Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก 6

Now you are reading Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก Chapter 6 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เป็นธรรมดาที่คำตำหนิของโค้ชซึ่งมีประสบการณ์มากกว่าพวกเขาราวๆ สิบปีจะพุ่งเป้ามาที่ฮาจุนซึ่งกำลังเรียนรู้งานแบบเดียวกันอยู่มากกว่ามูคยอมซึ่งเป็นนักกีฬา

“ขอโทษครับ ผมแค่อยากให้ช่วยตรวจอย่างละเอียดมากขึ้น”

ฮาจุนทำอะไรไม่ถูกจึงก้มศีรษะขอโทษอีกครั้งต่อหน้าโค้ชจองที่ขมวดคิ้วและกำลังมองมาที่เขา

“ถ้างั้นโค้ชจองครับ ไหนๆ มาแล้วก็ลองตรวจดูอีกรอบไหมครับ” มูคยอมพูดขึ้นแล้วลงมานั่งข้างล่างพร้อมกับเหยียดขาออก

ไหนๆ ก็มาแล้วทั้งที โค้ชจองเลยตรวจเช็กดู แต่ขาของมูคยอมกลับไม่เป็นอะไรเลยและไม่จำเป็นต้องตรวจดูเป็นพิเศษด้วยซ้ำ เพราะมันเป็นแค่ความเจ็บที่เกิดขึ้นครั้งเดียวจากการชนกันในช่วงสั้นๆ มูคยอมแสดงออกไปเกินจริงอย่างไม่ทันรู้ตัวและไม่สมกับเป็นตัวเองเพียงเพราะฮาจุนบอกว่าจะลองเช็กดู

มันไม่ใช่เรื่องที่ถึงขนาดต้องเรียกโค้ชจอง แต่เพราะมูคยอมยืนกราน สุดท้ายฮาจุนก็เลยจำใจไปเรียกมาให้ โค้ชจองตรวจดูเข่าของมูคยอมเสร็จก็ทำหน้าเหลือเชื่อเล็กน้อยแล้วลุกขึ้นยืน

“โค้ชอี มานี่หน่อย”

ฮาจุนเดินตามหลังโค้ชจองไปเหมือนนักเรียนที่ทำความผิด ไม่รู้ว่าวันนี้เห็นแผ่นหลังห่อเหี่ยวนั้นไปกี่ครั้งแล้ว ปลายผมพลิ้วไหวตามจังหวะการก้าวเดินเป็นภาพที่มูคยอมเห็นแล้วอยากจะติดหูสุนัขที่กำลังลู่ลงให้บนศีรษะของอีกฝ่าย

“โค้ชอี จะมาเรียกผมด้วยเรื่องแบบนี้ทุกครั้งไม่ได้นะ จริงที่เราต้องคอยระวังเรื่องสุขภาพของคิมมูคยอม แต่คุณก็ต้องประเมินอาการก่อนแล้วค่อยขอให้ช่วยสิ ถ้ายังทำงานแบบนี้ร่างกายเราจะเหลือสักกี่ร่าง”

“ขอโทษครับ ผมใจร้อนเกินไป”

เสียงของคนทั้งสองที่ลดเบาลงแต่ก็ยังได้ยินมาถึงตรงที่มูคยอมนั่งอยู่ มูคยอมลุกขึ้นเดินเข้าไปในสนามปล่อยให้ทั้งสองคนคุยกัน เขาพักแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

พอเข้าไปร่วมฝึกซ้อมแล้วหันไปมองโค้ชทั้งสองคนก็ดูเหมือนว่าจะตักเตือนกันคร่าวๆ เสร็จแล้ว เขาเห็นฮาจุนเดินไปพร้อมถือสมุดโน้ตกับปากกาที่วางทิ้งไว้บนม้านั่งแล้วก็เข้าไปในห้องทำงาน ถึงจะเห็นด้านข้างของอีกฝ่ายจากที่ไกลๆ ก็ยังดูเสียใจอยู่ไม่น้อย

‘ทำตัวอวดดีเองทำไมล่ะ’

มูคยอมกล่าวโทษฮาจุนอยู่ในใจ เขาอยากจะจัดการปัญหาให้เรียบร้อยด้วยวิธีของตัวเอง แต่พอฮาจุนบอกว่าไม่มีเวลาว่างหลังเลิกงานแล้วเขาจึงแสดงสถานะของตัวเองให้เห็นในเวลางานแทน

…ตอนแรกตั้งใจจะทำให้ฮาจุนลำบากใจไปจนกว่าจะยอมจำนนต่อเขาก่อน แต่กลับรู้สึกใจอ่อนเพราะแผ่นหลังอันเศร้าสร้อยที่ดูห่อเหี่ยวเหมือนกับสุนัขหูตก ทำไมคนที่แสดงความเกลียดต่อคนอื่นถึงได้หดหู่กับคำพูดไม่กี่คำของหัวหน้ากันนะ มูคยอมไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะความไร้ยางอายหรือความโง่เขลาของอีกฝ่ายกันแน่

‘จะให้โอกาสอีกครั้งแล้วกัน’

เพราะเขาเป็นใจกว้างกว่าอีฮาจุนที่ใจแคบไงล่ะ มูคยอมเข้าข้างตัวเองแล้วพยักหน้า มูคยอมเขาบอกโค้ชว่าขอตัวสักครู่แล้วเดินไปยังอาคารที่มีสำนักงานตั้งรวมกันอยู่ อาคารสำนักงานเงียบสงบกว่าปกติเพราะยังเป็นช่วงเวลาฝึกซ้อม แสงแดดที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างสะท้อนกับพื้นทางเดินที่ปูด้วยเสื่อน้ำมันถูกแบ่งเป็นแสงแดดครึ่งหนึ่ง ที่ร่มครึ่งหนึ่ง ทำให้ดูเหมือนกับถูกทาสีไว้สองสี เสียงของเหล่านักกีฬาที่ฝึกซ้อมอยู่กลางแจ้งค่อยๆ เบาลง

มูคยอมเดินไปตามทางเดินอันเงียบสงบ เมื่อเคาะประตูที่เป็นทั้งห้องทำงานและห้องพักก็มีเสียงตอบรับว่า ครับ พร้อมกับประตูถูกเปิดออก มีเพียงฮาจุนอยู่ภายในห้องพักของโค้ชเพราะทุกคนกำลังฝึกซ้อมช่วงบ่ายกันอยู่

“เอ่อ…” ฮาจุนเปล่งเสียงออกมาเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่างเพราะคนที่เคาะประตูนั้นอยู่เหนือจากความคาดหมาย มูคยอมสังเกตเห็นแววตาตื่นตระหนกและสีหน้าที่หวาดกลัวเล็กน้อยของฮาจุน ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ไร้ยางอายอย่างที่คิด เขารู้สึกเกินคาดเล็กน้อย

“ขอเข้าไปข้างในแป๊บนึงสิ” มูคยอมพยักพเยิดบอกให้เข้าไปข้างใน

“เอ่อ อืม” ฮาจุนก้าวถอยหลังขณะที่ชะเง้อมองรอบๆ แล้วก็ชี้ไปทางโซฟา

“มาหาใครเหรอ ตอนนี้คนอื่นออกไปข้างนอกกันหมด นั่งตรงนั้นก่อนสิ จะดื่มอะไรไหม”

“นาย”

ฮาจุนมองมูคยอมด้วยสีหน้าแข็งทื่อ มูคยอมไม่ชอบสีหน้าแบบนั้น อีกฝ่ายดูเหมือนเป็นคนยิ้มเก่งและอัธยาศัยดีแบบที่ใครๆ ก็ชอบ แต่ทำไมเมื่ออยู่ต่อหน้าเขากลับทำหน้าเคร่งขรึมแบบนั้นอยู่บ่อยๆ แต่มูคยอมก็ไม่ได้หวังให้ฮาจุนยิ้มออกมาตอนนี้แน่ๆ เพราะคำพูดประชดประชันของเขาเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมาทำให้อีกฝ่ายถูกโค้ชจองตำหนิ ถ้ายิ้มออกมาต่อหน้ามูคยอมตอนนี้ก็หมายความว่าฮาจุนไม่ได้โกรธเขาแม้แต่นิดและเป็นคนเจ้าเล่ห์เสียด้วยซ้ำ

ความรู้สึกไม่พอใจที่สะสมมาหลายวันทำให้มูคยอมคิดเอาคืนคนที่ทำตัวเป็นเด็กด้วยวิธีแบบเด็กๆ ไปหนึ่งครั้ง หากฮาจุนแสดงออกว่าเจ็บใจหรือโมโหใส่เขาก็ตั้งใจว่าจะยั่วโมโหให้มากกว่านี้ แต่เพราะเห็นไหล่ห่อเหี่ยวของอีกฝ่ายเขาจึงเปลี่ยนแผน โดยจะจัดการปัญหาด้วยการพูดคุยโดยสันติและมีเหตุผล

“มี… ธุระอะไรกับฉันหรือเปล่า” ฮาจุนที่โดนหมายหัวด้วยคำว่า ‘นาย’ รวบรวมแรงไปยังริมฝีปากและถามขึ้นอีกครั้ง

“นี่นาย” นี่เขาต้องถ่อมาถึงห้องทำงานด้วยตัวเองเพื่อคุยเรื่องแบบนี้จริงๆ เหรอ มูคยอมเดาะลิ้นอย่างขัดใจ ว่าจะจัดการปัญหาเงียบๆ แต่ก็หนีไม่พ้น เขาคงต้องพูดสรุปสั้นๆ แค่ประเด็นสำคัญ

“ถึงจะไม่ชอบขี้หน้าฉันแต่ก็ต้องแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวสิ”

“หา?”

“ตอนซ้อมก็แทบไม่ใช้มือสัมผัสแค่กับฉัน เป็นโค้ชฟิตเนสแค่ในนามไม่ควรเกลียดขี้หน้านักกีฬานะ ถ้าฉันบาดเจ็บล่ะ นายรับผิดชอบไหวเหรอ”

“มือเหรอ หมายถึงมืออะไร” ฮาจุนทำเพียงกะพริบตาราวกับไม่เข้าใจในสิ่งที่มูคยอมพูดและขมวดคิ้ว

“ที่ใช้มือคลำตรวจโรคไง ตอนบ่ายที่ฉันบอกว่าปวดเอวแล้วนายไปเรียกโค้ชจองมา ไม่ใช่ว่านายไม่อยากแตะเนื้อต้องตัวฉันเองหรือไงถึงได้ทำแบบนั้น”

ฮาจุนทำตาโตและเม้มปากแน่นกับคำพูดนั้น ทั้งดูตกใจที่ได้ฟังคำพูดไร้สาระของมูคยอม และดูตกใจที่มูคยอมพูดแทงใจดำเข้า มูคยอมค่อยๆ ขมวดคิ้วรอฟังคำตอบ ไม่นานฮาจุนก็ส่ายหน้ารัวๆ ราวกับเพิ่งได้สติ

“เดิมทีการคลำตรวจโรคจะทำก็ต่อเมื่อจำเป็นเท่านั้น ซึ่งฉันคิดว่ามันไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น เพราะเห็นได้ชัดว่าร่างกายนายสมดุลปกติถึงจะทดสอบทักษะการเคลื่อนไหวไปไม่กี่ครั้งก็ตาม ปกติถ้าร่างกายสมดุลมันจะไม่เจ็บแบบนั้น เพราะงั้นพอนายบอกว่าเจ็บเอวฉันก็เลยคิดว่ามันแปลกๆ แล้วถึงยังไงฉันก็เป็นแค่โค้ชฟิตเนส ไม่ใช่นักกายภาพบำบัดหรือหมอนวดด้วย”

“เห็นนวดให้ตั้งหลายคนแต่กับฉันกลับบอกว่าไม่จำเป็น?”

“รูปร่างนายสมบูรณ์แบบขนาดนั้น ท่าทางตอนออกกำลังกายก็ดูดี” ฮาจุนที่เผลอพูดชื่นชมออกไปรีบพูดต่อด้วยท่าทางอึกอัก

“ที่เรียกโค้ชจองมาก็เพราะว่าเขามีประสบการณ์มากกว่าฉันไง ฉันดูแล้วคิดว่าไม่มีอะไรผิดปกติแต่นายก็ยังบอกว่าเจ็บ แบบนั้นให้คนอื่นมาดูสักรอบน่าจะดีกว่าฉันดูเพิ่มเอง ฉันรู้ว่านายกังวลมากเรื่องสุขภาพร่างกาย แต่โค้ชมือใหม่อย่างฉันจะไปวินิจฉัยสภาพร่างกายนักกีฬาระดับนายเองคนเดียวได้ยังไง ถ้าทำให้เข้าใจผิดก็ขอโทษด้วยนะ ไม่รู้ว่านายจะคิดไปถึงขนาดนั้น”

เหตุผลที่น่าขัดใจนี้มันอะไรกัน

มูคยอมขมวดคิ้ว คำตอบของฮาจุนนั้นไม่มีถูกไม่มีผิด แต่ถึงจะไม่ใช่เวลาฝึกซ้อมมูคยอมก็รู้สึกว่าฮาจุนกำลังหลบหน้าเขาอยู่ และก็เป็นมาหลายวันแล้วด้วย ทว่านั่นเป็นเพียงสิ่งที่เขาคิดอยู่ในหัว ถ้าอีกฝ่ายพูดมาแบบนั้นแล้วซักไซ้ต่อไปก็ไร้ประโยชน์ ไม่ว่าจะหลบหน้าเพราะเรื่องส่วนตัวหรือไม่ก็ตาม แค่ทำงานอย่างเต็มที่ก็พอแล้ว

“ช่างเถอะ แต่ที่สำคัญคือมันเป็นสิ่งที่ฉันรู้สึกได้ในฐานะนักกีฬาไง”

“นั่น…”

“ฉันจะหมดอารมณ์ออกกำลังกายถ้ารู้สึกว่าเทรนเนอร์ไม่เต็มที่แค่กับฉัน ถึงจะไปฟิตเนสเล็กๆ ก็เถอะ ขออย่างเดียว ตอนฝึกงานก็ขอให้เต็มที่กับฉันด้วย หรือไม่ก็ถอนตัวออกไปจากตารางซ้อมของฉันซะ แล้วก็ปรึกษากันเองกับโค้ชในกลุ่มให้คนอื่นมาทำแทน โค้ชจองหรือใครก็ได้ ฉันจะรับผิดชอบเอง แค่นี้ฉันคงเรียกร้องได้ใช่ไหม”

สีหน้าของฮาจุนตึงเครียดเมื่อได้ยินสิ่งที่มูคยอมพูด พูดน่ะง่าย แต่โค้ชหน้าใหม่น่ะไม่มีทางที่จะพูดออกไปว่า ‘คิมมูคยอมบอกว่าอยากถอดผมออกจากตารางซ้อมครับ’ ได้หรอก แล้วยิ่งเป็นหลังจากที่ถูกตำหนิไปก่อนหน้านี้ด้วย เขาไม่ได้อยากป่าวประกาศว่าตัวเองไร้ความสามารถนะ

ฮาจุนทิ้งช่วงคำพูดไป ก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง

“เข้าใจแล้ว เอ่อ… แค่ให้ใช้มือคลำใช่ไหม แค่สัมผัสที่… ตัวของนาย?”

มูคยอมแปลกใจที่ได้ยินฮาจุนสรุปสั้นๆ ออกมาแบบนั้น แต่มันก็เป็นสิ่งที่เขาเรียกร้องจริงๆ

“ใช่”

“โอเค”

ฮาจุนพยักหน้ารับคำอย่างง่ายดายด้วยท่าทีสบายๆ ผิดกับคิ้วของมูคยอมที่ขมวดเข้าหากันแน่นกว่าเดิม เพราะพอคุยกันเสร็จแล้วมูคยอมถึงคิดได้ว่าพวกเขามีบทสนทนาที่แปลกประหลาดกันมาก แต่มาคิดได้ตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว

ถึงจะรู้สึกขัดใจ แต่ยังไงความรู้สึกไม่พอใจนั้นก็หมดไปแล้ว ดังนั้นเขาจะมองข้ามความงุนงงนั้นไปก็แล้วกัน

“ไหนๆ ก็มาแล้ว จะดื่มอะไรหน่อยไหม”

ฮาจุนถามขึ้นด้วยความประหม่าเมื่อเกิดความเงียบขึ้นระหว่างพวกเขา

“ไม่ล่ะ ฉันยังต้องออกไปซ้อมอีก”

มูคยอมไม่รอช้าและเปิดประตูห้องทันที พอพ้นออกมาจากห้องทำงานมูคยอมก็รู้สึกเหมือนหลุดจากการถูกสะกดจิตหรือคลายจากการต้องมนต์อย่างไรพิกล ไม่ว่าตลอดหลายวันมานี้อีฮาจุนจะตั้งใจหลบหน้าเขาหรือไม่ แต่พอมองกลับไปมันก็ผิดพลาดตั้งแต่ที่เขามานั่งจดจ่ออยู่กับเรื่องเล็กน้อยอย่างการสัมผัสพวกนั้นแล้ว

ต้องมาเสียหน้าเพราะเหตุผลไร้สาระแท้ๆ มูคยอมเดาะลิ้นอีกครั้งแล้ววิ่งไปกลางสนามที่ยังคงดำเนินการฝึกซ้อมอย่างแข็งขัน

***

แม้ใครจะปฏิเสธ แต่เคลีกก็เป็นลีกที่แม้แต่คนในประเทศยังมองข้าม การถ่ายทอดสดติดขัด และถึงจะได้ออกอากาศแต่ส่วนมากก็เป็นการอัดเทปและไม่ได้ถูกฉายในช่วงไพร์มไทม์ แม้จะเป็นเรื่องหดหู่ที่ไม่มีสถานีโทรทัศน์ไหนเลยที่ถ่ายทอดสดการแข่งฟุตบอลระหว่างสโมสรในประเทศแบบจริงๆ จังๆ ในยุคที่มีช่องโทรทัศน์ล้นตลาด แต่ความจริงก็คือความจริง

ทว่าในฤดูกาลนี้แตกต่างออกไป เพราะสถานีโทรทัศน์ขนาดใหญ่หลายแห่งต่างเข้ามาพูดคุยเพื่อแย่งชิงสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดเคลีกกันตั้งแต่วันที่คิมมูคยอมมาถึงกรุงโซลจนถึงวันนี้ จึงเป็นที่แน่ชัดว่าทุกการแข่งขันจะถูกถ่ายทอดสด ซึ่งการแข่งสนามแรกของมูคยอมที่นั่งเต็มหมดแล้ว และตอนนี้กำลังเปิดขายที่นั่งวีไอพีอีกด้วย

มูคยอมเป่าลมปากออกมาสั้นๆ ขณะยืนอยู่ตรงอุโมงค์ทางเดินออกสู่สนาม

“พี่ก็ตื่นเต้นเหรอครับ จริงๆ การแข่งนี้ไม่น่าจะตื่นเต้นสำหรับพี่แล้วนะ”

นักเตะกองกลางคนหนึ่งถามขึ้นราวกับคาดไม่ถึง

“ขึ้นชื่อว่าฟุตบอลยังไงก็ตื่นเต้น”

ในกีฬาที่มีผู้เล่นสิบเอ็ดคน แม้คนหนึ่งจะโดดเด่นแค่ไหน แต่ก็ยากที่จะทำนายผลแพ้ชนะที่ไม่แน่นอนได้ ดังนั้นถึงมูคยอมจะลงสนามแต่ก็เป็นไปได้ที่การแข่งขันจะจบลงที่เขาทำประตูไม่ได้เลยหากทีมฝ่ายตรงข้ามตั้งใจรักษาประตูอย่างเอาเป็นเอาตาย นี่เป็นสนามแรกของเขาในประเทศเกาหลีใต้ เขาจึงต้องทำประตูเพื่อรักษาหน้าตัวเองและกู้หน้าให้ลุงจุนซองด้วย แล้วแค่ทำประตูเฉยๆ ไม่พอ แต่เขาจะต้องคว้าชัยชนะให้ได้อย่างงดงาม เพราะถึงอย่างไรก็เป็นการกลับมายังเกาหลีใต้ในรอบหลายปีและนำพาความสำเร็จกลับมาด้วย ดังนั้นเขาจะต้องทำให้ผู้ชมที่ตั้งใจมาที่สนามแข่งเพื่อดูเขาได้เห็นในสิ่งที่คาดหวัง อาจเป็นเพราะมูคยอมเพิ่งเริ่มเข้าสู่เส้นทางนักกีฬาอาชีพเขาจึงรู้สึกว่าการเป็นตัวแทนการแข่งขันในประเทศสำคัญกว่าการแข่งขันทีมชาติ

เหล่านักกีฬาค่อยๆ เดินเข้าสู่สนามตามลำดับ เพราะเป็นการแข่งขันในบ้านจึงมีป้ายชื่อของคิมมูคยอมติดอยู่ทุกหนแห่ง เสียงเพลงเชียร์ที่แฟนๆ พากันร้องก่อนเริ่มการแข่งขันดังกึกก้องไปทั้งสนาม ไม่ว่าจะเป็นลีกในพื้นที่ห่างไกลหรือในทีมใหม่ที่เขาเพิ่งย้ายมา มูคยอมลืมเลือนเรื่องนั้นไปจนหมด และรู้สึกฮึกเหิมไปกับเสียงร้องตะโกนอย่างบริสุทธิ์ใจนั้นอยู่เสมอ ช่างเป็นการเริ่มต้นที่ดีจริงๆ

ทั้งสองทีมยืนประจำตำแหน่งและหันหน้าเข้าหากัน การแข่งขันเริ่มต้นขึ้นเมื่อลูกบอลถูกส่งผ่านเส้นแบ่งเขตแดน ทีมฝ่ายตรงข้ามใช้กลยุทธ์การเล่นแบบตั้งรับเป็นหลักและตามประกบมูคยอมกันอย่างไม่คิดชีวิตตั้งแต่ต้นเกม แตกต่างกับทีมโซลที่ใช้กลยุทธ์เชิงรุกโดยมีมูคยอมเป็นจุดศูนย์กลาง

ลูกบอลที่เข้าไปใกล้เขตโทษถูกสกัดเอาไว้และส่งต่อทันที รูปแบบของแผนคือเลี้ยงบอลยาวไปจนถึงเขตประตูฝ่ายตรงข้ามเมื่อได้โอกาส แล้วรอจังหวะบุกอย่างรวดเร็ว แต่แค่พูดน่ะง่าย เดิมทีกลยุทธ์การโต้กลับโดยการส่งบอลยาวนั้นยากที่จะทำได้สำเร็จ แต่หากเป็นมูคยอมย่อมสามารถวิ่งไปตามกลยุทธ์นั้นได้อยู่แล้วเพราะตัวเขาขึ้นชื่อเรื่องการยิงลูกครึ่งสนาม ระหว่างที่นักกีฬาคนอื่นรอรับบอลไกล เขาก็จะสามารถวิ่งไปยังประตูได้อย่างรวดเร็ว

สถานการณ์การแข่งขันที่ฝ่ายหนึ่งเน้นไปที่การบุกและอีกฝ่ายเน้นไปที่การตั้งรับ ทำให้พื้นที่ฝั่งหนึ่งของสนามมีนักกีฬาอยู่เต็มไปหมดเหมือนกับปลาที่ว่ายอยู่ในบ่อ มูคยอมต้องหยุดอยู่หน้าประตูของฝ่ายตรงข้ามเพราะเจอกับการตั้งรับที่แข็งแกร่ง เมื่อเล่นเกมรุกไม่ได้ผลเขาจึงค่อยๆ ถอยลงมาหลังเส้นแบ่งเขตแดน ฝ่ายตั้งรับเลยค่อยๆ วิ่งขึ้นมาที่แดนหน้า

สนามฝั่งทีมซิตี้โซลว่างเปล่าขึ้นทันตา ผิดกับหน้าประตูของทีมฝ่ายตรงข้ามที่มีคนมากขึ้น

“ประจำที่! อย่าเอาแต่ขึ้นไปแดนหลัง! ไปแล้วรีบกลับมาเตรียมตัว!” จองคยูที่เป็นทั้งผู้รักษาประตูและกัปตันทีมตบมือแล้วตะโกนสั่งขึ้นมาดังลั่น

แม้จะไม่มีฝั่งใดทำประตูได้จนกระทั่งใกล้จบการแข่งขันครึ่งแรก แต่เสียงเชียร์ของผู้ชมกลับดังกึกก้องขึ้นเรื่อยๆ เสียงร้องตะโกนและเพลงเชียร์จากที่นั่งกองเชียร์ทีมซิตี้โซลดังก้องจนเหล่านักกีฬาแทบจะหูอื้อ

‘โอ้ โอ้ โอ้ โซล โอ้ โอ้ โอ้ โซล!’

มันช่วยปลุกสัญชาตญาณของนักกีฬาที่กำลังมุ่งมั่นกับการแข่งขันมากกว่าครั้งไหนๆ การหมุนเวียนของอากาศ ทิศทางของลม และเสียงของผู้คนที่ปรารถนาชัยชนะไหลเวียนอยู่ในร่างกายราวกับเลือด และเมื่อสมองและร่างกายรวมกันเป็นหนึ่ง ขาก็เริ่มขยับไปไวกว่าความคิด แต่ระหว่างนั้นก็ต้องไม่พลาดหัวใจสำคัญของกีฬาฟุตบอลซึ่งก็คือคำตัดสินที่เป็นเด็ดขาด

บอลที่ถูกตัดมาจากเท้าของนักกีฬาฝ่ายตรงข้ามกลิ้งไปทางขอบสนามเป็นระยะทางยาว นักกีฬาที่อยู่ในสนามฝั่งซ้ายจึงโยนบอลยาวมาให้ นักกีฬาคนอื่นที่ยืนรออยู่หน้าประตูไม่ว่าจะเป็นฝ่ายเดียวกันหรือฝ่ายตรงข้ามต่างเงยหน้าขึ้นแล้ววิ่งตามลูกบอลไป กลายเป็นการต่อสู้ว่าใครจะได้ครอบครองบอลก่อนกันแน่ นักกีฬาทั้งทีมเดียวกัน และทีมตรงข้ามต่างกรูกันไปทางหน้าประตู

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก 6

Now you are reading Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก Chapter 6 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เป็นธรรมดาที่คำตำหนิของโค้ชซึ่งมีประสบการณ์มากกว่าพวกเขาราวๆ สิบปีจะพุ่งเป้ามาที่ฮาจุนซึ่งกำลังเรียนรู้งานแบบเดียวกันอยู่มากกว่ามูคยอมซึ่งเป็นนักกีฬา

“ขอโทษครับ ผมแค่อยากให้ช่วยตรวจอย่างละเอียดมากขึ้น”

ฮาจุนทำอะไรไม่ถูกจึงก้มศีรษะขอโทษอีกครั้งต่อหน้าโค้ชจองที่ขมวดคิ้วและกำลังมองมาที่เขา

“ถ้างั้นโค้ชจองครับ ไหนๆ มาแล้วก็ลองตรวจดูอีกรอบไหมครับ” มูคยอมพูดขึ้นแล้วลงมานั่งข้างล่างพร้อมกับเหยียดขาออก

ไหนๆ ก็มาแล้วทั้งที โค้ชจองเลยตรวจเช็กดู แต่ขาของมูคยอมกลับไม่เป็นอะไรเลยและไม่จำเป็นต้องตรวจดูเป็นพิเศษด้วยซ้ำ เพราะมันเป็นแค่ความเจ็บที่เกิดขึ้นครั้งเดียวจากการชนกันในช่วงสั้นๆ มูคยอมแสดงออกไปเกินจริงอย่างไม่ทันรู้ตัวและไม่สมกับเป็นตัวเองเพียงเพราะฮาจุนบอกว่าจะลองเช็กดู

มันไม่ใช่เรื่องที่ถึงขนาดต้องเรียกโค้ชจอง แต่เพราะมูคยอมยืนกราน สุดท้ายฮาจุนก็เลยจำใจไปเรียกมาให้ โค้ชจองตรวจดูเข่าของมูคยอมเสร็จก็ทำหน้าเหลือเชื่อเล็กน้อยแล้วลุกขึ้นยืน

“โค้ชอี มานี่หน่อย”

ฮาจุนเดินตามหลังโค้ชจองไปเหมือนนักเรียนที่ทำความผิด ไม่รู้ว่าวันนี้เห็นแผ่นหลังห่อเหี่ยวนั้นไปกี่ครั้งแล้ว ปลายผมพลิ้วไหวตามจังหวะการก้าวเดินเป็นภาพที่มูคยอมเห็นแล้วอยากจะติดหูสุนัขที่กำลังลู่ลงให้บนศีรษะของอีกฝ่าย

“โค้ชอี จะมาเรียกผมด้วยเรื่องแบบนี้ทุกครั้งไม่ได้นะ จริงที่เราต้องคอยระวังเรื่องสุขภาพของคิมมูคยอม แต่คุณก็ต้องประเมินอาการก่อนแล้วค่อยขอให้ช่วยสิ ถ้ายังทำงานแบบนี้ร่างกายเราจะเหลือสักกี่ร่าง”

“ขอโทษครับ ผมใจร้อนเกินไป”

เสียงของคนทั้งสองที่ลดเบาลงแต่ก็ยังได้ยินมาถึงตรงที่มูคยอมนั่งอยู่ มูคยอมลุกขึ้นเดินเข้าไปในสนามปล่อยให้ทั้งสองคนคุยกัน เขาพักแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

พอเข้าไปร่วมฝึกซ้อมแล้วหันไปมองโค้ชทั้งสองคนก็ดูเหมือนว่าจะตักเตือนกันคร่าวๆ เสร็จแล้ว เขาเห็นฮาจุนเดินไปพร้อมถือสมุดโน้ตกับปากกาที่วางทิ้งไว้บนม้านั่งแล้วก็เข้าไปในห้องทำงาน ถึงจะเห็นด้านข้างของอีกฝ่ายจากที่ไกลๆ ก็ยังดูเสียใจอยู่ไม่น้อย

‘ทำตัวอวดดีเองทำไมล่ะ’

มูคยอมกล่าวโทษฮาจุนอยู่ในใจ เขาอยากจะจัดการปัญหาให้เรียบร้อยด้วยวิธีของตัวเอง แต่พอฮาจุนบอกว่าไม่มีเวลาว่างหลังเลิกงานแล้วเขาจึงแสดงสถานะของตัวเองให้เห็นในเวลางานแทน

…ตอนแรกตั้งใจจะทำให้ฮาจุนลำบากใจไปจนกว่าจะยอมจำนนต่อเขาก่อน แต่กลับรู้สึกใจอ่อนเพราะแผ่นหลังอันเศร้าสร้อยที่ดูห่อเหี่ยวเหมือนกับสุนัขหูตก ทำไมคนที่แสดงความเกลียดต่อคนอื่นถึงได้หดหู่กับคำพูดไม่กี่คำของหัวหน้ากันนะ มูคยอมไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะความไร้ยางอายหรือความโง่เขลาของอีกฝ่ายกันแน่

‘จะให้โอกาสอีกครั้งแล้วกัน’

เพราะเขาเป็นใจกว้างกว่าอีฮาจุนที่ใจแคบไงล่ะ มูคยอมเข้าข้างตัวเองแล้วพยักหน้า มูคยอมเขาบอกโค้ชว่าขอตัวสักครู่แล้วเดินไปยังอาคารที่มีสำนักงานตั้งรวมกันอยู่ อาคารสำนักงานเงียบสงบกว่าปกติเพราะยังเป็นช่วงเวลาฝึกซ้อม แสงแดดที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างสะท้อนกับพื้นทางเดินที่ปูด้วยเสื่อน้ำมันถูกแบ่งเป็นแสงแดดครึ่งหนึ่ง ที่ร่มครึ่งหนึ่ง ทำให้ดูเหมือนกับถูกทาสีไว้สองสี เสียงของเหล่านักกีฬาที่ฝึกซ้อมอยู่กลางแจ้งค่อยๆ เบาลง

มูคยอมเดินไปตามทางเดินอันเงียบสงบ เมื่อเคาะประตูที่เป็นทั้งห้องทำงานและห้องพักก็มีเสียงตอบรับว่า ครับ พร้อมกับประตูถูกเปิดออก มีเพียงฮาจุนอยู่ภายในห้องพักของโค้ชเพราะทุกคนกำลังฝึกซ้อมช่วงบ่ายกันอยู่

“เอ่อ…” ฮาจุนเปล่งเสียงออกมาเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่างเพราะคนที่เคาะประตูนั้นอยู่เหนือจากความคาดหมาย มูคยอมสังเกตเห็นแววตาตื่นตระหนกและสีหน้าที่หวาดกลัวเล็กน้อยของฮาจุน ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ไร้ยางอายอย่างที่คิด เขารู้สึกเกินคาดเล็กน้อย

“ขอเข้าไปข้างในแป๊บนึงสิ” มูคยอมพยักพเยิดบอกให้เข้าไปข้างใน

“เอ่อ อืม” ฮาจุนก้าวถอยหลังขณะที่ชะเง้อมองรอบๆ แล้วก็ชี้ไปทางโซฟา

“มาหาใครเหรอ ตอนนี้คนอื่นออกไปข้างนอกกันหมด นั่งตรงนั้นก่อนสิ จะดื่มอะไรไหม”

“นาย”

ฮาจุนมองมูคยอมด้วยสีหน้าแข็งทื่อ มูคยอมไม่ชอบสีหน้าแบบนั้น อีกฝ่ายดูเหมือนเป็นคนยิ้มเก่งและอัธยาศัยดีแบบที่ใครๆ ก็ชอบ แต่ทำไมเมื่ออยู่ต่อหน้าเขากลับทำหน้าเคร่งขรึมแบบนั้นอยู่บ่อยๆ แต่มูคยอมก็ไม่ได้หวังให้ฮาจุนยิ้มออกมาตอนนี้แน่ๆ เพราะคำพูดประชดประชันของเขาเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมาทำให้อีกฝ่ายถูกโค้ชจองตำหนิ ถ้ายิ้มออกมาต่อหน้ามูคยอมตอนนี้ก็หมายความว่าฮาจุนไม่ได้โกรธเขาแม้แต่นิดและเป็นคนเจ้าเล่ห์เสียด้วยซ้ำ

ความรู้สึกไม่พอใจที่สะสมมาหลายวันทำให้มูคยอมคิดเอาคืนคนที่ทำตัวเป็นเด็กด้วยวิธีแบบเด็กๆ ไปหนึ่งครั้ง หากฮาจุนแสดงออกว่าเจ็บใจหรือโมโหใส่เขาก็ตั้งใจว่าจะยั่วโมโหให้มากกว่านี้ แต่เพราะเห็นไหล่ห่อเหี่ยวของอีกฝ่ายเขาจึงเปลี่ยนแผน โดยจะจัดการปัญหาด้วยการพูดคุยโดยสันติและมีเหตุผล

“มี… ธุระอะไรกับฉันหรือเปล่า” ฮาจุนที่โดนหมายหัวด้วยคำว่า ‘นาย’ รวบรวมแรงไปยังริมฝีปากและถามขึ้นอีกครั้ง

“นี่นาย” นี่เขาต้องถ่อมาถึงห้องทำงานด้วยตัวเองเพื่อคุยเรื่องแบบนี้จริงๆ เหรอ มูคยอมเดาะลิ้นอย่างขัดใจ ว่าจะจัดการปัญหาเงียบๆ แต่ก็หนีไม่พ้น เขาคงต้องพูดสรุปสั้นๆ แค่ประเด็นสำคัญ

“ถึงจะไม่ชอบขี้หน้าฉันแต่ก็ต้องแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวสิ”

“หา?”

“ตอนซ้อมก็แทบไม่ใช้มือสัมผัสแค่กับฉัน เป็นโค้ชฟิตเนสแค่ในนามไม่ควรเกลียดขี้หน้านักกีฬานะ ถ้าฉันบาดเจ็บล่ะ นายรับผิดชอบไหวเหรอ”

“มือเหรอ หมายถึงมืออะไร” ฮาจุนทำเพียงกะพริบตาราวกับไม่เข้าใจในสิ่งที่มูคยอมพูดและขมวดคิ้ว

“ที่ใช้มือคลำตรวจโรคไง ตอนบ่ายที่ฉันบอกว่าปวดเอวแล้วนายไปเรียกโค้ชจองมา ไม่ใช่ว่านายไม่อยากแตะเนื้อต้องตัวฉันเองหรือไงถึงได้ทำแบบนั้น”

ฮาจุนทำตาโตและเม้มปากแน่นกับคำพูดนั้น ทั้งดูตกใจที่ได้ฟังคำพูดไร้สาระของมูคยอม และดูตกใจที่มูคยอมพูดแทงใจดำเข้า มูคยอมค่อยๆ ขมวดคิ้วรอฟังคำตอบ ไม่นานฮาจุนก็ส่ายหน้ารัวๆ ราวกับเพิ่งได้สติ

“เดิมทีการคลำตรวจโรคจะทำก็ต่อเมื่อจำเป็นเท่านั้น ซึ่งฉันคิดว่ามันไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น เพราะเห็นได้ชัดว่าร่างกายนายสมดุลปกติถึงจะทดสอบทักษะการเคลื่อนไหวไปไม่กี่ครั้งก็ตาม ปกติถ้าร่างกายสมดุลมันจะไม่เจ็บแบบนั้น เพราะงั้นพอนายบอกว่าเจ็บเอวฉันก็เลยคิดว่ามันแปลกๆ แล้วถึงยังไงฉันก็เป็นแค่โค้ชฟิตเนส ไม่ใช่นักกายภาพบำบัดหรือหมอนวดด้วย”

“เห็นนวดให้ตั้งหลายคนแต่กับฉันกลับบอกว่าไม่จำเป็น?”

“รูปร่างนายสมบูรณ์แบบขนาดนั้น ท่าทางตอนออกกำลังกายก็ดูดี” ฮาจุนที่เผลอพูดชื่นชมออกไปรีบพูดต่อด้วยท่าทางอึกอัก

“ที่เรียกโค้ชจองมาก็เพราะว่าเขามีประสบการณ์มากกว่าฉันไง ฉันดูแล้วคิดว่าไม่มีอะไรผิดปกติแต่นายก็ยังบอกว่าเจ็บ แบบนั้นให้คนอื่นมาดูสักรอบน่าจะดีกว่าฉันดูเพิ่มเอง ฉันรู้ว่านายกังวลมากเรื่องสุขภาพร่างกาย แต่โค้ชมือใหม่อย่างฉันจะไปวินิจฉัยสภาพร่างกายนักกีฬาระดับนายเองคนเดียวได้ยังไง ถ้าทำให้เข้าใจผิดก็ขอโทษด้วยนะ ไม่รู้ว่านายจะคิดไปถึงขนาดนั้น”

เหตุผลที่น่าขัดใจนี้มันอะไรกัน

มูคยอมขมวดคิ้ว คำตอบของฮาจุนนั้นไม่มีถูกไม่มีผิด แต่ถึงจะไม่ใช่เวลาฝึกซ้อมมูคยอมก็รู้สึกว่าฮาจุนกำลังหลบหน้าเขาอยู่ และก็เป็นมาหลายวันแล้วด้วย ทว่านั่นเป็นเพียงสิ่งที่เขาคิดอยู่ในหัว ถ้าอีกฝ่ายพูดมาแบบนั้นแล้วซักไซ้ต่อไปก็ไร้ประโยชน์ ไม่ว่าจะหลบหน้าเพราะเรื่องส่วนตัวหรือไม่ก็ตาม แค่ทำงานอย่างเต็มที่ก็พอแล้ว

“ช่างเถอะ แต่ที่สำคัญคือมันเป็นสิ่งที่ฉันรู้สึกได้ในฐานะนักกีฬาไง”

“นั่น…”

“ฉันจะหมดอารมณ์ออกกำลังกายถ้ารู้สึกว่าเทรนเนอร์ไม่เต็มที่แค่กับฉัน ถึงจะไปฟิตเนสเล็กๆ ก็เถอะ ขออย่างเดียว ตอนฝึกงานก็ขอให้เต็มที่กับฉันด้วย หรือไม่ก็ถอนตัวออกไปจากตารางซ้อมของฉันซะ แล้วก็ปรึกษากันเองกับโค้ชในกลุ่มให้คนอื่นมาทำแทน โค้ชจองหรือใครก็ได้ ฉันจะรับผิดชอบเอง แค่นี้ฉันคงเรียกร้องได้ใช่ไหม”

สีหน้าของฮาจุนตึงเครียดเมื่อได้ยินสิ่งที่มูคยอมพูด พูดน่ะง่าย แต่โค้ชหน้าใหม่น่ะไม่มีทางที่จะพูดออกไปว่า ‘คิมมูคยอมบอกว่าอยากถอดผมออกจากตารางซ้อมครับ’ ได้หรอก แล้วยิ่งเป็นหลังจากที่ถูกตำหนิไปก่อนหน้านี้ด้วย เขาไม่ได้อยากป่าวประกาศว่าตัวเองไร้ความสามารถนะ

ฮาจุนทิ้งช่วงคำพูดไป ก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง

“เข้าใจแล้ว เอ่อ… แค่ให้ใช้มือคลำใช่ไหม แค่สัมผัสที่… ตัวของนาย?”

มูคยอมแปลกใจที่ได้ยินฮาจุนสรุปสั้นๆ ออกมาแบบนั้น แต่มันก็เป็นสิ่งที่เขาเรียกร้องจริงๆ

“ใช่”

“โอเค”

ฮาจุนพยักหน้ารับคำอย่างง่ายดายด้วยท่าทีสบายๆ ผิดกับคิ้วของมูคยอมที่ขมวดเข้าหากันแน่นกว่าเดิม เพราะพอคุยกันเสร็จแล้วมูคยอมถึงคิดได้ว่าพวกเขามีบทสนทนาที่แปลกประหลาดกันมาก แต่มาคิดได้ตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว

ถึงจะรู้สึกขัดใจ แต่ยังไงความรู้สึกไม่พอใจนั้นก็หมดไปแล้ว ดังนั้นเขาจะมองข้ามความงุนงงนั้นไปก็แล้วกัน

“ไหนๆ ก็มาแล้ว จะดื่มอะไรหน่อยไหม”

ฮาจุนถามขึ้นด้วยความประหม่าเมื่อเกิดความเงียบขึ้นระหว่างพวกเขา

“ไม่ล่ะ ฉันยังต้องออกไปซ้อมอีก”

มูคยอมไม่รอช้าและเปิดประตูห้องทันที พอพ้นออกมาจากห้องทำงานมูคยอมก็รู้สึกเหมือนหลุดจากการถูกสะกดจิตหรือคลายจากการต้องมนต์อย่างไรพิกล ไม่ว่าตลอดหลายวันมานี้อีฮาจุนจะตั้งใจหลบหน้าเขาหรือไม่ แต่พอมองกลับไปมันก็ผิดพลาดตั้งแต่ที่เขามานั่งจดจ่ออยู่กับเรื่องเล็กน้อยอย่างการสัมผัสพวกนั้นแล้ว

ต้องมาเสียหน้าเพราะเหตุผลไร้สาระแท้ๆ มูคยอมเดาะลิ้นอีกครั้งแล้ววิ่งไปกลางสนามที่ยังคงดำเนินการฝึกซ้อมอย่างแข็งขัน

***

แม้ใครจะปฏิเสธ แต่เคลีกก็เป็นลีกที่แม้แต่คนในประเทศยังมองข้าม การถ่ายทอดสดติดขัด และถึงจะได้ออกอากาศแต่ส่วนมากก็เป็นการอัดเทปและไม่ได้ถูกฉายในช่วงไพร์มไทม์ แม้จะเป็นเรื่องหดหู่ที่ไม่มีสถานีโทรทัศน์ไหนเลยที่ถ่ายทอดสดการแข่งฟุตบอลระหว่างสโมสรในประเทศแบบจริงๆ จังๆ ในยุคที่มีช่องโทรทัศน์ล้นตลาด แต่ความจริงก็คือความจริง

ทว่าในฤดูกาลนี้แตกต่างออกไป เพราะสถานีโทรทัศน์ขนาดใหญ่หลายแห่งต่างเข้ามาพูดคุยเพื่อแย่งชิงสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดเคลีกกันตั้งแต่วันที่คิมมูคยอมมาถึงกรุงโซลจนถึงวันนี้ จึงเป็นที่แน่ชัดว่าทุกการแข่งขันจะถูกถ่ายทอดสด ซึ่งการแข่งสนามแรกของมูคยอมที่นั่งเต็มหมดแล้ว และตอนนี้กำลังเปิดขายที่นั่งวีไอพีอีกด้วย

มูคยอมเป่าลมปากออกมาสั้นๆ ขณะยืนอยู่ตรงอุโมงค์ทางเดินออกสู่สนาม

“พี่ก็ตื่นเต้นเหรอครับ จริงๆ การแข่งนี้ไม่น่าจะตื่นเต้นสำหรับพี่แล้วนะ”

นักเตะกองกลางคนหนึ่งถามขึ้นราวกับคาดไม่ถึง

“ขึ้นชื่อว่าฟุตบอลยังไงก็ตื่นเต้น”

ในกีฬาที่มีผู้เล่นสิบเอ็ดคน แม้คนหนึ่งจะโดดเด่นแค่ไหน แต่ก็ยากที่จะทำนายผลแพ้ชนะที่ไม่แน่นอนได้ ดังนั้นถึงมูคยอมจะลงสนามแต่ก็เป็นไปได้ที่การแข่งขันจะจบลงที่เขาทำประตูไม่ได้เลยหากทีมฝ่ายตรงข้ามตั้งใจรักษาประตูอย่างเอาเป็นเอาตาย นี่เป็นสนามแรกของเขาในประเทศเกาหลีใต้ เขาจึงต้องทำประตูเพื่อรักษาหน้าตัวเองและกู้หน้าให้ลุงจุนซองด้วย แล้วแค่ทำประตูเฉยๆ ไม่พอ แต่เขาจะต้องคว้าชัยชนะให้ได้อย่างงดงาม เพราะถึงอย่างไรก็เป็นการกลับมายังเกาหลีใต้ในรอบหลายปีและนำพาความสำเร็จกลับมาด้วย ดังนั้นเขาจะต้องทำให้ผู้ชมที่ตั้งใจมาที่สนามแข่งเพื่อดูเขาได้เห็นในสิ่งที่คาดหวัง อาจเป็นเพราะมูคยอมเพิ่งเริ่มเข้าสู่เส้นทางนักกีฬาอาชีพเขาจึงรู้สึกว่าการเป็นตัวแทนการแข่งขันในประเทศสำคัญกว่าการแข่งขันทีมชาติ

เหล่านักกีฬาค่อยๆ เดินเข้าสู่สนามตามลำดับ เพราะเป็นการแข่งขันในบ้านจึงมีป้ายชื่อของคิมมูคยอมติดอยู่ทุกหนแห่ง เสียงเพลงเชียร์ที่แฟนๆ พากันร้องก่อนเริ่มการแข่งขันดังกึกก้องไปทั้งสนาม ไม่ว่าจะเป็นลีกในพื้นที่ห่างไกลหรือในทีมใหม่ที่เขาเพิ่งย้ายมา มูคยอมลืมเลือนเรื่องนั้นไปจนหมด และรู้สึกฮึกเหิมไปกับเสียงร้องตะโกนอย่างบริสุทธิ์ใจนั้นอยู่เสมอ ช่างเป็นการเริ่มต้นที่ดีจริงๆ

ทั้งสองทีมยืนประจำตำแหน่งและหันหน้าเข้าหากัน การแข่งขันเริ่มต้นขึ้นเมื่อลูกบอลถูกส่งผ่านเส้นแบ่งเขตแดน ทีมฝ่ายตรงข้ามใช้กลยุทธ์การเล่นแบบตั้งรับเป็นหลักและตามประกบมูคยอมกันอย่างไม่คิดชีวิตตั้งแต่ต้นเกม แตกต่างกับทีมโซลที่ใช้กลยุทธ์เชิงรุกโดยมีมูคยอมเป็นจุดศูนย์กลาง

ลูกบอลที่เข้าไปใกล้เขตโทษถูกสกัดเอาไว้และส่งต่อทันที รูปแบบของแผนคือเลี้ยงบอลยาวไปจนถึงเขตประตูฝ่ายตรงข้ามเมื่อได้โอกาส แล้วรอจังหวะบุกอย่างรวดเร็ว แต่แค่พูดน่ะง่าย เดิมทีกลยุทธ์การโต้กลับโดยการส่งบอลยาวนั้นยากที่จะทำได้สำเร็จ แต่หากเป็นมูคยอมย่อมสามารถวิ่งไปตามกลยุทธ์นั้นได้อยู่แล้วเพราะตัวเขาขึ้นชื่อเรื่องการยิงลูกครึ่งสนาม ระหว่างที่นักกีฬาคนอื่นรอรับบอลไกล เขาก็จะสามารถวิ่งไปยังประตูได้อย่างรวดเร็ว

สถานการณ์การแข่งขันที่ฝ่ายหนึ่งเน้นไปที่การบุกและอีกฝ่ายเน้นไปที่การตั้งรับ ทำให้พื้นที่ฝั่งหนึ่งของสนามมีนักกีฬาอยู่เต็มไปหมดเหมือนกับปลาที่ว่ายอยู่ในบ่อ มูคยอมต้องหยุดอยู่หน้าประตูของฝ่ายตรงข้ามเพราะเจอกับการตั้งรับที่แข็งแกร่ง เมื่อเล่นเกมรุกไม่ได้ผลเขาจึงค่อยๆ ถอยลงมาหลังเส้นแบ่งเขตแดน ฝ่ายตั้งรับเลยค่อยๆ วิ่งขึ้นมาที่แดนหน้า

สนามฝั่งทีมซิตี้โซลว่างเปล่าขึ้นทันตา ผิดกับหน้าประตูของทีมฝ่ายตรงข้ามที่มีคนมากขึ้น

“ประจำที่! อย่าเอาแต่ขึ้นไปแดนหลัง! ไปแล้วรีบกลับมาเตรียมตัว!” จองคยูที่เป็นทั้งผู้รักษาประตูและกัปตันทีมตบมือแล้วตะโกนสั่งขึ้นมาดังลั่น

แม้จะไม่มีฝั่งใดทำประตูได้จนกระทั่งใกล้จบการแข่งขันครึ่งแรก แต่เสียงเชียร์ของผู้ชมกลับดังกึกก้องขึ้นเรื่อยๆ เสียงร้องตะโกนและเพลงเชียร์จากที่นั่งกองเชียร์ทีมซิตี้โซลดังก้องจนเหล่านักกีฬาแทบจะหูอื้อ

‘โอ้ โอ้ โอ้ โซล โอ้ โอ้ โอ้ โซล!’

มันช่วยปลุกสัญชาตญาณของนักกีฬาที่กำลังมุ่งมั่นกับการแข่งขันมากกว่าครั้งไหนๆ การหมุนเวียนของอากาศ ทิศทางของลม และเสียงของผู้คนที่ปรารถนาชัยชนะไหลเวียนอยู่ในร่างกายราวกับเลือด และเมื่อสมองและร่างกายรวมกันเป็นหนึ่ง ขาก็เริ่มขยับไปไวกว่าความคิด แต่ระหว่างนั้นก็ต้องไม่พลาดหัวใจสำคัญของกีฬาฟุตบอลซึ่งก็คือคำตัดสินที่เป็นเด็ดขาด

บอลที่ถูกตัดมาจากเท้าของนักกีฬาฝ่ายตรงข้ามกลิ้งไปทางขอบสนามเป็นระยะทางยาว นักกีฬาที่อยู่ในสนามฝั่งซ้ายจึงโยนบอลยาวมาให้ นักกีฬาคนอื่นที่ยืนรออยู่หน้าประตูไม่ว่าจะเป็นฝ่ายเดียวกันหรือฝ่ายตรงข้ามต่างเงยหน้าขึ้นแล้ววิ่งตามลูกบอลไป กลายเป็นการต่อสู้ว่าใครจะได้ครอบครองบอลก่อนกันแน่ นักกีฬาทั้งทีมเดียวกัน และทีมตรงข้ามต่างกรูกันไปทางหน้าประตู

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+