Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก 99

Now you are reading Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก Chapter 99 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ถึงจะไม่ได้แนบหน้าลงไปที่บริเวณหัวใจซะทีเดียว แต่จังหวะการเต้นของหัวใจที่เต้นรัวก็สะเทือนมาถึงแก้มของเขา

อย่างแผ่วเบา แม้ว่าเหงื่อที่ซึมออกมาจากร่างกายจะทำให้หงุดหงิดอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เป็นอะไร

แผงอกที่ใบหน้าแนบอยู่ทั้งกว้างและแข็งแกร่ง อาจจะเป็นเพราะอ้อมกอดตามสัญชาตญาณที่ได้รับจากร่างกายอันใหญ่โตของอีกฝ่าย ฮาจุนจึงกะพริบตาช้าๆ อย่างอ่อนเพลียราวกับง่วงขึ้นมาในช่วงเวลาสั้นๆ

ในขณะที่ลืมไปแล้วว่าทำไมถึงทำอะไรแบบนี้อยู่ และเหม่อมองลงไปบนพื้น ก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นมา

“เมื่อวานฉันไปบ้านลุงมา”

“ลุง”

“ผู้จัดการพัคไง”

อ๋อ ฮาจุนแนบหน้ากับหน้าอกของมูคยอมและพยักหน้ารับเล็กน้อย

“ไปแป๊บหนึ่งเพราะการสัมภาษณ์ครั้งก่อน ตอนนั้นฉันอยู่นานไม่ได้”

“อือ”

“ฉันว่ายังไงก็คงยากที่ลุงจะกลับมาในปีนี้ ฉันอยากจะลงแข่งนัดสุดท้ายในฐานะผู้เล่นของลุงนะ… ถึงจะพัฒนาไปได้ไม่เลว แต่ผู้จัดการทีมฟุตบอลเป็นอาชีพที่ต้องใช้สมาธิเป็นอย่างมาก หมอคงกลัวว่าลุงแกจะตื่นเต้น

จนอาการแย่ลงเลยยังห้ามไม่ให้กลับมาทำงาน”

ฮาจุนได้แต่พยักหน้าโดยไร้คำตอบ ถึงจะลืมเรื่องนี้ไปชั่วขณะ แต่การที่มูคยอมมาที่นี่ก็เพื่อใช้เวลาหนึ่งฤดูกาล

ไปกับผู้จัดการทีม พัคจุนซอง เขารู้ดีกว่าใครว่ามูคยอมอยากจะอยู่ร่วมทีมกับคนที่นับถือ

“ใครจะไปรู้ อีกหน่อยถ้าผู้จัดการพัคได้เป็นผู้จัดการทีมชาติ ก็อาจจะได้ร่วมงานกันอีกก็ได้”

“ลุงจะยอมดูแลทีมชาติไหมนะ ถึงจะได้รับข้อเสนอก็คงจะไม่รับหรอก ตาลุงนั่นน่ะใจเสาะกว่าที่เห็น”

ดูจากการที่เพิ่งจะรับข้อเสนอให้เป็นผู้จัดการทีมมืออาชีพเป็นครั้งแรกเอาตอนนี้ก็อาจจะเป็นอย่างนั้น ฮาจุนเงียบไปเมื่อไม่มีอะไรจะพูดต่อ

“อาจจะเป็นเพราะล้มเจ็บไปครั้งหนึ่ง คนเราถึงได้ดูแก่ลงไปเยอะ ดูเหมือนภรรยาของลุงแกก็จะแก่ขึ้นทุกครั้งที่เจอ เมื่อก่อนน่ะ ถึงทั้งสองจะตัวเตี้ยกว่าฉัน แต่ก็ดูสูงอยู่ดี แต่ตอนนี้กลับตัวเตี้ยลงไปมากเลย”

“บางทีฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกันเวลาที่เจอแม่ ถึงจะเจอกันทุกวัน แต่ก็มีช่วงที่รู้สึกแบบนั้นขึ้นมาเหมือนกัน”

มือใหญ่วางลงบนหัวอย่างแผ่วเบา ฮาจุนทำตาโตด้วยความตกใจ เขาพูดออกไปเพื่อที่จะปลอบใจเพราะดูเหมือนมูคยอมจะว้าวุ่นใจ แต่มูคยอมกลับลูบหัวฮาจุนช้าๆ ราวกับตั้งใจจะปลอบใจ

ทำไมเป็นแบบนี้อีกแล้วล่ะ ถึงจะบ่นด้วยความไม่สบายใจอยู่ในใจ แต่ฮาจุนก็ไม่ได้ปัดมือนั้นออก

และนอนคว่ำอยู่อย่างนั้น

“โค้ชอี”

“ทำไม”

“เรื่องที่โค้ชอีถามเมื่อครั้งก่อนน่ะ”

“…อืม”

“ถ้าไม่บอก… ก็จะไม่ได้เป็นแฟนกันไปตลอดเลยหรือเปล่า”

ฮาจุนไม่ได้ตอบกลับไปในทันทีและนิ่งเงียบ

ใจของเขาสงบนิ่ง มีช่วงที่ความคิดไร้สาระเกิดขึ้นลุกลามราวกับควันที่เผาไหม้จิตใจเพียงแค่ถามออกมาอยู่เช่นกัน พอช่วงเวลาที่อึดอัดใจซึ่งไม่รู้แน่ชัดว่าตนเองไม่สบายใจและเกิดคำถามขึ้นเพราะอะไรผ่านพ้นไป จึงได้ถามกับอีกฝ่าย ความใจร้อนที่คอยรังควานตัวเขามาช่วงขณะหนึ่งก็สลายหายไป

ตั้งแต่วันที่ขอให้อีกฝ่ายอธิบาย จนมาถึงวันนี้ ฮาจุนก็ไม่ได้เร่งเร้าและรอให้มูคยอมตอบอยู่ เส้นแบ่งระหว่าง เขากำลังรอคำตอบของอีกฝ่าย หรือปล่อยให้คำถามนั้นไกลลับตาไปเรื่อยๆ ก็เลือนรางจนไม่ชัดเจนไปซะแล้ว

พอฮาจุนหยัดตัวขึ้น ครั้งนี้มูคยอมเองก็ยอมผ่อนแรงที่แขนลง ทั้งสองจึงสบตากันโดยที่ฮาจุนมองจากด้านบน มูคยอมมองขึ้นมาจากด้านล่าง มูคยอมขมวดคิ้วเล็กน้อย และยกยิ้มพร้อมกับถามออกมา

“ฉันขายหน้า เลยบอกนายไม่ได้ ช่วยทำเป็นไม่รู้เรื่องสักครั้งได้ไหม”

“สักครั้ง? ฉันยอมนายมาตั้งหลายครั้งแล้วนะ”

“ถ้างั้นก็อีกสักครั้งเป็นครั้งสุดท้าย”

สีหน้าของมูคยอมที่จ้องมองฮาจุนในวันนี้ก็เป็นสีหน้าที่ไม่คุ้นเคย เป็นสายตาที่เหมือนกับอ้อมกอดที่ทั้งอบอุ่นและอ่อนโยน ล้ำค่าจนไม่สามารถหาที่ไหนได้อีกในโลก

ถึงจะไม่เข้าใจกระบวนการทางความคิดของมูคยอมที่ชื่นชอบเขาภายในคืนเดียว แต่หลังจากที่อีกฝ่ายพูดคำว่าชอบเขาออกมาแล้ว แม้ว่าความรู้สึกนั้นอาจจะเปลี่ยนไปในทันทีเลยก็ได้ แต่ก็ไม่เคยระแวงว่าความรู้สึกนั้นมันไม่จริง

แต่สิ่งที่น่าระแวงคือความรู้สึกของตัวเขาเอง ถ้าเรียกว่าเป็นรักข้างเดียวมาตลอด 10 ปีก็อาจจะฟังดูเป็นความรักที่บริสุทธิ์มาก แต่ที่จริงแล้วเขากลัวว่ามูคยอมจะทำหน้าหงุดหงิดใส่เขาหรือเปล่า จึงไม่กล้าเข้าใกล้ ได้แต่คาดเดาสีหน้าของอีกฝ่ายและทำตามจินตนาการที่สร้างขึ้นมาเท่านั้น

เมื่อได้ใช้เวลายามค่ำคืนไปด้วยกัน ก็ดีใจที่ได้รู้จักอีกฝ่ายที่ตัวเขาได้แต่คอยมองอยู่ไกลๆ เท่านั้น แต่หลังจากที่ชนเข้ากับกำแพงที่อีกฝ่ายก่อขึ้นมา จิตใจก็ห่อเหี่ยวเหมือนกับแมลงที่ห่อตัวอีกครั้ง คำถามที่เกิดขึ้นหนึ่งครั้งก็ยังคงอยู่ในมุมหนึ่งของหัวใจอยู่เสมอ

และในตอนนี้มันก็ยังคงอยู่อย่างนั้น สาเหตุที่รู้สึกประหม่าที่มูคยอมชอบตนเอง ก็คงจะเป็นเพราะตัวเขาเอง

ยังคงมองแต่รูปลักษณ์ภายนอกของมูคยอมอยู่เช่นเดิม

ความจริงที่ได้รู้เมื่อเวลาผ่านพ้นไป คือสาเหตุที่เขาไม่มั่นใจที่จะคอยปกป้องอยู่เคียงข้างมูคยอมในฐานะแฟนหรือคนรัก ไม่ใช่เพราะมูคยอมทำให้เขาเป็นทุกข์เพียงเท่านั้น คนเราจะทุกข์ทรมานที่สุดก็ตอนที่รู้สึกระแวงในสิ่งที่ตนเองเชื่อมาตลอด

เขาเองก็อยากจะได้รับความมั่นใจจากหัวใจดวงนี้

อยากจะมั่นใจว่าหัวใจดวงนี้รักผู้ชายที่ชื่อมูคยอม ไม่ใช่จินตนาการที่เขาสร้างขึ้นมา

คิมมูคยอมที่บางครั้งก็สนิทและอ่อนโยนมากจนทำให้เขาสับสน ทั้งๆ ที่ย้ำนักย้ำหนาว่าเป็นความสัมพันธ์ทางกาย คิมมูคยอมที่ชวนให้เขาเป็นคู่ขาในเรื่องเซ็กซ์ราวกับมองว่าเขาเป็นเครื่องสนองตัณหาทางเพศ และกดขี่ข่มเหงเขา และคิมมูคยอมที่บอกชอบเขา ในความสัมพันธ์ระหว่างเขาทั้งสองมีส่วนที่ถูกระบายด้วยสีดำราวกับกล่องดำของทฤษฎีแห่งวิวัฒนาการอยู่ เขาสงสัยว่ามีอะไรอยู่ในนั้น

แต่ก็ได้แต่ขอคำตอบจากมูคยอมเท่านั้น เพราะเขายังเป็นคนขี้ขลาดที่กลัวว่าถ้าหากพูดในสิ่งที่ตนเองระแวงออกไป จะเป็นการเผยให้เห็นว่าความรู้สึกของตนเองที่เขาให้ความสำคัญกับมันมากเป็นสิ่งที่ไร้ค่า

รักความถูกต้องเกินความจำเป็นหรือเปล่านะ ทุกคนต่างก็รักโดยที่ไม่มีความชัดเจนแบบนี้กันหรือเปล่านะ ถ้าคิดถึงเรื่องราวความเป็นไปของโลกเกี่ยวกับความรักหรือการมีคนรักก็อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ สำหรับเขาแล้ว ทุกสิ่งก็เป็นเพียงดินแดนที่ไม่รู้จักเท่านั้น คงจะเงียบไปนาน มือของมูคยอมจึงได้เลื่อนขึ้นไปจนถึงหลังคอของฮาจุน

“อีฮาจุน ถึงจะดูใจเสาะที่ฉันเอาแต่บอกปัดไปเรื่อย แต่ฉันขอบอกนายอีกครั้ง”

อีกฝ่ายสบตากับฮาจุน

“ฉันรู้ว่านายสงสัยเรื่องอะไร ฉันไปจัดการความคิดตามที่นายบอกแล้ว… แต่มันพูดยากจริงๆ แต่ฉันสาบานได้เลยว่า ถ้านายช่วยหลับหูหลับตาอีกครั้งเป็นครั้งสุดท้าย ฉันจะไม่ทำแบบนั้นอีก”

“…”

“ฉันรู้ว่าที่ผ่านมาฉันทำให้นายเป็นทุกข์ แต่ยังไงก็ต้องลองคบกันจริงๆ จังๆ ดูสักครั้งสิ ฉันยังมีสิ่งที่อยากทำให้นายอีกเยอะเลย”

นิ้วเรียวยาวลูบไล้ไปบนใบหน้าอย่างอ่อนโยน

“มีความสัมพันธ์ทางกายกับไอ้สวะคิมมูคยอมแล้วก็จบความสัมพันธ์ลงไปแบบนั้น นายไม่คิดว่ามันไม่ยุติธรรมเหรอ ลองคบเป็นแฟนกับคิมมูคยอมที่กลับตัวกลับใจดูสักครั้งไหม”

ฮาจุนที่เหม่อไปสักพักเมื่อได้ฟังคำนั้นที่ฟังดูเหมือนเป็นคำที่ท่องมา ลุกขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มอันขมขื่น

“โอเค ฉันยอมนายก็ได้”

“จริงเหรอ”

มูคยอมทำตาโตและลุกขึ้นในทันที ที่ขอให้จับมือเอาไว้ เป็นการแกล้งตีหน้าเศร้านี่เอง

“ไม่ใช้วันนี้หรอกนะ”

“แล้วยังไงล่ะ”

“หลังจากที่ฉันพูดคำนั้นออกมา แล้วนายขอให้มาเจอกันวันนี้ มันนานแค่ไหน นายเองก็รออย่างสงบเสงี่ยมสิ จะทำแต่เรื่องที่นายชอบอย่างเดียวไม่ได้นี่”

“อีฮาจุน ทำตัวร้ายกาจเป็นด้วยเหรอเนี่ย น่ารักไปหมดเลย”

เขาไม่ใช่คนประเภทที่สามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วและกล้าหาญเหมือนมูคยอม เขาเคยได้ยินมาบ่อยๆ ว่าเขาเป็นคนที่ไม่มีความยืดหยุ่น อีกทั้งยังได้ยินคำตำหนิที่ว่าเพราะเขาเป็นแบบนั้นจึงไม่ประสบความสำเร็จ แต่ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้วจะให้ทำยังไงได้

การที่เดินตามมูคยอมไปขึ้นรถในวันที่มูคยอมจูบเขาเป็นครั้งแรก เป็นการตัดสินใจที่หุนหันพลันแล่นที่สุดในชีวิตของฮาจุน และต่อไปก็จะได้รู้ว่าการตัดสินใจในครั้งนั้น เป็นโชคหรือความผิดพลาดของชีวิตกันแน่

ฮาจุนมองอีกฝ่าย คิมมูคยอมคือสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของเขา และเป็นผู้ชายที่ดูสมบูรณ์แบบไปทุกเรื่อง แม้แต่นิสัยที่ชอบทำอะไรตามแต่ใจตัวเองของอีกฝ่าย เขาก็ยังรู้สึกว่าเป็นสิ่งพิเศษ

แต่ตอนนี้เขาไม่ได้มองอีกฝ่ายว่าเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบอีกต่อไปแล้ว คิมมูคยอมเป็นคนที่เต็มไปด้วยมุมที่เหมือนกับเด็กซึ่งมีความซับซ้อนจนไม่สามารถเข้าใจได้

แต่นอกจากความเข้าใจได้ยากแล้ว เขาก็ยังคงชอบคิมมูคยอมที่เป็นแบบนั้น… อยู่เช่นเดิม

จะมั่นใจถึงขนาดที่พูดได้ว่า ตัวเขาในตอนนี้เข้าใจตัวตนของมูคยอมในแบบที่มูคยอมเป็นได้มากกว่าตอนที่มองอีกฝ่ายอยู่เพียงฝ่ายเดียวได้ไหมนะ ฮาจุนยิ้มพร้อมกับสะพายกระเป๋า

“รีบออกมาสิ จะปิดไฟแล้ว”

มูคยอมคงจะอารมณ์ดีขึ้นเพราะคำพูดที่ไม่ต่างอะไรกับการตกปากรับคำ จึงไม่แกล้งตีหน้าเศร้าอีก และเดินเคียงข้างฮาจุนพร้อมกับไม้ค้ำทันที ฮาจุนแอบมองใบหน้าของอีกฝ่ายที่อยู่สูงกว่าระดับสายตาของตนเองเล็กน้อย

ใบหน้าด้านข้างที่ได้รูป ดวงตาอันเฉียบคม สันจมูกโด่งๆ และสันกรามคม ดึงดูดสายตาของฮาจุนที่จ้องมองราวกับว่า ความมั่นใจและความแข็งแกร่งที่หลอมรวมเป็นอีกฝ่ายถูกบรรจงวาดขึ้นมา

แต่ตอนนี้ตัวเขามองไปพร้อมกับรอยร้าวที่เกิดขึ้นในตัวอีกฝ่ายด้วย จึงเกิดความคิดที่ว่า บางทีรอยร้าวที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็น อาจจะเป็นอีกด้านหนึ่ง สีสัน และแสงสว่างของผู้ชายที่คว้าใจของเขาได้อยู่หมัดก็ได้

…หากทึกทักว่าฉันไปทำอะไรให้ หรือยืนยันว่าฉันไม่เคยเป็นแบบนั้น หรือหากย้อนถามว่าเวลาที่ทะเลาะกันก็เป็นแบบนั้นกันหมดไม่ใช่เหรอ หรือหากดึงดันว่าทั้งหมดเป็นสิ่งที่นายเข้าใจผิดไปเอง

ถ้าพูดแบบนั้น เขาก็จะยิ่งโมโหมูคยอมมากว่าเมื่อก่อนมาก หากใช้คำพูดสวยๆ ว่าเป็นคนรักหรือเป็นแฟน แล้วเกิดเขาด่าคิมมูคยอมอย่างรุนแรงออกไป คราวนี้อีกฝ่ายอาจจะหนีจากเขาไปจริงๆ ก็ได้

แต่มูคยอมก็ได้แต่บอกว่าอายจนไม่สามารถพูดออกมาได้เท่านั้น ถึงจะไม่รู้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายตั้งใจจะปกปิดไว้คืออะไร แต่ก็ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้สาเหตุที่ได้รับคำถามจากฮาจุน

แม้ว่าตอนนี้จะสงสัยในการกระทำของมูคยอม สงสัยว่าทำไมจู่ๆ ถึงได้มาบอกชอบเขา แต่เขาก็ไม่ได้มีการขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัวของคนอื่นเป็นงานอดิเรก เขาคิดว่าถ้ามูคยอมรู้และยอมรับในความขัดแย้งในตัวเองที่เขามีได้ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว

“อ้าว ฝนตกแฮะ”

มูคยอมพูดออกมาเบาๆ ฝนตกลงมาจากท้องฟ้าที่ก่อนหน้านี้ ตอนออกมาจากโรงยิมยังเห็นดวงจันทร์

ที่เพิ่งจะขึ้นอยู่เลย ฮาจุนพูดออกมาพลางยื่นมืออกไปวัดระดับความแรงของสายฝน

“ฉันต้องกลับไปเอาร่มที่ออฟฟิศแป๊บนึง”

“ใช้ร่มทำไมกัน นั่งรถฉันไปสิ ฉันจะขับไปส่งถึงหน้าบ้าน ไม่ให้นายต้องโดนฝนเลยสักหยด”

ถึงจะไม่เลว แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้เขาถึงอยากจะนั่งรถเมล์กลับบ้านพร้อมกับดูวิวฝนตกเพียงลำพังขึ้นมา พอได้ฟังคำตอบที่ไม่ใช่คำตอบแล้ว เขาก็ต้องการเวลาที่จะจัดการกับความระแวงหลายๆ อย่าง ความไม่คุ้นเคย และความรู้สึกที่ยากจะเข้าใจ

แล้วพรุ่งนี้ก็เป็นวันหยุดพอดี ตอนที่ได้พบมูคยอมอีกครั้งหลังจากวันหยุด เขาอยากจะปลดปล่อยความกังวลต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมาและตอบรับความรู้สึกของอีกฝ่าย เมื่อจัดการความรู้สึกได้แล้ว เขาก็จะไม่หยิบเรื่องราวในอดีตออกมาพูดต่อหน้าอีกฝ่ายอีก

ตอนที่ฮาจุนจมอยู่กับความคิดไปชั่วขณะในขณะที่มองสายฝน มูคยอมก็พาดแขนลงมาบนไหล่อย่างแผ่วเบา พอเงยหน้าขึ้นก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังก้มลงมามองเขาและกำลังยิ้มอยู่

“พออยู่แบบนี้แล้ว ก็นึกถึงวันที่เราจูบกันครั้งแรกเลย ว่าไหม”

“หน้าไม่อาย”

พอนึกถึงอีกฝ่ายที่ไม่มีใจให้เขาเลยสักนิดแต่กลับจูบเขาตามอำเภอใจ แล้วก็หัวเราะเหมือนกับบอกว่า ‘ทำไปเพื่อที่จะลองใจ’ เหมือนกับตอนนี้แล้ว ตอนนี้เขาก็เกลียดชังอีกฝ่ายในตอนนั้นเช่นกัน มูคยอมก้มหน้าเข้ามาใกล้ว่าเดิม แตะลงที่หน้าผาก และถามด้วยเสียงอันแผ่วเบา

“ตอนนี้นายไม่อยากจูบกับฉันแล้วเหรอ”

“…ไม่ใช่ไม่อยาก แต่ไม่จูบดีกว่า”

มูคยอมขมวดคิ้วโดยที่หน้าผากยังแตะกันอยู่

“ทำไมล่ะ”

“เพราะวันนี้ฉันจะไม่ขึ้นรถนาย”

ถึงจะเคยว่าว่ามูคยอมเป็นเหมือนสัตว์ แต่ที่จริงตัวเขาเองก็ไม่ต่างกัน เขาไม่มั่นใจในตัวเองเลยว่าหากบรรยากาศพาไป และปล่อยให้มูคยอมจูบ เขาจะตามมูคยอมไปที่บ้านและจบลงที่บนเตียงหรือเปล่า

ในวันที่เป็นอย่างวันนี้ อาจจะมีคนที่บอกว่าการทำตามที่บรรยากาศพาไปอาจจะเป็นการตัดสินใจที่ฉลาด แต่ยังไงนั่นก็ไม่ใช่วิธีของเขา มูคยอมพูดออกมาพร้อมกับถอนหายใจ

“โค้ชอีของเราเก่งเรื่องการเล่นกับความรู้สึกของคนอื่นนี่นะ ฉันคิดว่านายเป็นลูกวัวที่มีเสน่ห์แพรวพราว

มาตั้งแต่แรกแล้ว”

คราวนี้ฮาจุนเป็นฝ่ายขมวดคิ้ว

“ลูกวัว?”

มูคยอมหัวเราะคิกคักและเงยหน้าขึ้น ระหว่างที่สติหลุดลอยไปเล็กน้อยเพราะใบหน้าขี้เล่นที่อยู่ตรงหน้า จุ๊บ จูบที่ถูกปฏิเสธก็พรมลงมาบนหน้าผาก จากนั้นก็ที่เปลือกตา และแก้ม ราวกับหิมะตก ความร้อนแผ่ซ่านไปทั่วทุกส่วนที่ริมฝีปากของมูคยอมสัมผัสราวกับดอกไม้อันเร่าร้อนเบ่งบาน ฮาจุนจึงก้มหน้าลงเล็กน้อย

“เข้าใจแล้ว”

มูคยอมพูดออกมา

“ริมฝีปากน่ะ จะเก็บไว้สำหรับวันที่คุณโค้ชอีจะให้คะแนนการบ้านอย่างเป็นทางการแล้วกัน ถ้ารออย่างสงบเสงี่ยมก็จะให้รางวัลใช่ไหม”

“…ส่งกระดาษเปล่ามาจะได้รางวัลได้ไง”

“แต่ก็ต้องให้คะแนนกันหน่อยสิ พักผ่อนเยอะๆ แล้วมะรืนนี้เจอกัน ถึงจะเห็นฉันเป็นแบบนี้ก็เถอะ ตอนนี้ฉันกระวนกระวายมากนะ แต่ยังไงก็จะอดทนรอ”

มูคยอมที่พูดออกมาแบบนั้น เอาแต่ยินพิงขอบประตูอยู่อย่างนั้นเหมือนกับคนที่ไม่คิดที่จะกลับไป ฮาจุนจึงเอ่ยปากถาม

“นายไม่ไปหรือไง”

“ก็ฉันเหงื่อออกนี่ ต้องอาบน้ำก่อนสิค่อยไป”

ฮาจุนไม่ละสายตาจากมูคยอมและจ้องมองอยู่อย่างนั้นไปสักพักก็ผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ พร้อมกับโบกมือลาและหันหลังกลับ เขามุ่งหน้าไปที่ออฟฟิศอย่างรวดเร็ว หยิบร่มสำรองที่ตรงไปที่ป้ายรถเมล์ ตัวเขาเองเป็นคนที่บอกให้รอแท้ๆ แต่น่าขำที่หัวใจของเขากลับเต้นรัวซะแล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก 99

Now you are reading Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก Chapter 99 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ถึงจะไม่ได้แนบหน้าลงไปที่บริเวณหัวใจซะทีเดียว แต่จังหวะการเต้นของหัวใจที่เต้นรัวก็สะเทือนมาถึงแก้มของเขา

อย่างแผ่วเบา แม้ว่าเหงื่อที่ซึมออกมาจากร่างกายจะทำให้หงุดหงิดอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เป็นอะไร

แผงอกที่ใบหน้าแนบอยู่ทั้งกว้างและแข็งแกร่ง อาจจะเป็นเพราะอ้อมกอดตามสัญชาตญาณที่ได้รับจากร่างกายอันใหญ่โตของอีกฝ่าย ฮาจุนจึงกะพริบตาช้าๆ อย่างอ่อนเพลียราวกับง่วงขึ้นมาในช่วงเวลาสั้นๆ

ในขณะที่ลืมไปแล้วว่าทำไมถึงทำอะไรแบบนี้อยู่ และเหม่อมองลงไปบนพื้น ก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นมา

“เมื่อวานฉันไปบ้านลุงมา”

“ลุง”

“ผู้จัดการพัคไง”

อ๋อ ฮาจุนแนบหน้ากับหน้าอกของมูคยอมและพยักหน้ารับเล็กน้อย

“ไปแป๊บหนึ่งเพราะการสัมภาษณ์ครั้งก่อน ตอนนั้นฉันอยู่นานไม่ได้”

“อือ”

“ฉันว่ายังไงก็คงยากที่ลุงจะกลับมาในปีนี้ ฉันอยากจะลงแข่งนัดสุดท้ายในฐานะผู้เล่นของลุงนะ… ถึงจะพัฒนาไปได้ไม่เลว แต่ผู้จัดการทีมฟุตบอลเป็นอาชีพที่ต้องใช้สมาธิเป็นอย่างมาก หมอคงกลัวว่าลุงแกจะตื่นเต้น

จนอาการแย่ลงเลยยังห้ามไม่ให้กลับมาทำงาน”

ฮาจุนได้แต่พยักหน้าโดยไร้คำตอบ ถึงจะลืมเรื่องนี้ไปชั่วขณะ แต่การที่มูคยอมมาที่นี่ก็เพื่อใช้เวลาหนึ่งฤดูกาล

ไปกับผู้จัดการทีม พัคจุนซอง เขารู้ดีกว่าใครว่ามูคยอมอยากจะอยู่ร่วมทีมกับคนที่นับถือ

“ใครจะไปรู้ อีกหน่อยถ้าผู้จัดการพัคได้เป็นผู้จัดการทีมชาติ ก็อาจจะได้ร่วมงานกันอีกก็ได้”

“ลุงจะยอมดูแลทีมชาติไหมนะ ถึงจะได้รับข้อเสนอก็คงจะไม่รับหรอก ตาลุงนั่นน่ะใจเสาะกว่าที่เห็น”

ดูจากการที่เพิ่งจะรับข้อเสนอให้เป็นผู้จัดการทีมมืออาชีพเป็นครั้งแรกเอาตอนนี้ก็อาจจะเป็นอย่างนั้น ฮาจุนเงียบไปเมื่อไม่มีอะไรจะพูดต่อ

“อาจจะเป็นเพราะล้มเจ็บไปครั้งหนึ่ง คนเราถึงได้ดูแก่ลงไปเยอะ ดูเหมือนภรรยาของลุงแกก็จะแก่ขึ้นทุกครั้งที่เจอ เมื่อก่อนน่ะ ถึงทั้งสองจะตัวเตี้ยกว่าฉัน แต่ก็ดูสูงอยู่ดี แต่ตอนนี้กลับตัวเตี้ยลงไปมากเลย”

“บางทีฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกันเวลาที่เจอแม่ ถึงจะเจอกันทุกวัน แต่ก็มีช่วงที่รู้สึกแบบนั้นขึ้นมาเหมือนกัน”

มือใหญ่วางลงบนหัวอย่างแผ่วเบา ฮาจุนทำตาโตด้วยความตกใจ เขาพูดออกไปเพื่อที่จะปลอบใจเพราะดูเหมือนมูคยอมจะว้าวุ่นใจ แต่มูคยอมกลับลูบหัวฮาจุนช้าๆ ราวกับตั้งใจจะปลอบใจ

ทำไมเป็นแบบนี้อีกแล้วล่ะ ถึงจะบ่นด้วยความไม่สบายใจอยู่ในใจ แต่ฮาจุนก็ไม่ได้ปัดมือนั้นออก

และนอนคว่ำอยู่อย่างนั้น

“โค้ชอี”

“ทำไม”

“เรื่องที่โค้ชอีถามเมื่อครั้งก่อนน่ะ”

“…อืม”

“ถ้าไม่บอก… ก็จะไม่ได้เป็นแฟนกันไปตลอดเลยหรือเปล่า”

ฮาจุนไม่ได้ตอบกลับไปในทันทีและนิ่งเงียบ

ใจของเขาสงบนิ่ง มีช่วงที่ความคิดไร้สาระเกิดขึ้นลุกลามราวกับควันที่เผาไหม้จิตใจเพียงแค่ถามออกมาอยู่เช่นกัน พอช่วงเวลาที่อึดอัดใจซึ่งไม่รู้แน่ชัดว่าตนเองไม่สบายใจและเกิดคำถามขึ้นเพราะอะไรผ่านพ้นไป จึงได้ถามกับอีกฝ่าย ความใจร้อนที่คอยรังควานตัวเขามาช่วงขณะหนึ่งก็สลายหายไป

ตั้งแต่วันที่ขอให้อีกฝ่ายอธิบาย จนมาถึงวันนี้ ฮาจุนก็ไม่ได้เร่งเร้าและรอให้มูคยอมตอบอยู่ เส้นแบ่งระหว่าง เขากำลังรอคำตอบของอีกฝ่าย หรือปล่อยให้คำถามนั้นไกลลับตาไปเรื่อยๆ ก็เลือนรางจนไม่ชัดเจนไปซะแล้ว

พอฮาจุนหยัดตัวขึ้น ครั้งนี้มูคยอมเองก็ยอมผ่อนแรงที่แขนลง ทั้งสองจึงสบตากันโดยที่ฮาจุนมองจากด้านบน มูคยอมมองขึ้นมาจากด้านล่าง มูคยอมขมวดคิ้วเล็กน้อย และยกยิ้มพร้อมกับถามออกมา

“ฉันขายหน้า เลยบอกนายไม่ได้ ช่วยทำเป็นไม่รู้เรื่องสักครั้งได้ไหม”

“สักครั้ง? ฉันยอมนายมาตั้งหลายครั้งแล้วนะ”

“ถ้างั้นก็อีกสักครั้งเป็นครั้งสุดท้าย”

สีหน้าของมูคยอมที่จ้องมองฮาจุนในวันนี้ก็เป็นสีหน้าที่ไม่คุ้นเคย เป็นสายตาที่เหมือนกับอ้อมกอดที่ทั้งอบอุ่นและอ่อนโยน ล้ำค่าจนไม่สามารถหาที่ไหนได้อีกในโลก

ถึงจะไม่เข้าใจกระบวนการทางความคิดของมูคยอมที่ชื่นชอบเขาภายในคืนเดียว แต่หลังจากที่อีกฝ่ายพูดคำว่าชอบเขาออกมาแล้ว แม้ว่าความรู้สึกนั้นอาจจะเปลี่ยนไปในทันทีเลยก็ได้ แต่ก็ไม่เคยระแวงว่าความรู้สึกนั้นมันไม่จริง

แต่สิ่งที่น่าระแวงคือความรู้สึกของตัวเขาเอง ถ้าเรียกว่าเป็นรักข้างเดียวมาตลอด 10 ปีก็อาจจะฟังดูเป็นความรักที่บริสุทธิ์มาก แต่ที่จริงแล้วเขากลัวว่ามูคยอมจะทำหน้าหงุดหงิดใส่เขาหรือเปล่า จึงไม่กล้าเข้าใกล้ ได้แต่คาดเดาสีหน้าของอีกฝ่ายและทำตามจินตนาการที่สร้างขึ้นมาเท่านั้น

เมื่อได้ใช้เวลายามค่ำคืนไปด้วยกัน ก็ดีใจที่ได้รู้จักอีกฝ่ายที่ตัวเขาได้แต่คอยมองอยู่ไกลๆ เท่านั้น แต่หลังจากที่ชนเข้ากับกำแพงที่อีกฝ่ายก่อขึ้นมา จิตใจก็ห่อเหี่ยวเหมือนกับแมลงที่ห่อตัวอีกครั้ง คำถามที่เกิดขึ้นหนึ่งครั้งก็ยังคงอยู่ในมุมหนึ่งของหัวใจอยู่เสมอ

และในตอนนี้มันก็ยังคงอยู่อย่างนั้น สาเหตุที่รู้สึกประหม่าที่มูคยอมชอบตนเอง ก็คงจะเป็นเพราะตัวเขาเอง

ยังคงมองแต่รูปลักษณ์ภายนอกของมูคยอมอยู่เช่นเดิม

ความจริงที่ได้รู้เมื่อเวลาผ่านพ้นไป คือสาเหตุที่เขาไม่มั่นใจที่จะคอยปกป้องอยู่เคียงข้างมูคยอมในฐานะแฟนหรือคนรัก ไม่ใช่เพราะมูคยอมทำให้เขาเป็นทุกข์เพียงเท่านั้น คนเราจะทุกข์ทรมานที่สุดก็ตอนที่รู้สึกระแวงในสิ่งที่ตนเองเชื่อมาตลอด

เขาเองก็อยากจะได้รับความมั่นใจจากหัวใจดวงนี้

อยากจะมั่นใจว่าหัวใจดวงนี้รักผู้ชายที่ชื่อมูคยอม ไม่ใช่จินตนาการที่เขาสร้างขึ้นมา

คิมมูคยอมที่บางครั้งก็สนิทและอ่อนโยนมากจนทำให้เขาสับสน ทั้งๆ ที่ย้ำนักย้ำหนาว่าเป็นความสัมพันธ์ทางกาย คิมมูคยอมที่ชวนให้เขาเป็นคู่ขาในเรื่องเซ็กซ์ราวกับมองว่าเขาเป็นเครื่องสนองตัณหาทางเพศ และกดขี่ข่มเหงเขา และคิมมูคยอมที่บอกชอบเขา ในความสัมพันธ์ระหว่างเขาทั้งสองมีส่วนที่ถูกระบายด้วยสีดำราวกับกล่องดำของทฤษฎีแห่งวิวัฒนาการอยู่ เขาสงสัยว่ามีอะไรอยู่ในนั้น

แต่ก็ได้แต่ขอคำตอบจากมูคยอมเท่านั้น เพราะเขายังเป็นคนขี้ขลาดที่กลัวว่าถ้าหากพูดในสิ่งที่ตนเองระแวงออกไป จะเป็นการเผยให้เห็นว่าความรู้สึกของตนเองที่เขาให้ความสำคัญกับมันมากเป็นสิ่งที่ไร้ค่า

รักความถูกต้องเกินความจำเป็นหรือเปล่านะ ทุกคนต่างก็รักโดยที่ไม่มีความชัดเจนแบบนี้กันหรือเปล่านะ ถ้าคิดถึงเรื่องราวความเป็นไปของโลกเกี่ยวกับความรักหรือการมีคนรักก็อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ สำหรับเขาแล้ว ทุกสิ่งก็เป็นเพียงดินแดนที่ไม่รู้จักเท่านั้น คงจะเงียบไปนาน มือของมูคยอมจึงได้เลื่อนขึ้นไปจนถึงหลังคอของฮาจุน

“อีฮาจุน ถึงจะดูใจเสาะที่ฉันเอาแต่บอกปัดไปเรื่อย แต่ฉันขอบอกนายอีกครั้ง”

อีกฝ่ายสบตากับฮาจุน

“ฉันรู้ว่านายสงสัยเรื่องอะไร ฉันไปจัดการความคิดตามที่นายบอกแล้ว… แต่มันพูดยากจริงๆ แต่ฉันสาบานได้เลยว่า ถ้านายช่วยหลับหูหลับตาอีกครั้งเป็นครั้งสุดท้าย ฉันจะไม่ทำแบบนั้นอีก”

“…”

“ฉันรู้ว่าที่ผ่านมาฉันทำให้นายเป็นทุกข์ แต่ยังไงก็ต้องลองคบกันจริงๆ จังๆ ดูสักครั้งสิ ฉันยังมีสิ่งที่อยากทำให้นายอีกเยอะเลย”

นิ้วเรียวยาวลูบไล้ไปบนใบหน้าอย่างอ่อนโยน

“มีความสัมพันธ์ทางกายกับไอ้สวะคิมมูคยอมแล้วก็จบความสัมพันธ์ลงไปแบบนั้น นายไม่คิดว่ามันไม่ยุติธรรมเหรอ ลองคบเป็นแฟนกับคิมมูคยอมที่กลับตัวกลับใจดูสักครั้งไหม”

ฮาจุนที่เหม่อไปสักพักเมื่อได้ฟังคำนั้นที่ฟังดูเหมือนเป็นคำที่ท่องมา ลุกขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มอันขมขื่น

“โอเค ฉันยอมนายก็ได้”

“จริงเหรอ”

มูคยอมทำตาโตและลุกขึ้นในทันที ที่ขอให้จับมือเอาไว้ เป็นการแกล้งตีหน้าเศร้านี่เอง

“ไม่ใช้วันนี้หรอกนะ”

“แล้วยังไงล่ะ”

“หลังจากที่ฉันพูดคำนั้นออกมา แล้วนายขอให้มาเจอกันวันนี้ มันนานแค่ไหน นายเองก็รออย่างสงบเสงี่ยมสิ จะทำแต่เรื่องที่นายชอบอย่างเดียวไม่ได้นี่”

“อีฮาจุน ทำตัวร้ายกาจเป็นด้วยเหรอเนี่ย น่ารักไปหมดเลย”

เขาไม่ใช่คนประเภทที่สามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วและกล้าหาญเหมือนมูคยอม เขาเคยได้ยินมาบ่อยๆ ว่าเขาเป็นคนที่ไม่มีความยืดหยุ่น อีกทั้งยังได้ยินคำตำหนิที่ว่าเพราะเขาเป็นแบบนั้นจึงไม่ประสบความสำเร็จ แต่ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้วจะให้ทำยังไงได้

การที่เดินตามมูคยอมไปขึ้นรถในวันที่มูคยอมจูบเขาเป็นครั้งแรก เป็นการตัดสินใจที่หุนหันพลันแล่นที่สุดในชีวิตของฮาจุน และต่อไปก็จะได้รู้ว่าการตัดสินใจในครั้งนั้น เป็นโชคหรือความผิดพลาดของชีวิตกันแน่

ฮาจุนมองอีกฝ่าย คิมมูคยอมคือสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของเขา และเป็นผู้ชายที่ดูสมบูรณ์แบบไปทุกเรื่อง แม้แต่นิสัยที่ชอบทำอะไรตามแต่ใจตัวเองของอีกฝ่าย เขาก็ยังรู้สึกว่าเป็นสิ่งพิเศษ

แต่ตอนนี้เขาไม่ได้มองอีกฝ่ายว่าเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบอีกต่อไปแล้ว คิมมูคยอมเป็นคนที่เต็มไปด้วยมุมที่เหมือนกับเด็กซึ่งมีความซับซ้อนจนไม่สามารถเข้าใจได้

แต่นอกจากความเข้าใจได้ยากแล้ว เขาก็ยังคงชอบคิมมูคยอมที่เป็นแบบนั้น… อยู่เช่นเดิม

จะมั่นใจถึงขนาดที่พูดได้ว่า ตัวเขาในตอนนี้เข้าใจตัวตนของมูคยอมในแบบที่มูคยอมเป็นได้มากกว่าตอนที่มองอีกฝ่ายอยู่เพียงฝ่ายเดียวได้ไหมนะ ฮาจุนยิ้มพร้อมกับสะพายกระเป๋า

“รีบออกมาสิ จะปิดไฟแล้ว”

มูคยอมคงจะอารมณ์ดีขึ้นเพราะคำพูดที่ไม่ต่างอะไรกับการตกปากรับคำ จึงไม่แกล้งตีหน้าเศร้าอีก และเดินเคียงข้างฮาจุนพร้อมกับไม้ค้ำทันที ฮาจุนแอบมองใบหน้าของอีกฝ่ายที่อยู่สูงกว่าระดับสายตาของตนเองเล็กน้อย

ใบหน้าด้านข้างที่ได้รูป ดวงตาอันเฉียบคม สันจมูกโด่งๆ และสันกรามคม ดึงดูดสายตาของฮาจุนที่จ้องมองราวกับว่า ความมั่นใจและความแข็งแกร่งที่หลอมรวมเป็นอีกฝ่ายถูกบรรจงวาดขึ้นมา

แต่ตอนนี้ตัวเขามองไปพร้อมกับรอยร้าวที่เกิดขึ้นในตัวอีกฝ่ายด้วย จึงเกิดความคิดที่ว่า บางทีรอยร้าวที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็น อาจจะเป็นอีกด้านหนึ่ง สีสัน และแสงสว่างของผู้ชายที่คว้าใจของเขาได้อยู่หมัดก็ได้

…หากทึกทักว่าฉันไปทำอะไรให้ หรือยืนยันว่าฉันไม่เคยเป็นแบบนั้น หรือหากย้อนถามว่าเวลาที่ทะเลาะกันก็เป็นแบบนั้นกันหมดไม่ใช่เหรอ หรือหากดึงดันว่าทั้งหมดเป็นสิ่งที่นายเข้าใจผิดไปเอง

ถ้าพูดแบบนั้น เขาก็จะยิ่งโมโหมูคยอมมากว่าเมื่อก่อนมาก หากใช้คำพูดสวยๆ ว่าเป็นคนรักหรือเป็นแฟน แล้วเกิดเขาด่าคิมมูคยอมอย่างรุนแรงออกไป คราวนี้อีกฝ่ายอาจจะหนีจากเขาไปจริงๆ ก็ได้

แต่มูคยอมก็ได้แต่บอกว่าอายจนไม่สามารถพูดออกมาได้เท่านั้น ถึงจะไม่รู้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายตั้งใจจะปกปิดไว้คืออะไร แต่ก็ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้สาเหตุที่ได้รับคำถามจากฮาจุน

แม้ว่าตอนนี้จะสงสัยในการกระทำของมูคยอม สงสัยว่าทำไมจู่ๆ ถึงได้มาบอกชอบเขา แต่เขาก็ไม่ได้มีการขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัวของคนอื่นเป็นงานอดิเรก เขาคิดว่าถ้ามูคยอมรู้และยอมรับในความขัดแย้งในตัวเองที่เขามีได้ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว

“อ้าว ฝนตกแฮะ”

มูคยอมพูดออกมาเบาๆ ฝนตกลงมาจากท้องฟ้าที่ก่อนหน้านี้ ตอนออกมาจากโรงยิมยังเห็นดวงจันทร์

ที่เพิ่งจะขึ้นอยู่เลย ฮาจุนพูดออกมาพลางยื่นมืออกไปวัดระดับความแรงของสายฝน

“ฉันต้องกลับไปเอาร่มที่ออฟฟิศแป๊บนึง”

“ใช้ร่มทำไมกัน นั่งรถฉันไปสิ ฉันจะขับไปส่งถึงหน้าบ้าน ไม่ให้นายต้องโดนฝนเลยสักหยด”

ถึงจะไม่เลว แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้เขาถึงอยากจะนั่งรถเมล์กลับบ้านพร้อมกับดูวิวฝนตกเพียงลำพังขึ้นมา พอได้ฟังคำตอบที่ไม่ใช่คำตอบแล้ว เขาก็ต้องการเวลาที่จะจัดการกับความระแวงหลายๆ อย่าง ความไม่คุ้นเคย และความรู้สึกที่ยากจะเข้าใจ

แล้วพรุ่งนี้ก็เป็นวันหยุดพอดี ตอนที่ได้พบมูคยอมอีกครั้งหลังจากวันหยุด เขาอยากจะปลดปล่อยความกังวลต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมาและตอบรับความรู้สึกของอีกฝ่าย เมื่อจัดการความรู้สึกได้แล้ว เขาก็จะไม่หยิบเรื่องราวในอดีตออกมาพูดต่อหน้าอีกฝ่ายอีก

ตอนที่ฮาจุนจมอยู่กับความคิดไปชั่วขณะในขณะที่มองสายฝน มูคยอมก็พาดแขนลงมาบนไหล่อย่างแผ่วเบา พอเงยหน้าขึ้นก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังก้มลงมามองเขาและกำลังยิ้มอยู่

“พออยู่แบบนี้แล้ว ก็นึกถึงวันที่เราจูบกันครั้งแรกเลย ว่าไหม”

“หน้าไม่อาย”

พอนึกถึงอีกฝ่ายที่ไม่มีใจให้เขาเลยสักนิดแต่กลับจูบเขาตามอำเภอใจ แล้วก็หัวเราะเหมือนกับบอกว่า ‘ทำไปเพื่อที่จะลองใจ’ เหมือนกับตอนนี้แล้ว ตอนนี้เขาก็เกลียดชังอีกฝ่ายในตอนนั้นเช่นกัน มูคยอมก้มหน้าเข้ามาใกล้ว่าเดิม แตะลงที่หน้าผาก และถามด้วยเสียงอันแผ่วเบา

“ตอนนี้นายไม่อยากจูบกับฉันแล้วเหรอ”

“…ไม่ใช่ไม่อยาก แต่ไม่จูบดีกว่า”

มูคยอมขมวดคิ้วโดยที่หน้าผากยังแตะกันอยู่

“ทำไมล่ะ”

“เพราะวันนี้ฉันจะไม่ขึ้นรถนาย”

ถึงจะเคยว่าว่ามูคยอมเป็นเหมือนสัตว์ แต่ที่จริงตัวเขาเองก็ไม่ต่างกัน เขาไม่มั่นใจในตัวเองเลยว่าหากบรรยากาศพาไป และปล่อยให้มูคยอมจูบ เขาจะตามมูคยอมไปที่บ้านและจบลงที่บนเตียงหรือเปล่า

ในวันที่เป็นอย่างวันนี้ อาจจะมีคนที่บอกว่าการทำตามที่บรรยากาศพาไปอาจจะเป็นการตัดสินใจที่ฉลาด แต่ยังไงนั่นก็ไม่ใช่วิธีของเขา มูคยอมพูดออกมาพร้อมกับถอนหายใจ

“โค้ชอีของเราเก่งเรื่องการเล่นกับความรู้สึกของคนอื่นนี่นะ ฉันคิดว่านายเป็นลูกวัวที่มีเสน่ห์แพรวพราว

มาตั้งแต่แรกแล้ว”

คราวนี้ฮาจุนเป็นฝ่ายขมวดคิ้ว

“ลูกวัว?”

มูคยอมหัวเราะคิกคักและเงยหน้าขึ้น ระหว่างที่สติหลุดลอยไปเล็กน้อยเพราะใบหน้าขี้เล่นที่อยู่ตรงหน้า จุ๊บ จูบที่ถูกปฏิเสธก็พรมลงมาบนหน้าผาก จากนั้นก็ที่เปลือกตา และแก้ม ราวกับหิมะตก ความร้อนแผ่ซ่านไปทั่วทุกส่วนที่ริมฝีปากของมูคยอมสัมผัสราวกับดอกไม้อันเร่าร้อนเบ่งบาน ฮาจุนจึงก้มหน้าลงเล็กน้อย

“เข้าใจแล้ว”

มูคยอมพูดออกมา

“ริมฝีปากน่ะ จะเก็บไว้สำหรับวันที่คุณโค้ชอีจะให้คะแนนการบ้านอย่างเป็นทางการแล้วกัน ถ้ารออย่างสงบเสงี่ยมก็จะให้รางวัลใช่ไหม”

“…ส่งกระดาษเปล่ามาจะได้รางวัลได้ไง”

“แต่ก็ต้องให้คะแนนกันหน่อยสิ พักผ่อนเยอะๆ แล้วมะรืนนี้เจอกัน ถึงจะเห็นฉันเป็นแบบนี้ก็เถอะ ตอนนี้ฉันกระวนกระวายมากนะ แต่ยังไงก็จะอดทนรอ”

มูคยอมที่พูดออกมาแบบนั้น เอาแต่ยินพิงขอบประตูอยู่อย่างนั้นเหมือนกับคนที่ไม่คิดที่จะกลับไป ฮาจุนจึงเอ่ยปากถาม

“นายไม่ไปหรือไง”

“ก็ฉันเหงื่อออกนี่ ต้องอาบน้ำก่อนสิค่อยไป”

ฮาจุนไม่ละสายตาจากมูคยอมและจ้องมองอยู่อย่างนั้นไปสักพักก็ผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ พร้อมกับโบกมือลาและหันหลังกลับ เขามุ่งหน้าไปที่ออฟฟิศอย่างรวดเร็ว หยิบร่มสำรองที่ตรงไปที่ป้ายรถเมล์ ตัวเขาเองเป็นคนที่บอกให้รอแท้ๆ แต่น่าขำที่หัวใจของเขากลับเต้นรัวซะแล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+