Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก 54

Now you are reading Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก Chapter 54 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ฮาจุนมั่นใจกับความสามารถในการรวบรวมและสรุปผลข้อมูลที่จำเป็นของตัวเอง แต่ในชีวิตปกติเขาไม่ใช่พวกที่จัดการอะไรได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยนัก เพราะแบบนี้โต๊ะของเขาจึงเต็มไปด้วยข้าวของระเกะระกะ ฮาจุนไม่สามารถรู้ได้เลยว่าท่ามกลางของเหล่านั้น ของชิ้นไหนสำคัญหรือของชิ้นไหนสามารถโยนทิ้งได้ เป็นเหตุให้เขาไม่สามารถปล่อยให้คนอื่นมาช่วยจัดโต๊ะให้ได้

ด้วยความที่คุ้นชินกับสภาพแวดล้อมแบบนี้ จึงไม่เคยรู้สึกว่าจำเป็นที่จะต้องจัดการกับมัน แต่ในวันนี้ฮาจุนกลับรู้สึกไม่อยากมองไปที่โต๊ะของตัวเอง เพราะดูเหมือนว่าบนโต๊ะที่รกรุงรังและเต็มไปด้วยของซึ่งวางอย่างไม่เป็นระเบียบนั้น กำลังเผยให้เห็นถึงตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์ที่ชื่อว่าอีฮาจุน

แทนที่จะนั่งบนเก้าอี้ ฮาจุนเลือกที่จะนั่งลงบนเตียงนอน แล้วเริ่มเปิดดูถุงเสื้อผ้า มันดูหรูหราตั้งแต่หีบห่อที่ใช้บรรจุ เมื่อหนึ่งในกล่องทรงยาวสีน้ำเงินถูกเปิดออก ก็พบกับเนกไทสีม่วงอ่อนที่อยู่ภายใน เป็นเนกไทเส้นที่มูคยอมหยิบขึ้นมาทาบกับหน้าของเขา และตั้งใจเลือกสีมาอย่างจริงจัง

ฮาจุนลองนับกล่องที่อยู่ภายในถุง เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าในชีวิตนี้ตัวเองจะต้องใส่สูทกี่ครั้ง แต่แค่เนกไทที่ซื้อมาในวันนี้ก็มีถึง 8 เส้นเลยทีเดียว เมื่อหยิบออกมาดู สัมผัสของมันทั้งนุ่มและลื่นมือเสียจนพาลทำให้รู้สึกไม่สบายใจ ผิวสัมผัสของผ้าไหมเหมือนกับเม็ดทรายที่แทรกตัวไปตามช่องนิ้ว

นี่คือของที่คิมมูคยอมให้กับอีฮาจุนจริงๆ ไม่ใช่ของที่มูคยอมฝากไปให้คนอื่น และไม่ใช่การมาหาในตอนที่เมาไม่ได้สติด้วย

ไหนจะที่เอาเนกไทมาทาบกับหน้าของฮาจุนทีละเส้น เป็นของที่คิมมูคยอมเป็นเลือกด้วยตัวเองจริงๆ

‘อยู่ในความสัมพันธ์แบบมีเซ็กส์กัน จะรับอะไรแบบนี้ไม่ได้เลยเหรอ’

เรื่องนั้นเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน

แล้วปกติคนที่แค่มีเซ็กส์กัน เขาได้รับอะไรแบบนี้ไหมนะ

เราแค่มีเซ็กส์กัน ก็ไม่ควรจะรับอะไรมากกว่านี้ไม่ใช่เหรอ

แล้วมันควรจะเป็นยังไงล่ะ ตุ๊กตารับได้ แต่เสื้อรับไม่ได้เหรอ เพราะมันแพงใช่ไหม

“…ไม่เห็นจะเข้าใจเลย”

มันไม่มีประโยชน์ที่จะพยายามวิเคราะห์การกระทำของมนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่มักทำอะไรตามใจตัวเองอยู่เสมอ อาจเป็นเพราะว่ามันเกิดขึ้นเร็วเกินไป หรือเพราะของพวกนั้นราคาแพงเกินไป เขาถึงรู้สึกว่าทุกอย่างดูไม่สมจริงเลยสักนิด

ฮาจุนเอนตัวนอนลงบนเตียง หยิบเนกไทหนึ่งเส้นขึ้นวางเหนือสายตา มีบางอย่างจากด้านหลังกระทบเข้ามาแยงตาเขา มันคือแสงจากหลอดไฟที่แทรกตัวผ่านช่องว่างระหว่างเนกไทกับสันจมูก เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ ที่ฮาจุนรู้สึกว้าวุ่นใจขนาดนี้หลังได้รับของขวัญ

***

หลายๆ คนก็อาจจะเป็นเหมือนเขา ตอนเด็กๆ ฮาจุนเองก็เป็นเด็กที่ชอบการได้ไปยืนอยู่หน้าผู้คน และทำได้ดีเมื่อต้องออกไปนำเสนอผลงาน เขายังเคยได้เป็นหัวหน้าห้องถึงช่วง ป.3 ป.4 อีกด้วย

แต่ไม่รู้เพราะการศึกษาที่ถูกยัดใส่หัวหรือเพราะอะไร จากเด็กที่เคยเป็นเช่นนั้น กลับค่อยๆ กลายเป็นเด็กที่ไม่ยกมือขึ้น แม้ครูจะมองหา และเริ่มหาหนทางหลบเลี่ยงการออกไปยืนหน้าห้อง ซึ่งนั่นพอดีกับช่วงที่พ่อของฮาจุนได้จากโลกนี้ไป เป็นช่วงที่สภาพแวดล้อมภายในบ้านของเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เพราะการเปลี่ยนแปลงนั้นจึงมีเรื่องให้เขาได้คิดวุ่นวายเพิ่มขึ้น

พอบอกว่าต้องใส่สูทราคาแพงความมั่นใจของฮาจุนก็หดหายไปโดยอัตโนมัติ แค่ได้รับคำเชิญให้ไปยังสถานที่ที่เกินตัว ทั้งที่ไม่ได้มีประสบการณ์ทำงานยาวนานและไม่มีผลงานที่โดดเด่น ก็พาลทำให้ความวุ่นวายใจตีตื้นขึ้นมาถึงลำคอแล้ว แน่นอนว่าทางฝั่งสมาคมวิชาการก็คงจะไม่ได้คาดหวังอะไรมากจากการที่เรียกเขาไป ฮาจุนรู้ดีว่ามันคืองานที่จัดขึ้นเพื่อมอบไมตรีจิตให้กับโค้ชอายุน้อยที่เคยเป็นนักกีฬาทีมชาติมาก่อน แต่พอคิดว่ามันเป็นงานระดับนั้น เขาก็ไม่อยากจะโชว์ภาพลักษณ์ธรรมดาๆ ออกไป ตั้งแต่ตอบรับคำเชิญที่ถูกส่งมาอย่างรวดเร็ว ฮาจุนก็รู้สึกเสียใจอยู่ทุกวันที่ตัดสินใจไปแบบนั้น เอาแต่จัดทำข้อมูลซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตรวจเช็กความถูกต้อง แล้วก็ซ้อมนำเสนอวนไปเรื่อยๆ

ฮาจุนมาถึงสถานที่จัดงานเร็วกว่าเวลาที่ควรเล็กน้อย เขายืนมองซ้ายมองขวาอยู่บริเวณหน้าประตูทางเข้าอยู่สักพัก ก่อนจะเห็นรถที่คุ้นตาหนึ่งคันแล่นไปจอดสนิทอยู่บริเวณลานจอดรถ ชายหนุ่มที่บอกว่าให้มาเจอกันก่อนเข้างาน 10 นาที เพราะจะผูกเนกไทให้ เดินทางมาถึงเป็นที่เรียบร้อย ฮาจุนรีบวิ่งไปที่รถก่อนจะมีใครเห็น และขึ้นไปจับจองที่นั่งข้างคนขับ

“ว่าไง”

ทันทีที่เอ่ยทักทายและหันไปสบตา ก็เห็นว่ามูคยอมกำลังยิ้มอยู่ก่อนแล้ว

“โค้ชอี หล่อเชียวนะวันนี้ คนที่มางานคงจะตกหลุมรักนายกันหมดแน่เลย”

“อย่ามัวแต่เล่นสิ มาผูกให้เร็วๆ เลย”

ฮาจุนยื่นกล่องเนกไทให้คนตรงหน้าด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ การที่ไม่ใส่เนกไททั้งๆ ที่สวมสูทราคาแพงอยู่ ทำให้เขารู้สึกเหมือนแต่งตัวไม่เรียบร้อยจนวุ่นวายใจมากกว่าเดิมมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ปกติเขาก็แต่งตัวสบายๆ มาตลอด เลยไม่ต้องมาใส่ใจกับอะไรแบบนี้ แต่วันนี้มันต่างออกไป เพราะความกังวลเกี่ยวกับการนำเสนอ แค่เรื่องเล็กๆ ก็ทำให้รู้สึกไม่สบายใจใหญ่โตได้

“เข้ามาใกล้ๆ นี่”

มูคยอมที่หยิบเนกไทสีน้ำเงินเนวีออกมาถือโน้มตัวไปด้านข้างพลางชี้นิ้วประกอบคำพูด ฮาจุนเองก็โน้มตัวไปทางฝั่งคนขับ

มือของมูคยอมอ้อมไปที่ปกเสื้อเชิ้ตด้านหลัง พาดไปปล่อยชายเนกไทให้ห้อยมาตกลงที่ด้านหน้า ดึงเนกไทซ้ายทีขวาที ปรับความยาวทั้งสองข้างให้เท่ากัน ก่อนที่เรียวนิ้วยาวจะเริ่มขยับฉึบฉับโชว์ฝีมือผูกเนกไท

สายตาของอีกคนไม่ได้อยู่ที่ใบหน้าของฮาจุน แต่กำลังมองไปที่ช่วงลำคอ เมื่อลากสายตามองลงไป ก็พบกับเปลือกตาที่เหมือนใบมีดคม และแพขนตาที่เหมือนกับผืนม่านปกคลุมอยู่เหนือดวงตา ทำให้ภาพที่เห็นช่างดูอ่อนโยน และในตอนนี้ฮาจุนสามารถที่จะมองดูใบหน้าของมูคยอมได้อย่างเต็มที่ตามใจต้องการ

หลังจากที่ขยับปลายเนกไทไปมาโดยไม่พูดไม่จาอยู่สักพัก มูคยอมก็พูดขึ้นมาด้วยเสียงบางเบาขณะที่กำลังเริ่มผูกปม

“เวลาที่ผูกเนกไทส่วนนี้ที่สำคัญที่สุด ปมจะต้องอยู่ข้างล่างพอดี บางคนจะปล่อยให้มันลงมาอยู่ตรงนี้ ซึ่งมันไม่ถูก”

แม้จะพูดเช่นนั้น แต่ฮาจุนก็ไม่สามารถมองเห็นพื้นที่ข้างล่างใบหน้าของตัวเองได้ ทว่าเขาก็ชอบที่เมื่อมองลงไปแล้วเห็นมูคยอมกำลังอธิบายอยู่ ฮาจุนส่งเสียง อื้อ สั้นๆ พลางพยักหน้าเป็นการตอบรับ

“นายต้องจับรอยพับให้เป็นแบบนี้ มันเป็นสูทสองกระดุม ติดแค่เม็ดตรงกลางก็พอ”

ฮาจุนเองก็ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังพูดอะไรอยู่ แต่ก็พยักหน้าเบาๆ กลับไปอีกครั้ง มูคยอมมองที่คอของฮาจุน พลางขยับปมเนกไทให้แน่นขึ้น ฮาจุนสัมผัสได้ถึงแรงรัดเบาๆ ใต้ปกเสื้อเชิ้ต และในตอนนั้นเองมูคยอมก็ส่งสายตาขึ้นมามองกันก่อนถามขึ้น

“ไม่แน่นไปใช่ไหม”

“อื้อ ขอบใจนะ”

มันจะดูเวอร์ไปไหม หากบอกว่าเขานึกถึงมูคยอมที่ผูกเชือกรองเท้าให้ เมื่อตอนอายุ 16 ตอนนี้กองข้อมูลการนำเสนอที่ถูกจัดเก็บเอาไว้อย่างเป็นระเบียบภายในหัวกำลังล้มครืนลงมาจนเละเทะ เหมือนกับว่าเขาพลาดทำกล่องความทรงจำของตัวเขาเองหกทะลักออกมา

อาการใจเต้นเมื่อตกหลุมรักคนที่เป็นรักแรก และความกระวนกระวายใจกับการนำเสนอที่ใกล้จะมาถึง กำลังผสมปนเปกัน จนฮาจุนรู้สึกวิงเวียนตั้งแต่เริ่ม เขารู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองกำลังต้องการอากาศสดชื่น

“ตอนนี้ฉันลงไปได้หรือยัง”

“อากาศก็ร้อน นายจะรีบใส่ชุดนั้นออกไปทำไมกัน”

ฮาจุนคิดว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดก็ถูก เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนมองตรงไปด้านหน้า มูคยอมที่เห็นฮาจุนเป็นเช่นนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างขมขื่น

“ตื่นเต้นหรือไง”

“…นิดหน่อย”

“เอามือมา”

มูคยอมพูดขึ้นพร้อมยื่นมือขวาของตัวเองออกมา ฮาจุนสองจิตสองใจก่อนยื่นมือซ้ายที่อยู่ใกล้ฝั่งคนขับวางลงไปบนฝ่ามือนั้น

มูคยอมจับมือนั้นไว้และกดลงบนปลายนิ้ว ฮาจุนอ้าปากมองมูคยอมที่กำลังกดผ่านนิ้วโป้ง นิ้วชี้ ไปจนถึงนิ้วกลาง ก่อนที่ฮาจุนจะได้ถามอะไรออกไป มูคยอมก็เป็นฝ่ายอธิบายขึ้นมาก่อน

“แม่สอนฉันมาตอนเด็กๆ น่ะ มันช่วยได้นะเวลาที่ไม่สบายใจ”

“…”

คำว่า ‘แม่’ ที่ออกมาจากปากมูคยอมฟังดูไม่คุ้นหูเท่าไหร่

เท่าที่ฮาจุนรู้ มูคยอมสูญเสียพ่อแม่ไปตอนที่อายุประมาณ 11 ปี เป็นช่วงเวลาที่ค่อนข้างเร็วกว่าที่ฮาจุนต้องจากกับพ่อ เขารู้มาว่าพ่อและแม่ของมูคยอมจากโลกนี้ไปพร้อมกันด้วยอุบัติเหตุ เพราะไม่มีญาติสนิทที่ไหน มูคยอมจึงถูกนำไปฝากไว้ที่สถานรับเลี้ยงเด็ก ณ ที่นั่น ‘สมัยเป็นเด็กอันธพาล’ ของมูคยอมได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ เหมือนมูคยอมจะเคยพูดออกมาเองว่าเพราะ ‘พฤติกรรมไร้สาระเล็กน้อย’ เจ้าตัวถึงได้มีโอกาสเข้าออกโรงพักอยู่สองครั้งสองครา

ถึงจะขึ้นชื่อว่าเป็นตัวปัญหา แต่ช่วงนั้นมูคยอมก็เริ่มมีฝีเท้าที่ว่องไวและเล่นฟุตบอลได้อย่างเก่งกาจ เด็กคนอื่นต่างก็กลัวเขา แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่มีการแข่งฟุตบอลระหว่างห้อง พวกเขากลับวิ่งโร่เข้ามาขอให้มูคยอมไปช่วยเล่นให้ เพราะรับรู้ถึงความสามารถของหมอนี่

อย่างที่หลายๆ คนรู้กันว่าคนแรกที่มองเห็นพรสวรรค์ที่มูคยอมมีติดตัว นั่นก็คือผู้จัดการทีมพัคจุนซอง หลังได้รับการชี้นำจากผู้จัดการทีมพัคที่ได้พบกันในโรงเรียนมัธยมต้น มูคยอมก็ได้เริ่มต้นก้าวแรกบนสนามฟุตบอลราวกับเป็นพรหมลิขิต จากที่ฮาจุนเคยได้อ่านและฟังมาหลายครั้งหลายหน เป็นความจริงที่ว่าจนถึงตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นการสัมภาษณ์อะไรหรือไปออกรายการที่ไหน มูคยอมจะพูดเรื่องของผู้จัดการทีมพัคขึ้นมาเสมอเมื่อมีโอกาส

เอาจริงๆ แล้วหากมองแค่จุดเริ่มต้น เรื่องราวของฮาจุนและมูคยอมก็ไม่ได้ต่างกันมากมายเท่าไหร่ แต่แน่นอนว่าแค่มีจุดเริ่มต้นเหมือนกัน ก็ไม่ใช่ว่าใครจะสามารถเป็นผู้ชนะที่โดดเด่นได้ มีคนมากมายนับไม่ถ้วนเริ่มต้นจากจุดเดียวกัน ทว่าแต่ละคนต่างก็ต้องผ่านเส้นทาง พบวิกฤต หรือแม้แต่มีจุดสูงสุดของชีวิตที่แตกต่างกันไป และคนที่จะมีตอนจบที่ ‘ทำฝันสำเร็จได้’ ก็มีจำนวนแค่พอจะใช้นิ้วนับได้เท่านั้น

มูคยอมคือหนึ่งในคนจำนวนน้อยนั้นที่สามารถยกนิ้วนับได้ เมื่อหาจุดที่เหมาะกับตัวเองเจอ ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะปล่อยตัวเองให้กลับไปต่อยตีหรือทำตัวเป็นหัวขโมยอีก และเมื่อเวลาผ่านไปมูคยอมก็ได้กลายเป็นผู้ชนะที่เปล่งประกายที่ไม่ว่าใครก็ต้องรู้จัก

ก่อนนี้อีฮาจุนเคยคิดว่าไม่มีทางที่ชั่วชีวิตนี้เขาจะสามารถมายืนขนาบข้างดวงดาวที่เปล่งประกายนั้นได้ แต่ในตอนนี้ฮาจุนกำลังถูกดาวดวงนั้นที่นั่งอยู่ข้างๆ จับมือ แม้จะไปไม่ถึงถึงชัยชนะ แต่เขาสามารถเรียกสิ่งนี้ว่าพัฒนาการที่ก้าวกระโดดได้ไหมนะ

ฮาจุนไม่รู้ว่าแม่ของมูคยอมเป็นคนแบบไหน แต่เมื่อได้เห็นความคิดถึงที่ลอยจางๆ ใต้แพขนตาของมูคยอมที่มองลงไปยังมือของเขา ใจที่เคยหวั่นกลัวของฮาจุนก็ค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ

ชายที่เชื่อมั่นในตนเองสูงและชอบทะนงตัว ช่างน่าสงสัยว่าจะมีสักเสี้ยวของส่วนที่นุ่มนวลและเปราะบางอยู่ตรงไหนสักแห่งในร่างกายที่แข็งแรงนี้ไหม แค่ชายที่มักจะมองเขาจากกลางกระหม่อมและบีบคลายเขาไว้ในกำมือเสมอได้เผยเศษเสี้ยวในอดีตที่เหมือนกับเนื้อหนังใต้ร่มผ้าให้เห็นเพียงนิด น่าแปลกที่มันกลับทำให้ฮาจุนรู้สึกราวกับได้รับการปลอบโยน

เหตุผลที่มูคยอมยังคงจำเรื่องราวที่ได้ยินมาตอนอายุราวๆ 10 ขวบได้อยู่ คงเพราะบางครั้งมูคยอมเองก็เคยกดปลายนิ้วตัวเองแบบนี้หรือเปล่านะ เพราะมูคยอมก็คงจะมีช่วงเวลาที่กังวลและไม่สบายใจเช่นเดียวกัน

“ตอนนี้ฉันรู้สึกดีขึ้นแล้วล่ะ”

ไม่รู้ว่าการกดจุดที่ปลายนิ้วช่วยได้จริงหรือเปล่า แต่ความรู้สึกไม่สบายใจที่เหมือนกับลูกบอลกระเด็นกระดอนไปมาในใจของเขาก่อนหน้านี้ได้สงบลงไปแล้ว มูคยอมปล่อยมือออกช้าๆ ระหว่างที่ขึ้นมาอยู่บนรถได้สักพัก ทางเข้างานที่เคยเงียบเหงาก็เริ่มมีคนหนาตาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

นาฬิกาบอกเวลาว่าตอนนี้ฮาจุนจะต้องเข้าไปในงาน เขาจับที่เปิดประตูรถพร้อมบอกลามูคยอม

“ขอบใจนะ สำหรับหลายๆ อย่างเลย ฉันไปก่อนนะ เขาให้คนนำเสนอไปรวมตัวแยกอีกที่”

“อีฮาจุน”

“หืม?”

“หลังจบงานนายต้องไปบ้านฉัน วันนี้ฉันไม่ปล่อยนายกลับไปแบบไร้ร่องรอยแน่ๆ เตรียมใจไว้เลย”

คำพูดนั้นทำเอาฮาจุนถึงกับหลบตาเลิ่กลั่กมองซ้ายขวาราวกับว่าเขินอาย แต่ท้ายที่สุดก็พยักหน้าสองทีก่อนลงจากรถไป เมื่อนอกหน้าต่างรถสะท้อนภาพของคนที่ยืนอยู่อย่างเรียบร้อย มูคยอมก็หัวเราะออกมาโดยไร้สิ้นเสียงพลางคิดว่าตนนั้นเลือกชุดมาได้อย่างดีเลยจริงๆ

เพราะฟิล์มที่ปิดทับกระจกหน้าต่างอยู่ จากข้างนอกนั่นน่าจะมองมูคยอมเข้ามาได้ไม่ชัดนัก แต่ฮาจุนก็หันมาโบกมือให้ทางที่นั่งฝั่งคนขับ แล้วจึงขยับฝีเท้าออกไปอย่างเร่งรีบ เมื่อเห็นฮาจุนโบกมือมาให้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเพราะความกังวลที่มี มูคยอมก็ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น โตแต่ตัวนี่นา มันให้ความรู้สึกเหมือนกำลังมองเจ้าหนูตัวน้อยไปโรงเรียนวันแรกเลยไม่ใช่เหรอ

แต่ฮาจุนก็ไม่เด็กเลยจริงๆ ร่างกายด้านหลังที่คลุมทับด้วยสูทพอดีตัวนั่น ทำให้คนมองเพลิดเพลินสายตาไม่น้อย หลังจากงานสัมมนาจบลง เขาจะพาฮาจุนกลับบ้านด้วยทันที เพราะยังไม่ได้ใส่ชุดนี้ทำอะไรเลยสักครั้ง มันเลยยังไม่ควรค่าพอที่จะเป็นของขวัญหรอกนะ เหตุผลที่เขาให้เสื้อผ้าพวกนี้เป็นของขวัญ ก็เพื่อที่สุดท้ายแล้วจะถอดมันทิ้งไม่ใช่เหรอ

ในตอนแรกมูคยอมคิดไว้ว่าจะสนุกไปกับวันหยุด ที่แม้จะเป็นเวลาเพียงแค่สามสี่วัน แต่เพราะมัววุ่นวายช่วยฮาจุนเตรียมตัวสำหรับงานสัมมนา ช่วงเวลาวันหยุดสั้นๆ นั้นจึงได้หมดไปเป็นที่เรียบร้อย แม้จะยังเหลือเวลาอีกนิดหน่อยก่อนถึงการแข่งขันแรกในฤดูกาลครึ่งหลังของปี แต่การฝึกซ้อมจะเริ่มต้นตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ดังนั้นวันนี้เขาจึงไม่สามารถที่จะปล่อยฮาจุนไปได้เด็ดขาด ขณะที่ตั้งมั่นกับตัวเองอีกครั้ง มูคยอมก็ก้าวเท้าลงจากรถ และต่อสายหาจองคยู เพื่อบอกว่าตนเดินทางมาถึงที่หมายแล้ว

สถานที่จัดงานที่มูคยอมเดินเข้ามาพร้อมกับจองคยู ดูเรียบหรูและใหญ่กว่าที่คิดไว้ ทั้งยังมีคนมารวมตัวกันมากพอสมควร ในทีแรกเขาคิดว่ามันเป็นเพียงงานสัมมนาเล็กๆ แต่เอาเข้าจริงมันดูเป็นทางการกว่านั้น มูคยอมเดินไปที่นั่งด้วยความรู้สึกเกินคาด

เมื่อมาถึงที่นั่งของตนหว่างคิ้วของมูคยอมก็ยับย่นขึ้นมา จุดที่คิดว่าจะมีแค่คนในทีมซิตี้โซลเท่านั้น กลับมีบุคคลที่นึกไม่ถึงนั่งอยู่

“สวัสดีครับพี่”

“ว่าไง”

มูคยอมเขม่นมองชายที่รับคำทักทายจากจองคยูเล็กน้อย และนั่งลงโดยไม่พูดอะไร เมื่อลองมาคิดดู ฮาจุนเคยบอกว่าเจ้าตัวเรียนมากับยุนแชฮุนและยังเตรียมตัวเข้าสู่วงการโค้ชมาด้วยกัน มันก็ไม่แปลกอะไรที่คนคนนี้จะมาอยู่ตรงนี้ อาจเพราะแชฮุนไม่ได้คาดหวังว่ามูคยอมจะทักทายตน หลังจากที่เอ่ยทักทายกับจองคยูเสร็จ จึงหันหน้ากลับไปด้วยความเย็นชา

ในขณะที่บอกอิมจองคยู บอกยุนแชฮุน แต่ไม่แม้แต่จะมากระซิบบอกเขาเพียงคนเดียว แบบนี้ใช่ไหม…

ความรู้สึกรังเกียจที่พุ่งสูง ทำให้มูคยอมเข่นเขี้ยวในใจ วันนี้ฮาจุนจะต้องใช้ร่างกายชำระค่าตอบแทนนี้ให้เขา มูคยอมกัดฟันกรอดอยู่ข้างใน แล้วนั่งกอดอกมองตรงไปด้านหน้า

แม้จะอยู่ในวงการเดียวกัน แต่มูคยอมกลับไม่ได้สนใจมากนักเกี่ยวกับทฤษฎีทางกีฬา ตอนที่อยู่ในทีมต้นสังกัดเดิมอย่างกรีนฟอร์ดก็เช่นกัน ในกลุ่มนักเตะที่ค่อนข้างมีอายุ พวกเขาบางคนก็ศึกษาด้านการโค้ช หลักการตลาดทางการกีฬา หรือวิชาการที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างเส้นทางอาชีพให้ตัวเองหลังออกจากการเป็นนักเตะ อย่างไรก็ตามนั่นยังเป็นเรื่องที่ไกลตัวสำหรับมูคยอม เขามองผ่านผู้นำเสนอคนอื่นๆ ที่เรียงกันมาตามลำดับด้วยความเบื่อหน่าย ขณะรอฮาจุน

‘ลำดับต่อไป โค้ชอีฮาจุนจากทีมซิตี้โซลจะมานำเสนองานวิจัยเกี่ยวกับแนวโน้มของแรงจูงใจในกลุ่มนักเตะเยาวชนครับ’

หลังเสียงดังก้องของพิธีกร มูคยอมก็ปรับท่านั่งตั้งตัวตรง จากที่ได้ยินดูเหมือนว่าก่อนที่จะมาอยู่ทีมซิตี้โซล ฮาจุนน่าจะเคยอยู่ในทีมนักเตะเยาวชนมาก่อน

เนื่องจากเป็นการนำเสนอที่ต้องใช้สื่อเป็นจำนวนมาก ไฟในห้องประชุมจึงถูกปรับให้มืดลงเว้นไว้แต่บริเวณแท่นพูดที่ผู้นำเสนอยืนอยู่ เพราะยืนอยู่ในจุดที่สูงกว่าผู้เข้าฟัง ความกังวลของฮาจุนจึงเผยให้เห็นผ่านใบหน้าขาวที่กำลังก้มหัวโค้งทักทาย แต่ถึงอย่างนั้นหากมองด้วยสายตาของคนที่ไม่รู้จักสีหน้าเช่นนั้นก็ถือว่าดูดีเลยทีเดียว เมื่อเห็นว่าเสื้อผ้าที่เขาซื้อให้เป็นของขวัญกำลังทำหน้าที่ของมันอย่างตั้งอกตั้งใจ มูคยอมก็ยกมุมปากขึ้นด้วยความพึงพอใจ

‘ผมผู้นำเสนออีฮาจุนครับ ขอบคุณที่เชิญคนที่ยังบกพร่องอย่างผมมาร่วมงานอันทรงเกียรตินี้นะครับ’

ฮาจุนกล่าวทักทายจบแค่นั้น และเริ่มเข้าสู่เนื้อหาในทันที

‘ข้อมูลที่ผมจะนำเสนอให้ทุกท่านดูเป็นข้อมูลที่รวบรวมจากประสบการณ์การเป็นโค้ชนักเตะเยาวชนเป็นเวลาราวๆ 2 ปีของผม เป็นการศึกษาที่มีจุดประสงค์เพื่อวิเคราะห์และค้นหาแนวทางรวมถึงรูปแบบการโค้ช หลังจากการวิเคราะห์กลุ่มตัวอย่าง ผมจะนำไปเทียบกับทีมนักเตะเยาวชนหลายทีมในต่างประเทศ และพิจารณาถึงจุดที่ต้องปรับปรุง ผมขอกล่าวให้ทุกท่านทราบล่วงหน้า ว่าในที่นี้ผมได้ใช้คุณลักษณะในการเรียนรู้ของนักเตะแต่ละคน เพศ และอายุเป็นปัจจัยในการพิจารณาครับ’

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก 54

Now you are reading Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก Chapter 54 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ฮาจุนมั่นใจกับความสามารถในการรวบรวมและสรุปผลข้อมูลที่จำเป็นของตัวเอง แต่ในชีวิตปกติเขาไม่ใช่พวกที่จัดการอะไรได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยนัก เพราะแบบนี้โต๊ะของเขาจึงเต็มไปด้วยข้าวของระเกะระกะ ฮาจุนไม่สามารถรู้ได้เลยว่าท่ามกลางของเหล่านั้น ของชิ้นไหนสำคัญหรือของชิ้นไหนสามารถโยนทิ้งได้ เป็นเหตุให้เขาไม่สามารถปล่อยให้คนอื่นมาช่วยจัดโต๊ะให้ได้

ด้วยความที่คุ้นชินกับสภาพแวดล้อมแบบนี้ จึงไม่เคยรู้สึกว่าจำเป็นที่จะต้องจัดการกับมัน แต่ในวันนี้ฮาจุนกลับรู้สึกไม่อยากมองไปที่โต๊ะของตัวเอง เพราะดูเหมือนว่าบนโต๊ะที่รกรุงรังและเต็มไปด้วยของซึ่งวางอย่างไม่เป็นระเบียบนั้น กำลังเผยให้เห็นถึงตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์ที่ชื่อว่าอีฮาจุน

แทนที่จะนั่งบนเก้าอี้ ฮาจุนเลือกที่จะนั่งลงบนเตียงนอน แล้วเริ่มเปิดดูถุงเสื้อผ้า มันดูหรูหราตั้งแต่หีบห่อที่ใช้บรรจุ เมื่อหนึ่งในกล่องทรงยาวสีน้ำเงินถูกเปิดออก ก็พบกับเนกไทสีม่วงอ่อนที่อยู่ภายใน เป็นเนกไทเส้นที่มูคยอมหยิบขึ้นมาทาบกับหน้าของเขา และตั้งใจเลือกสีมาอย่างจริงจัง

ฮาจุนลองนับกล่องที่อยู่ภายในถุง เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าในชีวิตนี้ตัวเองจะต้องใส่สูทกี่ครั้ง แต่แค่เนกไทที่ซื้อมาในวันนี้ก็มีถึง 8 เส้นเลยทีเดียว เมื่อหยิบออกมาดู สัมผัสของมันทั้งนุ่มและลื่นมือเสียจนพาลทำให้รู้สึกไม่สบายใจ ผิวสัมผัสของผ้าไหมเหมือนกับเม็ดทรายที่แทรกตัวไปตามช่องนิ้ว

นี่คือของที่คิมมูคยอมให้กับอีฮาจุนจริงๆ ไม่ใช่ของที่มูคยอมฝากไปให้คนอื่น และไม่ใช่การมาหาในตอนที่เมาไม่ได้สติด้วย

ไหนจะที่เอาเนกไทมาทาบกับหน้าของฮาจุนทีละเส้น เป็นของที่คิมมูคยอมเป็นเลือกด้วยตัวเองจริงๆ

‘อยู่ในความสัมพันธ์แบบมีเซ็กส์กัน จะรับอะไรแบบนี้ไม่ได้เลยเหรอ’

เรื่องนั้นเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน

แล้วปกติคนที่แค่มีเซ็กส์กัน เขาได้รับอะไรแบบนี้ไหมนะ

เราแค่มีเซ็กส์กัน ก็ไม่ควรจะรับอะไรมากกว่านี้ไม่ใช่เหรอ

แล้วมันควรจะเป็นยังไงล่ะ ตุ๊กตารับได้ แต่เสื้อรับไม่ได้เหรอ เพราะมันแพงใช่ไหม

“…ไม่เห็นจะเข้าใจเลย”

มันไม่มีประโยชน์ที่จะพยายามวิเคราะห์การกระทำของมนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่มักทำอะไรตามใจตัวเองอยู่เสมอ อาจเป็นเพราะว่ามันเกิดขึ้นเร็วเกินไป หรือเพราะของพวกนั้นราคาแพงเกินไป เขาถึงรู้สึกว่าทุกอย่างดูไม่สมจริงเลยสักนิด

ฮาจุนเอนตัวนอนลงบนเตียง หยิบเนกไทหนึ่งเส้นขึ้นวางเหนือสายตา มีบางอย่างจากด้านหลังกระทบเข้ามาแยงตาเขา มันคือแสงจากหลอดไฟที่แทรกตัวผ่านช่องว่างระหว่างเนกไทกับสันจมูก เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ ที่ฮาจุนรู้สึกว้าวุ่นใจขนาดนี้หลังได้รับของขวัญ

***

หลายๆ คนก็อาจจะเป็นเหมือนเขา ตอนเด็กๆ ฮาจุนเองก็เป็นเด็กที่ชอบการได้ไปยืนอยู่หน้าผู้คน และทำได้ดีเมื่อต้องออกไปนำเสนอผลงาน เขายังเคยได้เป็นหัวหน้าห้องถึงช่วง ป.3 ป.4 อีกด้วย

แต่ไม่รู้เพราะการศึกษาที่ถูกยัดใส่หัวหรือเพราะอะไร จากเด็กที่เคยเป็นเช่นนั้น กลับค่อยๆ กลายเป็นเด็กที่ไม่ยกมือขึ้น แม้ครูจะมองหา และเริ่มหาหนทางหลบเลี่ยงการออกไปยืนหน้าห้อง ซึ่งนั่นพอดีกับช่วงที่พ่อของฮาจุนได้จากโลกนี้ไป เป็นช่วงที่สภาพแวดล้อมภายในบ้านของเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เพราะการเปลี่ยนแปลงนั้นจึงมีเรื่องให้เขาได้คิดวุ่นวายเพิ่มขึ้น

พอบอกว่าต้องใส่สูทราคาแพงความมั่นใจของฮาจุนก็หดหายไปโดยอัตโนมัติ แค่ได้รับคำเชิญให้ไปยังสถานที่ที่เกินตัว ทั้งที่ไม่ได้มีประสบการณ์ทำงานยาวนานและไม่มีผลงานที่โดดเด่น ก็พาลทำให้ความวุ่นวายใจตีตื้นขึ้นมาถึงลำคอแล้ว แน่นอนว่าทางฝั่งสมาคมวิชาการก็คงจะไม่ได้คาดหวังอะไรมากจากการที่เรียกเขาไป ฮาจุนรู้ดีว่ามันคืองานที่จัดขึ้นเพื่อมอบไมตรีจิตให้กับโค้ชอายุน้อยที่เคยเป็นนักกีฬาทีมชาติมาก่อน แต่พอคิดว่ามันเป็นงานระดับนั้น เขาก็ไม่อยากจะโชว์ภาพลักษณ์ธรรมดาๆ ออกไป ตั้งแต่ตอบรับคำเชิญที่ถูกส่งมาอย่างรวดเร็ว ฮาจุนก็รู้สึกเสียใจอยู่ทุกวันที่ตัดสินใจไปแบบนั้น เอาแต่จัดทำข้อมูลซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตรวจเช็กความถูกต้อง แล้วก็ซ้อมนำเสนอวนไปเรื่อยๆ

ฮาจุนมาถึงสถานที่จัดงานเร็วกว่าเวลาที่ควรเล็กน้อย เขายืนมองซ้ายมองขวาอยู่บริเวณหน้าประตูทางเข้าอยู่สักพัก ก่อนจะเห็นรถที่คุ้นตาหนึ่งคันแล่นไปจอดสนิทอยู่บริเวณลานจอดรถ ชายหนุ่มที่บอกว่าให้มาเจอกันก่อนเข้างาน 10 นาที เพราะจะผูกเนกไทให้ เดินทางมาถึงเป็นที่เรียบร้อย ฮาจุนรีบวิ่งไปที่รถก่อนจะมีใครเห็น และขึ้นไปจับจองที่นั่งข้างคนขับ

“ว่าไง”

ทันทีที่เอ่ยทักทายและหันไปสบตา ก็เห็นว่ามูคยอมกำลังยิ้มอยู่ก่อนแล้ว

“โค้ชอี หล่อเชียวนะวันนี้ คนที่มางานคงจะตกหลุมรักนายกันหมดแน่เลย”

“อย่ามัวแต่เล่นสิ มาผูกให้เร็วๆ เลย”

ฮาจุนยื่นกล่องเนกไทให้คนตรงหน้าด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ การที่ไม่ใส่เนกไททั้งๆ ที่สวมสูทราคาแพงอยู่ ทำให้เขารู้สึกเหมือนแต่งตัวไม่เรียบร้อยจนวุ่นวายใจมากกว่าเดิมมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ปกติเขาก็แต่งตัวสบายๆ มาตลอด เลยไม่ต้องมาใส่ใจกับอะไรแบบนี้ แต่วันนี้มันต่างออกไป เพราะความกังวลเกี่ยวกับการนำเสนอ แค่เรื่องเล็กๆ ก็ทำให้รู้สึกไม่สบายใจใหญ่โตได้

“เข้ามาใกล้ๆ นี่”

มูคยอมที่หยิบเนกไทสีน้ำเงินเนวีออกมาถือโน้มตัวไปด้านข้างพลางชี้นิ้วประกอบคำพูด ฮาจุนเองก็โน้มตัวไปทางฝั่งคนขับ

มือของมูคยอมอ้อมไปที่ปกเสื้อเชิ้ตด้านหลัง พาดไปปล่อยชายเนกไทให้ห้อยมาตกลงที่ด้านหน้า ดึงเนกไทซ้ายทีขวาที ปรับความยาวทั้งสองข้างให้เท่ากัน ก่อนที่เรียวนิ้วยาวจะเริ่มขยับฉึบฉับโชว์ฝีมือผูกเนกไท

สายตาของอีกคนไม่ได้อยู่ที่ใบหน้าของฮาจุน แต่กำลังมองไปที่ช่วงลำคอ เมื่อลากสายตามองลงไป ก็พบกับเปลือกตาที่เหมือนใบมีดคม และแพขนตาที่เหมือนกับผืนม่านปกคลุมอยู่เหนือดวงตา ทำให้ภาพที่เห็นช่างดูอ่อนโยน และในตอนนี้ฮาจุนสามารถที่จะมองดูใบหน้าของมูคยอมได้อย่างเต็มที่ตามใจต้องการ

หลังจากที่ขยับปลายเนกไทไปมาโดยไม่พูดไม่จาอยู่สักพัก มูคยอมก็พูดขึ้นมาด้วยเสียงบางเบาขณะที่กำลังเริ่มผูกปม

“เวลาที่ผูกเนกไทส่วนนี้ที่สำคัญที่สุด ปมจะต้องอยู่ข้างล่างพอดี บางคนจะปล่อยให้มันลงมาอยู่ตรงนี้ ซึ่งมันไม่ถูก”

แม้จะพูดเช่นนั้น แต่ฮาจุนก็ไม่สามารถมองเห็นพื้นที่ข้างล่างใบหน้าของตัวเองได้ ทว่าเขาก็ชอบที่เมื่อมองลงไปแล้วเห็นมูคยอมกำลังอธิบายอยู่ ฮาจุนส่งเสียง อื้อ สั้นๆ พลางพยักหน้าเป็นการตอบรับ

“นายต้องจับรอยพับให้เป็นแบบนี้ มันเป็นสูทสองกระดุม ติดแค่เม็ดตรงกลางก็พอ”

ฮาจุนเองก็ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังพูดอะไรอยู่ แต่ก็พยักหน้าเบาๆ กลับไปอีกครั้ง มูคยอมมองที่คอของฮาจุน พลางขยับปมเนกไทให้แน่นขึ้น ฮาจุนสัมผัสได้ถึงแรงรัดเบาๆ ใต้ปกเสื้อเชิ้ต และในตอนนั้นเองมูคยอมก็ส่งสายตาขึ้นมามองกันก่อนถามขึ้น

“ไม่แน่นไปใช่ไหม”

“อื้อ ขอบใจนะ”

มันจะดูเวอร์ไปไหม หากบอกว่าเขานึกถึงมูคยอมที่ผูกเชือกรองเท้าให้ เมื่อตอนอายุ 16 ตอนนี้กองข้อมูลการนำเสนอที่ถูกจัดเก็บเอาไว้อย่างเป็นระเบียบภายในหัวกำลังล้มครืนลงมาจนเละเทะ เหมือนกับว่าเขาพลาดทำกล่องความทรงจำของตัวเขาเองหกทะลักออกมา

อาการใจเต้นเมื่อตกหลุมรักคนที่เป็นรักแรก และความกระวนกระวายใจกับการนำเสนอที่ใกล้จะมาถึง กำลังผสมปนเปกัน จนฮาจุนรู้สึกวิงเวียนตั้งแต่เริ่ม เขารู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองกำลังต้องการอากาศสดชื่น

“ตอนนี้ฉันลงไปได้หรือยัง”

“อากาศก็ร้อน นายจะรีบใส่ชุดนั้นออกไปทำไมกัน”

ฮาจุนคิดว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดก็ถูก เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนมองตรงไปด้านหน้า มูคยอมที่เห็นฮาจุนเป็นเช่นนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างขมขื่น

“ตื่นเต้นหรือไง”

“…นิดหน่อย”

“เอามือมา”

มูคยอมพูดขึ้นพร้อมยื่นมือขวาของตัวเองออกมา ฮาจุนสองจิตสองใจก่อนยื่นมือซ้ายที่อยู่ใกล้ฝั่งคนขับวางลงไปบนฝ่ามือนั้น

มูคยอมจับมือนั้นไว้และกดลงบนปลายนิ้ว ฮาจุนอ้าปากมองมูคยอมที่กำลังกดผ่านนิ้วโป้ง นิ้วชี้ ไปจนถึงนิ้วกลาง ก่อนที่ฮาจุนจะได้ถามอะไรออกไป มูคยอมก็เป็นฝ่ายอธิบายขึ้นมาก่อน

“แม่สอนฉันมาตอนเด็กๆ น่ะ มันช่วยได้นะเวลาที่ไม่สบายใจ”

“…”

คำว่า ‘แม่’ ที่ออกมาจากปากมูคยอมฟังดูไม่คุ้นหูเท่าไหร่

เท่าที่ฮาจุนรู้ มูคยอมสูญเสียพ่อแม่ไปตอนที่อายุประมาณ 11 ปี เป็นช่วงเวลาที่ค่อนข้างเร็วกว่าที่ฮาจุนต้องจากกับพ่อ เขารู้มาว่าพ่อและแม่ของมูคยอมจากโลกนี้ไปพร้อมกันด้วยอุบัติเหตุ เพราะไม่มีญาติสนิทที่ไหน มูคยอมจึงถูกนำไปฝากไว้ที่สถานรับเลี้ยงเด็ก ณ ที่นั่น ‘สมัยเป็นเด็กอันธพาล’ ของมูคยอมได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ เหมือนมูคยอมจะเคยพูดออกมาเองว่าเพราะ ‘พฤติกรรมไร้สาระเล็กน้อย’ เจ้าตัวถึงได้มีโอกาสเข้าออกโรงพักอยู่สองครั้งสองครา

ถึงจะขึ้นชื่อว่าเป็นตัวปัญหา แต่ช่วงนั้นมูคยอมก็เริ่มมีฝีเท้าที่ว่องไวและเล่นฟุตบอลได้อย่างเก่งกาจ เด็กคนอื่นต่างก็กลัวเขา แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่มีการแข่งฟุตบอลระหว่างห้อง พวกเขากลับวิ่งโร่เข้ามาขอให้มูคยอมไปช่วยเล่นให้ เพราะรับรู้ถึงความสามารถของหมอนี่

อย่างที่หลายๆ คนรู้กันว่าคนแรกที่มองเห็นพรสวรรค์ที่มูคยอมมีติดตัว นั่นก็คือผู้จัดการทีมพัคจุนซอง หลังได้รับการชี้นำจากผู้จัดการทีมพัคที่ได้พบกันในโรงเรียนมัธยมต้น มูคยอมก็ได้เริ่มต้นก้าวแรกบนสนามฟุตบอลราวกับเป็นพรหมลิขิต จากที่ฮาจุนเคยได้อ่านและฟังมาหลายครั้งหลายหน เป็นความจริงที่ว่าจนถึงตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นการสัมภาษณ์อะไรหรือไปออกรายการที่ไหน มูคยอมจะพูดเรื่องของผู้จัดการทีมพัคขึ้นมาเสมอเมื่อมีโอกาส

เอาจริงๆ แล้วหากมองแค่จุดเริ่มต้น เรื่องราวของฮาจุนและมูคยอมก็ไม่ได้ต่างกันมากมายเท่าไหร่ แต่แน่นอนว่าแค่มีจุดเริ่มต้นเหมือนกัน ก็ไม่ใช่ว่าใครจะสามารถเป็นผู้ชนะที่โดดเด่นได้ มีคนมากมายนับไม่ถ้วนเริ่มต้นจากจุดเดียวกัน ทว่าแต่ละคนต่างก็ต้องผ่านเส้นทาง พบวิกฤต หรือแม้แต่มีจุดสูงสุดของชีวิตที่แตกต่างกันไป และคนที่จะมีตอนจบที่ ‘ทำฝันสำเร็จได้’ ก็มีจำนวนแค่พอจะใช้นิ้วนับได้เท่านั้น

มูคยอมคือหนึ่งในคนจำนวนน้อยนั้นที่สามารถยกนิ้วนับได้ เมื่อหาจุดที่เหมาะกับตัวเองเจอ ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะปล่อยตัวเองให้กลับไปต่อยตีหรือทำตัวเป็นหัวขโมยอีก และเมื่อเวลาผ่านไปมูคยอมก็ได้กลายเป็นผู้ชนะที่เปล่งประกายที่ไม่ว่าใครก็ต้องรู้จัก

ก่อนนี้อีฮาจุนเคยคิดว่าไม่มีทางที่ชั่วชีวิตนี้เขาจะสามารถมายืนขนาบข้างดวงดาวที่เปล่งประกายนั้นได้ แต่ในตอนนี้ฮาจุนกำลังถูกดาวดวงนั้นที่นั่งอยู่ข้างๆ จับมือ แม้จะไปไม่ถึงถึงชัยชนะ แต่เขาสามารถเรียกสิ่งนี้ว่าพัฒนาการที่ก้าวกระโดดได้ไหมนะ

ฮาจุนไม่รู้ว่าแม่ของมูคยอมเป็นคนแบบไหน แต่เมื่อได้เห็นความคิดถึงที่ลอยจางๆ ใต้แพขนตาของมูคยอมที่มองลงไปยังมือของเขา ใจที่เคยหวั่นกลัวของฮาจุนก็ค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ

ชายที่เชื่อมั่นในตนเองสูงและชอบทะนงตัว ช่างน่าสงสัยว่าจะมีสักเสี้ยวของส่วนที่นุ่มนวลและเปราะบางอยู่ตรงไหนสักแห่งในร่างกายที่แข็งแรงนี้ไหม แค่ชายที่มักจะมองเขาจากกลางกระหม่อมและบีบคลายเขาไว้ในกำมือเสมอได้เผยเศษเสี้ยวในอดีตที่เหมือนกับเนื้อหนังใต้ร่มผ้าให้เห็นเพียงนิด น่าแปลกที่มันกลับทำให้ฮาจุนรู้สึกราวกับได้รับการปลอบโยน

เหตุผลที่มูคยอมยังคงจำเรื่องราวที่ได้ยินมาตอนอายุราวๆ 10 ขวบได้อยู่ คงเพราะบางครั้งมูคยอมเองก็เคยกดปลายนิ้วตัวเองแบบนี้หรือเปล่านะ เพราะมูคยอมก็คงจะมีช่วงเวลาที่กังวลและไม่สบายใจเช่นเดียวกัน

“ตอนนี้ฉันรู้สึกดีขึ้นแล้วล่ะ”

ไม่รู้ว่าการกดจุดที่ปลายนิ้วช่วยได้จริงหรือเปล่า แต่ความรู้สึกไม่สบายใจที่เหมือนกับลูกบอลกระเด็นกระดอนไปมาในใจของเขาก่อนหน้านี้ได้สงบลงไปแล้ว มูคยอมปล่อยมือออกช้าๆ ระหว่างที่ขึ้นมาอยู่บนรถได้สักพัก ทางเข้างานที่เคยเงียบเหงาก็เริ่มมีคนหนาตาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

นาฬิกาบอกเวลาว่าตอนนี้ฮาจุนจะต้องเข้าไปในงาน เขาจับที่เปิดประตูรถพร้อมบอกลามูคยอม

“ขอบใจนะ สำหรับหลายๆ อย่างเลย ฉันไปก่อนนะ เขาให้คนนำเสนอไปรวมตัวแยกอีกที่”

“อีฮาจุน”

“หืม?”

“หลังจบงานนายต้องไปบ้านฉัน วันนี้ฉันไม่ปล่อยนายกลับไปแบบไร้ร่องรอยแน่ๆ เตรียมใจไว้เลย”

คำพูดนั้นทำเอาฮาจุนถึงกับหลบตาเลิ่กลั่กมองซ้ายขวาราวกับว่าเขินอาย แต่ท้ายที่สุดก็พยักหน้าสองทีก่อนลงจากรถไป เมื่อนอกหน้าต่างรถสะท้อนภาพของคนที่ยืนอยู่อย่างเรียบร้อย มูคยอมก็หัวเราะออกมาโดยไร้สิ้นเสียงพลางคิดว่าตนนั้นเลือกชุดมาได้อย่างดีเลยจริงๆ

เพราะฟิล์มที่ปิดทับกระจกหน้าต่างอยู่ จากข้างนอกนั่นน่าจะมองมูคยอมเข้ามาได้ไม่ชัดนัก แต่ฮาจุนก็หันมาโบกมือให้ทางที่นั่งฝั่งคนขับ แล้วจึงขยับฝีเท้าออกไปอย่างเร่งรีบ เมื่อเห็นฮาจุนโบกมือมาให้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเพราะความกังวลที่มี มูคยอมก็ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น โตแต่ตัวนี่นา มันให้ความรู้สึกเหมือนกำลังมองเจ้าหนูตัวน้อยไปโรงเรียนวันแรกเลยไม่ใช่เหรอ

แต่ฮาจุนก็ไม่เด็กเลยจริงๆ ร่างกายด้านหลังที่คลุมทับด้วยสูทพอดีตัวนั่น ทำให้คนมองเพลิดเพลินสายตาไม่น้อย หลังจากงานสัมมนาจบลง เขาจะพาฮาจุนกลับบ้านด้วยทันที เพราะยังไม่ได้ใส่ชุดนี้ทำอะไรเลยสักครั้ง มันเลยยังไม่ควรค่าพอที่จะเป็นของขวัญหรอกนะ เหตุผลที่เขาให้เสื้อผ้าพวกนี้เป็นของขวัญ ก็เพื่อที่สุดท้ายแล้วจะถอดมันทิ้งไม่ใช่เหรอ

ในตอนแรกมูคยอมคิดไว้ว่าจะสนุกไปกับวันหยุด ที่แม้จะเป็นเวลาเพียงแค่สามสี่วัน แต่เพราะมัววุ่นวายช่วยฮาจุนเตรียมตัวสำหรับงานสัมมนา ช่วงเวลาวันหยุดสั้นๆ นั้นจึงได้หมดไปเป็นที่เรียบร้อย แม้จะยังเหลือเวลาอีกนิดหน่อยก่อนถึงการแข่งขันแรกในฤดูกาลครึ่งหลังของปี แต่การฝึกซ้อมจะเริ่มต้นตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ดังนั้นวันนี้เขาจึงไม่สามารถที่จะปล่อยฮาจุนไปได้เด็ดขาด ขณะที่ตั้งมั่นกับตัวเองอีกครั้ง มูคยอมก็ก้าวเท้าลงจากรถ และต่อสายหาจองคยู เพื่อบอกว่าตนเดินทางมาถึงที่หมายแล้ว

สถานที่จัดงานที่มูคยอมเดินเข้ามาพร้อมกับจองคยู ดูเรียบหรูและใหญ่กว่าที่คิดไว้ ทั้งยังมีคนมารวมตัวกันมากพอสมควร ในทีแรกเขาคิดว่ามันเป็นเพียงงานสัมมนาเล็กๆ แต่เอาเข้าจริงมันดูเป็นทางการกว่านั้น มูคยอมเดินไปที่นั่งด้วยความรู้สึกเกินคาด

เมื่อมาถึงที่นั่งของตนหว่างคิ้วของมูคยอมก็ยับย่นขึ้นมา จุดที่คิดว่าจะมีแค่คนในทีมซิตี้โซลเท่านั้น กลับมีบุคคลที่นึกไม่ถึงนั่งอยู่

“สวัสดีครับพี่”

“ว่าไง”

มูคยอมเขม่นมองชายที่รับคำทักทายจากจองคยูเล็กน้อย และนั่งลงโดยไม่พูดอะไร เมื่อลองมาคิดดู ฮาจุนเคยบอกว่าเจ้าตัวเรียนมากับยุนแชฮุนและยังเตรียมตัวเข้าสู่วงการโค้ชมาด้วยกัน มันก็ไม่แปลกอะไรที่คนคนนี้จะมาอยู่ตรงนี้ อาจเพราะแชฮุนไม่ได้คาดหวังว่ามูคยอมจะทักทายตน หลังจากที่เอ่ยทักทายกับจองคยูเสร็จ จึงหันหน้ากลับไปด้วยความเย็นชา

ในขณะที่บอกอิมจองคยู บอกยุนแชฮุน แต่ไม่แม้แต่จะมากระซิบบอกเขาเพียงคนเดียว แบบนี้ใช่ไหม…

ความรู้สึกรังเกียจที่พุ่งสูง ทำให้มูคยอมเข่นเขี้ยวในใจ วันนี้ฮาจุนจะต้องใช้ร่างกายชำระค่าตอบแทนนี้ให้เขา มูคยอมกัดฟันกรอดอยู่ข้างใน แล้วนั่งกอดอกมองตรงไปด้านหน้า

แม้จะอยู่ในวงการเดียวกัน แต่มูคยอมกลับไม่ได้สนใจมากนักเกี่ยวกับทฤษฎีทางกีฬา ตอนที่อยู่ในทีมต้นสังกัดเดิมอย่างกรีนฟอร์ดก็เช่นกัน ในกลุ่มนักเตะที่ค่อนข้างมีอายุ พวกเขาบางคนก็ศึกษาด้านการโค้ช หลักการตลาดทางการกีฬา หรือวิชาการที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างเส้นทางอาชีพให้ตัวเองหลังออกจากการเป็นนักเตะ อย่างไรก็ตามนั่นยังเป็นเรื่องที่ไกลตัวสำหรับมูคยอม เขามองผ่านผู้นำเสนอคนอื่นๆ ที่เรียงกันมาตามลำดับด้วยความเบื่อหน่าย ขณะรอฮาจุน

‘ลำดับต่อไป โค้ชอีฮาจุนจากทีมซิตี้โซลจะมานำเสนองานวิจัยเกี่ยวกับแนวโน้มของแรงจูงใจในกลุ่มนักเตะเยาวชนครับ’

หลังเสียงดังก้องของพิธีกร มูคยอมก็ปรับท่านั่งตั้งตัวตรง จากที่ได้ยินดูเหมือนว่าก่อนที่จะมาอยู่ทีมซิตี้โซล ฮาจุนน่าจะเคยอยู่ในทีมนักเตะเยาวชนมาก่อน

เนื่องจากเป็นการนำเสนอที่ต้องใช้สื่อเป็นจำนวนมาก ไฟในห้องประชุมจึงถูกปรับให้มืดลงเว้นไว้แต่บริเวณแท่นพูดที่ผู้นำเสนอยืนอยู่ เพราะยืนอยู่ในจุดที่สูงกว่าผู้เข้าฟัง ความกังวลของฮาจุนจึงเผยให้เห็นผ่านใบหน้าขาวที่กำลังก้มหัวโค้งทักทาย แต่ถึงอย่างนั้นหากมองด้วยสายตาของคนที่ไม่รู้จักสีหน้าเช่นนั้นก็ถือว่าดูดีเลยทีเดียว เมื่อเห็นว่าเสื้อผ้าที่เขาซื้อให้เป็นของขวัญกำลังทำหน้าที่ของมันอย่างตั้งอกตั้งใจ มูคยอมก็ยกมุมปากขึ้นด้วยความพึงพอใจ

‘ผมผู้นำเสนออีฮาจุนครับ ขอบคุณที่เชิญคนที่ยังบกพร่องอย่างผมมาร่วมงานอันทรงเกียรตินี้นะครับ’

ฮาจุนกล่าวทักทายจบแค่นั้น และเริ่มเข้าสู่เนื้อหาในทันที

‘ข้อมูลที่ผมจะนำเสนอให้ทุกท่านดูเป็นข้อมูลที่รวบรวมจากประสบการณ์การเป็นโค้ชนักเตะเยาวชนเป็นเวลาราวๆ 2 ปีของผม เป็นการศึกษาที่มีจุดประสงค์เพื่อวิเคราะห์และค้นหาแนวทางรวมถึงรูปแบบการโค้ช หลังจากการวิเคราะห์กลุ่มตัวอย่าง ผมจะนำไปเทียบกับทีมนักเตะเยาวชนหลายทีมในต่างประเทศ และพิจารณาถึงจุดที่ต้องปรับปรุง ผมขอกล่าวให้ทุกท่านทราบล่วงหน้า ว่าในที่นี้ผมได้ใช้คุณลักษณะในการเรียนรู้ของนักเตะแต่ละคน เพศ และอายุเป็นปัจจัยในการพิจารณาครับ’

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+