Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก 64

Now you are reading Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก Chapter 64 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

มูคยอมเดินออกมาได้สักพักและคิดกังวลว่าควรทำยังไงกับกระเป๋าดี เขาจึงทิ้งมันไว้ที่หน้าสถานีตำรวจแล้วหลบหนีไป มันเป็นสิ่งของที่เจ้าของทำหาย ตำรวจคงจัดการตามหาเจ้าของให้เอง พอคิดดูตอนนี้ กลับกลายเป็นว่าเขาพิทักษ์ความยุติธรรมทั้งที่ไม่บริสุทธิ์ใจ

หลังจากกลับไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า มูคยอมถูกถามว่าไปทำตัวเหมือนหมาที่ไหนมาจนหัวเข่าแตกอีกล่ะ เขาถูกทุบตีและถูกขังไว้ในห้องสำนึกตน แม้แต่ข้าวก็ไม่ได้กิน มูคยอมหัวเราะออกมา เขากลับรู้สึกสนุกที่ทุกอย่างเป็นไปตามคาด เขาถูกเทศนาเหมือนอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด มูคยอมก้มลงมองหัวเข่าที่เจ็บแปลบพลางนึกเสียใจว่าเขาน่าจะทายาก่อนกลับมา

วันนั้นมูคยอมนอนในห้องสำนึกตนที่ทั้งมืดมิด คับแคบ และเหม็นอับทั้งคืนทั้งที่มีไข้อ่อนๆ เขาไม่จ้องมองช่องระบายอากาศ แต่เลือกที่จะหลับตานึกถึงกลิ่นดอกไม้ที่เคยได้สูดดมใต้ร่มเงาของต้นไลแลค

เขากับแม่เคยแอบเก็บลูกสุนัขสีขาวที่ถูกทิ้งมาเลี้ยง เพราะมันน่ารักมากจนอยากจะพากลับบ้านด้วย แต่เจ้าปีศาจนั่นต้องไม่ยอมแน่ ทั้งที่ระวังแล้วแต่สุดท้ายก็ถูกเจ้าปีศาจขี้สงสัยนั่นจับได้ จนลูกสุนัขตัวนั้นเกือบถูกฆ่าตาย หลังจากเหตุการณ์นั้นมูคยอมก็ไม่เคยจะเข้าไปใกล้สัตว์ตัวเล็กอีกเลย สีหน้าของเด็กผู้ชายที่เจอเมื่อตอนกลางวันมันเหมือนกับลูกสุนัขตัวนั้น เวลาได้กลิ่นดอกไม้ หน้าของเด็กคนนั้นก็จะผุดขึ้นมาแวบหนึ่งเช่นกัน

สองปีที่เขาเกลือกกลิ้งกับโคลนตมอยู่ในคอกหมู ทำงานที่ไร้ประโยชน์อยู่อย่างนั้นซ้ำไปซ้ำมาเหมือนไม่มีวันสิ้นสุด จนกระทั่งเข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมแล้วได้พบกับจุนซอง หลังจากนั้นมูคยอมจึงได้อยู่ใน ‘สถานที่ที่คนอาศัยอยู่’ อย่างที่เขาปรารถนาเสียที

จุนซองค้นพบพรสวรรค์ของมูคยอมที่ฝังอยู่ในโคลนเหมือนการสกัดแร่ทองคำ ช่วยดึงเขาขึ้นมาจากโคลนตม แล้วปูทางให้เป็นนักฟุตบอล บุญคุณของจุนซองไม่ได้จบลงเพียงเท่านั้น จุนซองโกรธมากหลังจากได้รู้ว่าชีวิตของมูคยอมเป็นยังไง เขาทุ่มเทกับการเปิดโปงความจริงของสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ส่วนสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าก็ถูกสืบสวนและปิดตัวลง

ราชาหมูที่พยายามประจบสอพลอใครต่อใครอย่างหนัก เมื่อถึงเวลาสอบสวนเข้าจริงๆ ก็ถูกผู้คนที่เคยพึ่งพิงทอดทิ้งเหมือนสิ่งของที่ไร้ค่า เริ่มต้นจากปรักปรำผู้อื่น ยักยอกทรัพย์ ทารุณกรรมเด็ก ก่อนถูกตัดสินจำคุกในหลายข้อหา ระหว่างที่รับโทษคงรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรมจึงตรอมใจ และตอนนี้ก็ลาโลกไปนานแล้ว

เด็กๆ ในสถานรับเลี้ยงกระจัดกระจาย แต่ละคนได้โยกย้ายไปตามที่ต่างๆ ส่วนมูคยอมเองก็ได้รับคำสั่งให้ย้ายไปอยู่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งใหม่ และช่วงที่เขาเก็บสัมภาระที่มีอยู่ไม่กี่ชิ้น และรอวันที่ต้องย้ายออกอยู่นั้น จุนซองก็เป็นคนเดียวที่มีความคิดอื่น

‘มูคยอม มาเป็นลูกชายของฉันไหม’

จุนซองชวนเขาไปกินข้าว เขาจึงตามจุนซองไปที่ร้านคัมจาทัง หลังจากนั้นจุนซองก็ยิ้มและถามเขาแบบนั้น

ช่วงนั้นมูคยอมไปหาจุนซองที่บ้านอยู่บ่อยๆ เขาสนิทสนมกับภรรยาของจุนซอง และเรียกเธอว่าพี่สะใภ้ ส่วนลูกชายอย่างฮยองมินก็เรียกมูคยอมว่าพี่ และทำเหมือนเขาเป็นพี่ชายแท้ๆ

ตอนแรกมูคยอมประหลาดใจกับข้อเสนอที่เขาคาดไม่ถึง เขากะพริบตาด้วยความตกใจ ก่อนตอบคำถามของอีกฝ่ายพร้อมกับรอยยิ้ม

‘ทำไมจู่ๆ ถึงถามแบบนั้นล่ะ ขนลุกเลยเนี่ย ไม่เอาหรอก’

‘เป็นลูกชายฉันก็ดีออก เวลาเล่นฟุตบอลก็เป็นโค้ช พอกลับบ้านก็เป็นพ่อ พัคมูคยอม เป็นไง เท่น้อยกว่าคิมมูคยอมเหรอ’

‘คุณลุง ผมว่าผมอยู่คนเดียวแล้วสบายใจกว่า ตอนนี้ผมไม่ต้องการครอบครัวอีกแล้วละ เวลาเล่นฟุตบอลก็เป็นโค้ช พอกลับบ้านก็เป็นคุณลุงกับคิมมูคยอมเหมือนตอนนี้ก็พอแล้ว แทนที่จะมีแม่ก็มีภรรยาของโค้ช ส่วนฮยองมินก็เป็นน้องชาย แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว’

จุนซองได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น ไม่กดดันมูคยอมอีกต่อไป

มูคยอมคีบกระดูกชิ้นใหญ่ชิ้นหนึ่งขึ้นมาวางบนจานตรงหน้า ขณะที่เขากำลังตั้งใจเลาะเนื้อออกมากิน จู่ๆ จุนซองก็ถามขึ้น

‘คิมมูคยอม รู้ไหม’

‘อะไร’

‘นายโตแล้วจริงๆ’

‘อ๋อ รู้สิ’

เมื่อมูคยอมยิ้มพลางตอบกลับอย่างไม่อาย จุนซองก็หัวเราะคิกคัก แล้วขอแก้วโซจูเพิ่มอีกแก้ว ก่อนรินเหล้าให้มูคยอม ตอนนั้นเขาเพิ่งอายุสิบห้าปี อันที่จริงมูคยอมเคยดื่มเหล้ากับจองคยูโดยที่จุนซองไม่รู้มาก่อนแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมตอนนั้นถึงรู้สึกว่าตัวเองโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นอีกนิดแล้ว

สุดท้ายแล้ว มูคยอมก็ไม่ได้ย้ายไปอยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งใหม่ เพราะจุนซองช่วยหาห้องเล็กๆ หนึ่งคูหาไม่ไกลจากบ้านเพื่อให้มูคยอมอาศัยอยู่ที่นั่น มูคยอมฝึกซ้อมที่โรงเรียน หลังซ้อมเสร็จก็กลับมากินมื้อเย็นที่บ้านของจุนซอง มาเล่นเกมหรือไม่ก็ทำการบ้านกับฮยองมิน หลังจากนั้นก็กลับไปนอนที่ห้องนั้นคนเดียว

มูคยอมมองดูโปสเตอร์ของนักเตะในตำนานหลายคนที่แปะอยู่บนผนังพลางตั้งปณิธานแน่วแน่ในทุกๆ คืน

ต้องประสบความสำเร็จให้ได้

เขาจะกลายเป็นนักเตะดาวรุ่งที่มีรายได้มหาศาล กลายเป็นนักเตะคนแรกของเกาหลีที่เป็นตัวเก็งลีกยุโรป และทำให้คุณลุง คุณป้า และฮยองมินสุขสบายไปตลอดชีวิต

มันไม่เป็นไรเลย เพราะมันคือการทดแทนบุญคุณ เขาเป็นคน และคนก็ต้องตอบแทนบุญคุณ

หลายปีแล้วหลังจากที่ค้นหาชีวิตในฐานะมนุษย์

สื่อเริ่มพูดถึงมูคยอมในฐานะเด็กหนุ่มอนาคตไกลมานานแล้ว เขาแสดงความสามารถจนเป็นที่ประจักษ์ในการแข่งขันระดับนานาชาติ และทันทีที่เข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมปลาย เขาก็ได้พูดคุยถึงการไปลีกยุโรปด้วย ร่างกายเขาเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ใบหน้าเขาก็สมชายมากขึ้น ในตอนนี้หากจะหาร่องรอยความสกปรกในช่วงเวลาที่น่าขยาดก็ไม่สามารถหาเจอได้แล้ว

มูคยอมบรรลุผลสำเร็จในการก้าวไปสู่จุดหมายทีละก้าวๆ และใช้เวลาในทุกๆ วันชิมรสชาติของความสำเร็จนั้น แต่แล้ววันหนึ่งมูคยอมก็นึกถึงเด็กชายคนนั้นขึ้นมา

อีกไม่นานเขาก็จะได้เดินทางออกจากเกาหลีใต้แล้ว ถึงเวลาที่ต้องคิดดูแล้วว่ามีเรื่องที่เขายังทำไม่สำเร็จอยู่หรือเปล่า คนเราควรตอบแทนบุญคุณอย่างคุ้มค่า หลังจากครุ่นคิดดูแล้ว เด็กชายคนนั้นคือผู้มีพระคุณคนแรกของเขา ก่อนพบจุนซองเสียอีก

ตอนนั้นมูคยอมก็พอจะคาดเดาความจริงที่น่าสยองขวัญได้ว่าผงสีขาวนั่นเป็นยาที่น่าสงสัย และถ้าเด็กชายที่มูคยอมไม่รู้จักชื่อคนนั้นไม่ช่วยเขาซ่อนตัว วันนั้นเขาอาจจะถูกแยกส่วนกลายเป็นศพลอยน้ำแล้วก็ได้

มูคยอมวิ่งหนีอย่างไม่มีสติ และเข้าไปในตรอกที่เขาไม่รู้จัก เหตุการณ์นั้นก็ผ่านมาหลายปีแล้ว มูคยอมไม่มั่นใจว่าเด็กชายคนนั้นจะจำเขาได้ มูคยอมจำได้แค่ว่าเด็กชายคนนั้นหน้าเหมือนลูกสุนัขสีขาวขนปุย เขาลืมไปหมดสิ้นแล้วว่าใบหน้าของอีกฝ่ายเป็นอย่างไร ตอนนั้นมูคยอมเหมือนลูกสุนัขจรจัดขี้เรื้อน แต่ตอนนี้เขาก็เปลี่ยนไปแล้วอย่างสิ้นเชิงเหมือนกับคนละคน

ถึงกระนั้นมูคยอมก็พยายามหวนระลึกถึงความทรงจำ ค้นหาซอยถนนและบ้านหลังนั้น บังเอิญว่าฤดูกาลตอนนี้ตรงกับตอนนั้นพอดี หลังจากเดินเตร่อยู่พักใหญ่ มูคยอมก็ได้พบกับร่มเงาของไลแลคสีม่วงอ่อนที่ยืนต้นสูงตระหง่านอยู่อีกฟากของกำแพง

มูคยอมเผลอยิ้มออกมาด้วยความดีใจ เมื่อภาพที่เห็นนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากทัศนียภาพที่เขาจำได้เลยแม้แต่น้อย เขาจึงวิ่งไปกดออดที่หน้าประตูรั้ว แต่กลับไร้การตอบรับ ไม่มีใครออกมาเลยสักคน

ไม่มีใครอยู่เหรอ

เขามาที่นี่โดยพละการจะเสียเที่ยวก็ไม่แปลก มูคยอมไหล่ตกพลางคิดว่าพรุ่งนี้คงต้องมาใหม่ แต่แล้วเขาก็ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง

‘คุณเป็นใครเหรอคะ’

มูคยอมหันหลังกลับ หญิงวัยกลางคนถือตะกร้าจ่ายตลาดเหมือนเพิ่งกลับมาจากตลาด เธอมองมูคยอมด้วยสายตาสงสัย

หรือว่าเธอคือแม่ที่เด็กน้อยคนนั้นพูดถึง? มูคยอมรีบปรับสีหน้าให้เรียบร้อยแบบที่พวกผู้ใหญ่ชอบแล้วโค้งศีรษะลงทักทายเธอ

‘สวัสดีครับ ผมชื่อคิมมูคยอม จากชมรมฟุตบอลโรงเรียนมัธยมปลายชอนอุงครับ’

‘ชมรมฟุตบอล? นักเรียนชมรมฟุตบอลมาทำอะไรที่บ้านฉันล่ะ’

ดูเหมือนผู้หญิงคนนี้จะไม่ได้สนใจฟุตบอลเลยแม้แต่น้อย ตอนนั้นมูคยอมกำลังได้รับความสนใจ ถึงขนาดที่ว่าถ้าเป็นคนที่สนใจเรื่องฟุตบอลสักนิดแล้วล่ะก็ ไม่มีทางที่จะไม่รู้จักเขา

‘ลูกชายของคุณเคยช่วยผมไว้เมื่อนานมาแล้วน่ะครับ ผมอยากจะขอบคุณก็เลยลองมาพบเขาครับ’

‘ลูกชาย? แต่ฉันไม่มีลูกชายนะ’

ผู้หญิงคนนั้นตอบเขาเหมือนเธอเพิ่งรู้จริงๆ

มูคยอมได้สติขึ้นมาทันที มันก็ผ่านมาหลายปีแล้ว เด็กชายคนนั้นอาจจะย้ายออกไปแล้วก็ได้ เขาไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้ข้อนั้นเลย ทั้งๆ ที่ตัวเขาเองก็ไม่ได้อยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าอีกแล้วแท้ๆ

‘อา มันก็ผ่านมานานแล้ว… เขาคงย้ายออกไปแล้วละครับ คุณพอจะรู้ไหมครับว่าคนที่เคยอยู่ที่นี่เขาย้ายไปอยู่ที่ไหนกัน’

‘ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่คนที่เคยอยู่ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีลูกชายนะ ที่บ้านเจ้าของก็ไม่มีลูกชายวัยเรียนนะ? บ้านหลังนี้เปลี่ยนเจ้าของมาหลายคนแล้ว’

‘เข้าใจแล้วครับ ขอบคุณนะครับ’

มูคยอมไม่ถามอะไรอีก และโค้งคำนับบอกลาเธออีกครั้ง ผู้หญิงคนนั้นเหลือบมองเขาด้วยสายตาเป็นมิตรต่างจากตอนแรก ก่อนเปิดประตูรั้วแล้วเดินเข้าไป

มูกยอมถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังในซอยที่ไร้ผู้คน เขาพลาดเป้า และเดินวนเวียนอยู่ที่เดิม ก่อนจะยืนพิงกำแพงที่มีกิ่งก้านของต้นไลแลคห้อยย้อยลงมา

มูคยอมมองเห็นท้องฟ้าสีครามในฤดูใบไม้ผลิผ่านช่องว่างระหว่างช่อดอกไม้สีม่วงอ่อนที่เบ่งบานสวยน่ามองเหมือนเมฆก้อนเล็กๆ มูคยอมรู้สึกเดียวดายมากกว่าที่คิด ราวกับว่ามันฟูฟ่องแล้วค่อยๆ แตกสลายหายไป ความรู้สึกว่างเปล่าและกลิ่นดอกไม้พวยพุ่งฟุ้งกระจายอยู่ในใจเขา

อันที่จริงตอนนั้นเขาก็อยู่ชั้นประถมเอง… คงย้ายไปหลายครั้งแล้ว

มูคยอมสูดดมกลิ่นของดอกไม้ที่ซึมลึกลงไปในหัวใจของเขาเช่นเดียวกับวันนั้น มูคยอมยืนนิ่งอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็ยอมแพ้และก้าวเท้าออกไป

ถ้าเป็นตอนนี้ก็คงดี ตอนนั้นมูคยอมก็เพิ่งจะวัยรุ่นเท่านั้น เขาคิดวิธีตามหาคนไม่ออกนอกเสียจากไปพบด้วยตัวเอง หลังจากนั้นไม่นานมูคยอมก็เดินทางออกจากเกาหลีใต้ เริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอลและไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องอื่นอีก

เวลานับสิบปีทับซ้อนกันเรื่อยๆ เหตุการณ์ตอนนั้นก็หลงเหลือกลายเป็นความทรงจำที่ผุดขึ้นมาบางครั้งบางคราวเท่านั้น และสำหรับคนที่ไม่ได้ชื่นชอบดอกไม้เป็นพิเศษอย่างมูคยอม ไลแลคก็กลายเป็นดอกไม้ที่เขาชอบมากที่สุด

อีฮาจุนทำให้เขาได้นึกถึงสิ่งที่หลงลืมไปนานแล้ว อีฮาจุนทับซ้อนกับภาพของเด็กชายคนนั้นที่คว้าข้อมือเขาออกวิ่งอย่างว่องไว ผู้มีพระคุณคนแรกที่สุดท้ายแล้วเขาก็ตามหาไม่เจอ เขาคนนั้นเหมือนคุณชายน้อยที่ได้รับความรักจากครอบครัวที่มีความสุข ตอนนี้เขาก็คงมีชีวิตที่ดีอยู่ที่ไหนสักแห่ง

มาถึงตอนนี้หากเขาตั้งใจจะตามหาก็อาจจะพบอีกฝ่ายก็ได้ แต่ยิ่งเวลาผ่านไป ไม่รู้ทำไมทิวทัศน์ของบ้านที่เคยเห็นในตอนนั้น กลิ่นหอมของดอกไม้ และภาพของเด็กชายที่ผิวขาวเหมือนสำลีถึงกลายเป็นดั่งสัญลักษณ์แห่งความสุขที่ยั่งยืน และสมบูรณ์แบบซึ่งไม่ควรถูกรุกรานอยู่ในความทรงจำของมูคยอม ความมุ่งมั่นที่อยากพบเขาคนนั้นอีกครั้งค่อยๆ สุกสกาวและถูกฟอกด้วยสีของแสงแดดอันเจิดจ้า

ความทรงจำที่เริ่มต้นจากทัศนียภาพที่สกปรกของคอกหมู สิ้นสุดลงด้วยสีของหินอ่อนที่ระยิบระยิบงดงามยามต้องแสงแดด มูคยอมไม่อยากย้อนความหลังในอดีต แต่ไม่รู้ทำไมบางครั้งเขาถึงนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ตอนแรกมูคยอมก็พยายามฝืนเลิกคิด แต่หลังจากนี้เขาจะปล่อยให้เป็นไปตามที่ตัวเองคิด เพราะถึงจะเริ่มต้นไม่สวย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้จบลงด้วยความทรงจำแย่ๆ เสมอไป

นั่นก็เพราะเรื่องราวของคิมมูคยอมอาจจะเริ่มต้นที่รังปีศาจหรือเล้าหมู แต่ท้ายที่สุดมันก็กลายเป็นเรื่องราวของวีรบุรุษที่จบลงด้วยการบรรลุเป้าหมายสูงสุดอย่างงดงาม

***

ฮาจุนบอกว่าวันพรุ่งนี้ก็ไปได้ แต่พอชวนกินข้าวเย็นด้วยกัน ฮาจุนกลับมีท่าทีลำบากใจ มูคยอมถามขึ้นเมื่อเห็นอีกคนลังเล ไม่ได้ปฏิเสธเขาในทันที

“ทำไม ไม่ได้เหรอ”

“ขอโทษนะ เมื่อวานฉันลืมไปว่าวันนี้ฉันมีนัด”

เช้านี้ทันทีที่มาถึงสนามฝึกซ้อม มูคยอมก็ตามหาฮาจุนเป็นคนแรก มูคยอมลากฮาจุนที่กำลังยิ้มอยู่ท่ามกลางนักกีฬาหลายคนเหมือนเคยออกมา เขาพาอีกคนมายังห้องประชุมที่ว่างเปล่าก่อนบอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วย

เขาคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ควรพูดตั้งแต่หัววัน จึงคิดว่าจะชวนฮาจุนไปทานมื้อเย็นและคุยกันดีกว่า แต่ดูท่าวันนี้คงไม่ได้ มูคยอมรู้สึกเซ็งนิดหน่อย แต่ก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน

“นัดอะไร”

“วันนี้มีประชุมวิชาการกับพวกโค้ชน่ะสิ หลังจากนำเสนอครั้งที่แล้วเสร็จ ก็ต้องนัดรวมตัวกันอีกรอบ มีคนที่เดินทางมาไกลด้วย วันนี้ก็เลยต้องไปน่ะ”

แล้วทำไมต้องเป็นวันนี้ด้วย มูคยอมเดาะลิ้น แต่ในเมื่อเป็นวันที่สำคัญขนาดนั้น เขาก็จะยอมถอยหนึ่งก้าว ไหนๆ ก็เป็นแบบนี้แล้ว ในเมื่อมีเวลาหนึ่งวัน คงต้องไปสอบถามข้อมูลเบื้องต้นเรื่องย้ายไปลอนดอนจากผู้จัดการหน่อยแล้ว ถึงแม้ว่ามูคยอมจะไม่มีอะไรที่ต้องกังวลเป็นพิเศษเพราะเขาย้ายไปด้วยคุณสมบัตินักกีฬา แต่ฮาจุนอาจจะไม่เหมือนกัน

“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ไปกินมื้อค่ำด้วยกันนะ”

“ขอโทษนะ ฉันเป็นคนบอกเองว่าได้แท้ๆ”

มูคยอมหัวเราะคิกคักให้กับใบหน้าหงอยๆ ที่กำลังมองมาที่เขา อีกฝ่ายขอโทษเขาตั้งสองครั้งเพราะเรื่องแบบนี้

“ไม่เป็นไร ไม่ได้แค่วันนี้เอง”

ดีเสียอีก ก่อนหน้านี้มูคยอมใจร้อน เมื่อมาถึงก็รีบพาฮาจุนมาด้วยทันที แต่เพราะเขาตั้งใจจะชวนอีกฝ่ายย้ายไปอยู่ต่างประเทศ ดูเหมือนว่าการเรียงลำดับความคิดและข้อมูล จากนั้นก็ค่อยๆ โน้มน้าวฮาจุนจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว

ถึงแม้จะเป็นข้อเสนอที่ถือว่าน่าพึงพอใจสำหรับฮาจุน อย่างไรก็ตาม เป้าหมายแรกก็คือการรักษาไลฟ์สไตล์ปัจจุบันของตัวเอง คงต้องคิดเรื่องค่าตอบแทนที่เหมาะสมเอาไว้ด้วย

อย่างแรกต้องบอกว่าจะรับผิดชอบด้านการเงินทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นค่าครองชีพ ค่าใช้จ่ายในบ้าน หรือค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมการฟื้นฟูสมรรถภาพ… นอกจากนั้นก็เงินสนับสนุน เงินส่วนตัวที่จำเป็นต้องใช้ในงานอดิเรก และถ้าเสนอว่าจะจ่ายค่าครองชีพให้กับครอบครัวที่ยังอยู่เกาหลีใต้ด้วย… จะโอเคไหมนะ

มูคยอมไม่แน่ใจเพราะฮาจุนเป็นคนที่เคยบ่นพึมพำว่าแพง ทั้งที่ได้เสื้อผ้ามาชุดหนึ่งแล้ว เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะยอมรับเงินไหม เพราะฮาจุนก็ดื้อรั้นมากกว่าที่เห็น ต้องโยนอะไรเป็นเหยื่อล่อ ฮาจุนถึงจะยอมตกลงทันทีล่ะ

มูคยอมมัวแต่คิด เขาจึงเอาแต่เดินไม่พูดอะไรสักคำระหว่างที่ออกมาจากห้องประชุม และตรงไปที่สนามซ้อม แต่แล้วทันใดนั้นเขาก็คิดออกและถามขึ้น

“นัดไว้ที่ไหนล่ะ เดี๋ยวฉันไปส่ง”

“หืม ไม่เป็นไร วันนี้ไม่ได้มีนัดกับนายเลยนี่ ไม่ต้องไปส่งก็ได้”

“ถ้าไม่ไกลจากทางกลับบ้านก็นั่งไปด้วยกันสิ”

ฮาจุนยิ้มกว้างตอบกลับไปเหมือนเด็กกำลังง้อ “ไม่เป็นไร คนอื่นอาจจะมารวมตัวกันที่จุดนัดพบก็ได้ ถ้าเห็นฉันลงมาจากรถที่นายขับล่ะก็ ใครต่อใครคงถามเซ้าซี้แน่”
“วันนี้มาทำงาน ฉันเลยขับมาเซราติมา”

“นายพูดเหมือนรถราคาถูกมาก…”

“สีเงิน”

“บอกว่าไม่เป็นไรไง”

ถ้าไม่ใช่รถสปอร์ตสีสดก็ไม่สะดุดตาแล้วไม่ใช่เหรอ แต่มูคยอมก็ไม่ได้ดื้อดึงและถอยออกไป อย่างไรเสียวันนี้ก็ไม่เหมาะที่จะพูดคุย เขาควรเตรียมตัวที่จะโน้มน้าวให้ละเอียดถี่ถ้วนกว่านี้จะดีกว่า คนสองคนที่เคยเดินเคียงคู่กัน ทันทีที่เข้าไปในสนามซ้อมพวกเขาก็แยกกันในทันที ฮาจุนเดินไปรวมกับพวกโค้ช ขณะที่มูคยอมเดินไปรวมกลุ่มกับพวกนักกีฬา

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก 64

Now you are reading Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก Chapter 64 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

มูคยอมเดินออกมาได้สักพักและคิดกังวลว่าควรทำยังไงกับกระเป๋าดี เขาจึงทิ้งมันไว้ที่หน้าสถานีตำรวจแล้วหลบหนีไป มันเป็นสิ่งของที่เจ้าของทำหาย ตำรวจคงจัดการตามหาเจ้าของให้เอง พอคิดดูตอนนี้ กลับกลายเป็นว่าเขาพิทักษ์ความยุติธรรมทั้งที่ไม่บริสุทธิ์ใจ

หลังจากกลับไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า มูคยอมถูกถามว่าไปทำตัวเหมือนหมาที่ไหนมาจนหัวเข่าแตกอีกล่ะ เขาถูกทุบตีและถูกขังไว้ในห้องสำนึกตน แม้แต่ข้าวก็ไม่ได้กิน มูคยอมหัวเราะออกมา เขากลับรู้สึกสนุกที่ทุกอย่างเป็นไปตามคาด เขาถูกเทศนาเหมือนอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด มูคยอมก้มลงมองหัวเข่าที่เจ็บแปลบพลางนึกเสียใจว่าเขาน่าจะทายาก่อนกลับมา

วันนั้นมูคยอมนอนในห้องสำนึกตนที่ทั้งมืดมิด คับแคบ และเหม็นอับทั้งคืนทั้งที่มีไข้อ่อนๆ เขาไม่จ้องมองช่องระบายอากาศ แต่เลือกที่จะหลับตานึกถึงกลิ่นดอกไม้ที่เคยได้สูดดมใต้ร่มเงาของต้นไลแลค

เขากับแม่เคยแอบเก็บลูกสุนัขสีขาวที่ถูกทิ้งมาเลี้ยง เพราะมันน่ารักมากจนอยากจะพากลับบ้านด้วย แต่เจ้าปีศาจนั่นต้องไม่ยอมแน่ ทั้งที่ระวังแล้วแต่สุดท้ายก็ถูกเจ้าปีศาจขี้สงสัยนั่นจับได้ จนลูกสุนัขตัวนั้นเกือบถูกฆ่าตาย หลังจากเหตุการณ์นั้นมูคยอมก็ไม่เคยจะเข้าไปใกล้สัตว์ตัวเล็กอีกเลย สีหน้าของเด็กผู้ชายที่เจอเมื่อตอนกลางวันมันเหมือนกับลูกสุนัขตัวนั้น เวลาได้กลิ่นดอกไม้ หน้าของเด็กคนนั้นก็จะผุดขึ้นมาแวบหนึ่งเช่นกัน

สองปีที่เขาเกลือกกลิ้งกับโคลนตมอยู่ในคอกหมู ทำงานที่ไร้ประโยชน์อยู่อย่างนั้นซ้ำไปซ้ำมาเหมือนไม่มีวันสิ้นสุด จนกระทั่งเข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมแล้วได้พบกับจุนซอง หลังจากนั้นมูคยอมจึงได้อยู่ใน ‘สถานที่ที่คนอาศัยอยู่’ อย่างที่เขาปรารถนาเสียที

จุนซองค้นพบพรสวรรค์ของมูคยอมที่ฝังอยู่ในโคลนเหมือนการสกัดแร่ทองคำ ช่วยดึงเขาขึ้นมาจากโคลนตม แล้วปูทางให้เป็นนักฟุตบอล บุญคุณของจุนซองไม่ได้จบลงเพียงเท่านั้น จุนซองโกรธมากหลังจากได้รู้ว่าชีวิตของมูคยอมเป็นยังไง เขาทุ่มเทกับการเปิดโปงความจริงของสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ส่วนสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าก็ถูกสืบสวนและปิดตัวลง

ราชาหมูที่พยายามประจบสอพลอใครต่อใครอย่างหนัก เมื่อถึงเวลาสอบสวนเข้าจริงๆ ก็ถูกผู้คนที่เคยพึ่งพิงทอดทิ้งเหมือนสิ่งของที่ไร้ค่า เริ่มต้นจากปรักปรำผู้อื่น ยักยอกทรัพย์ ทารุณกรรมเด็ก ก่อนถูกตัดสินจำคุกในหลายข้อหา ระหว่างที่รับโทษคงรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรมจึงตรอมใจ และตอนนี้ก็ลาโลกไปนานแล้ว

เด็กๆ ในสถานรับเลี้ยงกระจัดกระจาย แต่ละคนได้โยกย้ายไปตามที่ต่างๆ ส่วนมูคยอมเองก็ได้รับคำสั่งให้ย้ายไปอยู่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งใหม่ และช่วงที่เขาเก็บสัมภาระที่มีอยู่ไม่กี่ชิ้น และรอวันที่ต้องย้ายออกอยู่นั้น จุนซองก็เป็นคนเดียวที่มีความคิดอื่น

‘มูคยอม มาเป็นลูกชายของฉันไหม’

จุนซองชวนเขาไปกินข้าว เขาจึงตามจุนซองไปที่ร้านคัมจาทัง หลังจากนั้นจุนซองก็ยิ้มและถามเขาแบบนั้น

ช่วงนั้นมูคยอมไปหาจุนซองที่บ้านอยู่บ่อยๆ เขาสนิทสนมกับภรรยาของจุนซอง และเรียกเธอว่าพี่สะใภ้ ส่วนลูกชายอย่างฮยองมินก็เรียกมูคยอมว่าพี่ และทำเหมือนเขาเป็นพี่ชายแท้ๆ

ตอนแรกมูคยอมประหลาดใจกับข้อเสนอที่เขาคาดไม่ถึง เขากะพริบตาด้วยความตกใจ ก่อนตอบคำถามของอีกฝ่ายพร้อมกับรอยยิ้ม

‘ทำไมจู่ๆ ถึงถามแบบนั้นล่ะ ขนลุกเลยเนี่ย ไม่เอาหรอก’

‘เป็นลูกชายฉันก็ดีออก เวลาเล่นฟุตบอลก็เป็นโค้ช พอกลับบ้านก็เป็นพ่อ พัคมูคยอม เป็นไง เท่น้อยกว่าคิมมูคยอมเหรอ’

‘คุณลุง ผมว่าผมอยู่คนเดียวแล้วสบายใจกว่า ตอนนี้ผมไม่ต้องการครอบครัวอีกแล้วละ เวลาเล่นฟุตบอลก็เป็นโค้ช พอกลับบ้านก็เป็นคุณลุงกับคิมมูคยอมเหมือนตอนนี้ก็พอแล้ว แทนที่จะมีแม่ก็มีภรรยาของโค้ช ส่วนฮยองมินก็เป็นน้องชาย แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว’

จุนซองได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น ไม่กดดันมูคยอมอีกต่อไป

มูคยอมคีบกระดูกชิ้นใหญ่ชิ้นหนึ่งขึ้นมาวางบนจานตรงหน้า ขณะที่เขากำลังตั้งใจเลาะเนื้อออกมากิน จู่ๆ จุนซองก็ถามขึ้น

‘คิมมูคยอม รู้ไหม’

‘อะไร’

‘นายโตแล้วจริงๆ’

‘อ๋อ รู้สิ’

เมื่อมูคยอมยิ้มพลางตอบกลับอย่างไม่อาย จุนซองก็หัวเราะคิกคัก แล้วขอแก้วโซจูเพิ่มอีกแก้ว ก่อนรินเหล้าให้มูคยอม ตอนนั้นเขาเพิ่งอายุสิบห้าปี อันที่จริงมูคยอมเคยดื่มเหล้ากับจองคยูโดยที่จุนซองไม่รู้มาก่อนแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมตอนนั้นถึงรู้สึกว่าตัวเองโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นอีกนิดแล้ว

สุดท้ายแล้ว มูคยอมก็ไม่ได้ย้ายไปอยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งใหม่ เพราะจุนซองช่วยหาห้องเล็กๆ หนึ่งคูหาไม่ไกลจากบ้านเพื่อให้มูคยอมอาศัยอยู่ที่นั่น มูคยอมฝึกซ้อมที่โรงเรียน หลังซ้อมเสร็จก็กลับมากินมื้อเย็นที่บ้านของจุนซอง มาเล่นเกมหรือไม่ก็ทำการบ้านกับฮยองมิน หลังจากนั้นก็กลับไปนอนที่ห้องนั้นคนเดียว

มูคยอมมองดูโปสเตอร์ของนักเตะในตำนานหลายคนที่แปะอยู่บนผนังพลางตั้งปณิธานแน่วแน่ในทุกๆ คืน

ต้องประสบความสำเร็จให้ได้

เขาจะกลายเป็นนักเตะดาวรุ่งที่มีรายได้มหาศาล กลายเป็นนักเตะคนแรกของเกาหลีที่เป็นตัวเก็งลีกยุโรป และทำให้คุณลุง คุณป้า และฮยองมินสุขสบายไปตลอดชีวิต

มันไม่เป็นไรเลย เพราะมันคือการทดแทนบุญคุณ เขาเป็นคน และคนก็ต้องตอบแทนบุญคุณ

หลายปีแล้วหลังจากที่ค้นหาชีวิตในฐานะมนุษย์

สื่อเริ่มพูดถึงมูคยอมในฐานะเด็กหนุ่มอนาคตไกลมานานแล้ว เขาแสดงความสามารถจนเป็นที่ประจักษ์ในการแข่งขันระดับนานาชาติ และทันทีที่เข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมปลาย เขาก็ได้พูดคุยถึงการไปลีกยุโรปด้วย ร่างกายเขาเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ใบหน้าเขาก็สมชายมากขึ้น ในตอนนี้หากจะหาร่องรอยความสกปรกในช่วงเวลาที่น่าขยาดก็ไม่สามารถหาเจอได้แล้ว

มูคยอมบรรลุผลสำเร็จในการก้าวไปสู่จุดหมายทีละก้าวๆ และใช้เวลาในทุกๆ วันชิมรสชาติของความสำเร็จนั้น แต่แล้ววันหนึ่งมูคยอมก็นึกถึงเด็กชายคนนั้นขึ้นมา

อีกไม่นานเขาก็จะได้เดินทางออกจากเกาหลีใต้แล้ว ถึงเวลาที่ต้องคิดดูแล้วว่ามีเรื่องที่เขายังทำไม่สำเร็จอยู่หรือเปล่า คนเราควรตอบแทนบุญคุณอย่างคุ้มค่า หลังจากครุ่นคิดดูแล้ว เด็กชายคนนั้นคือผู้มีพระคุณคนแรกของเขา ก่อนพบจุนซองเสียอีก

ตอนนั้นมูคยอมก็พอจะคาดเดาความจริงที่น่าสยองขวัญได้ว่าผงสีขาวนั่นเป็นยาที่น่าสงสัย และถ้าเด็กชายที่มูคยอมไม่รู้จักชื่อคนนั้นไม่ช่วยเขาซ่อนตัว วันนั้นเขาอาจจะถูกแยกส่วนกลายเป็นศพลอยน้ำแล้วก็ได้

มูคยอมวิ่งหนีอย่างไม่มีสติ และเข้าไปในตรอกที่เขาไม่รู้จัก เหตุการณ์นั้นก็ผ่านมาหลายปีแล้ว มูคยอมไม่มั่นใจว่าเด็กชายคนนั้นจะจำเขาได้ มูคยอมจำได้แค่ว่าเด็กชายคนนั้นหน้าเหมือนลูกสุนัขสีขาวขนปุย เขาลืมไปหมดสิ้นแล้วว่าใบหน้าของอีกฝ่ายเป็นอย่างไร ตอนนั้นมูคยอมเหมือนลูกสุนัขจรจัดขี้เรื้อน แต่ตอนนี้เขาก็เปลี่ยนไปแล้วอย่างสิ้นเชิงเหมือนกับคนละคน

ถึงกระนั้นมูคยอมก็พยายามหวนระลึกถึงความทรงจำ ค้นหาซอยถนนและบ้านหลังนั้น บังเอิญว่าฤดูกาลตอนนี้ตรงกับตอนนั้นพอดี หลังจากเดินเตร่อยู่พักใหญ่ มูคยอมก็ได้พบกับร่มเงาของไลแลคสีม่วงอ่อนที่ยืนต้นสูงตระหง่านอยู่อีกฟากของกำแพง

มูคยอมเผลอยิ้มออกมาด้วยความดีใจ เมื่อภาพที่เห็นนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากทัศนียภาพที่เขาจำได้เลยแม้แต่น้อย เขาจึงวิ่งไปกดออดที่หน้าประตูรั้ว แต่กลับไร้การตอบรับ ไม่มีใครออกมาเลยสักคน

ไม่มีใครอยู่เหรอ

เขามาที่นี่โดยพละการจะเสียเที่ยวก็ไม่แปลก มูคยอมไหล่ตกพลางคิดว่าพรุ่งนี้คงต้องมาใหม่ แต่แล้วเขาก็ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง

‘คุณเป็นใครเหรอคะ’

มูคยอมหันหลังกลับ หญิงวัยกลางคนถือตะกร้าจ่ายตลาดเหมือนเพิ่งกลับมาจากตลาด เธอมองมูคยอมด้วยสายตาสงสัย

หรือว่าเธอคือแม่ที่เด็กน้อยคนนั้นพูดถึง? มูคยอมรีบปรับสีหน้าให้เรียบร้อยแบบที่พวกผู้ใหญ่ชอบแล้วโค้งศีรษะลงทักทายเธอ

‘สวัสดีครับ ผมชื่อคิมมูคยอม จากชมรมฟุตบอลโรงเรียนมัธยมปลายชอนอุงครับ’

‘ชมรมฟุตบอล? นักเรียนชมรมฟุตบอลมาทำอะไรที่บ้านฉันล่ะ’

ดูเหมือนผู้หญิงคนนี้จะไม่ได้สนใจฟุตบอลเลยแม้แต่น้อย ตอนนั้นมูคยอมกำลังได้รับความสนใจ ถึงขนาดที่ว่าถ้าเป็นคนที่สนใจเรื่องฟุตบอลสักนิดแล้วล่ะก็ ไม่มีทางที่จะไม่รู้จักเขา

‘ลูกชายของคุณเคยช่วยผมไว้เมื่อนานมาแล้วน่ะครับ ผมอยากจะขอบคุณก็เลยลองมาพบเขาครับ’

‘ลูกชาย? แต่ฉันไม่มีลูกชายนะ’

ผู้หญิงคนนั้นตอบเขาเหมือนเธอเพิ่งรู้จริงๆ

มูคยอมได้สติขึ้นมาทันที มันก็ผ่านมาหลายปีแล้ว เด็กชายคนนั้นอาจจะย้ายออกไปแล้วก็ได้ เขาไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้ข้อนั้นเลย ทั้งๆ ที่ตัวเขาเองก็ไม่ได้อยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าอีกแล้วแท้ๆ

‘อา มันก็ผ่านมานานแล้ว… เขาคงย้ายออกไปแล้วละครับ คุณพอจะรู้ไหมครับว่าคนที่เคยอยู่ที่นี่เขาย้ายไปอยู่ที่ไหนกัน’

‘ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่คนที่เคยอยู่ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีลูกชายนะ ที่บ้านเจ้าของก็ไม่มีลูกชายวัยเรียนนะ? บ้านหลังนี้เปลี่ยนเจ้าของมาหลายคนแล้ว’

‘เข้าใจแล้วครับ ขอบคุณนะครับ’

มูคยอมไม่ถามอะไรอีก และโค้งคำนับบอกลาเธออีกครั้ง ผู้หญิงคนนั้นเหลือบมองเขาด้วยสายตาเป็นมิตรต่างจากตอนแรก ก่อนเปิดประตูรั้วแล้วเดินเข้าไป

มูกยอมถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังในซอยที่ไร้ผู้คน เขาพลาดเป้า และเดินวนเวียนอยู่ที่เดิม ก่อนจะยืนพิงกำแพงที่มีกิ่งก้านของต้นไลแลคห้อยย้อยลงมา

มูคยอมมองเห็นท้องฟ้าสีครามในฤดูใบไม้ผลิผ่านช่องว่างระหว่างช่อดอกไม้สีม่วงอ่อนที่เบ่งบานสวยน่ามองเหมือนเมฆก้อนเล็กๆ มูคยอมรู้สึกเดียวดายมากกว่าที่คิด ราวกับว่ามันฟูฟ่องแล้วค่อยๆ แตกสลายหายไป ความรู้สึกว่างเปล่าและกลิ่นดอกไม้พวยพุ่งฟุ้งกระจายอยู่ในใจเขา

อันที่จริงตอนนั้นเขาก็อยู่ชั้นประถมเอง… คงย้ายไปหลายครั้งแล้ว

มูคยอมสูดดมกลิ่นของดอกไม้ที่ซึมลึกลงไปในหัวใจของเขาเช่นเดียวกับวันนั้น มูคยอมยืนนิ่งอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็ยอมแพ้และก้าวเท้าออกไป

ถ้าเป็นตอนนี้ก็คงดี ตอนนั้นมูคยอมก็เพิ่งจะวัยรุ่นเท่านั้น เขาคิดวิธีตามหาคนไม่ออกนอกเสียจากไปพบด้วยตัวเอง หลังจากนั้นไม่นานมูคยอมก็เดินทางออกจากเกาหลีใต้ เริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอลและไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องอื่นอีก

เวลานับสิบปีทับซ้อนกันเรื่อยๆ เหตุการณ์ตอนนั้นก็หลงเหลือกลายเป็นความทรงจำที่ผุดขึ้นมาบางครั้งบางคราวเท่านั้น และสำหรับคนที่ไม่ได้ชื่นชอบดอกไม้เป็นพิเศษอย่างมูคยอม ไลแลคก็กลายเป็นดอกไม้ที่เขาชอบมากที่สุด

อีฮาจุนทำให้เขาได้นึกถึงสิ่งที่หลงลืมไปนานแล้ว อีฮาจุนทับซ้อนกับภาพของเด็กชายคนนั้นที่คว้าข้อมือเขาออกวิ่งอย่างว่องไว ผู้มีพระคุณคนแรกที่สุดท้ายแล้วเขาก็ตามหาไม่เจอ เขาคนนั้นเหมือนคุณชายน้อยที่ได้รับความรักจากครอบครัวที่มีความสุข ตอนนี้เขาก็คงมีชีวิตที่ดีอยู่ที่ไหนสักแห่ง

มาถึงตอนนี้หากเขาตั้งใจจะตามหาก็อาจจะพบอีกฝ่ายก็ได้ แต่ยิ่งเวลาผ่านไป ไม่รู้ทำไมทิวทัศน์ของบ้านที่เคยเห็นในตอนนั้น กลิ่นหอมของดอกไม้ และภาพของเด็กชายที่ผิวขาวเหมือนสำลีถึงกลายเป็นดั่งสัญลักษณ์แห่งความสุขที่ยั่งยืน และสมบูรณ์แบบซึ่งไม่ควรถูกรุกรานอยู่ในความทรงจำของมูคยอม ความมุ่งมั่นที่อยากพบเขาคนนั้นอีกครั้งค่อยๆ สุกสกาวและถูกฟอกด้วยสีของแสงแดดอันเจิดจ้า

ความทรงจำที่เริ่มต้นจากทัศนียภาพที่สกปรกของคอกหมู สิ้นสุดลงด้วยสีของหินอ่อนที่ระยิบระยิบงดงามยามต้องแสงแดด มูคยอมไม่อยากย้อนความหลังในอดีต แต่ไม่รู้ทำไมบางครั้งเขาถึงนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ตอนแรกมูคยอมก็พยายามฝืนเลิกคิด แต่หลังจากนี้เขาจะปล่อยให้เป็นไปตามที่ตัวเองคิด เพราะถึงจะเริ่มต้นไม่สวย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้จบลงด้วยความทรงจำแย่ๆ เสมอไป

นั่นก็เพราะเรื่องราวของคิมมูคยอมอาจจะเริ่มต้นที่รังปีศาจหรือเล้าหมู แต่ท้ายที่สุดมันก็กลายเป็นเรื่องราวของวีรบุรุษที่จบลงด้วยการบรรลุเป้าหมายสูงสุดอย่างงดงาม

***

ฮาจุนบอกว่าวันพรุ่งนี้ก็ไปได้ แต่พอชวนกินข้าวเย็นด้วยกัน ฮาจุนกลับมีท่าทีลำบากใจ มูคยอมถามขึ้นเมื่อเห็นอีกคนลังเล ไม่ได้ปฏิเสธเขาในทันที

“ทำไม ไม่ได้เหรอ”

“ขอโทษนะ เมื่อวานฉันลืมไปว่าวันนี้ฉันมีนัด”

เช้านี้ทันทีที่มาถึงสนามฝึกซ้อม มูคยอมก็ตามหาฮาจุนเป็นคนแรก มูคยอมลากฮาจุนที่กำลังยิ้มอยู่ท่ามกลางนักกีฬาหลายคนเหมือนเคยออกมา เขาพาอีกคนมายังห้องประชุมที่ว่างเปล่าก่อนบอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วย

เขาคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ควรพูดตั้งแต่หัววัน จึงคิดว่าจะชวนฮาจุนไปทานมื้อเย็นและคุยกันดีกว่า แต่ดูท่าวันนี้คงไม่ได้ มูคยอมรู้สึกเซ็งนิดหน่อย แต่ก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน

“นัดอะไร”

“วันนี้มีประชุมวิชาการกับพวกโค้ชน่ะสิ หลังจากนำเสนอครั้งที่แล้วเสร็จ ก็ต้องนัดรวมตัวกันอีกรอบ มีคนที่เดินทางมาไกลด้วย วันนี้ก็เลยต้องไปน่ะ”

แล้วทำไมต้องเป็นวันนี้ด้วย มูคยอมเดาะลิ้น แต่ในเมื่อเป็นวันที่สำคัญขนาดนั้น เขาก็จะยอมถอยหนึ่งก้าว ไหนๆ ก็เป็นแบบนี้แล้ว ในเมื่อมีเวลาหนึ่งวัน คงต้องไปสอบถามข้อมูลเบื้องต้นเรื่องย้ายไปลอนดอนจากผู้จัดการหน่อยแล้ว ถึงแม้ว่ามูคยอมจะไม่มีอะไรที่ต้องกังวลเป็นพิเศษเพราะเขาย้ายไปด้วยคุณสมบัตินักกีฬา แต่ฮาจุนอาจจะไม่เหมือนกัน

“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ไปกินมื้อค่ำด้วยกันนะ”

“ขอโทษนะ ฉันเป็นคนบอกเองว่าได้แท้ๆ”

มูคยอมหัวเราะคิกคักให้กับใบหน้าหงอยๆ ที่กำลังมองมาที่เขา อีกฝ่ายขอโทษเขาตั้งสองครั้งเพราะเรื่องแบบนี้

“ไม่เป็นไร ไม่ได้แค่วันนี้เอง”

ดีเสียอีก ก่อนหน้านี้มูคยอมใจร้อน เมื่อมาถึงก็รีบพาฮาจุนมาด้วยทันที แต่เพราะเขาตั้งใจจะชวนอีกฝ่ายย้ายไปอยู่ต่างประเทศ ดูเหมือนว่าการเรียงลำดับความคิดและข้อมูล จากนั้นก็ค่อยๆ โน้มน้าวฮาจุนจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว

ถึงแม้จะเป็นข้อเสนอที่ถือว่าน่าพึงพอใจสำหรับฮาจุน อย่างไรก็ตาม เป้าหมายแรกก็คือการรักษาไลฟ์สไตล์ปัจจุบันของตัวเอง คงต้องคิดเรื่องค่าตอบแทนที่เหมาะสมเอาไว้ด้วย

อย่างแรกต้องบอกว่าจะรับผิดชอบด้านการเงินทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นค่าครองชีพ ค่าใช้จ่ายในบ้าน หรือค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมการฟื้นฟูสมรรถภาพ… นอกจากนั้นก็เงินสนับสนุน เงินส่วนตัวที่จำเป็นต้องใช้ในงานอดิเรก และถ้าเสนอว่าจะจ่ายค่าครองชีพให้กับครอบครัวที่ยังอยู่เกาหลีใต้ด้วย… จะโอเคไหมนะ

มูคยอมไม่แน่ใจเพราะฮาจุนเป็นคนที่เคยบ่นพึมพำว่าแพง ทั้งที่ได้เสื้อผ้ามาชุดหนึ่งแล้ว เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะยอมรับเงินไหม เพราะฮาจุนก็ดื้อรั้นมากกว่าที่เห็น ต้องโยนอะไรเป็นเหยื่อล่อ ฮาจุนถึงจะยอมตกลงทันทีล่ะ

มูคยอมมัวแต่คิด เขาจึงเอาแต่เดินไม่พูดอะไรสักคำระหว่างที่ออกมาจากห้องประชุม และตรงไปที่สนามซ้อม แต่แล้วทันใดนั้นเขาก็คิดออกและถามขึ้น

“นัดไว้ที่ไหนล่ะ เดี๋ยวฉันไปส่ง”

“หืม ไม่เป็นไร วันนี้ไม่ได้มีนัดกับนายเลยนี่ ไม่ต้องไปส่งก็ได้”

“ถ้าไม่ไกลจากทางกลับบ้านก็นั่งไปด้วยกันสิ”

ฮาจุนยิ้มกว้างตอบกลับไปเหมือนเด็กกำลังง้อ “ไม่เป็นไร คนอื่นอาจจะมารวมตัวกันที่จุดนัดพบก็ได้ ถ้าเห็นฉันลงมาจากรถที่นายขับล่ะก็ ใครต่อใครคงถามเซ้าซี้แน่”
“วันนี้มาทำงาน ฉันเลยขับมาเซราติมา”

“นายพูดเหมือนรถราคาถูกมาก…”

“สีเงิน”

“บอกว่าไม่เป็นไรไง”

ถ้าไม่ใช่รถสปอร์ตสีสดก็ไม่สะดุดตาแล้วไม่ใช่เหรอ แต่มูคยอมก็ไม่ได้ดื้อดึงและถอยออกไป อย่างไรเสียวันนี้ก็ไม่เหมาะที่จะพูดคุย เขาควรเตรียมตัวที่จะโน้มน้าวให้ละเอียดถี่ถ้วนกว่านี้จะดีกว่า คนสองคนที่เคยเดินเคียงคู่กัน ทันทีที่เข้าไปในสนามซ้อมพวกเขาก็แยกกันในทันที ฮาจุนเดินไปรวมกับพวกโค้ช ขณะที่มูคยอมเดินไปรวมกลุ่มกับพวกนักกีฬา

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+