Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก 63

Now you are reading Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก Chapter 63 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

มูคยอมไม่ได้เรียกเขาว่าหมูเพราะเขาอ้วน แต่เพราะเขาเป็นราชาแห่งคอกหมูต่างหาก อธิบายไปแล้วจะเข้าใจไหมนะ มูคยอมทำเพียงขยับริมฝีปากพูดแล้วยกยิ้ม

เจ้าหมูทำตัวหยาบคาย กร่างใส่มูคยอมทุกวัน เหมือนคิดจะทำตัวแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนกว่ามูคยอมจะยอมจำนน แต่มันไม่ได้สำคัญสำหรับมูคยอมเลย บางครั้งมูคยอมก็ยิ้มเยาะทั้งที่ถูกทุบตี และพูดจากวนประสาทเหมือนรู้ความคิดของผู้อำนวยการทุกอย่างจนถูกตีอีกหลายครั้ง

แต่ต่อให้ถูกงดอาหาร โดนตี หรือถูกขังอยู่ในห้องสำนึกผิดที่มืดสนิท และคับแคบ มูคยอมก็ไม่กลัว มูคยอมไม่กลัวอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะความรุนแรงหรือความมืดมิด มูคยอมรู้แล้วว่าปีศาจคืออะไร หากเทียบกับปีศาจที่ตายไปแล้วตนนั้น ผู้อำนวยการก็เป็นเพียงแค่สัตว์ชั้นต่ำที่ส่งเสียงร้องอู๊ดๆ อาละวาดก็เท่านั้น

เขาจะกลัวมนุษย์ที่หวาดกลัวเขา อยากให้เขาก้มหัวให้ และเปิดเผยสิ่งที่อยู่ก้นบึ้งในใจออกมาหมดเปลือกได้ยังไงล่ะ อย่างน้อยความกลัวที่มูคยอมรู้จักก็ไม่ใช่ลักษณะนี้นี้ ความกลัวเกิดขึ้นเมื่อเขาไม่สามารถคาดเดาสิ่งที่อยู่ข้างในลึกลงไปในความคิดของคนที่คุกคามเขาได้ต่างหาก ในความคิดของมูคยอมเด็กน้อยที่ที่แม้จะมีปีศาจร้ายอยู่ข้างกายก็ยังรอดชีวิตมาได้นั้นมองว่าตัวเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งและพิเศษเกินกว่าจะหวาดกลัวลูกหมูจนหัวหด

ครั้งหนึ่งเขาเคยโดนตบหน้าหลายครั้ง เจ้าหมูเจ้าเล่ห์ไม่เบา ไม่ตีเขาในบริเวณที่สังเกตเห็นได้ง่าย อย่างเช่นใบหน้าหรือแขนขา แต่เพราะตอนนั้นเป็นช่วงปิดเทอม ผู้อำนวยการให้เด็กคนอื่นๆ ยืนล้อมวงมองดูมูคยอมถูกตี จนกระทั่งเด็กผู้หญิงคนหนึ่งสะอึกสะอื้น จากนั้นก็เริ่มร้องไห้เสียงดัง

‘…นี่!’

มูคยอมหลบฝ่ามือของผู้อำนวยการที่พุ่งเข้ามาทำร้ายเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าและเรียกชื่อของเด็กคนนั้น ตอนนี้เขาจำชื่อนั้นไม่ได้แล้ว มูคยอมเรียกอยู่แบบนั้นสองสามครั้ง กว่าเด็กคนนั้นจะเงยหน้าขึ้นมองเขา

ถึงแม้ว่าเขาจะหลบทัน แต่ท่าทางที่เหมือนจะสวนกลับก็ทำให้ผู้อำนวยการยิ่งโกรธจัดจนหน้าเขียวหน้าแดงไปหมด และเด็กน้อยที่เคยร้องไห้ก็เงยหน้าขึ้นมองมูคยอม มูคยอมส่งยิ้มและขยิบตาให้เด็กคนนั้น ทั้งๆ ที่แก้มทั้งสองข้างขึ้นสีแดงจัด ใบหน้าเขาคงจะตลกไม่น้อย

เด็กน้อยกะพริบตาและหยุดร้องไห้ ในขณะที่เจ้าหมูก็ยิ่งอาละวาดอย่างบ้าคลั่ง เขายิ้มเยาะในใจ นึกสงสัยว่าอีกฝ่ายจะตายไปทั้งแบบนั้นเลยหรือเปล่า วันนั้นคือช่วงเวลาที่น่าจดจำที่สุดสมัยอยู่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า

อย่างไรก็ตาม มูคยอมใช้ชีวิตอย่างยากลำบากและเข็ดขยาดกับทุกสิ่งทุกอย่างในช่วงเวลานั้น มูคยอมโมโหมาก เพราะถึงแม้ว่าเขาจะหลุดพ้นจากขุมนรก แต่หลังจากนั้นเขากลับต้องไปอยู่ในสถานที่ที่สกปรกเหมือนคอกหมู ซึ่งไม่ได้ดีกว่านรกนั่นเลย

มูคยอมไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย เขาอยากอยู่ในสถานที่ที่ผู้คนอาศัยอยู่ ไม่ใช่ขุมนรกหรือคอกหมู มูคยอมไม่รู้จะไปไหนดี แต่อย่างไรก็ตาม เขาไม่อยากจมปลักอยู่ที่นี่ เขาอยากไปในที่ที่ดีกว่านี้

การที่มูคยอมในวัยเด็กจะหลุดพ้นจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าตามขั้นตอนปกติได้นั้น เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกลายเป็นลูกบุญธรรมของใครสักคน แต่แน่นอนว่าไม่มีใครคิดจะรับมูคยอมที่ตัวใหญ่ และสูงกว่าเพื่อนวัยเดียวกัน แถมยังหน้าตาดุร้ายไปเลี้ยงหรอก มูคยอมเข็ดขยาดกับสิ่งที่เรียกว่าพ่อแม่ เขาไม่อยากเป็นลูกของใครอีกแล้ว

เมื่อถูกขังอยู่ในห้องสำนึกตนที่ทั้งคับแคบและมืด มูคยอมก็เอาแต่จ้องมองหน้าต่างที่ดูไม่เหมือนหน้าต่างซึ่งถูกเจาะเอาไว้เป็นช่องเล็กๆ เพื่อระบายอากาศ แน่นอนว่ามีช่องให้หายใจได้โล่งโปร่งอยู่ทุกที่ แต่คงไม่มีทางหนีออกไปจากที่นี่ได้

‘ถ้าจะหนีออกไปจากที่นี่และออกไปใช้ชีวิต นายต้องมีเงิน’

มูคยอมเริ่มเตรียมการเมื่อได้ข้อสรุปหลังจากอยู่ที่คอกหมูมาได้สักพัก เขาตัดสินใจแล้ว ที่เหลือก็แค่ลงมือทำ

ผ่านไปไม่นานมูคยอมก็เริ่มลักเล็กขโมยน้อยและฉกชิงวิ่งราว มูคยอมไม่มีทักษะใดๆ เขาแค่เชื่อในฝีเท้าที่ว่องไว บางครั้งก็ขโมยสำเร็จ แต่หลายครั้งก็ล้มเหลว

ถูกจับไปที่โรงพัก ผู้อำนวยการทำหน้าเหมือนหนูบ้านที่แปลงกายเป็นนักบุญและโค้งคำนับให้ทั้งตำรวจ และผู้เสียหาย ก่อนรับเขากลับ และสิ่งที่มูคยอมทำหลังจากกลับมายังสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าคือไม่หันหลังกลับไปมอง

แต่เขาไม่หยุด มูคยอมไม่อ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากใคร ถึงแม้ว่าเขาจะโตเร็วกว่าเด็กคนอื่นๆ แต่มูคยอมก็เป็นแค่เด็กนักเรียนชั้นประถม มูคยอมเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นที่ไม่น่าเป็นไปได้ว่าวันหนึ่งเขาจะทำสำเร็จ ทว่าเขาไม่ฉลาดเรื่องเงินเอาเสียเลย ถึงขนาดที่เชื่อว่าแค่มีเงินล้านวอน เขาก็สามารถหนีออกมาใช้ชีวิตตามลำพังได้แล้ว

แต่เมื่อขโมยเงินได้สำเร็จ มูคยอมก็นึกถึงน้องชายที่นอนอยู่ฟูกข้างๆ เด็กชายคนนั้นเพิ่งมาอยู่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าได้ไม่นานก็ร้องสะอื้นบอกว่าอยากกินไอศกรีม และเด็กน้อยห้องข้างๆ ที่แอบแบ่งขนมปังทาแยมสตรอว์เบอร์รีให้เขาตอนที่เขาโดนทำโทษจนไม่ได้กินมื้อเย็นคนนั้นด้วย ด้วยเหตุนี้มูคยอมจึงเก็บเงินตามเป้าหมายได้ช้าลง

‘เออ พี่บอกให้ไปทางนั้น ใช่’

วันหนึ่งมูคยอมเดินเตร่อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย มองหาว่าที่ไหนไม่เคยมีคดีอีกบ้าง และมองเห็นชายคนหนึ่งที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่

ผู้ชายที่สวมเสื้อเชิ้ตพิมพ์ลายตัวหลวมโคร่งไม่พอดีตัวคนนั้นกำลังสูบบุหรี่พลางพูดคุยเรื่องอะไรบางอย่างกับคนปลายสาย ขณะที่ข้างกายของชายคนนั้นก็มีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่วางนิ่งอยู่

แต่รู้สึกไหมว่ามันน่าขโมย? มูคยอมในวัยเด็กได้กลิ่นเงินจากกระเป๋าใบนั้น เขาสังเกตท่าทีของชายคนนั้นครู่หนึ่ง ก่อนวิ่งฉกชิงกระเป๋านั้นอย่างว่องไว

มูคยอมไม่ใช่คนที่ชอบรีรอหรือลังเลต่อความต้องการมาตั้งแต่เด็กแล้ว เพราะเขาไม่มีเวลามากพอที่จะมัวลังเลและกังวลกับสิ่งที่ตัวเองเลือก

‘อะไรวะ เฮ้ย?’

มูคยอมได้ยินน้ำเสียงที่งุนงงของชายคนหนึ่งด้านหลังตน เขาวิ่งต่อไป ไม่แม้แต่จะหันหลังกลับไปมอง

เขามั่นใจในฝีเท้าของตัวเอง ทั้งที่สถานรับเลี้ยงเด็กและที่โรงเรียน ไม่มีเด็กคนไหนวิ่งเร็วเท่ามูคยอมเลยสักคน ตอนที่เขาฉกชิงวิ่งราว ขโมยของไม่สำเร็จ หรือถูกจับได้ตอนที่กำลังลักของแล้วโดนลากไปโรงพัก ถ้าเขาหากวิ่งหนีได้สำเร็จก็จะไม่มีใครตามจับเขาได้

‘ไอ้เด็กเวร! หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะ!’

ทว่าครั้งนี้อีกฝ่ายไม่ยอมง่ายๆ ผู้ชายที่มีพุงย้อยคนนั้นวิ่งเร็วกว่าที่คิด ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายก็ไม่ได้ตัวคนเดียวด้วย

ผู้ชายหลายคนกำลังวิ่งไล่ตามมูคยอม คนพวกนี้ต่างจากคนอื่นๆ ที่ผ่านมา พวกเขาสามารถไล่ตามมูคยอมได้จนถึงที่สุด

กระเป๋าที่หนักกว่าที่คิดก็เป็นปัญหาเหมือนกัน แม้มูคยอมจะวิ่งจนสุดกำลัง แต่ก็ไม่ว่องไวเหมือนที่เคยเป็น ผู้ชายน่ากลัวพวกนั้น ดูยังไงก็ไม่มีทางใช่พนักงานออฟฟิศธรรมดาๆ แน่ และเมื่อพวกนั้นไล่ตามหลังมา สิ่งที่ผุดขึ้นมาในความคิดของมูคยอมที่ไม่กลัวใครก็มีเพียงคำๆ เดียว

บัดซบ

รอบนี้คงไม่จบที่โดนลากไปโรงพักแน่ ถ้าโดนจับได้ละก็ตายแน่ มูคยอมได้ยินเสียงแจ้งเตือนดังขึ้นในหูเหมือนเสียงหวอของไซเรน

ตอนนั้นอาจจะเป็นช่วงเวลาที่มูคยอมวิ่งสุดกำลังที่สุดในชีวิตแล้วก็ได้ แม้แต่ในการแข่งขันแชมเปียนส์ลีกนัดชิงชนะเลิศปีที่แล้ว ซึ่งกลายเป็นประเด็นร้อนเพราะการวิ่งจากตำแหน่งฝั่งนี้ไปถึงหน้าโกลอีกฝั่งด้วยความเร็วสามสิบแปดกิโลเมตรต่อชั่วโมงก็คงวิ่งเร็วไม่เท่าตอนนั้น

มูคยอมวิ่งหอบแฮ่กๆ ไปในละแวกที่เขาไม่รู้จัก จากนั้นก็หยุดฝีเท้าเหมือนเหยียบเบรคเอี๊ยด แล้วเข้าไปในตรอกที่เลี้ยวออกจากถนนเส้นหลัก ผู้ชายกลุ่มนั้นยังคงไล่ตามเขามาจากถนนใหญ่ อันดับแรกมูคยอมต้องหนีให้พ้นจากสายตาของพวกนั้นก่อน ตอนนั้นเขาวิ่งไปตามทางลาดชันอย่างบ้าคลั่ง

‘เมี๊ยว!’

เสียงฝีเท้าที่ว่องไวคงทำให้แมวตัวหนึ่งที่แอบอยู่ตกใจ มันจึงส่งเสียงเหมือนกรีดร้องและออกมาขวางทาง มูคยอมตกใจจึงหยุดวิ่งกะทันหัน เมื่อร่างกายที่กำลังวิ่งเร็วสุดแรงเกิดลดความเร็วลงโดยไม่ทันตั้งตัว เขาจึงล้มลงอย่างแรง

จากนั้นมูคยอมก็ลุกขึ้นพรวดพร้อมกับเหงื่อกาฬไหลที่ซึมออกมา เวลาที่ต้องวิ่งหนีไม่ควรล่าช้าลงเลยแม้แต่วินาทีเดียว แต่เมื่อมูคยอมพยายามจะวิ่งอีกครั้ง ขาเขาก็หมดแรงไปเสียดื้อๆ มูคยอมก้มลงมองแล้วพบว่าใต้หัวเข่าที่แตกเสียจนน่ากลัวมีเลือดที่กำลังไหลลงมาอาบหน้าแข้ง ตอนนั้นเองถึงได้รู้สึกเจ็บไปถึงกระดูกตรงหัวเข่าที่แตก

บ้าเอ๊ย ถ้าเป็นแบบนี้ก็วิ่งแบบเมื่อกี้ไม่ได้น่ะสิ

ท่ามกลางความสิ้นหวัง ขณะที่มูคยอมกำลังเดินกะเผลกหน้าตาซีดเซียวพร้อมกับกระเป๋าที่ถือไว้ในมือ ประตูรั้วของบ้านสองชั้นสไตล์ตะวันตกที่ตั้งอยู่ตรงหน้าก็เปิดออก ก่อนที่เด็กน้อยคนหนึ่งจะโผล่ออกมา อีกฝ่ายถือกระเป๋าเสริมเอาไว้ในมือ คงกำลังจะไปเรียนพิเศษ เด็กน้อยสบตากับมูคยอม

‘ไอ้เด็กนั่นมันไปไหนแล้ว?! รีบหาให้เจอ!’

ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงห้าวที่เต็มไปด้วยความโกรธดังขึ้นจากด้านหลัง ในขณะที่มูคยอมกำลังตกใจกลัวและพยายามทุกวิถีทางเพื่อลากขาของตัวเอง เด็กน้อยที่เบิกตากว้างเหมือนอมยิ้มอันใหญ่ก็มองไปรอบๆ ด้วยท่าทางงงงวยราวกับพยายามทำความเข้าใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

และตอนนั้นเอง จู่ๆ ข้อมือของมูคยอมก็ถูกคว้าเอาไว้

มูคยอมขมวดคิ้ว และจ้องมองเจ้าของมือนั้น เด็กชายตัวขาวขยับเข้ามาใกล้แล้วมองหน้าเขาด้วยสีหน้าเหมือนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร

มูคยอมกำลังจะตะโกนบอกให้อีกฝ่ายปล่อยเขา แต่ก็ต้องหุบปากฉับเพราะกลัวว่าคนพวกนั้นจะได้ยิน มูคยอมนิ่วหน้าและพยายามสะบัดมือที่คว้าข้อมือของเขาออก แต่เด็กน้อยที่ตัวเล็กกว่าเขากลับแรงเยอะเกินคาด

‘มาเร็ว!’

เด็กน้อยรีบกระซิบ และกระชากข้อมือของมูคยอมในทันที มูคยอมเดินกระเผลกตามหลังของเด็กน้อยคนนั้นไปโดยไม่ทันตั้งตัว แล้วก้าวเข้าไปในประตูรั้วที่เปิดทิ้งไว้

เด็กน้อยปิดล็อคประตูอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้ส่งเสียง ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าของผู้ชายหลายคนที่วิ่งผ่านหน้าบ้านไปและน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธก็ดังขึ้น

‘ไปไหนแล้ววะ ไอ้เด็กนั่น!’

‘แต่เมื่อกี้มันวิ่งไปทางนั้นนะ’

‘หาดูข้างหลังรถด้วย! มันอาจจะซ่อนอยู่ที่ไหนก็ได้’

ขณะที่น้ำเสียงเกรี้ยวกราดของคนพวกนั้นดังก้องอยู่ข้างๆ เด็กชายเบาเสียงฝีเท้าลงพลางจูงข้อมือของมูคยอมไปต่อ ทั้งสองเดินย่องเข้าไปยืนแอบหลังกำแพง

หัวใจของมูคยอมเต้นแรงจนเหมือนหัวจะระเบิด เพราะเขาวิ่งอย่างบ้าคลั่งมาพักใหญ่ และเพราะเสียงของพวกผู้ชายข้างนอกนั่นด้วย มูคยอมคิดว่าเขาไม่ควรหายใจเสียงดังจึงปิดปากหอบแฮ่กๆ ตอนนั้นเองเด็กชายถึงปล่อยข้อมือเขาเป็นอิสระ แล้วนั่งยองๆ พิงกำแพง ดูเหมือนว่าขาของเขาจะหมดแรงไปแล้ว

‘ไม่สิ มันมุดดินไปแล้วเหรอไง ไปไหนกันแน่วะ’

‘หาให้เจอ! ถ้าหาไม่เจอพวกเราตายกันหมดแน่’

เสียงบทสนทนาดังลั่นที่ถูกถ่ายทอดสดโดยมีกำแพงกั้นทำให้เหงื่อเย็นไหลซึมออกมา แต่แล้วเสียงฝีเท้าและเสียงพูดคุยที่ดังขึ้นทางนั้นทีทางโน้นทีก็ค่อยๆ เงียบหายไป สุดท้ายเมื่อไม่ได้ยินเสียงพวกนั้นแล้ว การหายใจก็ค่อยๆ สงบลง

สายลมเย็นพัดผ่านหน้าผากที่ชื้นเหงื่อ ตอนนั้นเองมูคยอมถึงเปิดปากพ่นลมหายใจออกดังเฮ้อ พลางกวาดสายตามองไปรอบๆ

บ้านสไตล์ตะวันตกที่มีลานกว้างหลังนี้ถูกจัดเป็นระเบียบเหมือนฉากหนึ่งที่เคยเห็นในโทรทัศน์หรือหนังสือนิทานเด็ก พื้นที่ถูกปูด้วยหญ้าสีเขียว เถากุหลาบที่ประดับตกแต่งรอบบันไดที่เชื่อมกับตัวบ้าน ดอกไม้ที่เขาไม่รู้จักชื่อบานสะพรั่งน่ามองไปทั่วบริเวณ

และต้นไม้น้อยใหญ่ที่ปลูกห้อมล้อมอยู่ข้างกำแพง เหนือกำแพงที่มูคยอมและเด็กน้อยนั่งพิงอยู่ มีต้นไลแลคสูงใหญ่สองสามต้นที่กำลังยืนต้น ทำให้เกิดร่มเงาสีม่วงอ่อนขนาดใหญ่

ก่อนหน้านี้มูคยอมคิดว่ากำลังจะตาย หัวใจเขาจึงเต้นเร็วจนไม่ได้กลิ่นดอกไม้ ทว่าตอนนี้กลิ่นของดอกไม้เหล่านั้นกำลังโอบล้อมรอบตัวเขาอย่างช้าๆ กลิ่นของไลแลคที่รุนแรงจนทำให้ดวงตาเขาพร่ามัวซึมลึกลงไปในปอด ช่วยปลอบประโลมหัวใจที่เคยเต้นเร่าด้วยความกังวลดั่งสัมผัสอันอ่อนโยน

‘นั่นอะไรน่ะ’

เด็กชายคนนั้นเองก็คงหายใจหายคอได้บ้างแล้วอีกฝ่ายชี้ไปที่กระเป๋าพลางถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเล็กๆ มูคยอมที่ลุ่มหลงกับกลิ่นหอมไปชั่วขณะกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงโดยพลัน เขาขมวดคิ้วแล้วก้มลงมองกระเป๋า

‘ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน’

ลำบากขนาดนี้แล้ว ถ้าหากว่าสิ่งที่อยู่ข้างในนี้ไม่ใช่เงินล่ะ จะทำยังไงดี

มูคยอมคิดอย่างนั้นพลางเดาะลิ้นแล้วรูดซิปเปิดกระเป๋า แต่ก่อนที่เขาจะรูดซิปจนสุด คำสบถก็หลุดออกมาจากปากของมูคยอม

‘ฉิบหาย…’

สิ่งที่อยู่ในกระเป๋าไม่ใช่เงิน เมื่อเปิดออกดู เขาก็พบแต่หนังสือพิมพ์ แต่พอคุ้ยดูก็พบว่าข้างในนั้นมีผงสีขาวที่ถูกห่อด้วยพลาสติกอยู่เต็มไปหมด

ที่มันหนักขนาดนั้นก็เพราะแบบนี้เองสินะ มูคยอมโมโหจนเลือดขึ้นหน้า อยากจะทิ้งกระเป๋าเสียเดี๋ยวนั้น แต่เขาหมดแรงที่จะทำแบบนั้นจึงได้แต่ทุบตีสายจับกระเป๋าใบนั้น

‘แม่งเอ๊ย เหนื่อยเปล่าสินะ’

‘นี่มันอะไรน่ะ’

‘ไม่รู้เหมือนกัน!’

เมื่อมูคยอมตะเบ็งเสียงใส่ เด็กชายก็หุบปากลง และมีสีหน้าหวาดกลัว

เขาคงต้องทิ้งกระเป๋าใบนี้ไว้ที่ไหนสักแห่ง พอเห็นผู้ชายไล่ตาม เขาก็คิดว่ามันอาจจะพอมีประโยชน์อยู่บ้าง แต่อย่างไรก็ตาม เขาไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตไปเสี่ยง ถูกไล่ล่าเพื่อปกป้องสิ่งของที่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร เพราะสิ่งที่มูคยอมต้องการก็คือเงิน มูคยอมยืนขึ้นพร้อมกับถือกระเป๋าไว้ในมือ แต่เด็กชายก็รีบรั้งเขาไว้

‘รอก่อนสิ นายเข่าแตกนี่นา ทายาก่อนนะ ค่อยไป’

‘ช่างเถอะ’

‘เดี๋ยวฉันจะไปบอกแม่ให้มาทายาให้นะ แป๊บเดียว’

คำพูดที่แสนใจดีเหล่านั้นทำให้ความโกรธพลุ่งพล่านอยู่ในอกของมูคยอม

บ้านที่งดงามราวภาพวาด ร่มเงาที่มีกลิ่นหอมของไลแลค แม่ที่ช่วยทายาให้ เด็กชายตัวขาวที่เดินบนถนนและถือกระเป๋าใบหนึ่งอย่างสุภาพ

แต่ใครคนหนึ่งหัวเข่าแตกจนเลือดไหลพลั่กๆ พอกลับไปก็คงถูกถามว่าไปทำตัวเหมือนหมาที่ไหนมาถึงมีสภาพแบบนี้ และไม่ว่าจะโดนตีขนาดไหนก็คงไม่ได้กินมื้อเย็น

มูคยอมไม่เคยเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น อาจเป็นเพราะหลังจากที่เขาเกือบตายเข้าแล้วจริงๆ หรือหลังจากที่เขาวิ่งหนีจนอ่อนแรงเกือบเป็นลมล้มพับไป หลังจากวันนั้นความรู้สึกไม่ยุติธรรมก็พวยพุ่งขึ้นมาเหมือนอาการคลื่นไส้ รู้ทั้งรู้ว่าถ้าไม่ได้เด็กชายคนนั้น เขาคงถูกจับผู้ชายพวกนั้นจับไปและไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดียังไง แต่มูคยอมก็พูดจาร้ายกาจกับอีกฝ่าย

‘บอกว่าไม่ไง ไอ้ลูกหมา ดีจังนะ มีแม่ทายาให้ด้วย’

อีกฝ่ายโดนด่าทั้งที่ช่วยเหลือเขาและไม่ได้ทำอะไรผิดสักนิด เด็กชายทำเพียงกะพริบตาด้วยใบหน้าที่ขาวจนซีด มูคยอมทิ้งเด็กชายคนนั้นไว้ข้างหลัง เขาหยิบกระเป๋าขึ้นมา ก่อนเปิดประตูรั้วแล้วก้าวออกมา

‘เฮ้อ อย่าทำแบบนั้นสิ’

ทว่าเด็กชายหัวแข็งกว่าที่คิด แม้จะโดนด่าแต่ก็ยังเดินตามออกไปถึงนอกประตูและรั้งมูคยอมเอาไว้ มูคยอมได้ยินเสียงของเด็กชาย แต่เขาก็ไม่หันกลับไปมอง มูคยอมเจ็บหัวเข่าที่เริ่มช้ำจริงๆ แล้ว แม้จะเดินกะโผลกกะเผลก แต่เขาก็ยังเดินต่อไป ไม่สนใจเด็กน้อยคนนั้น

‘นี่ บอกว่ารอก่อนไง’

มูคยอมได้ยินเสียงเด็กชายดังขึ้นอีกหลายครั้งด้านหลังตน แต่เขาก็เอาแต่มองไปข้างหน้า ก้าวเดินต่อไป จนกระทั่งเสียงเรียกของเด็กคนนั้นเงียบหายไป

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก 63

Now you are reading Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก Chapter 63 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

มูคยอมไม่ได้เรียกเขาว่าหมูเพราะเขาอ้วน แต่เพราะเขาเป็นราชาแห่งคอกหมูต่างหาก อธิบายไปแล้วจะเข้าใจไหมนะ มูคยอมทำเพียงขยับริมฝีปากพูดแล้วยกยิ้ม

เจ้าหมูทำตัวหยาบคาย กร่างใส่มูคยอมทุกวัน เหมือนคิดจะทำตัวแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนกว่ามูคยอมจะยอมจำนน แต่มันไม่ได้สำคัญสำหรับมูคยอมเลย บางครั้งมูคยอมก็ยิ้มเยาะทั้งที่ถูกทุบตี และพูดจากวนประสาทเหมือนรู้ความคิดของผู้อำนวยการทุกอย่างจนถูกตีอีกหลายครั้ง

แต่ต่อให้ถูกงดอาหาร โดนตี หรือถูกขังอยู่ในห้องสำนึกผิดที่มืดสนิท และคับแคบ มูคยอมก็ไม่กลัว มูคยอมไม่กลัวอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะความรุนแรงหรือความมืดมิด มูคยอมรู้แล้วว่าปีศาจคืออะไร หากเทียบกับปีศาจที่ตายไปแล้วตนนั้น ผู้อำนวยการก็เป็นเพียงแค่สัตว์ชั้นต่ำที่ส่งเสียงร้องอู๊ดๆ อาละวาดก็เท่านั้น

เขาจะกลัวมนุษย์ที่หวาดกลัวเขา อยากให้เขาก้มหัวให้ และเปิดเผยสิ่งที่อยู่ก้นบึ้งในใจออกมาหมดเปลือกได้ยังไงล่ะ อย่างน้อยความกลัวที่มูคยอมรู้จักก็ไม่ใช่ลักษณะนี้นี้ ความกลัวเกิดขึ้นเมื่อเขาไม่สามารถคาดเดาสิ่งที่อยู่ข้างในลึกลงไปในความคิดของคนที่คุกคามเขาได้ต่างหาก ในความคิดของมูคยอมเด็กน้อยที่ที่แม้จะมีปีศาจร้ายอยู่ข้างกายก็ยังรอดชีวิตมาได้นั้นมองว่าตัวเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งและพิเศษเกินกว่าจะหวาดกลัวลูกหมูจนหัวหด

ครั้งหนึ่งเขาเคยโดนตบหน้าหลายครั้ง เจ้าหมูเจ้าเล่ห์ไม่เบา ไม่ตีเขาในบริเวณที่สังเกตเห็นได้ง่าย อย่างเช่นใบหน้าหรือแขนขา แต่เพราะตอนนั้นเป็นช่วงปิดเทอม ผู้อำนวยการให้เด็กคนอื่นๆ ยืนล้อมวงมองดูมูคยอมถูกตี จนกระทั่งเด็กผู้หญิงคนหนึ่งสะอึกสะอื้น จากนั้นก็เริ่มร้องไห้เสียงดัง

‘…นี่!’

มูคยอมหลบฝ่ามือของผู้อำนวยการที่พุ่งเข้ามาทำร้ายเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าและเรียกชื่อของเด็กคนนั้น ตอนนี้เขาจำชื่อนั้นไม่ได้แล้ว มูคยอมเรียกอยู่แบบนั้นสองสามครั้ง กว่าเด็กคนนั้นจะเงยหน้าขึ้นมองเขา

ถึงแม้ว่าเขาจะหลบทัน แต่ท่าทางที่เหมือนจะสวนกลับก็ทำให้ผู้อำนวยการยิ่งโกรธจัดจนหน้าเขียวหน้าแดงไปหมด และเด็กน้อยที่เคยร้องไห้ก็เงยหน้าขึ้นมองมูคยอม มูคยอมส่งยิ้มและขยิบตาให้เด็กคนนั้น ทั้งๆ ที่แก้มทั้งสองข้างขึ้นสีแดงจัด ใบหน้าเขาคงจะตลกไม่น้อย

เด็กน้อยกะพริบตาและหยุดร้องไห้ ในขณะที่เจ้าหมูก็ยิ่งอาละวาดอย่างบ้าคลั่ง เขายิ้มเยาะในใจ นึกสงสัยว่าอีกฝ่ายจะตายไปทั้งแบบนั้นเลยหรือเปล่า วันนั้นคือช่วงเวลาที่น่าจดจำที่สุดสมัยอยู่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า

อย่างไรก็ตาม มูคยอมใช้ชีวิตอย่างยากลำบากและเข็ดขยาดกับทุกสิ่งทุกอย่างในช่วงเวลานั้น มูคยอมโมโหมาก เพราะถึงแม้ว่าเขาจะหลุดพ้นจากขุมนรก แต่หลังจากนั้นเขากลับต้องไปอยู่ในสถานที่ที่สกปรกเหมือนคอกหมู ซึ่งไม่ได้ดีกว่านรกนั่นเลย

มูคยอมไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย เขาอยากอยู่ในสถานที่ที่ผู้คนอาศัยอยู่ ไม่ใช่ขุมนรกหรือคอกหมู มูคยอมไม่รู้จะไปไหนดี แต่อย่างไรก็ตาม เขาไม่อยากจมปลักอยู่ที่นี่ เขาอยากไปในที่ที่ดีกว่านี้

การที่มูคยอมในวัยเด็กจะหลุดพ้นจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าตามขั้นตอนปกติได้นั้น เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกลายเป็นลูกบุญธรรมของใครสักคน แต่แน่นอนว่าไม่มีใครคิดจะรับมูคยอมที่ตัวใหญ่ และสูงกว่าเพื่อนวัยเดียวกัน แถมยังหน้าตาดุร้ายไปเลี้ยงหรอก มูคยอมเข็ดขยาดกับสิ่งที่เรียกว่าพ่อแม่ เขาไม่อยากเป็นลูกของใครอีกแล้ว

เมื่อถูกขังอยู่ในห้องสำนึกตนที่ทั้งคับแคบและมืด มูคยอมก็เอาแต่จ้องมองหน้าต่างที่ดูไม่เหมือนหน้าต่างซึ่งถูกเจาะเอาไว้เป็นช่องเล็กๆ เพื่อระบายอากาศ แน่นอนว่ามีช่องให้หายใจได้โล่งโปร่งอยู่ทุกที่ แต่คงไม่มีทางหนีออกไปจากที่นี่ได้

‘ถ้าจะหนีออกไปจากที่นี่และออกไปใช้ชีวิต นายต้องมีเงิน’

มูคยอมเริ่มเตรียมการเมื่อได้ข้อสรุปหลังจากอยู่ที่คอกหมูมาได้สักพัก เขาตัดสินใจแล้ว ที่เหลือก็แค่ลงมือทำ

ผ่านไปไม่นานมูคยอมก็เริ่มลักเล็กขโมยน้อยและฉกชิงวิ่งราว มูคยอมไม่มีทักษะใดๆ เขาแค่เชื่อในฝีเท้าที่ว่องไว บางครั้งก็ขโมยสำเร็จ แต่หลายครั้งก็ล้มเหลว

ถูกจับไปที่โรงพัก ผู้อำนวยการทำหน้าเหมือนหนูบ้านที่แปลงกายเป็นนักบุญและโค้งคำนับให้ทั้งตำรวจ และผู้เสียหาย ก่อนรับเขากลับ และสิ่งที่มูคยอมทำหลังจากกลับมายังสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าคือไม่หันหลังกลับไปมอง

แต่เขาไม่หยุด มูคยอมไม่อ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากใคร ถึงแม้ว่าเขาจะโตเร็วกว่าเด็กคนอื่นๆ แต่มูคยอมก็เป็นแค่เด็กนักเรียนชั้นประถม มูคยอมเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นที่ไม่น่าเป็นไปได้ว่าวันหนึ่งเขาจะทำสำเร็จ ทว่าเขาไม่ฉลาดเรื่องเงินเอาเสียเลย ถึงขนาดที่เชื่อว่าแค่มีเงินล้านวอน เขาก็สามารถหนีออกมาใช้ชีวิตตามลำพังได้แล้ว

แต่เมื่อขโมยเงินได้สำเร็จ มูคยอมก็นึกถึงน้องชายที่นอนอยู่ฟูกข้างๆ เด็กชายคนนั้นเพิ่งมาอยู่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าได้ไม่นานก็ร้องสะอื้นบอกว่าอยากกินไอศกรีม และเด็กน้อยห้องข้างๆ ที่แอบแบ่งขนมปังทาแยมสตรอว์เบอร์รีให้เขาตอนที่เขาโดนทำโทษจนไม่ได้กินมื้อเย็นคนนั้นด้วย ด้วยเหตุนี้มูคยอมจึงเก็บเงินตามเป้าหมายได้ช้าลง

‘เออ พี่บอกให้ไปทางนั้น ใช่’

วันหนึ่งมูคยอมเดินเตร่อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย มองหาว่าที่ไหนไม่เคยมีคดีอีกบ้าง และมองเห็นชายคนหนึ่งที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่

ผู้ชายที่สวมเสื้อเชิ้ตพิมพ์ลายตัวหลวมโคร่งไม่พอดีตัวคนนั้นกำลังสูบบุหรี่พลางพูดคุยเรื่องอะไรบางอย่างกับคนปลายสาย ขณะที่ข้างกายของชายคนนั้นก็มีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่วางนิ่งอยู่

แต่รู้สึกไหมว่ามันน่าขโมย? มูคยอมในวัยเด็กได้กลิ่นเงินจากกระเป๋าใบนั้น เขาสังเกตท่าทีของชายคนนั้นครู่หนึ่ง ก่อนวิ่งฉกชิงกระเป๋านั้นอย่างว่องไว

มูคยอมไม่ใช่คนที่ชอบรีรอหรือลังเลต่อความต้องการมาตั้งแต่เด็กแล้ว เพราะเขาไม่มีเวลามากพอที่จะมัวลังเลและกังวลกับสิ่งที่ตัวเองเลือก

‘อะไรวะ เฮ้ย?’

มูคยอมได้ยินน้ำเสียงที่งุนงงของชายคนหนึ่งด้านหลังตน เขาวิ่งต่อไป ไม่แม้แต่จะหันหลังกลับไปมอง

เขามั่นใจในฝีเท้าของตัวเอง ทั้งที่สถานรับเลี้ยงเด็กและที่โรงเรียน ไม่มีเด็กคนไหนวิ่งเร็วเท่ามูคยอมเลยสักคน ตอนที่เขาฉกชิงวิ่งราว ขโมยของไม่สำเร็จ หรือถูกจับได้ตอนที่กำลังลักของแล้วโดนลากไปโรงพัก ถ้าเขาหากวิ่งหนีได้สำเร็จก็จะไม่มีใครตามจับเขาได้

‘ไอ้เด็กเวร! หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะ!’

ทว่าครั้งนี้อีกฝ่ายไม่ยอมง่ายๆ ผู้ชายที่มีพุงย้อยคนนั้นวิ่งเร็วกว่าที่คิด ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายก็ไม่ได้ตัวคนเดียวด้วย

ผู้ชายหลายคนกำลังวิ่งไล่ตามมูคยอม คนพวกนี้ต่างจากคนอื่นๆ ที่ผ่านมา พวกเขาสามารถไล่ตามมูคยอมได้จนถึงที่สุด

กระเป๋าที่หนักกว่าที่คิดก็เป็นปัญหาเหมือนกัน แม้มูคยอมจะวิ่งจนสุดกำลัง แต่ก็ไม่ว่องไวเหมือนที่เคยเป็น ผู้ชายน่ากลัวพวกนั้น ดูยังไงก็ไม่มีทางใช่พนักงานออฟฟิศธรรมดาๆ แน่ และเมื่อพวกนั้นไล่ตามหลังมา สิ่งที่ผุดขึ้นมาในความคิดของมูคยอมที่ไม่กลัวใครก็มีเพียงคำๆ เดียว

บัดซบ

รอบนี้คงไม่จบที่โดนลากไปโรงพักแน่ ถ้าโดนจับได้ละก็ตายแน่ มูคยอมได้ยินเสียงแจ้งเตือนดังขึ้นในหูเหมือนเสียงหวอของไซเรน

ตอนนั้นอาจจะเป็นช่วงเวลาที่มูคยอมวิ่งสุดกำลังที่สุดในชีวิตแล้วก็ได้ แม้แต่ในการแข่งขันแชมเปียนส์ลีกนัดชิงชนะเลิศปีที่แล้ว ซึ่งกลายเป็นประเด็นร้อนเพราะการวิ่งจากตำแหน่งฝั่งนี้ไปถึงหน้าโกลอีกฝั่งด้วยความเร็วสามสิบแปดกิโลเมตรต่อชั่วโมงก็คงวิ่งเร็วไม่เท่าตอนนั้น

มูคยอมวิ่งหอบแฮ่กๆ ไปในละแวกที่เขาไม่รู้จัก จากนั้นก็หยุดฝีเท้าเหมือนเหยียบเบรคเอี๊ยด แล้วเข้าไปในตรอกที่เลี้ยวออกจากถนนเส้นหลัก ผู้ชายกลุ่มนั้นยังคงไล่ตามเขามาจากถนนใหญ่ อันดับแรกมูคยอมต้องหนีให้พ้นจากสายตาของพวกนั้นก่อน ตอนนั้นเขาวิ่งไปตามทางลาดชันอย่างบ้าคลั่ง

‘เมี๊ยว!’

เสียงฝีเท้าที่ว่องไวคงทำให้แมวตัวหนึ่งที่แอบอยู่ตกใจ มันจึงส่งเสียงเหมือนกรีดร้องและออกมาขวางทาง มูคยอมตกใจจึงหยุดวิ่งกะทันหัน เมื่อร่างกายที่กำลังวิ่งเร็วสุดแรงเกิดลดความเร็วลงโดยไม่ทันตั้งตัว เขาจึงล้มลงอย่างแรง

จากนั้นมูคยอมก็ลุกขึ้นพรวดพร้อมกับเหงื่อกาฬไหลที่ซึมออกมา เวลาที่ต้องวิ่งหนีไม่ควรล่าช้าลงเลยแม้แต่วินาทีเดียว แต่เมื่อมูคยอมพยายามจะวิ่งอีกครั้ง ขาเขาก็หมดแรงไปเสียดื้อๆ มูคยอมก้มลงมองแล้วพบว่าใต้หัวเข่าที่แตกเสียจนน่ากลัวมีเลือดที่กำลังไหลลงมาอาบหน้าแข้ง ตอนนั้นเองถึงได้รู้สึกเจ็บไปถึงกระดูกตรงหัวเข่าที่แตก

บ้าเอ๊ย ถ้าเป็นแบบนี้ก็วิ่งแบบเมื่อกี้ไม่ได้น่ะสิ

ท่ามกลางความสิ้นหวัง ขณะที่มูคยอมกำลังเดินกะเผลกหน้าตาซีดเซียวพร้อมกับกระเป๋าที่ถือไว้ในมือ ประตูรั้วของบ้านสองชั้นสไตล์ตะวันตกที่ตั้งอยู่ตรงหน้าก็เปิดออก ก่อนที่เด็กน้อยคนหนึ่งจะโผล่ออกมา อีกฝ่ายถือกระเป๋าเสริมเอาไว้ในมือ คงกำลังจะไปเรียนพิเศษ เด็กน้อยสบตากับมูคยอม

‘ไอ้เด็กนั่นมันไปไหนแล้ว?! รีบหาให้เจอ!’

ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงห้าวที่เต็มไปด้วยความโกรธดังขึ้นจากด้านหลัง ในขณะที่มูคยอมกำลังตกใจกลัวและพยายามทุกวิถีทางเพื่อลากขาของตัวเอง เด็กน้อยที่เบิกตากว้างเหมือนอมยิ้มอันใหญ่ก็มองไปรอบๆ ด้วยท่าทางงงงวยราวกับพยายามทำความเข้าใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

และตอนนั้นเอง จู่ๆ ข้อมือของมูคยอมก็ถูกคว้าเอาไว้

มูคยอมขมวดคิ้ว และจ้องมองเจ้าของมือนั้น เด็กชายตัวขาวขยับเข้ามาใกล้แล้วมองหน้าเขาด้วยสีหน้าเหมือนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร

มูคยอมกำลังจะตะโกนบอกให้อีกฝ่ายปล่อยเขา แต่ก็ต้องหุบปากฉับเพราะกลัวว่าคนพวกนั้นจะได้ยิน มูคยอมนิ่วหน้าและพยายามสะบัดมือที่คว้าข้อมือของเขาออก แต่เด็กน้อยที่ตัวเล็กกว่าเขากลับแรงเยอะเกินคาด

‘มาเร็ว!’

เด็กน้อยรีบกระซิบ และกระชากข้อมือของมูคยอมในทันที มูคยอมเดินกระเผลกตามหลังของเด็กน้อยคนนั้นไปโดยไม่ทันตั้งตัว แล้วก้าวเข้าไปในประตูรั้วที่เปิดทิ้งไว้

เด็กน้อยปิดล็อคประตูอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้ส่งเสียง ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าของผู้ชายหลายคนที่วิ่งผ่านหน้าบ้านไปและน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธก็ดังขึ้น

‘ไปไหนแล้ววะ ไอ้เด็กนั่น!’

‘แต่เมื่อกี้มันวิ่งไปทางนั้นนะ’

‘หาดูข้างหลังรถด้วย! มันอาจจะซ่อนอยู่ที่ไหนก็ได้’

ขณะที่น้ำเสียงเกรี้ยวกราดของคนพวกนั้นดังก้องอยู่ข้างๆ เด็กชายเบาเสียงฝีเท้าลงพลางจูงข้อมือของมูคยอมไปต่อ ทั้งสองเดินย่องเข้าไปยืนแอบหลังกำแพง

หัวใจของมูคยอมเต้นแรงจนเหมือนหัวจะระเบิด เพราะเขาวิ่งอย่างบ้าคลั่งมาพักใหญ่ และเพราะเสียงของพวกผู้ชายข้างนอกนั่นด้วย มูคยอมคิดว่าเขาไม่ควรหายใจเสียงดังจึงปิดปากหอบแฮ่กๆ ตอนนั้นเองเด็กชายถึงปล่อยข้อมือเขาเป็นอิสระ แล้วนั่งยองๆ พิงกำแพง ดูเหมือนว่าขาของเขาจะหมดแรงไปแล้ว

‘ไม่สิ มันมุดดินไปแล้วเหรอไง ไปไหนกันแน่วะ’

‘หาให้เจอ! ถ้าหาไม่เจอพวกเราตายกันหมดแน่’

เสียงบทสนทนาดังลั่นที่ถูกถ่ายทอดสดโดยมีกำแพงกั้นทำให้เหงื่อเย็นไหลซึมออกมา แต่แล้วเสียงฝีเท้าและเสียงพูดคุยที่ดังขึ้นทางนั้นทีทางโน้นทีก็ค่อยๆ เงียบหายไป สุดท้ายเมื่อไม่ได้ยินเสียงพวกนั้นแล้ว การหายใจก็ค่อยๆ สงบลง

สายลมเย็นพัดผ่านหน้าผากที่ชื้นเหงื่อ ตอนนั้นเองมูคยอมถึงเปิดปากพ่นลมหายใจออกดังเฮ้อ พลางกวาดสายตามองไปรอบๆ

บ้านสไตล์ตะวันตกที่มีลานกว้างหลังนี้ถูกจัดเป็นระเบียบเหมือนฉากหนึ่งที่เคยเห็นในโทรทัศน์หรือหนังสือนิทานเด็ก พื้นที่ถูกปูด้วยหญ้าสีเขียว เถากุหลาบที่ประดับตกแต่งรอบบันไดที่เชื่อมกับตัวบ้าน ดอกไม้ที่เขาไม่รู้จักชื่อบานสะพรั่งน่ามองไปทั่วบริเวณ

และต้นไม้น้อยใหญ่ที่ปลูกห้อมล้อมอยู่ข้างกำแพง เหนือกำแพงที่มูคยอมและเด็กน้อยนั่งพิงอยู่ มีต้นไลแลคสูงใหญ่สองสามต้นที่กำลังยืนต้น ทำให้เกิดร่มเงาสีม่วงอ่อนขนาดใหญ่

ก่อนหน้านี้มูคยอมคิดว่ากำลังจะตาย หัวใจเขาจึงเต้นเร็วจนไม่ได้กลิ่นดอกไม้ ทว่าตอนนี้กลิ่นของดอกไม้เหล่านั้นกำลังโอบล้อมรอบตัวเขาอย่างช้าๆ กลิ่นของไลแลคที่รุนแรงจนทำให้ดวงตาเขาพร่ามัวซึมลึกลงไปในปอด ช่วยปลอบประโลมหัวใจที่เคยเต้นเร่าด้วยความกังวลดั่งสัมผัสอันอ่อนโยน

‘นั่นอะไรน่ะ’

เด็กชายคนนั้นเองก็คงหายใจหายคอได้บ้างแล้วอีกฝ่ายชี้ไปที่กระเป๋าพลางถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเล็กๆ มูคยอมที่ลุ่มหลงกับกลิ่นหอมไปชั่วขณะกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงโดยพลัน เขาขมวดคิ้วแล้วก้มลงมองกระเป๋า

‘ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน’

ลำบากขนาดนี้แล้ว ถ้าหากว่าสิ่งที่อยู่ข้างในนี้ไม่ใช่เงินล่ะ จะทำยังไงดี

มูคยอมคิดอย่างนั้นพลางเดาะลิ้นแล้วรูดซิปเปิดกระเป๋า แต่ก่อนที่เขาจะรูดซิปจนสุด คำสบถก็หลุดออกมาจากปากของมูคยอม

‘ฉิบหาย…’

สิ่งที่อยู่ในกระเป๋าไม่ใช่เงิน เมื่อเปิดออกดู เขาก็พบแต่หนังสือพิมพ์ แต่พอคุ้ยดูก็พบว่าข้างในนั้นมีผงสีขาวที่ถูกห่อด้วยพลาสติกอยู่เต็มไปหมด

ที่มันหนักขนาดนั้นก็เพราะแบบนี้เองสินะ มูคยอมโมโหจนเลือดขึ้นหน้า อยากจะทิ้งกระเป๋าเสียเดี๋ยวนั้น แต่เขาหมดแรงที่จะทำแบบนั้นจึงได้แต่ทุบตีสายจับกระเป๋าใบนั้น

‘แม่งเอ๊ย เหนื่อยเปล่าสินะ’

‘นี่มันอะไรน่ะ’

‘ไม่รู้เหมือนกัน!’

เมื่อมูคยอมตะเบ็งเสียงใส่ เด็กชายก็หุบปากลง และมีสีหน้าหวาดกลัว

เขาคงต้องทิ้งกระเป๋าใบนี้ไว้ที่ไหนสักแห่ง พอเห็นผู้ชายไล่ตาม เขาก็คิดว่ามันอาจจะพอมีประโยชน์อยู่บ้าง แต่อย่างไรก็ตาม เขาไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตไปเสี่ยง ถูกไล่ล่าเพื่อปกป้องสิ่งของที่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร เพราะสิ่งที่มูคยอมต้องการก็คือเงิน มูคยอมยืนขึ้นพร้อมกับถือกระเป๋าไว้ในมือ แต่เด็กชายก็รีบรั้งเขาไว้

‘รอก่อนสิ นายเข่าแตกนี่นา ทายาก่อนนะ ค่อยไป’

‘ช่างเถอะ’

‘เดี๋ยวฉันจะไปบอกแม่ให้มาทายาให้นะ แป๊บเดียว’

คำพูดที่แสนใจดีเหล่านั้นทำให้ความโกรธพลุ่งพล่านอยู่ในอกของมูคยอม

บ้านที่งดงามราวภาพวาด ร่มเงาที่มีกลิ่นหอมของไลแลค แม่ที่ช่วยทายาให้ เด็กชายตัวขาวที่เดินบนถนนและถือกระเป๋าใบหนึ่งอย่างสุภาพ

แต่ใครคนหนึ่งหัวเข่าแตกจนเลือดไหลพลั่กๆ พอกลับไปก็คงถูกถามว่าไปทำตัวเหมือนหมาที่ไหนมาถึงมีสภาพแบบนี้ และไม่ว่าจะโดนตีขนาดไหนก็คงไม่ได้กินมื้อเย็น

มูคยอมไม่เคยเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น อาจเป็นเพราะหลังจากที่เขาเกือบตายเข้าแล้วจริงๆ หรือหลังจากที่เขาวิ่งหนีจนอ่อนแรงเกือบเป็นลมล้มพับไป หลังจากวันนั้นความรู้สึกไม่ยุติธรรมก็พวยพุ่งขึ้นมาเหมือนอาการคลื่นไส้ รู้ทั้งรู้ว่าถ้าไม่ได้เด็กชายคนนั้น เขาคงถูกจับผู้ชายพวกนั้นจับไปและไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดียังไง แต่มูคยอมก็พูดจาร้ายกาจกับอีกฝ่าย

‘บอกว่าไม่ไง ไอ้ลูกหมา ดีจังนะ มีแม่ทายาให้ด้วย’

อีกฝ่ายโดนด่าทั้งที่ช่วยเหลือเขาและไม่ได้ทำอะไรผิดสักนิด เด็กชายทำเพียงกะพริบตาด้วยใบหน้าที่ขาวจนซีด มูคยอมทิ้งเด็กชายคนนั้นไว้ข้างหลัง เขาหยิบกระเป๋าขึ้นมา ก่อนเปิดประตูรั้วแล้วก้าวออกมา

‘เฮ้อ อย่าทำแบบนั้นสิ’

ทว่าเด็กชายหัวแข็งกว่าที่คิด แม้จะโดนด่าแต่ก็ยังเดินตามออกไปถึงนอกประตูและรั้งมูคยอมเอาไว้ มูคยอมได้ยินเสียงของเด็กชาย แต่เขาก็ไม่หันกลับไปมอง มูคยอมเจ็บหัวเข่าที่เริ่มช้ำจริงๆ แล้ว แม้จะเดินกะโผลกกะเผลก แต่เขาก็ยังเดินต่อไป ไม่สนใจเด็กน้อยคนนั้น

‘นี่ บอกว่ารอก่อนไง’

มูคยอมได้ยินเสียงเด็กชายดังขึ้นอีกหลายครั้งด้านหลังตน แต่เขาก็เอาแต่มองไปข้างหน้า ก้าวเดินต่อไป จนกระทั่งเสียงเรียกของเด็กคนนั้นเงียบหายไป

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+