Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก 42

Now you are reading Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก Chapter 42 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เราคงจะต้องใส่ใจเรื่องสมดุลข้อเท้าเพิ่มอีกนิดแล้วละ”

เข้าวันที่สองของการฝึกซ้อมเป็นที่เรียบร้อย มูคยอมขมวดคิ้วขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดของยุนแชฮุน

ในวันนี้ทางทีมได้จ่ายค่าเช่าสำหรับสนามฝึกในร่มของรีสอร์ตไว้หลายชั่วโมง ผู้จัดการทีมบอกว่าแชฮุนเคยเป็นเทรนเนอร์ฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายมาก่อน ทั้งยังเป็นโค้ชที่เก่งกาจในด้านการดูร่างกาย ก่อนจะทิ้งท้ายด้วยการสั่งให้นักเตะทุกคนไปรับการตรวจสภาพร่างกายจากแชฮุน ไม่เว้นแม้แต่มูคยอม

แน่นอนว่าประเด็นเกี่ยวกับข้อเท้าเป็นเรื่องที่เขาได้ยินมาหลายครั้งแล้ว แม้แต่ตอนที่อยู่ในกรีนฟอร์ด นี่คือปัญหาที่ต้องระวังสำหรับใครก็ตามที่อยู่ในตำแหน่งกองหน้าซึ่งส่วนใหญ่จะใช้เท้าแค่ข้างเดียวในการเล่น แต่ตลอดระยะเวลาชีวิตในอาชีพนักเตะของมูคยอม คนแรกที่ลงลึกและใส่ใจปัญหานี้กับเขาคือฮาจุน

แม้จะเพิ่งรับรู้ได้ด้วยตัวเอง แต่ดูเหมือนว่าลึกลงในใจมูคยอมจะชอบใจอยู่ไม่น้อย ทว่าเมื่อคิดว่าเหตุผลที่ฮาจุนทุ่มเทใส่ใจเรื่องข้อเท้าของเขาขนาดนี้ อาจเป็นเพราะเจ้าตัวได้เรียนรู้มากจากยุนแชฮุนก็ทำให้รู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมา

“ขอฉันจับดูหน่อยได้ไหม”

ทักทายจบแล้วก็ทำตัวแบบนี้เลยเหรอ อายุมากกว่าสักเท่าไหร่เชียว ถึงได้มาพูดจาไม่มีหางเสียงกับคนอื่นเขา

“ไม่ได้ครับ”

“หือ?”

“ข้อเท้าของผม ผมรู้จักดี ดังนั้นไม่ต้องมาดูก็ได้ครับ ผมไม่รู้หรอกนะว่าการโค้ชในเจลีกมันดีกว่าที่เกาหลีหรือเปล่า แต่ก็คงจะดีไม่เท่าในลีกอังกฤษอยู่ดี”

สีหน้าของแชฮุนเคร่งขรึมขึ้น ฮาจุนที่ยืนอยู่ข้างๆ เบิกตาโพลง อ้าปากเล็กน้อย พร้อมเผยสีหน้าที่แสดงอาการตกใจออกมา มูคยอมหันไปเลิกคิ้วใส่ใบหน้าเช่นนั้นของฮาจุน

ทำไม ไม่ชอบใจขนาดนั้นเลยหรือไง

มูคยอมไม่ต่อปากต่อคำอะไรอีก และทำเพียงแค่จ้องมองใบหน้าของแชฮุน ดวงตาหลังกรอบแว่นจ้องกลับไปที่มูคยอมโดยไม่กะพริบแม้แต่น้อย ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างทำตัวไม่ถูก

“ร่างกายนายมีค่าเกินกว่าที่จะให้ฉันแตะตัวเลยเหรอ”

“ต้องให้บอกก่อน ถึงจะรู้เหรอครับ”

‘ทำไมนายทำแบบนี้เนี่ย’ ฮาจุนที่อยู่ด้านหลังแชฮุนก้าวหนึ่งส่งสีหน้าพร้อมขยับปากถามออกมา เหล่านักเตะที่อยู่บริเวณนั้นต่างก็ทำหน้าไม่ถูก และพยายามเคลื่อนไหวร่างกายต่อไปเหมือนเครื่องจักร มีเพียงหูที่เปิดกว้างรอฟัง พวกเขากำลังร่วมเดินอยู่บนเส้นทางสุดอันตราย โดยไม่รู้ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ

“โอเค งั้นไว้โอกาสหน้าแล้วกัน”

หากคนที่มีปัญหาด้วยเป็นโค้ชประจำของทีม ท่าทีแบบนี้ของมูคยอมคงจะเป็นปัญหามากพอสมควร แต่แชฮุนเป็นเพียงแค่โค้ชรับเชิญเท่านั้น แทนที่จะพาสถานการณ์ไปในจุดที่แย่กว่าเดิม แชฮุนเลือกที่จะพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ก่อนย้ายไปดูนักเตะคนต่อไป ฮาจุนถลึงตาตกใจใส่มูคยอม ราวกับว่าหมดคำจะพูด และไม่อยากจะเชื่อกับที่สิ่งเห็น จากนั้นจึงรีบตามหลังแชฮุนไป ฮาจุนที่เดินจ้ำตามไปเหมือนกับลูกนกทำเอามูคยอมมองตามตาขวาง และรู้สึกเหมือนจะบ้า

แม้ไม่มีเหตุการณ์ก่อนหน้า เขาก็ยังรู้สึกอับอายที่จะต้องเดินเข้าไปในสนามฝึก หลังจากที่เมื่อวานออกไปโดยไม่ได้รับอนุญาต มูคยอมสูดหายใจเข้าเต็มปอด และผลักบานประตูออกกว้าง ภาพที่สะท้อนให้เห็นทำเอารู้สึกสึกขนลุกขนพอง ยุนแชฮุนและฮาจุนตัวติดกันราวกับว่าแยกออกจากกันเมื่อไหร่แล้วจะเกิดมหันตภัยขึ้น เหนือสิ่งอื่นใดสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกลำบากใจคือการต้องเห็นสายตาและสีหน้าของฮาจุนในตอนที่กำลังจ้องมองผู้ชายคนนั้น

หมอนี่มักจะยิ้มเก่งเหมือนลมฤดูใบไม้ผลิในเวลาทำงานมาแต่ไหนแต่ไร แต่รอยยิ้มนี้มันต่างจากตอนที่ฮาจุนยิ้มให้คนอื่นๆ ในทีม

มันเป็นการกระทำซึ่งไร้ความระมัดระวังไม่ต่างอะไรกับการที่รั้วฟาร์มเลี้ยงสัตว์ถูกเก็บจนหมด… ใบหน้าที่เหมือนกับว่าได้เห็นเจ้าของตัวเอง

บ้าเอ๊ย นี่เขาต้องมามองดูความสัมพันธ์ผิดศีลธรรมในสนามฝึกที่สูงส่งแบบนี้น่ะเหรอ

ข้างในร้อนรุ่มไปด้วยความคิดเคลือบแคลงเกี่ยวกับความสัมพันธ์ไม่ซื่อสัตย์ที่ไม่มีใครรู้อยู่เพียงลำพัง เอาจริงๆ เขาก็ไม่ได้อยากจะใส่ใจหรอกนะว่าไอ้คนที่ทำเหมือนตัวเองนิสัยดีคนนั้นทำอะไรตอนที่นอนห้องเดียวกับอีฮาจุน เขาไม่ได้อยากจะรู้เลยสักนิดว่าเมื่อวานสองคนนี้ทำอะไรกันไปบ้าง พอเห็นท่าทางหัวเราะคิกคักด้วยกันแล้วเมื่อคืนคงจะหนำใจกันมากเลยล่ะสิ

ราวกับว่าเป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน อยู่ๆ เขาก็นึกถึงใบหน้านิ่งเฉยของฮาจุนในตอนที่มุ่งหน้าไปยังลานจอดรถ เพื่อที่จะไปทำอะไรต่อมิอะไรกันต่อ หลังจากที่เราจูบกันไปหนึ่งยก ในตอนนั้นกับเขาที่เข้ามาอยู่ในทีมเดียวกันแล้ว เราเริ่มต้นกันเช่นนั้น และมีความสัมพันธ์เหมือนในตอนนี้เรื่อยมา แต่กับชายที่เป็นคนพาเข้ามาในวงการอาชีพโค้ช และเล่าเรียนมาด้วยกัน คิดง่ายๆ ได้เลยว่าพวกเขาสามารถที่จะใช้วัสดุที่เหลือจากการสร้างกำแพงเมืองจีน เอามาสร้างราชวังเพิ่มได้อีกสักสองสามเรือนเลยด้วยซ้ำ เมื่อวานกับเวลาหนึ่งคืนที่ไม่ต้องมานั่งกังวลเรื่องอะไร พวกเขาอาจจะเล่นจ้ำจี้กันไปหลายรอบเลยก็ได้

หากใครมองเข้ามาในหัวของเขา ก็อาจจะเต็มไปด้วยความคิดแบบนี้เหมือนกัน ถ้าถามว่าแล้วการที่ฮาจุนจะไปนอนกับใครมันเป็นปัญหาอะไร

ก็เพราะอีกฝั่งมีเมียอยู่แล้วไง!

ไม่ว่าจะชอบเซ็กส์แค่ไหน แต่แน่นอนว่าเขาก็มีเส้นที่จะต้องไม่ข้ามไปอยู่ การข้ามเส้นกำแพงทางศีลธรรมถือเป็นเรื่องที่ผิด

อากาศในวันนี้สดชื่นแจ่มใส แต่ด้วยความขุ่นเคืองที่ลอยฟุ้งมาจากเอซของทีมที่ไม่คิดจะปิดซ่อนความรู้สึก บรรยากาศในสนามฝึกจึงเต็มไปด้วยความมืดมน ราวกับกลุ่มเมฆครึ้มที่โอบอุ้มฝนห่าใหญ่ไว้ เมื่อสังเกตเห็นท่าทีของพี่ใหญ่ในทีม เหล่านักเตะอายุน้อยจึงเลิกหยอกล้อ และหยุดส่งเสียงดังกัน ก่อนจะหันไปจดจ่อกับการฝึกซ้อมเพียงอย่างเดียว การฝึกซ้อมดำเนินไปอย่างรวดเร็วขึ้น ถ้าบอกว่าบรรยากาศเข้มงวดไม่สมกับเป็นการฝึกซ้อมนอกสถานที่ในช่วงหน้าร้อนไม่ใช่เรื่องแปลกจะได้ไหมนะ

“ไป คุย กัน หน่อย”

ระหว่างที่มูคยอมกำลังนอนยกน้ำหนักอยู่บนม้านอน ฮาจุนก็ได้มายืนอยู่ข้างๆ โดยไม่ทันรู้ตัว ทั้งสีหน้า คำพูด และน้ำเสียง ทุกอย่างของฮาจุนเต็มไปด้วยความเย็นชาอย่างไม่มีอะไรเทียบได้ มูคยอมแอบดีใจเมื่อท้ายที่สุดฮาจุนต้องออกมาจากข้างๆ ยุนแชฮุน แล้วมาหาเขา แต่แน่นอนว่ามูคยอมไม่ได้ตามออกไปในทันที เขาเลือกที่จะไม่ตอบอะไรและยกน้ำหนักต่อจนจบเซ็ต ก่อนจะค่อยๆ ยันตัวขึ้นมาอย่างไม่เร่งรีบ

“มีอะไร”

“ออกไปคุยกันข้างนอก”

มูคยอมลุกจากม้านอนโดยไม่บ่นอะไรสักคำ เขาไม่ได้คิดจะถ่วงเวลาเพราะไม่อยากตามไปตั้งแต่แรก ก่อนหน้านี้ก็แค่กำลังแสร้งทำเหมือนว่าตัวเองไม่ได้คิดมากอะไรเท่านั้น

ฮาจุนที่รออยู่อย่างเงียบๆ เดินนำออกไปจากสนามฝึกในร่ม ทั้งสองใช้เวลาเดินสักพัก มาจนถึงทางเดินบริเวณประตูหนีไฟที่ไม่มีใครอยู่ ฮาจุนเป็นฝ่ายหยุดฝีเท้าลงก่อน และถอนหายใจยาวออกมา

“ทำไมนายทำถึงแบบนั้น”

“ทำอะไร”

ฮาจุนเม้มปากแน่นราวกับกำลังข่มอารมณ์โกรธเอาไว้ก่อนจะเสยผมขึ้น

“นี่ถามเพราะไม่รู้เหรอ ทำไมนายต้องทำแบบนั้นกับพี่เขาด้วย ทำไมต้องทำแบบนั้นกับคนที่นึกถึงทีมเราจนยอมสละเวลามาช่วย ทั้งๆ ที่ไม่ได้อยู่ในทีมด้วยซ้ำ”

ภาพของฮาจุนที่มีสีหน้าเคร่งเครียด และประกาศตัวออกมาว่าอยู่ฝั่งยุนแชฮุน ในวันนี้ฮาจุนไม่ใช่ลูกวัวที่จะขึ้นไปก่อความวุ่นวายบนเตาไฟ แต่กลับดูเหมือนจิ้งจอกมากกว่า จิ้งจอกขาวหน้าตาใสซื่อที่เบื้องหลังมีหางเก้าอันลอยว่อนอยู่

มูคยอมอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นจึงระเบิดหัวเราะออกมาแล้วยกแขนขึ้นกอดอก

“แล้วหมอนั่นมาทำจิตอาสาหรือไง ก็มาทำงานรับเงินไม่ใช่เหรอ”

“พี่เขาไม่ใช่คนที่จะต้องมานั่งหางาน เพราะอยากได้เงินด้วยซ้ำ”

ฮาจุนมองมูคยอมด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย หากจะบอกให้ถูก คงต้องพูดว่าเหมือนสีหน้าที่รู้สึกอนาถใจมากกว่า

“นายทำอะไรแบบนี้เป็นงานอดิเรกเหรอ”

“งานอดิเรก ทำอะไร”

“ตอนแรกนายก็ทำตัวไม่ดีกับฉันแบบนี้ งานอดิเรกนายคือการไปจิ้มเลือกตัวคนในกลุ่มโค้ชมาแหย่เล่นเหรอ”

อะไรนะ

มูคยอมก้มมองฮาจุนด้วยคิ้วที่ขมวดน้อยๆ เพราะรู้สึกแปลกใจ หมายความว่าตอนนี้ฮาจุนกำลังถามเขาว่าสำหรับมูคยอมแล้ว อีฮาจุนกับยุนแชฮุนถูกวางไว้ในจุดเดียวกันใช่หรือไม่ แบบนี้ใช่ไหม

เขาขนลุกขนชันไปหมดว่าใครอะไรกับใคร ไม่มีทางเป็นแบบนั้นแน่นอน ระหว่างที่มูคยอมยังอยู่ในอาการตกตะลึง ฮาจุนก็พูดต่อ

“ฉันรู้ว่านายเป็นนักเตะที่เก่ง แล้วก็รู้ว่าต้องรู้สึกขอบคุณแค่ไหนที่นายมาช่วยเล่นในทีมนี้ให้ เรื่องนั้นไม่มีใครปฏิเสธได้อยู่แล้ว ใช่ไหมล่ะ”

ฮาจุนเม้มปาก แล้วถอนหายใจยาวหนึ่งครั้งราวกับว่ากำลังพยายามจะลดความเร็วในการพูดที่เพิ่มขึ้นจากอารมณ์ที่อัดแน่น มูคยอมที่ยังอยู่ในโหมดหมดคำจะพูดทำเพียงแค่ก้มมองฮาจุนอยู่อย่างเดิม บางทีเขาอาจจะได้เห็นฮาจุนฟาดใส่กันว่าให้เปิดปากพูดออกมาสิก็ได้ แต่แล้วฮาจุนก็ลดเสียงต่ำลงเล็กน้อย

“ฉันหวังว่าอย่างน้อยนายจะเคารพสตาฟในทีมมากกว่านี้สักนิด ยังไงพวกเขาก็เป็นทีมเดียวกับนายตลอดฤดูกาลนี้ ไม่มีใครไปบังคับขู่เข็ญให้นายมาที่เกาหลี นายเป็นคนเลือกที่จะมาเองนะ”

“ไอ้คนนั้นก็ไม่ได้อยู่ทีมเดียวกับฉันนี่”

เพราะรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมเขาจึงเถียงกลับไปในทันที ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาทำตัวไม่เคารพสตาฟในทีมซิตี้โซล เขาทำแบบนั้นกับฮาจุนในช่วงแรกที่เข้ามาก็เพราะเจ้าตัวแสดงออกอย่างชัดเจนว่าพยายามที่จะหลบเลี่ยงกัน

“ทำไมไม่เรียกเขาว่าพี่ล่ะ นายไม่ชอบเขาขนาดนั้นเลยเหรอ”

ฮาจุนถามออกมาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหนักแน่น

ว้าว ตอนนี้มูคยอมรู้สึกเหมือนจะหัวเราะออกมา นี่มันสถานการณ์แบบไหนกัน ฮาจุนที่พูดด้วยสายตานิ่งขรึมแบบนั้น เหมือนเจ้าตัวกำลังถามเขาว่า ทำไมถึงใจร้ายกับยุนแชฮุนแบบนั้นล่ะ

การที่วัตถุปนเปื้อนอย่างชายแต่งงานแล้วที่ไม่ใช่แม้แต่สมาชิกในทีมนั่น แทรกซึมเข้ามาทำพฤติกรรมไม่ซื่อสัตย์ในสถานที่ฝึกซ้อมอันทรงเกียรติ เท่านี้ก็เพียงพอจะที่ทำให้รู้สึกหงุดหงิดใจแล้วไม่ใช่เหรอ มูคยอมนับจำนวนวันในใจ ครั้งสุดท้ายที่เขามีอะไรกับฮาจุนก็น่าจะเกินหนึ่งสัปดาห์แล้ว หลังจากวันที่เขาไปหาฮาจุนที่บ้านตอนเช้ามืด แล้วไปทำตัวแปลกๆ ใส่ จากวันนั้นฮาจุนก็มีงานเข้าอยู่ตลอดจนต้องเลื่อนวันกันมาเรื่อยๆ

หรือที่ทำแบบนั้น เพราะวางแผนเอาไว้แล้วว่าเมื่อวานจะไปนอนกกกับยุนแชฮุน?

หมอนั่นก็เหมือนคนที่อยู่ญี่ปุ่นแล้วเพิ่งกลับมาเกาหลีอยู่นะ ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าเวลาหนึ่งสัปดาห์นั่น ฮาจุนเลื่อนวันมานอนกับเขา แล้วไปเจอไอ้คนนั้นมาเหรอ

เมื่อคิดไปไกลถึงขั้นนั้นภายตัวของเขาก็ร้อนจนเหมือนมีไฟลุกไหม้ราวกับว่ามีใครเทกรดลงไปในท้อง

“ฉันไม่ชอบหน้าเขา”

“อะไรนะ”

“ก็หมอนั่นหน้าตาขี้เหร่ ตา จมูก ปาก เห็นแล้วหงุดหงิดใจไปหมด”

คำตอบที่ได้รับทำเอาฮาจุนขมวดคิ้วฉับ

“พี่เขาน่ะเหรอ หน้าตาขนาดนั้นถือว่าหล่อเลยนะ”

จากที่ฮาจุนเห็นในทีวีช่วงนี้ ไม่ว่าใครก็มักจะเรียกแชฮุนว่าพ่อรูปหล่อ

“ตกลงว่าตอนนี้นายอยู่ฝั่งไอ้คนนั้นเหรอ นายอยู่ทีมเดียวกับฉันต่างหาก ไม่ใช่ไอ้หมอนั่น”

“ไม่สิ นายกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่เนี่ย เรื่องนี้มันเกี่ยวกับฝั่งฉัน หรือฝั่งนายที่ไหนกัน อีกอย่างหน้าตาระดับพี่ฮุนถือว่าหล่อสุดๆ แล้วไหม”

“เหอะ!

มูคยอมแค่นหัวเราะออกมาเสียงดัง ฮาจุนเบิกตาโตราวกับไม่จะอยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน

“พี่ฮุน? มีชื่อเรียกแทนตัวกันด้วยเหรอเนี่ย”

“ชื่ออะไรของนาย ฉันก็แค่เรียกชื่อพี่เขาไหม”

“ตานายมองหน้าแบบนั้นว่าหล่อเหรอ ตาถึงแค่นั้นน่ะเหรอ”

เท่าที่เห็นจนถึงตอนนี้เขาคิดว่าฮาจุนคงไม่เคยได้เจอพวกคนที่หล่อจริงๆ มาก่อน แต่ถึงอย่างนั้นฮาจุนก็เป็นถึงคู่นอนขาประจำของมูคยอมเชียวนะ หมอนี่จะตาต่ำได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ

“ถึงฉันจะไม่ได้เป็นคนพูด แต่หน้าตาแบบพี่เขา ใครๆ ก็ต้องบอกว่าหล่อกันหมดนั่นแหละ”

“แต่ก็ขี้เหร่กว่าฉันใช่ไหม”

“ให้เทียบกับนายเหรอ นายเองก็หล่อมากนะ…”

หลังจากพูดแบบนั้นฮาจุนก็รีบปิดปากฉับ ทำหน้าบูดบึ้งพลางเขม่นมองมูคยอม คงเพราะเจ้าตัวหลุดปากพูดสิ่งข้างต้นออกมา

อย่างนั้นเหรอ ในสายตาฮาจุนเขาหล่อมากเลยสินะ

เพราะแบบนี้แน่ๆ ตอนนั้นถึงกับต้องวิ่งเข้ามาจูบกัน

โชคดีที่อย่างน้อยสายตาของฮาจุนก็ปกติดี ทุกครั้งที่ได้คุยกับฮาจุน รวมถึงก่อนหน้านี้ด้วยเขามักจะรู้สึกแปลกๆ เหมือนถูกดึงให้คล้อยตามไปด้วย เพราะแบบนี้ไหมนะ พอได้ยินคำพูดแบบนั้นจากปากฮาจุนเขาถึงได้แอบโล่งใจ เมื่อเบาใจขึ้นเล็กน้อย มูคยอมจึงเอ่ยถามสิ่งที่สงสัยออกมา

“แล้วทำไมต้องไปสนใจไอ้คนนั้นขนาดนั้นด้วย เจ้านั่นเกี่ยวข้องอะไรกับนายหรือไง”

“เกี่ยวสิ ฉันสนิทกับพี่เขาแล้วเขาก็เป็นคนที่ฉันรู้สึกขอบคุณด้วย ที่พี่เขามาก็เพราะฉันเป็นคนไปขอร้องให้มาเอง แล้วพี่เขาจะต้องมาได้ยินอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ”

ถึงกับต้องไปขอร้องให้มาเลยเหรอ เก่งขนาดนั้นเลยสินะ ไม่สิ คงเพราะมีข้ออ้างที่ทำให้ได้ออกจากโซลสมกับที่รอมานานก็เลยเรียกตัวมา จะได้สนุกไปกับการแอบพบกันแบบลับๆ ล่ะสิ

เขารู้ดีเลยล่ะว่าปกติแล้วฮาจุนจะเลี่ยงการไปนอนค้างคืนนอกบ้าน เพราะต้องคอยดูแลครอบครัวจะมีก็แค่การมานอนที่บ้านของมูคยอมที่ในตอนนี้เขาไม่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องแปลกใหม่อะไร

ฮาจุนดูกระวนกระวายและทำตาหลุกหลิกไปมา ราวกับว่ามีเรื่องจะพูด บรรยากาศเหมือนกับว่าอยากจะพูดนะ แต่ก็ไม่สามารถที่จะบอกออกมาได้ง่ายๆ มูคยอมที่เริ่มมีอารมณ์ฉุนเฉียวกำลังรอฟังว่าคนตรงหน้าจะพูดอะไร ทำไมถึงได้มีท่าทางแบบนี้ ฮาจุนกลืนก้อนน้ำลายเหนียวลงคอก่อนเปิดปากพูดออกมาอย่างยากลำบาก

“ฉันหวังว่านายจะไม่ทำแบบนั้นกับพี่เขานะ”

พอได้รู้ว่าสิ่งที่จะพูดคือเรื่องแค่นี้เขาก็รู้สึกโมโหขึ้นมา สำหรับฮาจุนในตอนนี้เหมือนคิมมูคยอมกำลังรับบทตัวร้าย ขณะที่ยุนแชฮุนคือพระเอก

อย่างกับเรื่องราวของคนที่จงรักภักดีต่อคนรัก เหมือนตอนนี้พวกเขากำลังสวมบทบาทกันอยู่ คิมมูคยอมคือขุนนางทุจริต ยุนแชฮุนคือนักปราชญ์ผู้ถูกขุนนางทุจริตข่มเหง ส่วนอีฮาจุนคือผู้ที่มีความสัมพันธ์แบบผิดบาปกับนักปราชญ์คนนั้น ขณะเดียวกันก็มาร้องขอขุนนางทุจริตให้มอบจิตใจที่ใสบริสุทธิ์ให้แล้วคบหากันแบบลับๆ ในเรื่องนี้ ฮาจุนกำลังรับบทที่โง่เง่าสุดเลยก็ว่าได้

นี่ เจ้าโง่ ต่อให้นายจะพยายามให้ตายยังไง ไอ้คนนั้นก็มีภรรยาแล้วนะ!

มูคยอมจ้องฮาจุนพลางต่อว่าในใจ

“พี่เขา…”

เปิดประโยคมาแบบนั้นเหมือนกับว่ามีเรื่องจะพูดอีก ฮาจุนขยับปากขึ้นอีกครั้งก่อนจะงับปากฉับลงไป แทนที่จะเร่งเร้า มูคยอมกลับทำเพียงแค่จ้องฮาจุนอยู่อย่างนั้น ฮาจุนที่เหมือนจะลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็อึกอักพูดต่อ

“พี่เขา ตรวจสภาพร่างกายเก่งมากเลยนะ ในสายตานายอาจจะมองว่าไม่ได้ดูเก่งอะไรมากมาย แต่พี่เขาเป็นคนที่มีความสามารถมากคนหนึ่งเลย เพราะแบบนี้ฉันเลยอยากให้นายได้ตรวจกับพี่เขาสักครั้ง… รู้ทั้งรู้ว่าพี่เขายุ่ง แต่ฉันก็ไปขอให้เขาช่วยมาให้…”

“…….”

“แต่พอนายไปทำแบบนั้น เรื่องฉันกับพี่เขาน่ะ… คือสิ่งที่นายคิดมันค่อนข้างจะ…”

หน้าของฮาจุนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงจาง และปล่อยให้คำท้ายประโยคลอยหายไป มูคยอมยืนนิ่ง มองภาพตรงหน้า

บ้าเอ๊ย เขาโพล่งสบถออกมาในใจ นี่มันเรื่องอะไรอีกเนี่ย ก็ถ้าให้สรุปเรื่องล่ะก็ มันคือเรื่องราวของการจงรักภักดีจริงๆ แต่เขาคิดว่าเป็นความภักดีที่ฮาจุนมีให้กับคิมมูคยอมนี่แหละ ถึงกับต้องไปเรียกตัวคนที่ไม่มีเวลามาให้ช่วยดูสุขภาพและสภาพร่างกายของคิมมูคยอมเลยนะ

จะต้องเป็นคนที่เก่งกาจขนาดไหนกัน แล้วจะต้องไปขอร้องอีท่าไหนถึงจะได้ตัวมาอีก หมอนี่ได้ใช้ร่างกายเข้าแลกไหมเนี่ย เขาได้แต่ภาวนาขอให้มันไม่เป็นเช่นนั้น

“นี่ก็เกินหนึ่งอาทิตย์แล้วนะ”

“…ห๊ะ?”

“ที่เราไม่ได้ทำกัน”

ต่างจากในใจที่ยังคงบ่นระงม น้ำเสียงและการพูดที่ออกจากปากกลับดูผ่อนลงในระดับหนึ่ง ฮาจุนเบิกตากว้างและยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ราวกับว่าไม่สามารถเข้าใจได้ทันทีถึงคำพูดของมูคยอม ก่อนจะกลอกตาไปมาเมื่อรับรู้ถึงสิ่งที่คนตรงหน้าต้องการจะสื่อ

“ถ้าวันนี้เรามาทำกัน ฉันจะลองเอาเรื่องปรับปรุงตัวไปพิจารณาดู”

“วันนี้? คิมมูคยอม นี่มันสถานที่ที่ทุกคนมาฝึกซ้อมกันนะ”

ฮาจุนแสดงท่าทีไม่เห็นด้วยราวกับกำลังบอกว่าอย่าพูดจาไร้สาระหน่อยเลย ที่ผ่านมาทั้งสองคนมีเซ็กส์กันแค่ที่บ้านของมูคยอมมาตลอด สถานที่เกิดกิจกรรมส่วนใหญ่ก็จะเป็นเตียงในห้องนอนแขก โซฟาในห้องรับแขก ส่วนที่ระเบียงหลังจากเคยพลาดกันไปครั้งหนึ่ง พวกเขาก็เลยไม่คิดลองอีก แต่ถึงอย่างนั้นมูคยอมก็ไม่เคยจบแค่ครั้งเดียว ในตอนที่ใกล้จะเสร็จกิจ ตอนที่ฮาจุนเหนื่อยจนไม่สามารถที่จะทรงตัวได้อีกต่อไป ท้ายที่สุดการได้ทำอะไรต่อมิอะไรบนเตียงก็เป็นตัวเลือกที่สบายที่สุดแล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก 42

Now you are reading Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก Chapter 42 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เราคงจะต้องใส่ใจเรื่องสมดุลข้อเท้าเพิ่มอีกนิดแล้วละ”

เข้าวันที่สองของการฝึกซ้อมเป็นที่เรียบร้อย มูคยอมขมวดคิ้วขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดของยุนแชฮุน

ในวันนี้ทางทีมได้จ่ายค่าเช่าสำหรับสนามฝึกในร่มของรีสอร์ตไว้หลายชั่วโมง ผู้จัดการทีมบอกว่าแชฮุนเคยเป็นเทรนเนอร์ฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายมาก่อน ทั้งยังเป็นโค้ชที่เก่งกาจในด้านการดูร่างกาย ก่อนจะทิ้งท้ายด้วยการสั่งให้นักเตะทุกคนไปรับการตรวจสภาพร่างกายจากแชฮุน ไม่เว้นแม้แต่มูคยอม

แน่นอนว่าประเด็นเกี่ยวกับข้อเท้าเป็นเรื่องที่เขาได้ยินมาหลายครั้งแล้ว แม้แต่ตอนที่อยู่ในกรีนฟอร์ด นี่คือปัญหาที่ต้องระวังสำหรับใครก็ตามที่อยู่ในตำแหน่งกองหน้าซึ่งส่วนใหญ่จะใช้เท้าแค่ข้างเดียวในการเล่น แต่ตลอดระยะเวลาชีวิตในอาชีพนักเตะของมูคยอม คนแรกที่ลงลึกและใส่ใจปัญหานี้กับเขาคือฮาจุน

แม้จะเพิ่งรับรู้ได้ด้วยตัวเอง แต่ดูเหมือนว่าลึกลงในใจมูคยอมจะชอบใจอยู่ไม่น้อย ทว่าเมื่อคิดว่าเหตุผลที่ฮาจุนทุ่มเทใส่ใจเรื่องข้อเท้าของเขาขนาดนี้ อาจเป็นเพราะเจ้าตัวได้เรียนรู้มากจากยุนแชฮุนก็ทำให้รู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมา

“ขอฉันจับดูหน่อยได้ไหม”

ทักทายจบแล้วก็ทำตัวแบบนี้เลยเหรอ อายุมากกว่าสักเท่าไหร่เชียว ถึงได้มาพูดจาไม่มีหางเสียงกับคนอื่นเขา

“ไม่ได้ครับ”

“หือ?”

“ข้อเท้าของผม ผมรู้จักดี ดังนั้นไม่ต้องมาดูก็ได้ครับ ผมไม่รู้หรอกนะว่าการโค้ชในเจลีกมันดีกว่าที่เกาหลีหรือเปล่า แต่ก็คงจะดีไม่เท่าในลีกอังกฤษอยู่ดี”

สีหน้าของแชฮุนเคร่งขรึมขึ้น ฮาจุนที่ยืนอยู่ข้างๆ เบิกตาโพลง อ้าปากเล็กน้อย พร้อมเผยสีหน้าที่แสดงอาการตกใจออกมา มูคยอมหันไปเลิกคิ้วใส่ใบหน้าเช่นนั้นของฮาจุน

ทำไม ไม่ชอบใจขนาดนั้นเลยหรือไง

มูคยอมไม่ต่อปากต่อคำอะไรอีก และทำเพียงแค่จ้องมองใบหน้าของแชฮุน ดวงตาหลังกรอบแว่นจ้องกลับไปที่มูคยอมโดยไม่กะพริบแม้แต่น้อย ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างทำตัวไม่ถูก

“ร่างกายนายมีค่าเกินกว่าที่จะให้ฉันแตะตัวเลยเหรอ”

“ต้องให้บอกก่อน ถึงจะรู้เหรอครับ”

‘ทำไมนายทำแบบนี้เนี่ย’ ฮาจุนที่อยู่ด้านหลังแชฮุนก้าวหนึ่งส่งสีหน้าพร้อมขยับปากถามออกมา เหล่านักเตะที่อยู่บริเวณนั้นต่างก็ทำหน้าไม่ถูก และพยายามเคลื่อนไหวร่างกายต่อไปเหมือนเครื่องจักร มีเพียงหูที่เปิดกว้างรอฟัง พวกเขากำลังร่วมเดินอยู่บนเส้นทางสุดอันตราย โดยไม่รู้ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ

“โอเค งั้นไว้โอกาสหน้าแล้วกัน”

หากคนที่มีปัญหาด้วยเป็นโค้ชประจำของทีม ท่าทีแบบนี้ของมูคยอมคงจะเป็นปัญหามากพอสมควร แต่แชฮุนเป็นเพียงแค่โค้ชรับเชิญเท่านั้น แทนที่จะพาสถานการณ์ไปในจุดที่แย่กว่าเดิม แชฮุนเลือกที่จะพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ก่อนย้ายไปดูนักเตะคนต่อไป ฮาจุนถลึงตาตกใจใส่มูคยอม ราวกับว่าหมดคำจะพูด และไม่อยากจะเชื่อกับที่สิ่งเห็น จากนั้นจึงรีบตามหลังแชฮุนไป ฮาจุนที่เดินจ้ำตามไปเหมือนกับลูกนกทำเอามูคยอมมองตามตาขวาง และรู้สึกเหมือนจะบ้า

แม้ไม่มีเหตุการณ์ก่อนหน้า เขาก็ยังรู้สึกอับอายที่จะต้องเดินเข้าไปในสนามฝึก หลังจากที่เมื่อวานออกไปโดยไม่ได้รับอนุญาต มูคยอมสูดหายใจเข้าเต็มปอด และผลักบานประตูออกกว้าง ภาพที่สะท้อนให้เห็นทำเอารู้สึกสึกขนลุกขนพอง ยุนแชฮุนและฮาจุนตัวติดกันราวกับว่าแยกออกจากกันเมื่อไหร่แล้วจะเกิดมหันตภัยขึ้น เหนือสิ่งอื่นใดสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกลำบากใจคือการต้องเห็นสายตาและสีหน้าของฮาจุนในตอนที่กำลังจ้องมองผู้ชายคนนั้น

หมอนี่มักจะยิ้มเก่งเหมือนลมฤดูใบไม้ผลิในเวลาทำงานมาแต่ไหนแต่ไร แต่รอยยิ้มนี้มันต่างจากตอนที่ฮาจุนยิ้มให้คนอื่นๆ ในทีม

มันเป็นการกระทำซึ่งไร้ความระมัดระวังไม่ต่างอะไรกับการที่รั้วฟาร์มเลี้ยงสัตว์ถูกเก็บจนหมด… ใบหน้าที่เหมือนกับว่าได้เห็นเจ้าของตัวเอง

บ้าเอ๊ย นี่เขาต้องมามองดูความสัมพันธ์ผิดศีลธรรมในสนามฝึกที่สูงส่งแบบนี้น่ะเหรอ

ข้างในร้อนรุ่มไปด้วยความคิดเคลือบแคลงเกี่ยวกับความสัมพันธ์ไม่ซื่อสัตย์ที่ไม่มีใครรู้อยู่เพียงลำพัง เอาจริงๆ เขาก็ไม่ได้อยากจะใส่ใจหรอกนะว่าไอ้คนที่ทำเหมือนตัวเองนิสัยดีคนนั้นทำอะไรตอนที่นอนห้องเดียวกับอีฮาจุน เขาไม่ได้อยากจะรู้เลยสักนิดว่าเมื่อวานสองคนนี้ทำอะไรกันไปบ้าง พอเห็นท่าทางหัวเราะคิกคักด้วยกันแล้วเมื่อคืนคงจะหนำใจกันมากเลยล่ะสิ

ราวกับว่าเป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน อยู่ๆ เขาก็นึกถึงใบหน้านิ่งเฉยของฮาจุนในตอนที่มุ่งหน้าไปยังลานจอดรถ เพื่อที่จะไปทำอะไรต่อมิอะไรกันต่อ หลังจากที่เราจูบกันไปหนึ่งยก ในตอนนั้นกับเขาที่เข้ามาอยู่ในทีมเดียวกันแล้ว เราเริ่มต้นกันเช่นนั้น และมีความสัมพันธ์เหมือนในตอนนี้เรื่อยมา แต่กับชายที่เป็นคนพาเข้ามาในวงการอาชีพโค้ช และเล่าเรียนมาด้วยกัน คิดง่ายๆ ได้เลยว่าพวกเขาสามารถที่จะใช้วัสดุที่เหลือจากการสร้างกำแพงเมืองจีน เอามาสร้างราชวังเพิ่มได้อีกสักสองสามเรือนเลยด้วยซ้ำ เมื่อวานกับเวลาหนึ่งคืนที่ไม่ต้องมานั่งกังวลเรื่องอะไร พวกเขาอาจจะเล่นจ้ำจี้กันไปหลายรอบเลยก็ได้

หากใครมองเข้ามาในหัวของเขา ก็อาจจะเต็มไปด้วยความคิดแบบนี้เหมือนกัน ถ้าถามว่าแล้วการที่ฮาจุนจะไปนอนกับใครมันเป็นปัญหาอะไร

ก็เพราะอีกฝั่งมีเมียอยู่แล้วไง!

ไม่ว่าจะชอบเซ็กส์แค่ไหน แต่แน่นอนว่าเขาก็มีเส้นที่จะต้องไม่ข้ามไปอยู่ การข้ามเส้นกำแพงทางศีลธรรมถือเป็นเรื่องที่ผิด

อากาศในวันนี้สดชื่นแจ่มใส แต่ด้วยความขุ่นเคืองที่ลอยฟุ้งมาจากเอซของทีมที่ไม่คิดจะปิดซ่อนความรู้สึก บรรยากาศในสนามฝึกจึงเต็มไปด้วยความมืดมน ราวกับกลุ่มเมฆครึ้มที่โอบอุ้มฝนห่าใหญ่ไว้ เมื่อสังเกตเห็นท่าทีของพี่ใหญ่ในทีม เหล่านักเตะอายุน้อยจึงเลิกหยอกล้อ และหยุดส่งเสียงดังกัน ก่อนจะหันไปจดจ่อกับการฝึกซ้อมเพียงอย่างเดียว การฝึกซ้อมดำเนินไปอย่างรวดเร็วขึ้น ถ้าบอกว่าบรรยากาศเข้มงวดไม่สมกับเป็นการฝึกซ้อมนอกสถานที่ในช่วงหน้าร้อนไม่ใช่เรื่องแปลกจะได้ไหมนะ

“ไป คุย กัน หน่อย”

ระหว่างที่มูคยอมกำลังนอนยกน้ำหนักอยู่บนม้านอน ฮาจุนก็ได้มายืนอยู่ข้างๆ โดยไม่ทันรู้ตัว ทั้งสีหน้า คำพูด และน้ำเสียง ทุกอย่างของฮาจุนเต็มไปด้วยความเย็นชาอย่างไม่มีอะไรเทียบได้ มูคยอมแอบดีใจเมื่อท้ายที่สุดฮาจุนต้องออกมาจากข้างๆ ยุนแชฮุน แล้วมาหาเขา แต่แน่นอนว่ามูคยอมไม่ได้ตามออกไปในทันที เขาเลือกที่จะไม่ตอบอะไรและยกน้ำหนักต่อจนจบเซ็ต ก่อนจะค่อยๆ ยันตัวขึ้นมาอย่างไม่เร่งรีบ

“มีอะไร”

“ออกไปคุยกันข้างนอก”

มูคยอมลุกจากม้านอนโดยไม่บ่นอะไรสักคำ เขาไม่ได้คิดจะถ่วงเวลาเพราะไม่อยากตามไปตั้งแต่แรก ก่อนหน้านี้ก็แค่กำลังแสร้งทำเหมือนว่าตัวเองไม่ได้คิดมากอะไรเท่านั้น

ฮาจุนที่รออยู่อย่างเงียบๆ เดินนำออกไปจากสนามฝึกในร่ม ทั้งสองใช้เวลาเดินสักพัก มาจนถึงทางเดินบริเวณประตูหนีไฟที่ไม่มีใครอยู่ ฮาจุนเป็นฝ่ายหยุดฝีเท้าลงก่อน และถอนหายใจยาวออกมา

“ทำไมนายทำถึงแบบนั้น”

“ทำอะไร”

ฮาจุนเม้มปากแน่นราวกับกำลังข่มอารมณ์โกรธเอาไว้ก่อนจะเสยผมขึ้น

“นี่ถามเพราะไม่รู้เหรอ ทำไมนายต้องทำแบบนั้นกับพี่เขาด้วย ทำไมต้องทำแบบนั้นกับคนที่นึกถึงทีมเราจนยอมสละเวลามาช่วย ทั้งๆ ที่ไม่ได้อยู่ในทีมด้วยซ้ำ”

ภาพของฮาจุนที่มีสีหน้าเคร่งเครียด และประกาศตัวออกมาว่าอยู่ฝั่งยุนแชฮุน ในวันนี้ฮาจุนไม่ใช่ลูกวัวที่จะขึ้นไปก่อความวุ่นวายบนเตาไฟ แต่กลับดูเหมือนจิ้งจอกมากกว่า จิ้งจอกขาวหน้าตาใสซื่อที่เบื้องหลังมีหางเก้าอันลอยว่อนอยู่

มูคยอมอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นจึงระเบิดหัวเราะออกมาแล้วยกแขนขึ้นกอดอก

“แล้วหมอนั่นมาทำจิตอาสาหรือไง ก็มาทำงานรับเงินไม่ใช่เหรอ”

“พี่เขาไม่ใช่คนที่จะต้องมานั่งหางาน เพราะอยากได้เงินด้วยซ้ำ”

ฮาจุนมองมูคยอมด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย หากจะบอกให้ถูก คงต้องพูดว่าเหมือนสีหน้าที่รู้สึกอนาถใจมากกว่า

“นายทำอะไรแบบนี้เป็นงานอดิเรกเหรอ”

“งานอดิเรก ทำอะไร”

“ตอนแรกนายก็ทำตัวไม่ดีกับฉันแบบนี้ งานอดิเรกนายคือการไปจิ้มเลือกตัวคนในกลุ่มโค้ชมาแหย่เล่นเหรอ”

อะไรนะ

มูคยอมก้มมองฮาจุนด้วยคิ้วที่ขมวดน้อยๆ เพราะรู้สึกแปลกใจ หมายความว่าตอนนี้ฮาจุนกำลังถามเขาว่าสำหรับมูคยอมแล้ว อีฮาจุนกับยุนแชฮุนถูกวางไว้ในจุดเดียวกันใช่หรือไม่ แบบนี้ใช่ไหม

เขาขนลุกขนชันไปหมดว่าใครอะไรกับใคร ไม่มีทางเป็นแบบนั้นแน่นอน ระหว่างที่มูคยอมยังอยู่ในอาการตกตะลึง ฮาจุนก็พูดต่อ

“ฉันรู้ว่านายเป็นนักเตะที่เก่ง แล้วก็รู้ว่าต้องรู้สึกขอบคุณแค่ไหนที่นายมาช่วยเล่นในทีมนี้ให้ เรื่องนั้นไม่มีใครปฏิเสธได้อยู่แล้ว ใช่ไหมล่ะ”

ฮาจุนเม้มปาก แล้วถอนหายใจยาวหนึ่งครั้งราวกับว่ากำลังพยายามจะลดความเร็วในการพูดที่เพิ่มขึ้นจากอารมณ์ที่อัดแน่น มูคยอมที่ยังอยู่ในโหมดหมดคำจะพูดทำเพียงแค่ก้มมองฮาจุนอยู่อย่างเดิม บางทีเขาอาจจะได้เห็นฮาจุนฟาดใส่กันว่าให้เปิดปากพูดออกมาสิก็ได้ แต่แล้วฮาจุนก็ลดเสียงต่ำลงเล็กน้อย

“ฉันหวังว่าอย่างน้อยนายจะเคารพสตาฟในทีมมากกว่านี้สักนิด ยังไงพวกเขาก็เป็นทีมเดียวกับนายตลอดฤดูกาลนี้ ไม่มีใครไปบังคับขู่เข็ญให้นายมาที่เกาหลี นายเป็นคนเลือกที่จะมาเองนะ”

“ไอ้คนนั้นก็ไม่ได้อยู่ทีมเดียวกับฉันนี่”

เพราะรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมเขาจึงเถียงกลับไปในทันที ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาทำตัวไม่เคารพสตาฟในทีมซิตี้โซล เขาทำแบบนั้นกับฮาจุนในช่วงแรกที่เข้ามาก็เพราะเจ้าตัวแสดงออกอย่างชัดเจนว่าพยายามที่จะหลบเลี่ยงกัน

“ทำไมไม่เรียกเขาว่าพี่ล่ะ นายไม่ชอบเขาขนาดนั้นเลยเหรอ”

ฮาจุนถามออกมาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหนักแน่น

ว้าว ตอนนี้มูคยอมรู้สึกเหมือนจะหัวเราะออกมา นี่มันสถานการณ์แบบไหนกัน ฮาจุนที่พูดด้วยสายตานิ่งขรึมแบบนั้น เหมือนเจ้าตัวกำลังถามเขาว่า ทำไมถึงใจร้ายกับยุนแชฮุนแบบนั้นล่ะ

การที่วัตถุปนเปื้อนอย่างชายแต่งงานแล้วที่ไม่ใช่แม้แต่สมาชิกในทีมนั่น แทรกซึมเข้ามาทำพฤติกรรมไม่ซื่อสัตย์ในสถานที่ฝึกซ้อมอันทรงเกียรติ เท่านี้ก็เพียงพอจะที่ทำให้รู้สึกหงุดหงิดใจแล้วไม่ใช่เหรอ มูคยอมนับจำนวนวันในใจ ครั้งสุดท้ายที่เขามีอะไรกับฮาจุนก็น่าจะเกินหนึ่งสัปดาห์แล้ว หลังจากวันที่เขาไปหาฮาจุนที่บ้านตอนเช้ามืด แล้วไปทำตัวแปลกๆ ใส่ จากวันนั้นฮาจุนก็มีงานเข้าอยู่ตลอดจนต้องเลื่อนวันกันมาเรื่อยๆ

หรือที่ทำแบบนั้น เพราะวางแผนเอาไว้แล้วว่าเมื่อวานจะไปนอนกกกับยุนแชฮุน?

หมอนั่นก็เหมือนคนที่อยู่ญี่ปุ่นแล้วเพิ่งกลับมาเกาหลีอยู่นะ ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าเวลาหนึ่งสัปดาห์นั่น ฮาจุนเลื่อนวันมานอนกับเขา แล้วไปเจอไอ้คนนั้นมาเหรอ

เมื่อคิดไปไกลถึงขั้นนั้นภายตัวของเขาก็ร้อนจนเหมือนมีไฟลุกไหม้ราวกับว่ามีใครเทกรดลงไปในท้อง

“ฉันไม่ชอบหน้าเขา”

“อะไรนะ”

“ก็หมอนั่นหน้าตาขี้เหร่ ตา จมูก ปาก เห็นแล้วหงุดหงิดใจไปหมด”

คำตอบที่ได้รับทำเอาฮาจุนขมวดคิ้วฉับ

“พี่เขาน่ะเหรอ หน้าตาขนาดนั้นถือว่าหล่อเลยนะ”

จากที่ฮาจุนเห็นในทีวีช่วงนี้ ไม่ว่าใครก็มักจะเรียกแชฮุนว่าพ่อรูปหล่อ

“ตกลงว่าตอนนี้นายอยู่ฝั่งไอ้คนนั้นเหรอ นายอยู่ทีมเดียวกับฉันต่างหาก ไม่ใช่ไอ้หมอนั่น”

“ไม่สิ นายกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่เนี่ย เรื่องนี้มันเกี่ยวกับฝั่งฉัน หรือฝั่งนายที่ไหนกัน อีกอย่างหน้าตาระดับพี่ฮุนถือว่าหล่อสุดๆ แล้วไหม”

“เหอะ!

มูคยอมแค่นหัวเราะออกมาเสียงดัง ฮาจุนเบิกตาโตราวกับไม่จะอยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน

“พี่ฮุน? มีชื่อเรียกแทนตัวกันด้วยเหรอเนี่ย”

“ชื่ออะไรของนาย ฉันก็แค่เรียกชื่อพี่เขาไหม”

“ตานายมองหน้าแบบนั้นว่าหล่อเหรอ ตาถึงแค่นั้นน่ะเหรอ”

เท่าที่เห็นจนถึงตอนนี้เขาคิดว่าฮาจุนคงไม่เคยได้เจอพวกคนที่หล่อจริงๆ มาก่อน แต่ถึงอย่างนั้นฮาจุนก็เป็นถึงคู่นอนขาประจำของมูคยอมเชียวนะ หมอนี่จะตาต่ำได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ

“ถึงฉันจะไม่ได้เป็นคนพูด แต่หน้าตาแบบพี่เขา ใครๆ ก็ต้องบอกว่าหล่อกันหมดนั่นแหละ”

“แต่ก็ขี้เหร่กว่าฉันใช่ไหม”

“ให้เทียบกับนายเหรอ นายเองก็หล่อมากนะ…”

หลังจากพูดแบบนั้นฮาจุนก็รีบปิดปากฉับ ทำหน้าบูดบึ้งพลางเขม่นมองมูคยอม คงเพราะเจ้าตัวหลุดปากพูดสิ่งข้างต้นออกมา

อย่างนั้นเหรอ ในสายตาฮาจุนเขาหล่อมากเลยสินะ

เพราะแบบนี้แน่ๆ ตอนนั้นถึงกับต้องวิ่งเข้ามาจูบกัน

โชคดีที่อย่างน้อยสายตาของฮาจุนก็ปกติดี ทุกครั้งที่ได้คุยกับฮาจุน รวมถึงก่อนหน้านี้ด้วยเขามักจะรู้สึกแปลกๆ เหมือนถูกดึงให้คล้อยตามไปด้วย เพราะแบบนี้ไหมนะ พอได้ยินคำพูดแบบนั้นจากปากฮาจุนเขาถึงได้แอบโล่งใจ เมื่อเบาใจขึ้นเล็กน้อย มูคยอมจึงเอ่ยถามสิ่งที่สงสัยออกมา

“แล้วทำไมต้องไปสนใจไอ้คนนั้นขนาดนั้นด้วย เจ้านั่นเกี่ยวข้องอะไรกับนายหรือไง”

“เกี่ยวสิ ฉันสนิทกับพี่เขาแล้วเขาก็เป็นคนที่ฉันรู้สึกขอบคุณด้วย ที่พี่เขามาก็เพราะฉันเป็นคนไปขอร้องให้มาเอง แล้วพี่เขาจะต้องมาได้ยินอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ”

ถึงกับต้องไปขอร้องให้มาเลยเหรอ เก่งขนาดนั้นเลยสินะ ไม่สิ คงเพราะมีข้ออ้างที่ทำให้ได้ออกจากโซลสมกับที่รอมานานก็เลยเรียกตัวมา จะได้สนุกไปกับการแอบพบกันแบบลับๆ ล่ะสิ

เขารู้ดีเลยล่ะว่าปกติแล้วฮาจุนจะเลี่ยงการไปนอนค้างคืนนอกบ้าน เพราะต้องคอยดูแลครอบครัวจะมีก็แค่การมานอนที่บ้านของมูคยอมที่ในตอนนี้เขาไม่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องแปลกใหม่อะไร

ฮาจุนดูกระวนกระวายและทำตาหลุกหลิกไปมา ราวกับว่ามีเรื่องจะพูด บรรยากาศเหมือนกับว่าอยากจะพูดนะ แต่ก็ไม่สามารถที่จะบอกออกมาได้ง่ายๆ มูคยอมที่เริ่มมีอารมณ์ฉุนเฉียวกำลังรอฟังว่าคนตรงหน้าจะพูดอะไร ทำไมถึงได้มีท่าทางแบบนี้ ฮาจุนกลืนก้อนน้ำลายเหนียวลงคอก่อนเปิดปากพูดออกมาอย่างยากลำบาก

“ฉันหวังว่านายจะไม่ทำแบบนั้นกับพี่เขานะ”

พอได้รู้ว่าสิ่งที่จะพูดคือเรื่องแค่นี้เขาก็รู้สึกโมโหขึ้นมา สำหรับฮาจุนในตอนนี้เหมือนคิมมูคยอมกำลังรับบทตัวร้าย ขณะที่ยุนแชฮุนคือพระเอก

อย่างกับเรื่องราวของคนที่จงรักภักดีต่อคนรัก เหมือนตอนนี้พวกเขากำลังสวมบทบาทกันอยู่ คิมมูคยอมคือขุนนางทุจริต ยุนแชฮุนคือนักปราชญ์ผู้ถูกขุนนางทุจริตข่มเหง ส่วนอีฮาจุนคือผู้ที่มีความสัมพันธ์แบบผิดบาปกับนักปราชญ์คนนั้น ขณะเดียวกันก็มาร้องขอขุนนางทุจริตให้มอบจิตใจที่ใสบริสุทธิ์ให้แล้วคบหากันแบบลับๆ ในเรื่องนี้ ฮาจุนกำลังรับบทที่โง่เง่าสุดเลยก็ว่าได้

นี่ เจ้าโง่ ต่อให้นายจะพยายามให้ตายยังไง ไอ้คนนั้นก็มีภรรยาแล้วนะ!

มูคยอมจ้องฮาจุนพลางต่อว่าในใจ

“พี่เขา…”

เปิดประโยคมาแบบนั้นเหมือนกับว่ามีเรื่องจะพูดอีก ฮาจุนขยับปากขึ้นอีกครั้งก่อนจะงับปากฉับลงไป แทนที่จะเร่งเร้า มูคยอมกลับทำเพียงแค่จ้องฮาจุนอยู่อย่างนั้น ฮาจุนที่เหมือนจะลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็อึกอักพูดต่อ

“พี่เขา ตรวจสภาพร่างกายเก่งมากเลยนะ ในสายตานายอาจจะมองว่าไม่ได้ดูเก่งอะไรมากมาย แต่พี่เขาเป็นคนที่มีความสามารถมากคนหนึ่งเลย เพราะแบบนี้ฉันเลยอยากให้นายได้ตรวจกับพี่เขาสักครั้ง… รู้ทั้งรู้ว่าพี่เขายุ่ง แต่ฉันก็ไปขอให้เขาช่วยมาให้…”

“…….”

“แต่พอนายไปทำแบบนั้น เรื่องฉันกับพี่เขาน่ะ… คือสิ่งที่นายคิดมันค่อนข้างจะ…”

หน้าของฮาจุนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงจาง และปล่อยให้คำท้ายประโยคลอยหายไป มูคยอมยืนนิ่ง มองภาพตรงหน้า

บ้าเอ๊ย เขาโพล่งสบถออกมาในใจ นี่มันเรื่องอะไรอีกเนี่ย ก็ถ้าให้สรุปเรื่องล่ะก็ มันคือเรื่องราวของการจงรักภักดีจริงๆ แต่เขาคิดว่าเป็นความภักดีที่ฮาจุนมีให้กับคิมมูคยอมนี่แหละ ถึงกับต้องไปเรียกตัวคนที่ไม่มีเวลามาให้ช่วยดูสุขภาพและสภาพร่างกายของคิมมูคยอมเลยนะ

จะต้องเป็นคนที่เก่งกาจขนาดไหนกัน แล้วจะต้องไปขอร้องอีท่าไหนถึงจะได้ตัวมาอีก หมอนี่ได้ใช้ร่างกายเข้าแลกไหมเนี่ย เขาได้แต่ภาวนาขอให้มันไม่เป็นเช่นนั้น

“นี่ก็เกินหนึ่งอาทิตย์แล้วนะ”

“…ห๊ะ?”

“ที่เราไม่ได้ทำกัน”

ต่างจากในใจที่ยังคงบ่นระงม น้ำเสียงและการพูดที่ออกจากปากกลับดูผ่อนลงในระดับหนึ่ง ฮาจุนเบิกตากว้างและยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ราวกับว่าไม่สามารถเข้าใจได้ทันทีถึงคำพูดของมูคยอม ก่อนจะกลอกตาไปมาเมื่อรับรู้ถึงสิ่งที่คนตรงหน้าต้องการจะสื่อ

“ถ้าวันนี้เรามาทำกัน ฉันจะลองเอาเรื่องปรับปรุงตัวไปพิจารณาดู”

“วันนี้? คิมมูคยอม นี่มันสถานที่ที่ทุกคนมาฝึกซ้อมกันนะ”

ฮาจุนแสดงท่าทีไม่เห็นด้วยราวกับกำลังบอกว่าอย่าพูดจาไร้สาระหน่อยเลย ที่ผ่านมาทั้งสองคนมีเซ็กส์กันแค่ที่บ้านของมูคยอมมาตลอด สถานที่เกิดกิจกรรมส่วนใหญ่ก็จะเป็นเตียงในห้องนอนแขก โซฟาในห้องรับแขก ส่วนที่ระเบียงหลังจากเคยพลาดกันไปครั้งหนึ่ง พวกเขาก็เลยไม่คิดลองอีก แต่ถึงอย่างนั้นมูคยอมก็ไม่เคยจบแค่ครั้งเดียว ในตอนที่ใกล้จะเสร็จกิจ ตอนที่ฮาจุนเหนื่อยจนไม่สามารถที่จะทรงตัวได้อีกต่อไป ท้ายที่สุดการได้ทำอะไรต่อมิอะไรบนเตียงก็เป็นตัวเลือกที่สบายที่สุดแล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+