่ว่าจะเป็นที่ไหนหรือเมื่อไหร่ บางครั้งก็ถูกด่าว่าไม่มีมารยาทจากงานอดิเรกแปลกๆ

ถึงจะเป็นการกระทำเดียวกัน แต่การประเมินค่าก็จะแตกต่างกันไปตามแต่สถานการณ์ในตอนนั้นๆ หรือตามอุปนิสัยของฝ่ายตรงข้าม ดังนั้นการใช้ชีวิตโดยที่ยึดติดกับคำวิจารณ์ของคนอื่นจึงเป็นการเสียเวลาชีวิต

“เอ้า เอาล่ะ ทุกคนมารวมตัวกัน!”

แต่ถ้าเกิดเขาอยากจะเป็นคนดีและไว้ใจได้อยู่เสมอสำหรับคนพิเศษสักคนล่ะ

การโปรยเสน่ห์และทำให้ผู้อื่นชื่นชอบได้ในเวลาสั้นๆ นั้นง่ายเสียยิ่งกว่ากะพริบตา แต่สำหรับมูคยอมที่ไม่เคยต้องพยายามเอาชนะใจใครมาก่อน คำถามนั้นกลับเป็นปัญหาใหญ่ที่เขาไม่เคยทดสอบเลยสักครั้งในชีวิต

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก 96

Now you are reading Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก Chapter 96 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

แต่ว่าอีฮาจุน นายเคยชอบจูบไม่ใช่เหรอ ในโลกนี้ใครบ้างจะไม่ชอบจูบกับคนที่ชอบ

ถ้ารวมกับเรื่องที่เกิดขึ้นบนรถรอบก่อน นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาถูกอีกฝ่ายปฏิเสธการจูบ ตอนนั้นมันก็สมควรแล้ว แต่วันนี้…

มูคยอมกางแขนออกเล็กน้อยและเข้าไปประชิดฮาจุนยิ่งกว่าเดิม แม้ว่าจะหัวใจเต้นแรงมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ฮาจุนก็ไม่อยากแสดงออกต่อหน้าอีกฝ่าย

“ยังไม่อยากจูบเหรอ เข้าใจแล้ว ขอโทษนะ ถ้าบอกว่าไม่ให้ทำฉันก็จะไม่ทำ กลับมาตรงนี้สิ”

แต่ทว่าตัวฮาจุนที่เคยนั่งทำหน้าเหมือนตกตะลึงอยู่กลับกะพริบตา และดูเหมือนกำลังสงบสติอารมณ์อยู่ หลังจากนั้นอีกฝ่ายก็ให้คำตอบที่แตกต่างกับที่มูคยอมคาดไว้ ไม่สิ ตอบไม่ตรงกับที่เขาถามเลยด้วยซ้ำ

“ขอโทษนะ… ที่อยู่ๆ ก็บอกว่าทำไม่ได้ นายยังไม่เสร็จงั้นฉันจะใช้ปากทำให้ก็ได้”

เฮ้อ เสียงถอนหายใจเล็ดลอดออกมาจากปากของมูคยอมเพราะคำพูดนั้น

“ใครเขาพูดถึงเรื่องนั้นกัน”

สายตาที่จ้องมองฮาจุนค่อยๆ เต็มไปด้วยประกายความขุ่นมัว สุดท้าย

มูคยอมก็ขมวดคิ้วจนยุ่งและเบ้หน้าใส่ฮาจุน

“ตอนนี้นายเลิกชอบฉันแล้วใช่ไหม สำหรับนายตอนนี้ฉันเป็นแค่ไอ้คนจนตรอกสินะ”

“…”

“เบื่อแล้ว หมดใจแล้วไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงบอกว่าไม่ใช่ล่ะ”

“…ไม่ใช่นะ ถ้าไม่ชอบฉันคงไม่ทำตั้งแต่แรก”

“ไม่ได้เกลียดแต่ก็ไม่ได้ชอบ ยังไงก็ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วใช่ไหม แต่ก็ถูกของนาย เกิดเรื่องแบบนั้นแล้วจะไปเหมือนเดิมได้ยังไง ให้เหมือนเดิมก็คงเป็นไปไม่ได้”

เสียงถอนหายใจปะปนมากับท้ายประโยค เหมือนน้ำตากำลังจะไหลออกมา มูคยอมจึงเม้มปากแน่น จ้องมองเพดานอันว่างเปล่าชั่วครู่แล้วนับหนึ่งถึงสาม

“ต้องลองถึงจะรู้ก็เลยชวนใช่ไหม แล้วมันเหมือนหรือไม่เหมือนกับเมื่อก่อนล่ะ”

มูคยอมถามเช่นนั้นแล้วมองฮาจุนอีกครั้ง อีกฝ่ายมีสีหน้าคลุมเครือเหมือนกับว่าตัวเองก็ไม่รู้คำตอบ

มันเป็นคำถามที่ยุ่งยาก ทำไมถึงไม่ใช่กันนะ ทั้งที่คนที่เข้ามาวนเวียนในพื้นที่หัวใจของเขานานกว่าใครก็คือตัวมูคยอมเองแท้ๆ มูคยอมเอาแต่ทำให้คนอื่นรู้สึกสับสน แต่เขาก็บังคับให้อีกฝ่ายเลิกยุ่งกับตัวเองไม่ได้

ในเวลาแบบนี้ วิธีที่ยังเหลืออยู่ก็คือการทำในสิ่งที่ยังทำได้และอดทนไปจนถึงที่สุด

“ยังไงฉันก็ชอบนาย อีฮาจุน อย่าไล่ฉันไปแบบนี้เลย ฉันอาจจะยังไม่ดีพอสำหรับนาย แต่ฉันจะพยายามให้มากกว่านี้”

ฮาจุนมองมาที่มูคยอมด้วยสายตาที่สับสนกว่าเดิม แล้วอยู่ๆ ก็ลดสายตาลงเล็กน้อยและเริ่มพูดตะกุกตะกักขึ้นมา

“ไม่ใช่ไม่ชอบ ไม่ใช่นะ”

ไม่ชอบแล้วทำไมถึงเอาแต่ปฏิเสธ

แม้ว่ามูคยอมจะทำผิดไปมาก แต่เอาเข้าจริงเมื่อเรื่องกลายเป็นแบบนี้แล้วฮาจุนกลับเอาแต่โทษเขา มูคยอมเม้มปากแน่นและมองฮาจุนด้วยสายตาขุ่นเคือง

“ช่วงนี้ฉันไม่เข้าใจนายเลยสักนิด… ทั้งคำพูดที่นายบอกว่าชอบฉัน แต่การกระทำของนายกลับทำให้ฉันรู้สึกห่างเหินมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนแรกฉันคิดว่ามันเป็นเพราะฉันเหนื่อย แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่แค่นั้น”

“…”

“ถ้าเรื่องมันยากก็ให้ลองกลับไปตอนแรกยังไงล่ะ แทนที่จะคิดไปเองต่อไปเรื่อยๆ สู้ลองทำแบบที่นายเคยบอก ฉันก็อาจจะเจอสาเหตุที่รู้สึกอึดอัดก็ได้ ว่าอะไรที่ไม่เหมือนเดิม แล้วทำไมถึงรู้สึกแบบนี้ แต่นี่ฉันไม่รู้อะไรเลย ก็แค่… เหมือนว่าอยู่ๆ นายก็เปลี่ยนไปฉันเลยรู้สึกไม่สบายใจ”

“ไม่สบายใจ?”

ฮาจุนพยักหน้าอีกครั้ง

“อยู่ๆ ฉันก็ถูกนายหรือใครก็ตามมองว่าเป็นพวกเอาตัวเข้าแลก แล้วถึงนายจะรู้ว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิดแต่ก็ยังไล่ฉันไปให้พ้นหน้า พอฉันไปแล้วกลับมา นายกลับบอกให้เรามีเซ็กซ์กันอีกครั้ง แค่นี้เองเหรอ”

“…”

“ถึงฉันจะปฏิเสธ นายก็ยังจะประชด พูดจาถากถางฉันอยู่เรื่อยไม่ใช่เหรอ พอทำอย่างนั้นแล้วอยู่ๆ ก็มาบอกชอบกันมันเข้าท่าเหรอ รู้อยู่แก่ใจว่าฉันคิดยังไง แต่ขนาดคืนก่อนหน้านายก็ยังทำแบบเดิม”

“อีฮาจุน นั่นมัน…”

“เพราะสิบปีมันนานกว่าที่นายคิดเหรอ หรือเพราะเห็นโฟลเดอร์ไร้สาระไม่กี่อันนั่นก็เลยทำอย่างนั้น ชื่นชมฉัน นั่นมันก็แค่นิสัยพูดจากลับกลอกของนายต่างหาก”

“ไร้สาระ? มันคือโฟลเดอร์ที่นายใช้เวลาทำมาตั้งนานไม่ใช่เหรอ! อย่าพูดแบบนั้นสิ”

มูคยอมสูดหายใจเข้าลึกๆ

“ไม่ว่าขอโทษยังไงก็ไม่ได้เหรอ ถึงจะชอบนายจากใจจริงก็ตาม หรือต่อให้ฉันทำดีกับนายต่อไป ทำทุกอย่างตามที่นายต้องการ ให้ทุกอย่างที่นายอยากได้… ก็ไม่ได้เลยเหรอ”

ฮาจุนขมวดคิ้วเล็กน้อยและมองไปที่คางของมูคยอมราวกับกำลังย้อนคิดอย่างถี่ถ้วน แล้วอยู่ๆ ฮาจุนก็เบิกตาโพลงขึ้นมาสบตาเหมือนคนที่เริ่มนึกคำตอบขึ้นมาได้รางๆ

“ฉันฟังสิ่งที่นายสรุปไปเองคนเดียวมามากพอแล้ว ที่ฉันสงสัยคือ… เหตุผล ว่าทำไมนายถึงสรุปไปอย่างนั้นได้”

“เหตุผล? ชอบก็เพราะชอบ ทำผิดก็เลยขอโทษไง ต้องมีเหตุผลอื่นด้วยเหรอ”

ฮาจุนหรี่ตาลงแล้วส่ายหัว

“ทำไมถึงทำแบบนี้กับฉัน”

“อะไรนะ”

“นายที่ฉันรู้จัก… ถึงจะนิสัยแย่แต่จริงๆ ก็ไม่ใช่คนเลวร้าย”

สายตาของฮาจุนลึกล้ำยิ่งขึ้นเหมือนกับคนที่จดจ่ออยู่กับปัญหาที่ต้องแก้ไข

“ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้นหรอกนะ แต่นายทำเหมือนนายตั้งใจทำร้ายจิตใจฉันต่างหาก นายก็ไม่ได้โง่ ฉันคิดว่านายรู้แน่นอนว่าฉันจะรู้สึกยังไงพอได้ยินคำพูดแบบนั้น”

มูคยอมปิดปากเงียบ

ประเมินเขาสูงไปแล้ว ถ้าอีกฝ่ายคิดว่าเค้าเป็นแค่คนโง่ก็คงจะดี

“ตอนนี้เหมือนว่าฉันจะรู้แล้ว เหตุผลที่ช่วงนี้ฉันเห็นนายแล้วรู้สึกอึดอัดอยู่เรื่อย มันไม่ใช่แค่เพราะว่าต้องฟังคำพูดพล่อยๆ หรือเพราะเริ่มรำคาญนาย แล้วก็ไม่ใช่เพราะรู้สึกแปลกๆ กับที่นายบอกชอบฉันด้วย”

น้ำเสียงของฮาจุนค่อยๆ หนักแน่นขึ้นราวกับนักสืบที่อยู่ในระหว่างการสืบสวน ไม่ก็อาจารย์ที่กำลังตักเตือนนักเรียน

“ฉัน… อยากจะเข้าใจนายนะ ที่บอกว่าชอบ บอกว่าขอโทษ ถ้านายคิดไปเองคนเดียวเสร็จสรรพแล้วโยนข้อสรุปแบบนั้นมาให้ ฉันก็มีแค่สองตัวเลือกคือตอบรับหรือปฏิเสธไม่ใช่หรือไง อย่างนี้ไม่ใช่ว่าต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งเหรอ งั้นถ้านายอยากได้ยินคำตอบ ก็ต้องอธิบายฉันมาก่อน”

ความชัดเจนในนิสัยที่เป็นเอกลักษณ์ของคนที่กำลังพูดเพื่อตามหาคำตอบถูกวาดอย่างสวยงามบนใบหน้าขาวที่เคยบิดเบี้ยวเพราะความสุขสมเมื่อสักครู่ราวกับเส้นที่วาดด้วยน้ำหมึก มันงดงามมากจนมูคยอมพูดไม่ออกและละสายตาไปไม่ได้

“ใช่แล้ว ฉันสงสัยเรื่องนั้นมาตั้งแต่แรกแล้วว่าทำไมนายถึงทำแบบนั้นกับฉัน คิมมูคยอม”

เขาถูกล่วงรู้ความลับสุดยอดเข้าแล้ว

มูคยอมปิดปากเงียบแล้วกลืนน้ำลายแห้งๆ ลงคอหลายครั้ง ทว่าฮาจุนกลับกำลังมองมาที่เขาด้วยสีหน้าแข็งกระด้างดังเช่นเวลาปกติราวกับว่าจะไม่ยอมหันหลังกลับจนกว่าจะได้ฟังคำตอบ

ดังนั้นมูคยอมก็เลยต้องตอบคำตอบที่จะทำให้โค้ชอีฮาจุนผู้ซื่อสัตย์ที่มักจะจดบันทึกและศึกษาเหตุและผลของสถานการณ์ตรงหน้าอย่างเต็มที่สามารถยอมรับได้

“…ก็ฉันเคยแต่คบกับคนอื่นแบบเผินๆ มาตลอด ไม่เคยลองคบกับใครจริงจังนี่ เลยกลัวว่าจะทำผิดแล้วไปสร้างบาดแผลให้กับนาย”

แม้แต่ในขณะที่เขาพูดแก้ตัวยืดยาว อีกฝ่ายก็ดูเหมือนว่าจะไม่คล้อยตามเลยแม้แต่นิด

คะแนนการโกหกเป็นศูนย์

น้ำเสียงของฮาจุนเริ่มแข็งกร้าวขึ้นมาตามคาด

“พูดอะไรให้มันเข้าท่าหน่อย บอกว่ากลัวจะสร้างบาดแผลให้คนอื่น แต่กลับพูดอะไรแบบนั้นออกมางั้นเหรอ ถ้าพูดว่าเป็นห่วงสักสองรอบ คงจะฆ่าคนได้จริงๆ ละมั้ง”

“…”

“ฉันก็ไม่ได้อยากทำแบบนี้หรอก ไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อนด้วย”

ฉันกลัวว่าตัวเองจะเสียสติแล้วทำให้นายเจ็บ

ไม่สิ ความจริงฉันกลัวว่าตัวเองจะเสียสติแล้วทำให้ตัวเองเจ็บ

กลัวว่าจะทำผิดพลาดเพราะฝืนกฎเหล็กที่เฝ้ารักษามาตลอด กลัวว่าชีวิตที่ตัวเองเคยเชื่อมั่นว่ากำลังดำเนินมาอย่างราบรื่นพังทลายลง

แต่ถึงอย่างนั้นมูคยอมก็ยังอยากที่จะดูดซับน้ำหวานของอีกฝ่าย และมันเป็นสิ่งที่เขาเอาแต่นึกถึงมาตั้งแต่ต้นจนจบ

ทว่าคำพูดพวกนี้ไม่ใช่คำตอบที่อีกฝ่ายต้องการ

“ฉันก็อยากจะดีใจจริงๆ ตอนที่นายบอกว่าชอบฉัน ไม่ได้อยากคิดถึงอะไรแบบนี้เลย!”

ฮาจุนขึ้นเสียงเล็กน้อยในตอนท้าย เขาเสยผมพลางถอนหายใจออกมาเหมือนอึดอัดใจแล้วลุกขึ้นขณะที่มองไปยังมูคยอมที่นิ่งเงียบไป

“…ไปอาบน้ำก่อนนะ ยังไงก็ขอโทษด้วยที่ชวนก่อนแต่ไม่ได้ทำให้จนจบ”

ยังคงมีความรับผิดชอบอย่างเต็มเปี่ยมจนถึงที่สุด

มูคยอมไม่สามารถลุกขึ้นยืนและเดินตามไปได้ ทำเพียงเหม่อมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่สวมเสื้อคลุมที่เคยพาดไว้ตรงปลายเตียงแบบลวกๆ เดินพ้นจากประตูไป มูคยอมเอนกายไปด้านหลังและล้มตัวนอนลงไปบนเตียงด้วยความหมดแรงขณะที่มองไปยังพื้นที่ว่างที่ฮาจุนเคยนั่งอยู่

เขาคงสำคัญสถานะตัวเองผิดไป ไม่ใช่ฝ่ายรับกับฝ่ายรุก แต่เป็นตำรวจกับโจรงั้นเหรอ

‘ยอมจำนนแล้วจะพบแสงสว่าง’

ถึงแม้ว่าวลีในแคมเปญสุดคลาสสิกจะวาบขึ้นมาในหัวราวกับป้ายไฟ แต่

มูคยอมก็ไม่มั่นใจพอที่จะพรั่งพรู ‘เหตุผล’ นั้นออกไปต่อหน้าของฮาจุน

——————————————————

การแข่งขันลีกถัดไปถูกกำหนดขึ้นทันทีที่จบแมตช์ A ประจำสัปดาห์ราวกับเฝ้ารออยู่แล้ว เหล่านักกีฬาต่างสะพายกระเป๋าใบใหญ่และยืนต่อแถวเพื่อขึ้นรถบัสที่กำลังจะออกเดินทางไกลไปยังสถานที่แข่งขัน

คนที่ไม่รู้จักเจอมูคยอมก็แค่จะเดินผ่านไป แต่ถ้ามีคนที่รู้จักกันดีเจอเขาเข้าก็จะทำหน้าไม่พอใจและเดินขึ้นรถบัสไปทันที

เมื่อกวาดสายตาสำรวจที่นั่งก็เห็นฮาจุนนั่งอยู่คนเดียวที่ริมหน้าต่างตรงแถวหลังและกำลังมองไปยังสมุดโน้ตเหมือนอย่างทุกครั้ง มูคยอมพ่นลมจมูกเบาๆ แล้วก้าวเท้ายาวๆ ไปยังที่นั่งข้างๆ ฮาจุนราวกับกลัวว่าใครจะมานั่งก่อน เขาวางกระเป๋าไว้ตรงช่องเก็บสัมภาระและทรุดตัวลงนั่ง มูคยอมคงไม่รู้ว่าถึงที่นั่งข้างๆ

ฮาจุนจะว่างแต่ก็ไม่มีใครคิดที่จะมานั่ง เพราะถึงอย่างไรพวกนักกีฬาและทีมงานของทีมซิตี้โซลก็คุ้นเคยกับภาพที่ทั้งสองคนนั่งคู่กันอยู่แล้ว

สุดท้ายวันนั้นก็แยกย้ายกันไปอย่างนั้น จนถึงที่สุดผู้ต้องหาคิมมูคยอมก็ไม่ได้ยอมรับสารภาพออกไป และพนักงานสืบสวนอีฮาจุนก็ไม่ได้คิดที่จะสอบสวนไปตลอดทั้งคืน จึงสวมเสื้อผ้าทีละชิ้นๆ แล้วก็กลับบ้านไป หลังจากอาบน้ำเสร็จฮาจุนที่กลับมาเป็นโค้ชที่ใจเย็นเหมือนเดิมก็ทิ้งการบ้านไว้ให้เด็กนักเรียนหัวทึบ

‘ถ้าพูดตอนนี้ไม่ได้ก็ลองจัดการความคิดไปเรื่อยๆ แล้วค่อยบอกมาแล้วกัน’

ฮาจุนมองมูคยอมที่นั่งอยู่ด้านข้างแค่ปราดเดียวเหมือนกับเช็กว่าอีกฝ่ายเป็นใครแล้วก้มลงมองสมุดโน้ตอีกครั้งทันที แน่นอนว่ามูคยอมก็ไม่ได้หวังให้อีกฝ่ายให้การต้อนรับ หลังจากใส่หูฟังเสร็จเขาก็กอดอกและหลับตาลง

แม้ว่าตอนนี้มูคยอมจะตอบคำถามนั้นไม่ได้แบบที่ฮาจุนบอก แต่ถึงยังไงเขาก็ยืนกรานที่จะอยู่เคียงข้างอีกฝ่ายต่อไป คำพูดที่ว่าชัยชนะจะเป็นของคนที่อดทนคือเรื่องจริง ปัญหาชีวิตนั้นเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ต่างกันไปตามรูปแบบและสถานการณ์ ไม่เหมือนกับโจทย์ในข้อสอบ หากถอดใจก็จะไม่สามารถไปถึงจุดที่จะค้นพบคำตอบได้

ไม่เกินจริงเลยหากจะบอกว่าตอนนี้มูคยอมประสบความสำเร็จหลังจากผ่านการอดทนต่อสู้กับชีวิตมา เขาอดทนเช่นนั้นมาตลอด และเมื่อวิ่งไปเรื่อยๆ ก็จะยิ่งเจอกับสถานการณ์ใหม่ๆ

เมื่อรถออกตัวได้ประมาณครึ่งชั่วโมง เหล่านักกีฬาส่วนใหญ่ที่หลับได้ทุกที่ก็หลับกันไปเกือบหมด ภายในรถบัสที่ต้องใช้เวลาเดินทางกว่าสองชั่วโมงเศษจึงเงียบสงบลง ท่ามกลางเสียงสั่นสะเทือนของรถบัสที่วิ่งไปตามถนน ฮาจุนที่เคยพลิกข้อมูลดูอย่างช้าๆ เริ่มรู้สึกเหมือนเมารถจึงเงยหน้าขึ้นและมองออกไปนอกหน้าต่าง

ในตอนที่กำลังคิดว่าจะนอนบ้าง รถบัสก็แล่นเข้าไปในอุโมงค์ ความมืดทึบปกคลุมภายนอกหน้าต่าง ฮาจุนมองใบหน้าของชายหนุ่มที่กำลังเอียงศีรษะไปด้านข้างและนอนหลับอยู่

‘ดูดีจัง…’

ความคิดชั่วครู่นั้นผุดขึ้นมาในหัวก่อนที่เขาจะทันได้คิดอะไร ฮาจุนขมวดคิ้วอย่างไม่อยากจะเชื่อที่ตัวเองคิดอย่างนั้น หรือว่าที่เขาปล่อยมือไปจากคิมมูคยอมไม่ได้จะเป็นเพราะเรื่องหน้าตาจริงๆ

“อืม…”

ตอนนั้นเองที่มูคยอมขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยและขยับพลิกตัว ฮาจุนสะดุ้งตกใจแล้วเลื่อนสายตาลงมองสมุดโน้ตที่แทบมองไม่เห็นอีกครั้งอย่างเปล่าประโยชน์ ใบหน้าของอีกฝ่ายโน้มลงมาด้านข้างเอียงมาทางฮาจุน หลังจากค่อยๆ ขยับพลิกร่างกายอันใหญ่โตและโน้มลงมาพิงหน้าเข้ากับหัวไหล่ของเขาแล้วมูคยอมถึงหยุดเคลื่อนไหว

ฮาจุนหันไปมองข้างๆ แต่อีกฝ่ายกลับยังหลับตาอยู่เหมือนเดิม ดูเหมือนจะไม่ใช่การแสดง ใบหน้าของมูคยอมเจือไปด้วยความพึงพอใจ อาจเพราะรู้สึกสบายที่เจอที่ค้ำซึ่งช่วยรองรับศีรษะเอาไว้ อีกฝ่ายอ้าปากออกเล็กน้อยและกลับมาหายใจราบเรียบอีกครั้งและหลับต่อ

ไม่ได้การแล้ว นอนแบบนี้คออาจจะพันกันได้

แม้จะคิดอย่างนั้นแต่ฮาจุนก็ไม่กล้าปลุกมูคยอม เขามองอีกฝ่ายด้วยความลังเลและขยับแขนอย่างเชื่องช้าเพื่อไม่ให้ไหล่สั่นไหว ฮาจุนม้วนเสื้อบอลที่ถอดทิ้งไว้และค่อยๆ สอดเข้าไปตรงซอกคอของอีกฝ่ายที่พับลงมาด้านข้างเพื่อทำเป็นหมอน แล้วรถบัสก็วิ่งไปอย่างเงียบๆ อีกพักใหญ่

“ตื่นได้แล้วคิมมูคยอม”

มูคยอมลืมตาขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงปลุก เขาใช้เวลาเล็กน้อยกับการตั้งสติเนื่องจากเมื่อคืนเขานอนหลับได้ไม่เต็มที่เมื่อคิดว่าการแข่งเกมเยือนใกล้จะมาถึง

ถึงแล้วเหรอ

มูคยอมขยับร่างกายที่ยังงัวเงียให้ลุกขึ้นและกะพริบตา ระหว่างนั้นฮาจุนที่หยิบกระเป๋ารวมถึงเอาเสื้อบอลมาสวมก็โบกมือตรงหน้าแล้วพูดปลุก

“ถึงแล้ว ตั้งสติหน่อย”

“อือ”

มูคยอมบิดขี้เกียจและยืดตัวขึ้น ขยับคอซ้ายขวาแล้วหิ้วกระเป๋าที่เคยวางไว้บนช่องเก็บสัมภาระลงมา การนอนหลับไม่เพียงพอ รวมถึงการมีตารางแข่งเพิ่มทันทีที่แข่งเสร็จทำให้เขารู้สึกอ่อนเพลียเล็กน้อย

มูคยอมบ่นในใจ เขาแค่นหัวเราะออกมาขณะที่เดินลงจากรถบัส เขาบ่นพึมพำเรื่องที่ตัวเองมาเกาหลี ทั้งที่มันไม่ได้เหนื่อยเท่าไหร่เมื่อเทียบกับตารางการแข่งอันดุเดือดของพรีเมียร์ลีกในช่วงสิ้นปี

เมื่อเข้าไปในสนามแข่งแล้วเปลี่ยนชุด เหล่านักกีฬาก็ออกมาข้างนอกเพื่อวอร์มร่างกายทันที แม้จะเหลือเวลาอีกไม่นานกว่าที่การแข่งขันจะเริ่มต้นขึ้น แต่เหล่าผู้ชมที่คลั่งไคล้ซึ่งอยากจะดูพวกนักกีฬาวอร์มร่างกายก็ไม่ได้จับจองที่นั่งไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ และกำลังตั้งใจถ่ายรูปหรือไม่ก็พูดให้กำลังใจเหล่านักกีฬากันอยู่

“นักกีฬาคิมมูคยอม! สู้ๆ นะคะ!”

อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าจะเป็นผู้ชมจากฝั่งเจ้าบ้าน มูคยอมยิ้มและโบกมือให้กับแฟนคลับผู้หญิงคนหนึ่งที่ตะโกนเรียกเขาด้วยท่าทางที่เป็นมิตร

ว้าว แม้แต่คนรอบข้างก็ตื่นเต้นและมาร่วมโบกมือกับแฟนคลับคนนั้น

หนึ่งในงานอดิเรกที่มูคยอมทำมานานคือการมาแข่งเกมเยือนแล้วโปรยเสน่ห์ให้กับแฟนคลับของทีมฝั่งตรงข้าม บางครั้งก็ได้รับคำชมว่าเป็นคนดังที่เซอร์วิสแฟนๆ อย่างเท่าเทียมไม่ว่าจะเป็นที่ไหนหรือเมื่อไหร่ บางครั้งก็ถูกด่าว่าไม่มีมารยาทจากงานอดิเรกแปลกๆ

ถึงจะเป็นการกระทำเดียวกัน แต่การประเมินค่าก็จะแตกต่างกันไปตามแต่สถานการณ์ในตอนนั้นๆ หรือตามอุปนิสัยของฝ่ายตรงข้าม ดังนั้นการใช้ชีวิตโดยที่ยึดติดกับคำวิจารณ์ของคนอื่นจึงเป็นการเสียเวลาชีวิต

“เอ้า เอาล่ะ ทุกคนมารวมตัวกัน!”

แต่ถ้าเกิดเขาอยากจะเป็นคนดีและไว้ใจได้อยู่เสมอสำหรับคนพิเศษสักคนล่ะ

การโปรยเสน่ห์และทำให้ผู้อื่นชื่นชอบได้ในเวลาสั้นๆ นั้นง่ายเสียยิ่งกว่ากะพริบตา แต่สำหรับมูคยอมที่ไม่เคยต้องพยายามเอาชนะใจใครมาก่อน คำถามนั้นกลับเป็นปัญหาใหญ่ที่เขาไม่เคยทดสอบเลยสักครั้งในชีวิต

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+