Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก 74

Now you are reading Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก Chapter 74 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หากเป็นเวลาปกติ อีฮาจุนจะต้องยืนยิ้มอยู่ตรงกลางนั้น ยืนให้โค้ชคนอื่นลูบอย่างหยอกล้อ หรือไม่ก็ให้โค้ชอาวุโสดูโน้ตที่ตัวเองจดบันทึกไว้พร้อมกับปรึกษากันงึมงำ

พอทำแบบนั้นแล้วก็จะยืดเหยียดตัวเพื่อยืดกล้ามเนื้อ และบางครั้งคงเบื่อที่จะรวมกลุ่มอยู่กับโค้ชที่อายุห่างกับตัวเองอยู่มาก อีฮาจุนจึงวิ่งเหยาะๆ ตามหลังนักกีฬาไปพร้อมกันด้วย

ถ้าวิ่งเสร็จก็จะเป็นเวลาของการยืดกล้ามเนื้อทั้งตัว ถึงจะเป็นเพราะงาน แต่ทุกครั้งในเวลานี้ มือขาวๆ ของอีฮาจุนก็จะสัมผัสลงบนขา บนหลัง หรือไม่ก็แขนของเขา พร้อมกับช่วยดูท่าทางหรือไม่ก็นวดให้ นั่นเป็นความเพลิดเพลินเล็กๆ น้อยๆ ของมูคยอม การขยับมือของฮาจุนไม่ใช่แค่อยู่ในระดับพอใช้ แต่เรียกได้ว่าเป็นผลสำเร็จที่ได้รับหลังผ่านความพากเพียรมาเลยไม่ใช่เหรอ

บางทีถ้าลดเสียงลงพูดเรื่องลามกอย่างหยอกล้อ ฮาจุนก็จะขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยแล้วเขม้นมองมูคยอมราวกับบอกว่าให้ปิดปากไปซะ แต่ใบหน้านั้นกลับเผยให้เห็นว่าฮาจุนเองก็สนใจมัน มูคยอมจึงสนุกขึ้นเป็นสองเท่าและไม่คิดที่จะหยุดหยอกเย้าอีกฝ่ายเลยแม้แต่นิดเดียว

จากนั้นเมื่อเสร็จสิ้นการฝึกกำลังกาย นักกีฬาก็จะถูกแบ่งตามตำแหน่งเพื่อฝึกส่งลูก เลี้ยงลูก หรือแทรปปิง[1] ส่วนมูคยอมกับนักกีฬาตำแหน่งตัวรุกไม่กี่คนก็จะได้วิ่งสี่สิบเมตรซ้ำไปซ้ำมา

ปกติแล้ว เวลาแบบนั้นฮาจุนจะเฝ้าสังเกตนักกีฬาพร้อมกับจดอะไรบางอย่างลงสมุดที่เจ้าตัวมักจะพกไปไหนมาไหนอยู่เสมออย่างตั้งอกตั้งใจ เมื่อวิ่งไปหาโค้ชที่ถือนาฬิกาจับเวลาได้ประมาณสองสามรอบก็หมดเวลาการฝึกเช้า

“ในที่สุดก็เบื่อกินข้าวข้างนอกแล้วเหรอ”

จองคยูถามอย่างหยอกล้อกับมูคยอมซึ่งเข้ามาในศูนย์อาหารของสโมสรในรอบเกือบหนึ่งอาทิตย์ มูคยอมวางถาดอาหารลงบนโต๊ะโดยไม่ได้ตอบอะไร นักกีฬาคนอื่นๆ ก็มองมูคยอมด้วยสายตาเจือความอยากรู้อยากเห็น แต่ดูเหมือนไม่มีใครกล้าที่จะพูดอะไรออกมาสักคำเหมือนจองคยูที่พูดอย่างไม่ลังเล

เขาเลี่ยงการกินอาหารที่ศูนย์อาหารในช่วงที่ผ่านมาเพราะฮาจุน เพราะอย่างนั้น วันที่ฮาจุนไม่อยู่จึงไม่จำเป็นต้องดั้นด้นไปกินข้าวเที่ยงข้างนอกแล้ว มูคยอมไม่อยากอาหารก็จริง แต่การกินอาหารให้ดี และนอนหลับอย่างเต็มที่เป็นเรื่องอันดับหนึ่งของนักกีฬามืออาชีพ และเป็นเงื่อนไขแรกในการที่จะเอาชีวิตรอดในทุกสถานการณ์อีกด้วย

การยัดอาหารเข้าร่างกายไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามและการกินยาบำรุงกับอาหารเสริม ทำให้มูคยอมสามารถยิงประตูถึงห้าประตูในการแข่งขันแรงของฤดูกาลครึ่งหลังได้ ในขณะที่มูคยอมจับช้อนตะเกียบขึ้นมาเงียบๆ นักกีฬาคนอื่นก็เริ่มตั้งคำถามกันอย่างวุ่นวาย

“พี่จองคยู โค้ชอีมีเรื่องอะไรเหรอครับ”

“หรือว่าไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าครับ”

“ไม่ใช่หรอก แค่มีเรื่องส่วนตัวนิดหน่อยก็เลย…”

จองคยูพูดแบบนั้นแล้วปล่อยให้ท้ายประโยคเงียบหายไปพร้อมกับมองมูคยอม หัวคิ้วของจองคยูย่นเข้าหากัน

“คิมมูคยอม เป็นอะไร”

“เปล่า”

ทันทีที่ตักข้าวเข้าปากหนึ่งช้อน มูคยอมก็ยกมือขึ้นมาปิดปากแล้วเอาแต่นิ่วหน้า เขาอยู่แบบนั้นพักใหญ่แล้วจึงกลืนสิ่งที่อยู่ในปากลงไปรวดเดียว

“…อะไร มีอะไรเสียหรือไง”

จองคยูคีบหลายๆ อย่างเข้าปากราวกับลองชิม แล้วนักกีฬาคนอื่นที่เคยพูดคุยกันโดยไม่สนอาหารก็พากันขยับช้อนกับตะเกียบ แต่อาหารก็ปกติดีและมีรสชาติเหมือนปกติ

“ก็ปกตินี่”

“ดูเหมือนปัญหาจะอยู่ที่ร่างกายฉัน”

“อะไรกัน รู้สึกไม่ดีตรงไหนหรือเปล่า”

มูคยอมตอบสั้นๆ จากนั้นก็ยกถาดลุกขึ้นจากที่ พอจะเอาถาดที่อาหารยังเหลืออยู่ตามเดิมไปคืนก็รู้สึกไม่ดี เป็นไปตามที่คาดไว้ แม่ครัวคนหนึ่งส่งสายตาเป็นกังวลมาให้พร้อมถามขึ้น

“นักกีฬาคิมมูคยอม ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า ช่วงนี้ไม่เข้ามาเลย ฉันคิดว่ามีเรื่องอะไรไม่พอใจพวกเราเสียอีก”

“จะเป็นแบบนั้นได้ยังไงล่ะครับ ดูเหมือนช่วงนี้สภาพร่างกายผมจะไม่ดีเท่าไร คราวหน้าผมจะกินให้หมดอย่างแน่นอนครับ”

“โธ่ ร่างกายเป็นเหมือนกับสมบัติเลยแท้ๆ นะ ในตู้เย็นมีหอยเป๋าฮื้ออยู่ ฉันรีบทำโจ๊กให้สักหน่อยไหมล่ะ”

“ไม่ล่ะครับ ผมไม่เป็นไรครับ”

คนใจดีเอื้อเฟื้อไมตรีจิตให้เศษขยะ มูคยอมรู้สึกหนักใจกับความหวังดีจึงรีบออกมาจากศูนย์อาหารแล้วตามหาที่ที่เขาจะสามารถอยู่คนเดียวได้ เขาเข้าไปในห้องประชุมที่ว่างอยู่แล้วนั่งลงเอามือค้ำหน้าผาก

‘…ไม่ใช่แบบนี้สิ’

เพราะเขา อีฮาจุนถึงหนักใจว่าจะลาออกจากที่นี่ดีไหม เรื่องนี้หน้าหลังมันสลับกันไปหมดแล้ว พูดอย่างชัดเจนได้เลยว่าเขาไม่ได้หมายความแบบนั้น เพียงแค่บอกให้เว้นระยะห่างกัน ไม่ได้บอกให้ออกจากทีมสักหน่อย เจ้านั่นดื้ออยู่บ้างแต่ก็ไม่ใช่คนไม่มีสมอง เพราะฉะนั้นก็น่าจะเข้าใจสิ

วันนี้ต้องไปหาที่บ้านเพื่อให้ทำให้อีฮาจุนเข้าใจ การเป็นฝ่ายไปหาก่อนทั้งที่เมื่อวานเกิดเรื่องแบบนั้นมันน่าขำก็จริง แต่ก็ช่วยไม่ได้นี่เพราะมันเป็นการไปหาที่มีเหตุผลแน่ชัด

ข้าวก็กินไม่ลง ส่วนการฝึกภาคบ่าย มูคยอมก็ใจร้อนจนตั้งสมาธิกับมันไม่ได้ง่ายๆ ถึงอย่างนั้น มูคยอมก็ลดปริมาณการฝึกที่กำหนดไว้ลงด้วยทุกวิธีที่ทำได้แล้วบอกลาคนอื่นพอคร่าวๆ พลางขึ้นรถแล้วเหยียบอออกไปด้วยความรวดเร็ว

มูคยอมจอดรถตรงย่านอะพาร์ตเมนต์ของการเคหะที่สามารถมาถึงได้แม้หลับตา จากนั้นก็เอาโทรศัพท์ออกมาทันที เขามาหาโดยเตรียมพร้อมที่จะขายหน้าแล้ว เพราะฉะนั้นจึงโทรศัพท์ไปอย่างไร้ความลังเล

‘…หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้…’

เรื่องไม่เป็นไปตามที่ต้องการ มูคยอมถือสายอยู่พักใหญ่แต่เสียงสัญญาณก็เปลี่ยนไปเป็นระบบอัดเสียงฝากข้อความในกรณีที่อีกฝ่ายไม่รับสายแทน มูคยอมกดโทรอีกหลายครั้งแต่ทุกครั้งก็จะมีเพียงเสียงสัญญาณดังออกมาเหมือนกันหมด

คิดว่าจะขัดขืนเขาไว้ได้จนกว่าคนจะออกมาเหรอ

มูคยอมขมวดคิ้ว ‘ปัง!’ เขาลงจากรถพร้อมกับปิดประตูรถอย่างแรง จากนั้นจึงก้าวฉับๆ ไปทางตึกที่ฮาจุนอาศัยอยู่ มูคยอมขึ้นลิฟต์ที่มีรอยขูดสติกเกอร์เหมือนเป็นคราบบ่งบอกระยะเวลาการใช้งานแล้วออกมายืนตรงทางเดิน

อะพาร์ตเมนต์ของการเคหะเป็นอะพาร์ตเมนต์ที่หลายๆ บ้านในชั้นเดียวกันใช้ทางเดินร่วมกัน เขาอ้างอิงจากที่อยู่ซึ่งกรอกไว้ในช่องทางการติดต่อฉุกเฉินแล้วยืนอยู่หน้าบ้านของอีกฝ่าย มูคยอมเขม้นมองประตูอย่างเปล่าประโยชน์ แต่น่าเสียดายที่ฮาจุนอาศัยอยู่กับครอบครัว เพราะอย่างนั้นจึงไม่สามารถเอาคืนโดยการข่มขู่ว่าจะเตะประตูได้ มูคยอมกดกริ่งอย่างมีมารยาท

สองครั้ง สามครั้ง และถึงแม้จะกดไปแล้วสี่ครั้งก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา มูคยอมนึกสงสัยว่ามันพังหรือเปล่า แม้ว่าเขาจะลองเคาะประตูก๊อกๆ แล้วแต่ก็ไม่รู้สึกถึงวี่แววใดๆ จากด้านในเลย

‘ถ้าหากว่ามีใครสักคนอยู่ก็คงจะไม่เงียบแบบนี้หรอกมั้ง ไม่มีคนอยู่หรือเปล่านะ’

“ใครคะ”

เมื่อหันหน้าไปเพราะเสียงที่ได้ยินจากด้านข้าง หญิงคนหนึ่งซึ่งดูมีอายุมากกว่ามูคยอมนิดหน่อยก็จ้องมองมูคยอมราวกับตกใจเป็นอย่างมาก

“โอ๊ะ ตายแล้ว”

เธอเบิกตากว้างพร้อมกับยกมือปิดปากราวกับจำมูคยอมได้ในทันที จากนั้นก็ก้มหัวทักทาย

“ตายจริง ตายแล้ว นักกีฬาคิมมูคยอมไม่ใช่เหรอคะ มาหาฮาจุนสินะคะ”

คำพูดนั้นทำให้มูคยอมประหม่าไปชั่วขณะแล้วเกือบจะย้อนถามไปว่ารู้ได้อย่างไร มูคยอมจมอยู่กับการคิดไปเองว่าคนบนโลกมองได้อย่างทะลุปรุโปร่งว่าเขากำลังนึกถึงแต่อีฮาจุน

“อ่า ครับ ตอนนี้พวกเราอยู่ในทีมเดียวกันครับ”

“ว่าแต่ไม่รู้เหรอคะ ตอนนี้ฮาจุนไม่อยู่บ้านนะ ไปเที่ยวกับครอบครัวทั้งหมดเลย”

มูคยอมไม่สามารถพูดตอบรับในทันทีได้เพราะคำบอกเล่าที่ทำให้การคาดการณ์คาดเคลื่อนไปอย่างสมบูรณ์แบบ

“…เที่ยวกับครอบครัวเหรอครับ”

“ค่ะ บอกว่าจะไปเที่ยวสักครั้งก่อนเด็กๆ อ๊ะ ก่อนน้องๆ จะเปิดเทอมน่ะค่ะ ฮาจุนยุ่งอยู่ตลอดก็เลยคิดจะไปไหนไกลไม่ได้เลย แต่คงมีเรื่องอะไรดีๆ ก็เลยได้ไปหลังจากที่ไม่ได้เที่ยวมานานน่ะค่ะ”

เรื่องดีๆ อย่างนั้นเหรอ สีหน้าของมูคยอมค่อยๆ เคร่งเครียดขึ้นโดยอัตโนมัติ เพราะคำตอบเหนือความคาดหมายกับการเลือกใช้คำที่ทำให้รู้สึกเจ็บเข้ากระดูกซึ่งคนพูดไม่น่าจะรับรู้ได้ มูคยอมพยายามปกปิดจิตใจอันห่อเหี่ยวแล้วฉีกยิ้ม

“ทราบไหมครับว่าไปไหนกัน”

“ไม่รู้ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ”

“แล้วจะกลับมากันเมื่อไรเหรอครับ”

“เรื่องนั้นก็ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ”

“ขอบคุณที่ช่วยบอกนะครับ”

มูคยอมพูดขอบคุณอีกครั้งแล้วเซ็นลายเซ็นให้ตามคำขอของเธอ จากนั้นจึงขึ้นลิฟต์เพื่อลงไปข้างล่าง

ดูเหมือนฮาจุนคงคิดจะเพลิดเพลินกับวันหยุดพักร้อนอย่างเต็มที่มากๆ ย้อนกลับไปแค่คืนเมื่อวานซืน อีกฝ่ายยังอยู่ที่โซลแท้ๆ แต่ในระหว่างนั้นกลับยื่นใบลาออก และได้รับวันหยุดพักร้อนมา จนกระทั่งได้ออกไปเที่ยว ช่างเป็นการกระทำที่ว่องไวเสียจริง มูคยอมจำต้องนึกถึงคำบอกลาของฮาจุนที่ตนเองขบคิดซ้ำๆ ตลอดทั้งวันเมื่อวานขึ้นมาอีกครั้ง

‘พอแค่นี้แหละ ฉันเองก็ลำบากใจนิดหน่อยว่าทำไมนายถึงเป็นแบบนี้กันแน่ พูดตามตรงว่าเหนื่อยมากด้วยเหมือนกัน ฉันผิดหวังกับนาย’

ทั้งลำบากใจ ทั้งเหนื่อย ทั้งผิดหวัง คำพูดสะเทือนใจสามคำติดถูกพูดออกมาแล้วทำให้รู้สึกความสัมพันธ์ห่างเหินกันจริงๆ ถึงขนาดสลัดมันทิ้งไปภายในวันเดียวแล้วออกไปเที่ยวได้เลยอย่างนั้นเหรอ

ถ้าตั้งใจจะสืบให้ได้ว่าไปไหนก็ไม่น่ามีอะไรที่ไม่สามารถทำได้ แต่ไม่รู้ทำไมมูคยอมถึงรู้สึกเรี่ยวแรงหายไปหมดเกลี้ยง มูคยอมกลับมาที่รถพลางติดเครื่อง แต่เขากลับหยุดอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง จากนั้นจึงถอนหายใจเบาๆ ออกมาแล้วหมุนพวงมาลัย

***

กลางดึกวันนั้น มูคยอมเหงื่อไหลพลั่กๆ พร้อมกับลืมตาขึ้น เขากินข้าวเย็นแบบคนไม่มีกะจิตกะใจจะกินเช่นเคยแล้วก็เข้านอน แต่ท้องก็ไม่รู้สึกหิวเลย เพียงแค่รู้สึกคอแห้งเล็กน้อยจึงดื่มน้ำที่วางไว้บนชั้นแล้วทิ้งศีรษะลงบนหมอนอีกครั้ง

เขาเปิดโทรศัพท์เพื่อดูเวลา เพิ่งจะเลยตีสามมาไม่นาน เขาตื่นขึ้นมาในช่วงเวลาที่ควรจะหลับแต่ก็ใกล้ถึงเวลาตื่น ภาพตรงหน้าเลือนรางและน่าเวียนหัวราวกับถูกก่อกวนด้วยฝันร้าย มูคยอมจำไม่ได้แล้วว่าฝันเรื่องอะไรเช่นเดียวกันกับทุกครั้ง มีเพียงไม่กี่ส่วนที่แหวกความทรงจำออกมาแวบหนึ่งราวกับใบมีดโกนเท่านั้น

ถ้าหลับต่ออีกรอบตอนนี้ก็รู้สึกเหมือนจะฝันถึงเรื่องที่รู้สึกไม่ดีอีก มูคยอมจึงไม่ปิดโทรศัพท์พร้อมกับทอดสายตามองหน้าจอที่ส่องสว่างแล้วเปิดหน้าต่างอินเตอร์เน็ตขึ้นมา จากนั้นก็จ้องมองหน้าต่างสีขาวนั้นอีกรอบพักหนึ่งราวกับลืมว่าเปิดขึ้นมาเพื่อทำอะไร แล้วมูคยอมจึงเปลี่ยนมาเปิด SNS ออฟฟิเชียลของตัวเอง หรือถ้าพูดให้ถูกก็คือทั้งหมดแทบจะอยู่ในการดูแลของเอเจนซี่เสียมากกว่า

เมื่อมูคยอมเข้าไปในรายชื่อเพื่อนแล้วกดเข้าไปในลิงก์ SNS ของอิมจองคยู รูปเด็กน้อยที่ตอนนี้น่าจะอายุประมาณสองขวบก็ขยายใหญ่ขึ้นมา มูคยอมเลื่อนผ่านไปด้วยดวงตาอันพร่ามัวแล้วคลิกตรงรายชื่อเพื่อนของอิมจองคยู รายชื่อเพื่อนยาวเหยียดจนขี้เกียจไล่ดู ถึงอย่างนั้น เขาก็เลื่อนลงมาพร้อมกับไล่เช็กทีละชื่อ แต่ไล่ดูมากแค่ไหนก็ไม่มี SNS ที่ดูจะเป็นของฮาจุนเลย

“น่าเบื่อชะมัด”

มูคยอมได้แต่ปวดตาจึงพูดออกมาคนเดียวด้วยความขัดเคืองใจ ถ้าเล่น SNS ก็ย่อมอยู่ในรายชื่อเพื่อนของอิมจองคยูแน่ มูคยอมคิดอย่างละเอียดแล้วเมื่อคิดไปถึงเรื่องหนึ่งได้จึงเปลี่ยนไปเข้าเว็บไซต์ดูวิดีโอ

มูคยอมจ้องมองรูปตัวอย่างของคลิปวิดีโอนานาชนิดซึ่งอัดแน่นเป็นแถวบนหน้าจอ แล้วกดแป้นพิมพ์ราวกับคล้อยตาม เมื่อพิมพ์ตัวอักษรสามพยางค์เป็นชื่อจริงของชายหนุ่มผู้ที่เขาบันทึกชื่อไว้ในโทรศัพท์ว่าเจ้าลูกวัว ก็เป็นไปตามที่คาด ถึงจะไม่เยอะเท่าของมูคยอมแต่คลิปวิดีโอจำนวนหนึ่งก็โผล่ขึ้นมา

มูคยอมลากสายตาไปหาคลิปหนึ่งจากทั้งหมด ซึ่งดูเป็นคลิปที่อัปโหลดไว้เมื่อไม่กี่ปีก่อน

‘อีฮาจุน’

‘วินาทีที่มนุษย์แสนสุขุมอย่างอีฮาจุนเดือดจัด

-อินชอนแข็งแกร่งที่สุด’

“…ชื่อคลิปโหดจังเลยนะ”

มูคยอมบ่นพึมพำพร้อมกับคลิกคลิปวิดีโอที่มีชื่อรุนแรงเป็นอันแรก คะแนนโชว์อยู่ตรงมุมซ้ายบน ดูเหมือนเป็นส่วนหนึ่งที่เอามาจากการถ่ายทอด เสียงเชียร์ดังขึ้นพร้อมกับที่คลิปฉายให้เห็นภาพนักกีฬาวิ่งอยู่บนสนามหญ้าซึ่งถ่ายจากไกลๆ เพราะจับภาพจากระยะไกลมากเกินไปจึงแยกไม่ออกว่าใครคือฮาจุน

ลูกเตะมุมลอยมาแล้วนักกีฬาหลายคนก็วิ่งขึ้นมาตรงหน้าประตู คนคนหนึ่งล้มกลิ้งไปกับพื้นท่ามกลางพวกนักกีฬาที่ตั้งใจจะแย่งกันครองบอล เสียงพากย์ดังขึ้น

‘โอ้ นักกีฬาพัคซึงโฮ! ล้มไปแล้วครับ’

‘ดูเหมือนจะมีการปะทะกันนะครับ’

ฉากปะทะกันดังกล่าวถูกฉายอีกรอบขึ้นบนหน้าจอในรูปแบบการจับภาพระยะใกล้และถูกทำให้การเคลื่อนไหวช้าลง นักกีฬาสองคนวิ่งขึ้นไปหาลูกบอลแทบจะในเวลาเดียวกัน แล้วนักกีฬาคนหนึ่งก็แทงข้อศอกใส่หน้าของนักกีฬาอีกคน ฉากนักกีฬาที่ถูกโจมตีกุมใบหน้าของตัวเองพร้อมกับล้มฮวบลงบนพื้น ถูกจับภาพไว้อย่างชัดเจน

ภาพเคลื่อนไหวช้าจบลงแล้วกล้องก็ถ่ายไปที่สนามอีกครั้ง ในระหว่างนั้น การแข่งขันก็หยุดชะงัก ภาพนักกีฬาของทั้งสองทีมรวมตัวอยู่ในที่เดียว มองอย่างไรก็มีบรรยากาศเลวร้ายราวกับเกิดการทะเลาะเบาะแว้ง ภาพคนคนหนึ่งแผดเสียงตะโกนว่าอะไรบางอย่างอยู่ข้างๆ นักกีฬาที่เป็นคนแทงศอกเมื่อครู่นี้ ถูกขยายใหญ่ขึ้น หัวใจของมูคยอมเต้นแรงขึ้นมาทีหนึ่งราวกับว่าจะหยุดเต้นไปชั่วขณะ

‘นักกีฬาอีฮาจุน โกรธมากเลยนะครับ’

‘โอ๊ยๆ ทำแบบนั้นไม่ได้นะครับ’

เมื่ออีฮาจุนตะโกนเสียงดังด้วยท่าทางน่ากลัว นักกีฬาฝ่ายตรงข้ามที่ฟังเสียงต่อว่าก็คว้าคอเสื้อของฮาจุนแล้วผลักอย่างแรง คิ้วได้รูปของฮาจุนขมวดเข้าหากันในทันที แต่ก่อนที่เขาจะได้ทำอะไร นักกีฬาคนอื่นๆ ก็กรูกันเข้ามา ต่างฝ่ายต่างผลักกันพร้อมกับห้ามปราม สถานการณ์กลายเป็นการทะเลาะกันยกกลุ่ม และยุ่งเหยิงขึ้น

สุดท้ายกรรมการที่เคยห้ามไม่ให้ทะเลาะก็ชูใบเหลืองขึ้นสูงแล้วให้ใบเหลืองกับนักกีฬาทีมตรงข้ามทุกคนรวมถึงฮาจุน ฮาจุนเบิกตากว้างพร้อมกับแสดงออกถึงความไม่พอใจ แต่ใบเหลืองที่ถูกชูขึ้นครั้งหนึ่งแล้วก็ไม่ได้ถูกยกเลิก

ฮาจุนไม่แสดงออกท่าทีขัดเคืองกับคำตัดสินต่ออีก จากนั้นก็เท้าสะเอวพร้อมกับส่ายหน้าหวิวพลางหันหลังไป เขาหันหลังให้นักกีฬาที่ยังคงหายใจฮึดฮัดด้วยความโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ไปฝั่งที่นั่งผู้ชมคนเดียว จากนั้นก็โบกแขนข้างหนึ่งสุดแขน

‘โห่!’ เสียงแสดงความเย้ยหยันซึ่งน่าจะโห่ใส่กรรมการกับทีมตรงข้าม ดังลั่นกังวานออกมาราวกับการโบกแขนของเขาคือสัญญาณ

‘นักกีฬาอีฮาจุนไม่ได้มีนิสัยอารมณ์ขึ้นง่ายๆ นะครับ แต่วันนี้เขาโมโหเพราะนักกีฬาพัคซึงโฮเลยนะครับเนี่ย’

‘ฮ่าๆ เขากำลังตั้งใจจะดึงปฏิกิริยาตอบสนองของผู้ชมมาเปลี่ยนบรรยากาศอยู่นะครับ สมกับเป็นนักกีฬาที่ได้รับความนิยมจริงๆ’

เสียงพากย์ดังขึ้นพร้อมกับขึ้นภาพถ่ายระยะใกล้ของใบหน้าฮาจุนที่ตึงเครียดราวกับยังไม่หายโกรธ วิดีโอถูกตัดจบด้วยภาพนั้น มูคยอมมองฮาจุนในวีดิโอที่เล่นจบแล้วพร้อมกับคิดขึ้นมาเงียบๆ

‘… ถ้าหากได้ดูคลิปแบบนี้มาก่อนหน้านี้ก็คงไม่ทำให้โกรธถึงขนาดนั้นหรอก’

ทำไมถึงเป็นแบบนั้นนะ ไม่ว่าจะโจมตีหรือป้องกันก็ต้องรู้เขารู้เราถึงจะชนะแน่ๆ แต่มูคยอมรู้เรื่องเกี่ยวกับฮาจุนเลย เขามองเพียงแค่ภาพลักษณ์ที่อีกฝ่ายแสดงให้เห็นเท่านั้นแล้วเอามาใช้ตัดสินอีกฝ่าย เขาอยู่ในสถานะที่ไม่รู้อะไร แต่กลับทำตัวรีบร้อนตั้งแต่แรกจนข้ามเส้น เพราะอย่างนั้นจึงทุกข์ใจเพราะทำพลาด

เป็นข้อผิดพลาดตั้งแต่แรกเริ่ม แม้ลงเล่นในการแข่งขันเล็กๆ เพียงหนึ่งเกมก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องสังเกตการณ์แล้วค่อยเผชิญหน้า สำหรับมูคยอมผู้ชื่นชอบที่จะทำความเข้าใครสักคนอย่างทะลุปรุโปร่งเป็นพิเศษหากมีความสนใจ การหาข้อมูลอย่างละเอียดเกี่ยวกับอีกฝ่ายซึ่งตนตั้งใจจะลองเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ในระดับนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องพื้นฐานของพื้นฐานแล้ว

………………………………………….

[1] การหยุดลูก (Trapping) คือ การที่ผู้เล่นใช้อวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายในการเล่นฟุตบอลยกเว้นอวัยวะบริเวณหัวไหล่ถึงมือ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก 74

Now you are reading Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก Chapter 74 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หากเป็นเวลาปกติ อีฮาจุนจะต้องยืนยิ้มอยู่ตรงกลางนั้น ยืนให้โค้ชคนอื่นลูบอย่างหยอกล้อ หรือไม่ก็ให้โค้ชอาวุโสดูโน้ตที่ตัวเองจดบันทึกไว้พร้อมกับปรึกษากันงึมงำ

พอทำแบบนั้นแล้วก็จะยืดเหยียดตัวเพื่อยืดกล้ามเนื้อ และบางครั้งคงเบื่อที่จะรวมกลุ่มอยู่กับโค้ชที่อายุห่างกับตัวเองอยู่มาก อีฮาจุนจึงวิ่งเหยาะๆ ตามหลังนักกีฬาไปพร้อมกันด้วย

ถ้าวิ่งเสร็จก็จะเป็นเวลาของการยืดกล้ามเนื้อทั้งตัว ถึงจะเป็นเพราะงาน แต่ทุกครั้งในเวลานี้ มือขาวๆ ของอีฮาจุนก็จะสัมผัสลงบนขา บนหลัง หรือไม่ก็แขนของเขา พร้อมกับช่วยดูท่าทางหรือไม่ก็นวดให้ นั่นเป็นความเพลิดเพลินเล็กๆ น้อยๆ ของมูคยอม การขยับมือของฮาจุนไม่ใช่แค่อยู่ในระดับพอใช้ แต่เรียกได้ว่าเป็นผลสำเร็จที่ได้รับหลังผ่านความพากเพียรมาเลยไม่ใช่เหรอ

บางทีถ้าลดเสียงลงพูดเรื่องลามกอย่างหยอกล้อ ฮาจุนก็จะขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยแล้วเขม้นมองมูคยอมราวกับบอกว่าให้ปิดปากไปซะ แต่ใบหน้านั้นกลับเผยให้เห็นว่าฮาจุนเองก็สนใจมัน มูคยอมจึงสนุกขึ้นเป็นสองเท่าและไม่คิดที่จะหยุดหยอกเย้าอีกฝ่ายเลยแม้แต่นิดเดียว

จากนั้นเมื่อเสร็จสิ้นการฝึกกำลังกาย นักกีฬาก็จะถูกแบ่งตามตำแหน่งเพื่อฝึกส่งลูก เลี้ยงลูก หรือแทรปปิง[1] ส่วนมูคยอมกับนักกีฬาตำแหน่งตัวรุกไม่กี่คนก็จะได้วิ่งสี่สิบเมตรซ้ำไปซ้ำมา

ปกติแล้ว เวลาแบบนั้นฮาจุนจะเฝ้าสังเกตนักกีฬาพร้อมกับจดอะไรบางอย่างลงสมุดที่เจ้าตัวมักจะพกไปไหนมาไหนอยู่เสมออย่างตั้งอกตั้งใจ เมื่อวิ่งไปหาโค้ชที่ถือนาฬิกาจับเวลาได้ประมาณสองสามรอบก็หมดเวลาการฝึกเช้า

“ในที่สุดก็เบื่อกินข้าวข้างนอกแล้วเหรอ”

จองคยูถามอย่างหยอกล้อกับมูคยอมซึ่งเข้ามาในศูนย์อาหารของสโมสรในรอบเกือบหนึ่งอาทิตย์ มูคยอมวางถาดอาหารลงบนโต๊ะโดยไม่ได้ตอบอะไร นักกีฬาคนอื่นๆ ก็มองมูคยอมด้วยสายตาเจือความอยากรู้อยากเห็น แต่ดูเหมือนไม่มีใครกล้าที่จะพูดอะไรออกมาสักคำเหมือนจองคยูที่พูดอย่างไม่ลังเล

เขาเลี่ยงการกินอาหารที่ศูนย์อาหารในช่วงที่ผ่านมาเพราะฮาจุน เพราะอย่างนั้น วันที่ฮาจุนไม่อยู่จึงไม่จำเป็นต้องดั้นด้นไปกินข้าวเที่ยงข้างนอกแล้ว มูคยอมไม่อยากอาหารก็จริง แต่การกินอาหารให้ดี และนอนหลับอย่างเต็มที่เป็นเรื่องอันดับหนึ่งของนักกีฬามืออาชีพ และเป็นเงื่อนไขแรกในการที่จะเอาชีวิตรอดในทุกสถานการณ์อีกด้วย

การยัดอาหารเข้าร่างกายไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามและการกินยาบำรุงกับอาหารเสริม ทำให้มูคยอมสามารถยิงประตูถึงห้าประตูในการแข่งขันแรงของฤดูกาลครึ่งหลังได้ ในขณะที่มูคยอมจับช้อนตะเกียบขึ้นมาเงียบๆ นักกีฬาคนอื่นก็เริ่มตั้งคำถามกันอย่างวุ่นวาย

“พี่จองคยู โค้ชอีมีเรื่องอะไรเหรอครับ”

“หรือว่าไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าครับ”

“ไม่ใช่หรอก แค่มีเรื่องส่วนตัวนิดหน่อยก็เลย…”

จองคยูพูดแบบนั้นแล้วปล่อยให้ท้ายประโยคเงียบหายไปพร้อมกับมองมูคยอม หัวคิ้วของจองคยูย่นเข้าหากัน

“คิมมูคยอม เป็นอะไร”

“เปล่า”

ทันทีที่ตักข้าวเข้าปากหนึ่งช้อน มูคยอมก็ยกมือขึ้นมาปิดปากแล้วเอาแต่นิ่วหน้า เขาอยู่แบบนั้นพักใหญ่แล้วจึงกลืนสิ่งที่อยู่ในปากลงไปรวดเดียว

“…อะไร มีอะไรเสียหรือไง”

จองคยูคีบหลายๆ อย่างเข้าปากราวกับลองชิม แล้วนักกีฬาคนอื่นที่เคยพูดคุยกันโดยไม่สนอาหารก็พากันขยับช้อนกับตะเกียบ แต่อาหารก็ปกติดีและมีรสชาติเหมือนปกติ

“ก็ปกตินี่”

“ดูเหมือนปัญหาจะอยู่ที่ร่างกายฉัน”

“อะไรกัน รู้สึกไม่ดีตรงไหนหรือเปล่า”

มูคยอมตอบสั้นๆ จากนั้นก็ยกถาดลุกขึ้นจากที่ พอจะเอาถาดที่อาหารยังเหลืออยู่ตามเดิมไปคืนก็รู้สึกไม่ดี เป็นไปตามที่คาดไว้ แม่ครัวคนหนึ่งส่งสายตาเป็นกังวลมาให้พร้อมถามขึ้น

“นักกีฬาคิมมูคยอม ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า ช่วงนี้ไม่เข้ามาเลย ฉันคิดว่ามีเรื่องอะไรไม่พอใจพวกเราเสียอีก”

“จะเป็นแบบนั้นได้ยังไงล่ะครับ ดูเหมือนช่วงนี้สภาพร่างกายผมจะไม่ดีเท่าไร คราวหน้าผมจะกินให้หมดอย่างแน่นอนครับ”

“โธ่ ร่างกายเป็นเหมือนกับสมบัติเลยแท้ๆ นะ ในตู้เย็นมีหอยเป๋าฮื้ออยู่ ฉันรีบทำโจ๊กให้สักหน่อยไหมล่ะ”

“ไม่ล่ะครับ ผมไม่เป็นไรครับ”

คนใจดีเอื้อเฟื้อไมตรีจิตให้เศษขยะ มูคยอมรู้สึกหนักใจกับความหวังดีจึงรีบออกมาจากศูนย์อาหารแล้วตามหาที่ที่เขาจะสามารถอยู่คนเดียวได้ เขาเข้าไปในห้องประชุมที่ว่างอยู่แล้วนั่งลงเอามือค้ำหน้าผาก

‘…ไม่ใช่แบบนี้สิ’

เพราะเขา อีฮาจุนถึงหนักใจว่าจะลาออกจากที่นี่ดีไหม เรื่องนี้หน้าหลังมันสลับกันไปหมดแล้ว พูดอย่างชัดเจนได้เลยว่าเขาไม่ได้หมายความแบบนั้น เพียงแค่บอกให้เว้นระยะห่างกัน ไม่ได้บอกให้ออกจากทีมสักหน่อย เจ้านั่นดื้ออยู่บ้างแต่ก็ไม่ใช่คนไม่มีสมอง เพราะฉะนั้นก็น่าจะเข้าใจสิ

วันนี้ต้องไปหาที่บ้านเพื่อให้ทำให้อีฮาจุนเข้าใจ การเป็นฝ่ายไปหาก่อนทั้งที่เมื่อวานเกิดเรื่องแบบนั้นมันน่าขำก็จริง แต่ก็ช่วยไม่ได้นี่เพราะมันเป็นการไปหาที่มีเหตุผลแน่ชัด

ข้าวก็กินไม่ลง ส่วนการฝึกภาคบ่าย มูคยอมก็ใจร้อนจนตั้งสมาธิกับมันไม่ได้ง่ายๆ ถึงอย่างนั้น มูคยอมก็ลดปริมาณการฝึกที่กำหนดไว้ลงด้วยทุกวิธีที่ทำได้แล้วบอกลาคนอื่นพอคร่าวๆ พลางขึ้นรถแล้วเหยียบอออกไปด้วยความรวดเร็ว

มูคยอมจอดรถตรงย่านอะพาร์ตเมนต์ของการเคหะที่สามารถมาถึงได้แม้หลับตา จากนั้นก็เอาโทรศัพท์ออกมาทันที เขามาหาโดยเตรียมพร้อมที่จะขายหน้าแล้ว เพราะฉะนั้นจึงโทรศัพท์ไปอย่างไร้ความลังเล

‘…หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้…’

เรื่องไม่เป็นไปตามที่ต้องการ มูคยอมถือสายอยู่พักใหญ่แต่เสียงสัญญาณก็เปลี่ยนไปเป็นระบบอัดเสียงฝากข้อความในกรณีที่อีกฝ่ายไม่รับสายแทน มูคยอมกดโทรอีกหลายครั้งแต่ทุกครั้งก็จะมีเพียงเสียงสัญญาณดังออกมาเหมือนกันหมด

คิดว่าจะขัดขืนเขาไว้ได้จนกว่าคนจะออกมาเหรอ

มูคยอมขมวดคิ้ว ‘ปัง!’ เขาลงจากรถพร้อมกับปิดประตูรถอย่างแรง จากนั้นจึงก้าวฉับๆ ไปทางตึกที่ฮาจุนอาศัยอยู่ มูคยอมขึ้นลิฟต์ที่มีรอยขูดสติกเกอร์เหมือนเป็นคราบบ่งบอกระยะเวลาการใช้งานแล้วออกมายืนตรงทางเดิน

อะพาร์ตเมนต์ของการเคหะเป็นอะพาร์ตเมนต์ที่หลายๆ บ้านในชั้นเดียวกันใช้ทางเดินร่วมกัน เขาอ้างอิงจากที่อยู่ซึ่งกรอกไว้ในช่องทางการติดต่อฉุกเฉินแล้วยืนอยู่หน้าบ้านของอีกฝ่าย มูคยอมเขม้นมองประตูอย่างเปล่าประโยชน์ แต่น่าเสียดายที่ฮาจุนอาศัยอยู่กับครอบครัว เพราะอย่างนั้นจึงไม่สามารถเอาคืนโดยการข่มขู่ว่าจะเตะประตูได้ มูคยอมกดกริ่งอย่างมีมารยาท

สองครั้ง สามครั้ง และถึงแม้จะกดไปแล้วสี่ครั้งก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา มูคยอมนึกสงสัยว่ามันพังหรือเปล่า แม้ว่าเขาจะลองเคาะประตูก๊อกๆ แล้วแต่ก็ไม่รู้สึกถึงวี่แววใดๆ จากด้านในเลย

‘ถ้าหากว่ามีใครสักคนอยู่ก็คงจะไม่เงียบแบบนี้หรอกมั้ง ไม่มีคนอยู่หรือเปล่านะ’

“ใครคะ”

เมื่อหันหน้าไปเพราะเสียงที่ได้ยินจากด้านข้าง หญิงคนหนึ่งซึ่งดูมีอายุมากกว่ามูคยอมนิดหน่อยก็จ้องมองมูคยอมราวกับตกใจเป็นอย่างมาก

“โอ๊ะ ตายแล้ว”

เธอเบิกตากว้างพร้อมกับยกมือปิดปากราวกับจำมูคยอมได้ในทันที จากนั้นก็ก้มหัวทักทาย

“ตายจริง ตายแล้ว นักกีฬาคิมมูคยอมไม่ใช่เหรอคะ มาหาฮาจุนสินะคะ”

คำพูดนั้นทำให้มูคยอมประหม่าไปชั่วขณะแล้วเกือบจะย้อนถามไปว่ารู้ได้อย่างไร มูคยอมจมอยู่กับการคิดไปเองว่าคนบนโลกมองได้อย่างทะลุปรุโปร่งว่าเขากำลังนึกถึงแต่อีฮาจุน

“อ่า ครับ ตอนนี้พวกเราอยู่ในทีมเดียวกันครับ”

“ว่าแต่ไม่รู้เหรอคะ ตอนนี้ฮาจุนไม่อยู่บ้านนะ ไปเที่ยวกับครอบครัวทั้งหมดเลย”

มูคยอมไม่สามารถพูดตอบรับในทันทีได้เพราะคำบอกเล่าที่ทำให้การคาดการณ์คาดเคลื่อนไปอย่างสมบูรณ์แบบ

“…เที่ยวกับครอบครัวเหรอครับ”

“ค่ะ บอกว่าจะไปเที่ยวสักครั้งก่อนเด็กๆ อ๊ะ ก่อนน้องๆ จะเปิดเทอมน่ะค่ะ ฮาจุนยุ่งอยู่ตลอดก็เลยคิดจะไปไหนไกลไม่ได้เลย แต่คงมีเรื่องอะไรดีๆ ก็เลยได้ไปหลังจากที่ไม่ได้เที่ยวมานานน่ะค่ะ”

เรื่องดีๆ อย่างนั้นเหรอ สีหน้าของมูคยอมค่อยๆ เคร่งเครียดขึ้นโดยอัตโนมัติ เพราะคำตอบเหนือความคาดหมายกับการเลือกใช้คำที่ทำให้รู้สึกเจ็บเข้ากระดูกซึ่งคนพูดไม่น่าจะรับรู้ได้ มูคยอมพยายามปกปิดจิตใจอันห่อเหี่ยวแล้วฉีกยิ้ม

“ทราบไหมครับว่าไปไหนกัน”

“ไม่รู้ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ”

“แล้วจะกลับมากันเมื่อไรเหรอครับ”

“เรื่องนั้นก็ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ”

“ขอบคุณที่ช่วยบอกนะครับ”

มูคยอมพูดขอบคุณอีกครั้งแล้วเซ็นลายเซ็นให้ตามคำขอของเธอ จากนั้นจึงขึ้นลิฟต์เพื่อลงไปข้างล่าง

ดูเหมือนฮาจุนคงคิดจะเพลิดเพลินกับวันหยุดพักร้อนอย่างเต็มที่มากๆ ย้อนกลับไปแค่คืนเมื่อวานซืน อีกฝ่ายยังอยู่ที่โซลแท้ๆ แต่ในระหว่างนั้นกลับยื่นใบลาออก และได้รับวันหยุดพักร้อนมา จนกระทั่งได้ออกไปเที่ยว ช่างเป็นการกระทำที่ว่องไวเสียจริง มูคยอมจำต้องนึกถึงคำบอกลาของฮาจุนที่ตนเองขบคิดซ้ำๆ ตลอดทั้งวันเมื่อวานขึ้นมาอีกครั้ง

‘พอแค่นี้แหละ ฉันเองก็ลำบากใจนิดหน่อยว่าทำไมนายถึงเป็นแบบนี้กันแน่ พูดตามตรงว่าเหนื่อยมากด้วยเหมือนกัน ฉันผิดหวังกับนาย’

ทั้งลำบากใจ ทั้งเหนื่อย ทั้งผิดหวัง คำพูดสะเทือนใจสามคำติดถูกพูดออกมาแล้วทำให้รู้สึกความสัมพันธ์ห่างเหินกันจริงๆ ถึงขนาดสลัดมันทิ้งไปภายในวันเดียวแล้วออกไปเที่ยวได้เลยอย่างนั้นเหรอ

ถ้าตั้งใจจะสืบให้ได้ว่าไปไหนก็ไม่น่ามีอะไรที่ไม่สามารถทำได้ แต่ไม่รู้ทำไมมูคยอมถึงรู้สึกเรี่ยวแรงหายไปหมดเกลี้ยง มูคยอมกลับมาที่รถพลางติดเครื่อง แต่เขากลับหยุดอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง จากนั้นจึงถอนหายใจเบาๆ ออกมาแล้วหมุนพวงมาลัย

***

กลางดึกวันนั้น มูคยอมเหงื่อไหลพลั่กๆ พร้อมกับลืมตาขึ้น เขากินข้าวเย็นแบบคนไม่มีกะจิตกะใจจะกินเช่นเคยแล้วก็เข้านอน แต่ท้องก็ไม่รู้สึกหิวเลย เพียงแค่รู้สึกคอแห้งเล็กน้อยจึงดื่มน้ำที่วางไว้บนชั้นแล้วทิ้งศีรษะลงบนหมอนอีกครั้ง

เขาเปิดโทรศัพท์เพื่อดูเวลา เพิ่งจะเลยตีสามมาไม่นาน เขาตื่นขึ้นมาในช่วงเวลาที่ควรจะหลับแต่ก็ใกล้ถึงเวลาตื่น ภาพตรงหน้าเลือนรางและน่าเวียนหัวราวกับถูกก่อกวนด้วยฝันร้าย มูคยอมจำไม่ได้แล้วว่าฝันเรื่องอะไรเช่นเดียวกันกับทุกครั้ง มีเพียงไม่กี่ส่วนที่แหวกความทรงจำออกมาแวบหนึ่งราวกับใบมีดโกนเท่านั้น

ถ้าหลับต่ออีกรอบตอนนี้ก็รู้สึกเหมือนจะฝันถึงเรื่องที่รู้สึกไม่ดีอีก มูคยอมจึงไม่ปิดโทรศัพท์พร้อมกับทอดสายตามองหน้าจอที่ส่องสว่างแล้วเปิดหน้าต่างอินเตอร์เน็ตขึ้นมา จากนั้นก็จ้องมองหน้าต่างสีขาวนั้นอีกรอบพักหนึ่งราวกับลืมว่าเปิดขึ้นมาเพื่อทำอะไร แล้วมูคยอมจึงเปลี่ยนมาเปิด SNS ออฟฟิเชียลของตัวเอง หรือถ้าพูดให้ถูกก็คือทั้งหมดแทบจะอยู่ในการดูแลของเอเจนซี่เสียมากกว่า

เมื่อมูคยอมเข้าไปในรายชื่อเพื่อนแล้วกดเข้าไปในลิงก์ SNS ของอิมจองคยู รูปเด็กน้อยที่ตอนนี้น่าจะอายุประมาณสองขวบก็ขยายใหญ่ขึ้นมา มูคยอมเลื่อนผ่านไปด้วยดวงตาอันพร่ามัวแล้วคลิกตรงรายชื่อเพื่อนของอิมจองคยู รายชื่อเพื่อนยาวเหยียดจนขี้เกียจไล่ดู ถึงอย่างนั้น เขาก็เลื่อนลงมาพร้อมกับไล่เช็กทีละชื่อ แต่ไล่ดูมากแค่ไหนก็ไม่มี SNS ที่ดูจะเป็นของฮาจุนเลย

“น่าเบื่อชะมัด”

มูคยอมได้แต่ปวดตาจึงพูดออกมาคนเดียวด้วยความขัดเคืองใจ ถ้าเล่น SNS ก็ย่อมอยู่ในรายชื่อเพื่อนของอิมจองคยูแน่ มูคยอมคิดอย่างละเอียดแล้วเมื่อคิดไปถึงเรื่องหนึ่งได้จึงเปลี่ยนไปเข้าเว็บไซต์ดูวิดีโอ

มูคยอมจ้องมองรูปตัวอย่างของคลิปวิดีโอนานาชนิดซึ่งอัดแน่นเป็นแถวบนหน้าจอ แล้วกดแป้นพิมพ์ราวกับคล้อยตาม เมื่อพิมพ์ตัวอักษรสามพยางค์เป็นชื่อจริงของชายหนุ่มผู้ที่เขาบันทึกชื่อไว้ในโทรศัพท์ว่าเจ้าลูกวัว ก็เป็นไปตามที่คาด ถึงจะไม่เยอะเท่าของมูคยอมแต่คลิปวิดีโอจำนวนหนึ่งก็โผล่ขึ้นมา

มูคยอมลากสายตาไปหาคลิปหนึ่งจากทั้งหมด ซึ่งดูเป็นคลิปที่อัปโหลดไว้เมื่อไม่กี่ปีก่อน

‘อีฮาจุน’

‘วินาทีที่มนุษย์แสนสุขุมอย่างอีฮาจุนเดือดจัด

-อินชอนแข็งแกร่งที่สุด’

“…ชื่อคลิปโหดจังเลยนะ”

มูคยอมบ่นพึมพำพร้อมกับคลิกคลิปวิดีโอที่มีชื่อรุนแรงเป็นอันแรก คะแนนโชว์อยู่ตรงมุมซ้ายบน ดูเหมือนเป็นส่วนหนึ่งที่เอามาจากการถ่ายทอด เสียงเชียร์ดังขึ้นพร้อมกับที่คลิปฉายให้เห็นภาพนักกีฬาวิ่งอยู่บนสนามหญ้าซึ่งถ่ายจากไกลๆ เพราะจับภาพจากระยะไกลมากเกินไปจึงแยกไม่ออกว่าใครคือฮาจุน

ลูกเตะมุมลอยมาแล้วนักกีฬาหลายคนก็วิ่งขึ้นมาตรงหน้าประตู คนคนหนึ่งล้มกลิ้งไปกับพื้นท่ามกลางพวกนักกีฬาที่ตั้งใจจะแย่งกันครองบอล เสียงพากย์ดังขึ้น

‘โอ้ นักกีฬาพัคซึงโฮ! ล้มไปแล้วครับ’

‘ดูเหมือนจะมีการปะทะกันนะครับ’

ฉากปะทะกันดังกล่าวถูกฉายอีกรอบขึ้นบนหน้าจอในรูปแบบการจับภาพระยะใกล้และถูกทำให้การเคลื่อนไหวช้าลง นักกีฬาสองคนวิ่งขึ้นไปหาลูกบอลแทบจะในเวลาเดียวกัน แล้วนักกีฬาคนหนึ่งก็แทงข้อศอกใส่หน้าของนักกีฬาอีกคน ฉากนักกีฬาที่ถูกโจมตีกุมใบหน้าของตัวเองพร้อมกับล้มฮวบลงบนพื้น ถูกจับภาพไว้อย่างชัดเจน

ภาพเคลื่อนไหวช้าจบลงแล้วกล้องก็ถ่ายไปที่สนามอีกครั้ง ในระหว่างนั้น การแข่งขันก็หยุดชะงัก ภาพนักกีฬาของทั้งสองทีมรวมตัวอยู่ในที่เดียว มองอย่างไรก็มีบรรยากาศเลวร้ายราวกับเกิดการทะเลาะเบาะแว้ง ภาพคนคนหนึ่งแผดเสียงตะโกนว่าอะไรบางอย่างอยู่ข้างๆ นักกีฬาที่เป็นคนแทงศอกเมื่อครู่นี้ ถูกขยายใหญ่ขึ้น หัวใจของมูคยอมเต้นแรงขึ้นมาทีหนึ่งราวกับว่าจะหยุดเต้นไปชั่วขณะ

‘นักกีฬาอีฮาจุน โกรธมากเลยนะครับ’

‘โอ๊ยๆ ทำแบบนั้นไม่ได้นะครับ’

เมื่ออีฮาจุนตะโกนเสียงดังด้วยท่าทางน่ากลัว นักกีฬาฝ่ายตรงข้ามที่ฟังเสียงต่อว่าก็คว้าคอเสื้อของฮาจุนแล้วผลักอย่างแรง คิ้วได้รูปของฮาจุนขมวดเข้าหากันในทันที แต่ก่อนที่เขาจะได้ทำอะไร นักกีฬาคนอื่นๆ ก็กรูกันเข้ามา ต่างฝ่ายต่างผลักกันพร้อมกับห้ามปราม สถานการณ์กลายเป็นการทะเลาะกันยกกลุ่ม และยุ่งเหยิงขึ้น

สุดท้ายกรรมการที่เคยห้ามไม่ให้ทะเลาะก็ชูใบเหลืองขึ้นสูงแล้วให้ใบเหลืองกับนักกีฬาทีมตรงข้ามทุกคนรวมถึงฮาจุน ฮาจุนเบิกตากว้างพร้อมกับแสดงออกถึงความไม่พอใจ แต่ใบเหลืองที่ถูกชูขึ้นครั้งหนึ่งแล้วก็ไม่ได้ถูกยกเลิก

ฮาจุนไม่แสดงออกท่าทีขัดเคืองกับคำตัดสินต่ออีก จากนั้นก็เท้าสะเอวพร้อมกับส่ายหน้าหวิวพลางหันหลังไป เขาหันหลังให้นักกีฬาที่ยังคงหายใจฮึดฮัดด้วยความโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ไปฝั่งที่นั่งผู้ชมคนเดียว จากนั้นก็โบกแขนข้างหนึ่งสุดแขน

‘โห่!’ เสียงแสดงความเย้ยหยันซึ่งน่าจะโห่ใส่กรรมการกับทีมตรงข้าม ดังลั่นกังวานออกมาราวกับการโบกแขนของเขาคือสัญญาณ

‘นักกีฬาอีฮาจุนไม่ได้มีนิสัยอารมณ์ขึ้นง่ายๆ นะครับ แต่วันนี้เขาโมโหเพราะนักกีฬาพัคซึงโฮเลยนะครับเนี่ย’

‘ฮ่าๆ เขากำลังตั้งใจจะดึงปฏิกิริยาตอบสนองของผู้ชมมาเปลี่ยนบรรยากาศอยู่นะครับ สมกับเป็นนักกีฬาที่ได้รับความนิยมจริงๆ’

เสียงพากย์ดังขึ้นพร้อมกับขึ้นภาพถ่ายระยะใกล้ของใบหน้าฮาจุนที่ตึงเครียดราวกับยังไม่หายโกรธ วิดีโอถูกตัดจบด้วยภาพนั้น มูคยอมมองฮาจุนในวีดิโอที่เล่นจบแล้วพร้อมกับคิดขึ้นมาเงียบๆ

‘… ถ้าหากได้ดูคลิปแบบนี้มาก่อนหน้านี้ก็คงไม่ทำให้โกรธถึงขนาดนั้นหรอก’

ทำไมถึงเป็นแบบนั้นนะ ไม่ว่าจะโจมตีหรือป้องกันก็ต้องรู้เขารู้เราถึงจะชนะแน่ๆ แต่มูคยอมรู้เรื่องเกี่ยวกับฮาจุนเลย เขามองเพียงแค่ภาพลักษณ์ที่อีกฝ่ายแสดงให้เห็นเท่านั้นแล้วเอามาใช้ตัดสินอีกฝ่าย เขาอยู่ในสถานะที่ไม่รู้อะไร แต่กลับทำตัวรีบร้อนตั้งแต่แรกจนข้ามเส้น เพราะอย่างนั้นจึงทุกข์ใจเพราะทำพลาด

เป็นข้อผิดพลาดตั้งแต่แรกเริ่ม แม้ลงเล่นในการแข่งขันเล็กๆ เพียงหนึ่งเกมก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องสังเกตการณ์แล้วค่อยเผชิญหน้า สำหรับมูคยอมผู้ชื่นชอบที่จะทำความเข้าใครสักคนอย่างทะลุปรุโปร่งเป็นพิเศษหากมีความสนใจ การหาข้อมูลอย่างละเอียดเกี่ยวกับอีกฝ่ายซึ่งตนตั้งใจจะลองเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ในระดับนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องพื้นฐานของพื้นฐานแล้ว

………………………………………….

[1] การหยุดลูก (Trapping) คือ การที่ผู้เล่นใช้อวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายในการเล่นฟุตบอลยกเว้นอวัยวะบริเวณหัวไหล่ถึงมือ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+