Maou ni Nattanode, Dungeon Tsukutte Jingai Musume to Honobono Suru 37 อาณาจักรแห่งอัลลิเซีย

Now you are reading Maou ni Nattanode, Dungeon Tsukutte Jingai Musume to Honobono Suru Chapter 37 อาณาจักรแห่งอัลลิเซีย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

อาณาจักรแห่งอัลลีเซียนั้นโด่งดัง แม้จะอยู่ในมุมตะวันตกเฉียงเหนือของทวีป แต่ก็ถือว่าเป็นศูนย์กลางที่พ่อค้าและนักวิชาการรวมตัวกันจากทั่วทุกมุมโลก ความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรเกิดจากทรัพยากรมนุษย์ที่อุดมสมบูรณ์

 

มีผู้คนอาศัยอยู่มากกว่าประเทศรอบข้าง ทำให้สามารถจับจ่ายงานให้ตรงกับความถนัดของแต่ละบุคคลได้ เศรษฐกิจของประเทศได้รับการพัฒนามากกว่าประเทศในบริเวณใกล้เคียง ซึ่งแน่นอน ผู้คนก็ต่างเห็นถึงผลประโยชน์ของจุดนี้

 

และนั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ชาวอัลลิเซียนภูมิใจในเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของพวกเขาแน่นอน แต่พวกเขาภาคภูมิใจในสถานะเทคโนโลยีของพวกเขามากกว่า เหล่าอุปกรณ์เวทมนต์และสิ่งของต่างๆในอัลลิเซียนั้นมักจะเป็นำเจ้าแรกที่มีและไม่มีที่ไหนมาก่อน แล้วก็ไม่ใช่แค่อุปกรณ์สำหรับชาวบ้านทั่วไป แต่อุปกรณ์ทางการทหารก็ได้รับการปรับปรุงเช่นกัน

 

พลังของชาวอัลลิเซียนนั้นไม่มีความลับ ธงทหารของอัลลิเซียนนั้นสามารถพบเห็นได้ในหมู่ผู้นำที่มีอำนาจต่อต้านกองกำลังครึ่งมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ

 

ชายผู้ที่นั่งอยู่แถวหน้าของประเทศที่มีอำนาจสูงสุดในตอนนี้คือราชาในปัจจุบัน ราชา เร็ด กลอร์ริโอ อัลลิเซียน (Reiyd Glorrio Allysia) ราชาเร็ดนั้นยังไม่ได้ทำการปฏิวัติใดๆทั้งสิ้น เขาไม่ได้เป็นที่รู้จักในด้านการสู้รบ เร็ดไม่ใช่ราชาที่สามารถล้มล้างกองทัพได้ด้วยสองมือของเขา

 

อย่างไรก็ตามเขาถูกมองว่าเป็นผู้ปกครองที่ยอดเยี่ยม นโยบายของเขานำมาซึ่งความมั่นคงของประเทศและเช่นนี้ประชาชนของเขาก็ได้ไว้วางใจในตัวเขา

 

“โปรดพิจารณาใหม่อีกครั้งด้วยเถิด องค์ราชา! เราต้องดำเนินการในทันทีนะครับ! เวลามันได้มาถึงแล้ว!”

 

ราชาตอนนี้ กำลังนั่งอยู่ในท้องพระโรง และได้รับการเข้าเฝ้าอยู่ ชายหนุ่มที่พยายามเกลี้ยกล่อมเขาไม่มีใครอื่นนอกจากลูกชายของเขา ริตต์ กลอร์ริโอ้ อัลลิเซียน (Riutt Glorrio Allysia)

 

เร็ดเชื่อว่าลูกชายของเขาได้โตมาเป็นชายที่ดี องค์ชายนั้นรักในประเทศและทำงานอย่างหนักเพื่อพัฒนามัน แต่ว่า ริตต์นั้นยังเด็กเกินไป บางครั้งเขาก็เข้าใจในสิ่งที่ตัวเองยืดมั่นผิดไปเหมือนกัน—

 

“ลูกข้า ข้าเข้าใจในความกังวลของเจ้า แต่ข้าจะไม่อนุญาติให้เจ้าดำเนินการใดๆทั้งนั้น”

 

—และครั้งนี้ก็เช่นกัน

 

“งั้นท่านต้องการให้ข้านั่งแกว่งเท้าแล้วเอาแต่เฝ้าดูงั้นรึ!? ประเทศของเราเพิ่งถูกรุกรานไปนะ!” ริตต์ตะโกนออกมาด้วยความโกรธ

 

ราชาก็รู้ดีว่าอะไรที่ทำให้ลูกชายของเขาโกรธได้ขนาดนี้ ผู้ส่งข่าวได้มาเข้าเฝ้าเมื่อไม่กี่วันก่อน และได้ให้ข้อมูลว่า เอลฟิโร่หนึ่งในเมืองที่อยู่ใกล้ชายแดนของประเทศ ได้ถูกกองทัพมอนเตอร์เข้ารุกรานชั่วคราว

 

“การรุกรานครั้งนั้นนะมันเป็นเรื่องเล็กน้อย สถานการณ์ก็ได้รับการแก้ปัญหาไปเป็นที่เรียนร้อยแล้วด้วย แล้วพวกที่ได้รับความเสียหายก็มีแค่พวกคนร้ายผิดกฏหมาย ข้าไม่เห็นถึงเหตุผลที่เราต้องวางกำลังทหาร” ราชาพูดอย่างใจเย็น ผิดกับลูกชายของเขา

 

ไม่ใช่ว่าราชาจะไม่เคยคิดในเรื่องการตอบโต้กลับ แต่เขาปฏิเสธแนวคิดของลูกชายเขาอย่างชัดเจนเพราะเขาได้พิจารณาแล้วว่า ในสายตาของกษัตริย์ การไปรบรากับผู้บุกรุกนั้นไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย แต่ก็น่าผิดหวังที่ลูกชายเขาไม่เห็นพ้องด้วย

 

“เรื่องความเสียหายที่ได้รับนะมันไม่เกี่ยวข้องกัน ที่สำคัญนะคือดินแดนของเราถูกรุกรานต่างหากล่ะ!”

 

การฟังคำสรุปของพ่อทำให้ริตต์มีแต่จะหัวเสียขึ้นเท่านั้น

 

ริตต์เชื่ออย่างแน่วแน่ว่าการตอบโต้การรุกรานคือการโจมตีกลับคือหนทางที่ดีที่สุด เขากังวลว่าพวกมอนเตอร์จะกลับเข้ามารุกรานอีกถ้าพวกเขาไม่แสดงให้เห็นถึงพลังอย่างชัดเจน

 

อีกเหตุผลที่เขาต้องการจะจู่โจมกลับก็คือความโกรธของเขาเอง หนึ่งในเมืองในประเทศที่เขารักถูกรุกรานโดยมอนเตอร์ชั้นต่ำที่ไม่มีสติปัญญามากพอที่จะคิดหาเหตุผลใดๆ

 

แต่ในความเป็นจริงนั้น สองเหตุผลนี้ก็เป็นแค่ข้อแก้ตัว

 

ความจริงนั้นองค์ชายต้องการที่จะขยายอาณาเขตประเทศของเขา มอนเตอร์ที่รุกรานเอลฟิโร่นั้นมาจากป่าต้องห้าม และประเทศรอบป่าต้องห้ามทั้งหมดก็ลงความเห็นกันว่าเป็นพื้นที่ที่อันตรายเกินกว่าจะไปยืดครอง

 

หรือก็คือ มันเป็นพื้นที่ที่ไม่มีใครหมายปอง รุกรานได้อย่างถูกกฏหมาย— และเต็มไปด้วยสมบัติมากมาย

 

และองค์ชายริตต์ก็ต้องการมันเป็นอย่างยิ่ง การยึดครองป่าต้องห้ามได้จะทำให้ประเทศของเขาแข็งแกร่งขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย แต่พ่อของเขา องค์ราชา กลัวมังกรชั้นสูงเกินกว่าที่อยากจะครอบครอง ในสายตาของริตต์ สิง่ที่พ่อเขากลัวมันก็แค่เรื่องเหลวไหล มังกรชั้นสูงที่ตั้งถิ่นฐานภายในป่าต้องห้ามมานับร้อยปี องค์ชายก็รู้เรื่องตำนานนี้ดี แต่เขาก็สงสัยในการคงอยู่ของมังกร เพราะไม่มีใครพบเห็นมันมานานแล้ว

 

เขารู้ว่ามอนเตอร์ที่อาศัยอยู่ในนั้นทรงพลัง แต่ด้วยอุปกรณ์เวทมนต์ที่ได้รับการเสริมพลัง และอาวุธที่ได้รับการพัฒนา เรารู้ว่ากองกำลังของเขาสามารถจัดการกับมันได้ และก็เก่งพอที่จะยึดครองป่าต้องห้ามได้

 

หรือก็คือ องค์ชายเชื่อว่าสิ่งที่ขวางการเข้ายึดครองป่าต้องห้ามของอัลลิเซีนคือความขี้ขลาดของพ่อตัวเอง

 

“ที่เจ้ายังพูดยังนี้เพราะเจ้ายังไม่เข้าใจถึงความอันตรายของป่าต้องห้ามมากพอ” ราชาพูดพร้อมถอนหายใจ

“พื้นที่ที่ยังไม่ได้รับการสำรวจและเต็มไปด้วยมอนเตอร์อันตรายใช่ไหมล่ะ ข้ารู้มันดี”

“เจ้าจะไม่มีความอยากท้าทายมันเลยถ้าเจ้าได้เข้าใจถึงมันจริงๆ”

 

ผู้เป็นพ่อทอดสายตาไปยังลูกชายอันโง่เขลาและหัวดื้อของตน สายตาเขานั้นเต็มไปด้วยความผิดหวัง

 

เป็นสีหน้าที่ริตต์ไม่ชอบเอาเสียเลย

 

“ข้าไม่สนว่าเจ้าจะพูดอย่างไรนะริตต์ ข้าจะจะไม่อนุญาติให้เจ้านำกองกำลังเข้าไปในป่าต้องห้ามเด็ดขาด นี้คือพระราชกฤษฎีกา”

“…ก็ได้” ริตต์ขบฟัน “ข้าจะถอยไปก่อน”

 

องค์ชายเดินออกมาจากท้องพระโรงอย่างโกรธเกรี๊ยวก่อนจะเดินไปตามทางที่ซับซ้อนของพระราชวัง

 

เขาไม่แม้แต่จะซ่อนความไม่พอใจของเขาเลย เขาเห็นก็รู้ได้ทันทีว่าเขาเต็มไปด้วยความโกรธ และก็มีชายคนหนึ่งมาปรากฏตัวข้างๆเขา

 

“จะเอายังไงกันต่อล่ะครับ องค์ชาย? พระราชกฤษฎีกาขององค์ราชาทำให้เราทำอะไรมากไม่ได้นะครับ”

“องค์ราชานะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับแผนของเรา และเขาก็จะไม่รู้ต่อไป” ริตต์พูด

“ดำเนินตามแผนสินะครับ?”

“ใช่ เตรียมกองกำลังเอาไว้”

“ตามพระประสงค์”

 

ชายคนนั้นเดินแยกออกมาเพื่อไปทำหน้าที่ของเขา

 

ไม่มีใครอยู่ข้างกาย และจิตใจก็ว่างเปล่า องค์ชายหยุดมองไปที่ของตกแต่งหรูหรามากมายในราชวัง

 

ถึงเขาจะจ้องไปยังของตกแต่งพวกนั้น แต่มันก็ไม่อาจสะท้อนสิ่งที่อยู่ในสายตาเขาได้ สายตาของเขานั้นเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่อาจควบคุมได้

 

***

 

เสียงกระทบกันของเสียงฝีเท้าและการส่งเสียงดังกราวด์ของโลหะสะท้อนไปทั่วป่าต้องห้าม โดยมีกลุ่มชายติดอาวุธ เดินผ่านป่ากันอยู่

 

พวกเขาเคลื่อนที่เป็นรูปขบวน แต่ภายในกลุ่มก็เต็มไปด้วยความอึกอัดและไม่เป็นธรรมชาติ ถึงพวกเขาจะทำงานภายใต้ธงขององค์ชาย แต่พวกเขาก็ไม่ได้ขึ้นตรงแต่อย่างใด แค่กลุ่มคนที่ร่วมมือกันเพื่อทำงานให้เสร็จๆไปเท่านั้น

 

ทหารส่วนใหญ่ในนี้ถูกจ้างโดยพวกขุนนางในอัลลิเซีย ทางเทคนิค พวกเขาก็อยู่ในองค์กรเดียวกัน แต่พวกเขาก็ไม่เคยเจอกันมาก่อน และก่อนจะมาเดินทาง พวกเขาก็รับใช้เจ้านายต่างคนกัน แต่ละกลุ่มต่างมาด้วยต่างเหตุผล แต่หลักๆพวกเขามาทำงานตามที่นายจ้างสั่ง ขุนนางส่งกองกำลังไปสนับสนุนเจ้าชายเพื่อหวังผลประโยชน์ของตัวเอง

 

“อึก เกลียดที่นี้ชะมัด ทำไมเราต้องมาทำอะไรในนี้กันด้วยว่ะ?” หนึ่งในทหารพูดขึ้นมา

“ใจเย็นนาพวก ข้ารู้ว่าแกรู้สึกยังไง ที่นี้นนะมันอันตรายยังกับนรก แต่พวกนั้นก็จ่ายหนักเลย ใช่ไหมล่ะ? แล้วเราก็มีนักสู้แนวหน้ามากประสบการณ์มาช่วยด้วย แล้วก็มีอุปกรณ์ใหม่ๆมาใช้ด้วย มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอก”

“ใช่”

 

ชายสองคนที่ตอบกลับคำบ่นของทหารคือนักรบรับจ้าง ก็เหมือนคนอื่น พวกเขาถูกจ้างโดยคนที่หวังผลประโยชน์จากเจ้าชาย บางครั้งพวกนักรบรับจ้างก็จะทำตัวเหมือนโจรบ้างตามสถานการณ์ ทำให้ทหารจำนวนมากเกลียดคนพวกนี้ แต่ก็ไม่ได้ดูถูกถึงความสามารถของพวกเขา

 

“และก็ได้ยินมาว่าไอเจ้าปีศาจหรือลูกครึ่งอะไรนั้นลักพาตัวพวกครึ่งมนุษย์ผู้หญิงไปเยอะด้วย ถ้าแผนไปได้ดี เราเอาพวกผู้หญิงพวกนั้นมาเล่นให้หน่ำใจก็ยังได้”

“หึหึหึ พวกลูกครึ่ง? น่าสนใจนี้ คงต้องพยายามกันหน่อยแล้ว”

“คึกไปเดี๋ยวก็เหนื่อยก่อนได้ทำนะโว้ย ไอเจี๊ยวเล็ก”

“เฮอะ ไม่ต้องห่วงหรอกพวก เอาข้างล่างของชั้นนะมันแข็งได้นานกว่านกหินอีกนะเฟ้ย”

 

กลุ่มชายเหล่านี้ยังพูดคุยและเดินหน้าต่อไป โดยไม่ได้รับรู้เลยว่ากำลังเดินเข้าประตูนรกอย่างช้าๆ

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Maou ni Nattanode, Dungeon Tsukutte Jingai Musume to Honobono Suru 37 อาณาจักรแห่งอัลลิเซีย

Now you are reading Maou ni Nattanode, Dungeon Tsukutte Jingai Musume to Honobono Suru Chapter 37 อาณาจักรแห่งอัลลิเซีย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

อาณาจักรแห่งอัลลีเซียนั้นโด่งดัง แม้จะอยู่ในมุมตะวันตกเฉียงเหนือของทวีป แต่ก็ถือว่าเป็นศูนย์กลางที่พ่อค้าและนักวิชาการรวมตัวกันจากทั่วทุกมุมโลก ความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรเกิดจากทรัพยากรมนุษย์ที่อุดมสมบูรณ์

 

มีผู้คนอาศัยอยู่มากกว่าประเทศรอบข้าง ทำให้สามารถจับจ่ายงานให้ตรงกับความถนัดของแต่ละบุคคลได้ เศรษฐกิจของประเทศได้รับการพัฒนามากกว่าประเทศในบริเวณใกล้เคียง ซึ่งแน่นอน ผู้คนก็ต่างเห็นถึงผลประโยชน์ของจุดนี้

 

และนั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ชาวอัลลิเซียนภูมิใจในเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของพวกเขาแน่นอน แต่พวกเขาภาคภูมิใจในสถานะเทคโนโลยีของพวกเขามากกว่า เหล่าอุปกรณ์เวทมนต์และสิ่งของต่างๆในอัลลิเซียนั้นมักจะเป็นำเจ้าแรกที่มีและไม่มีที่ไหนมาก่อน แล้วก็ไม่ใช่แค่อุปกรณ์สำหรับชาวบ้านทั่วไป แต่อุปกรณ์ทางการทหารก็ได้รับการปรับปรุงเช่นกัน

 

พลังของชาวอัลลิเซียนนั้นไม่มีความลับ ธงทหารของอัลลิเซียนนั้นสามารถพบเห็นได้ในหมู่ผู้นำที่มีอำนาจต่อต้านกองกำลังครึ่งมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ

 

ชายผู้ที่นั่งอยู่แถวหน้าของประเทศที่มีอำนาจสูงสุดในตอนนี้คือราชาในปัจจุบัน ราชา เร็ด กลอร์ริโอ อัลลิเซียน (Reiyd Glorrio Allysia) ราชาเร็ดนั้นยังไม่ได้ทำการปฏิวัติใดๆทั้งสิ้น เขาไม่ได้เป็นที่รู้จักในด้านการสู้รบ เร็ดไม่ใช่ราชาที่สามารถล้มล้างกองทัพได้ด้วยสองมือของเขา

 

อย่างไรก็ตามเขาถูกมองว่าเป็นผู้ปกครองที่ยอดเยี่ยม นโยบายของเขานำมาซึ่งความมั่นคงของประเทศและเช่นนี้ประชาชนของเขาก็ได้ไว้วางใจในตัวเขา

 

“โปรดพิจารณาใหม่อีกครั้งด้วยเถิด องค์ราชา! เราต้องดำเนินการในทันทีนะครับ! เวลามันได้มาถึงแล้ว!”

 

ราชาตอนนี้ กำลังนั่งอยู่ในท้องพระโรง และได้รับการเข้าเฝ้าอยู่ ชายหนุ่มที่พยายามเกลี้ยกล่อมเขาไม่มีใครอื่นนอกจากลูกชายของเขา ริตต์ กลอร์ริโอ้ อัลลิเซียน (Riutt Glorrio Allysia)

 

เร็ดเชื่อว่าลูกชายของเขาได้โตมาเป็นชายที่ดี องค์ชายนั้นรักในประเทศและทำงานอย่างหนักเพื่อพัฒนามัน แต่ว่า ริตต์นั้นยังเด็กเกินไป บางครั้งเขาก็เข้าใจในสิ่งที่ตัวเองยืดมั่นผิดไปเหมือนกัน—

 

“ลูกข้า ข้าเข้าใจในความกังวลของเจ้า แต่ข้าจะไม่อนุญาติให้เจ้าดำเนินการใดๆทั้งนั้น”

 

—และครั้งนี้ก็เช่นกัน

 

“งั้นท่านต้องการให้ข้านั่งแกว่งเท้าแล้วเอาแต่เฝ้าดูงั้นรึ!? ประเทศของเราเพิ่งถูกรุกรานไปนะ!” ริตต์ตะโกนออกมาด้วยความโกรธ

 

ราชาก็รู้ดีว่าอะไรที่ทำให้ลูกชายของเขาโกรธได้ขนาดนี้ ผู้ส่งข่าวได้มาเข้าเฝ้าเมื่อไม่กี่วันก่อน และได้ให้ข้อมูลว่า เอลฟิโร่หนึ่งในเมืองที่อยู่ใกล้ชายแดนของประเทศ ได้ถูกกองทัพมอนเตอร์เข้ารุกรานชั่วคราว

 

“การรุกรานครั้งนั้นนะมันเป็นเรื่องเล็กน้อย สถานการณ์ก็ได้รับการแก้ปัญหาไปเป็นที่เรียนร้อยแล้วด้วย แล้วพวกที่ได้รับความเสียหายก็มีแค่พวกคนร้ายผิดกฏหมาย ข้าไม่เห็นถึงเหตุผลที่เราต้องวางกำลังทหาร” ราชาพูดอย่างใจเย็น ผิดกับลูกชายของเขา

 

ไม่ใช่ว่าราชาจะไม่เคยคิดในเรื่องการตอบโต้กลับ แต่เขาปฏิเสธแนวคิดของลูกชายเขาอย่างชัดเจนเพราะเขาได้พิจารณาแล้วว่า ในสายตาของกษัตริย์ การไปรบรากับผู้บุกรุกนั้นไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย แต่ก็น่าผิดหวังที่ลูกชายเขาไม่เห็นพ้องด้วย

 

“เรื่องความเสียหายที่ได้รับนะมันไม่เกี่ยวข้องกัน ที่สำคัญนะคือดินแดนของเราถูกรุกรานต่างหากล่ะ!”

 

การฟังคำสรุปของพ่อทำให้ริตต์มีแต่จะหัวเสียขึ้นเท่านั้น

 

ริตต์เชื่ออย่างแน่วแน่ว่าการตอบโต้การรุกรานคือการโจมตีกลับคือหนทางที่ดีที่สุด เขากังวลว่าพวกมอนเตอร์จะกลับเข้ามารุกรานอีกถ้าพวกเขาไม่แสดงให้เห็นถึงพลังอย่างชัดเจน

 

อีกเหตุผลที่เขาต้องการจะจู่โจมกลับก็คือความโกรธของเขาเอง หนึ่งในเมืองในประเทศที่เขารักถูกรุกรานโดยมอนเตอร์ชั้นต่ำที่ไม่มีสติปัญญามากพอที่จะคิดหาเหตุผลใดๆ

 

แต่ในความเป็นจริงนั้น สองเหตุผลนี้ก็เป็นแค่ข้อแก้ตัว

 

ความจริงนั้นองค์ชายต้องการที่จะขยายอาณาเขตประเทศของเขา มอนเตอร์ที่รุกรานเอลฟิโร่นั้นมาจากป่าต้องห้าม และประเทศรอบป่าต้องห้ามทั้งหมดก็ลงความเห็นกันว่าเป็นพื้นที่ที่อันตรายเกินกว่าจะไปยืดครอง

 

หรือก็คือ มันเป็นพื้นที่ที่ไม่มีใครหมายปอง รุกรานได้อย่างถูกกฏหมาย— และเต็มไปด้วยสมบัติมากมาย

 

และองค์ชายริตต์ก็ต้องการมันเป็นอย่างยิ่ง การยึดครองป่าต้องห้ามได้จะทำให้ประเทศของเขาแข็งแกร่งขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย แต่พ่อของเขา องค์ราชา กลัวมังกรชั้นสูงเกินกว่าที่อยากจะครอบครอง ในสายตาของริตต์ สิง่ที่พ่อเขากลัวมันก็แค่เรื่องเหลวไหล มังกรชั้นสูงที่ตั้งถิ่นฐานภายในป่าต้องห้ามมานับร้อยปี องค์ชายก็รู้เรื่องตำนานนี้ดี แต่เขาก็สงสัยในการคงอยู่ของมังกร เพราะไม่มีใครพบเห็นมันมานานแล้ว

 

เขารู้ว่ามอนเตอร์ที่อาศัยอยู่ในนั้นทรงพลัง แต่ด้วยอุปกรณ์เวทมนต์ที่ได้รับการเสริมพลัง และอาวุธที่ได้รับการพัฒนา เรารู้ว่ากองกำลังของเขาสามารถจัดการกับมันได้ และก็เก่งพอที่จะยึดครองป่าต้องห้ามได้

 

หรือก็คือ องค์ชายเชื่อว่าสิ่งที่ขวางการเข้ายึดครองป่าต้องห้ามของอัลลิเซีนคือความขี้ขลาดของพ่อตัวเอง

 

“ที่เจ้ายังพูดยังนี้เพราะเจ้ายังไม่เข้าใจถึงความอันตรายของป่าต้องห้ามมากพอ” ราชาพูดพร้อมถอนหายใจ

“พื้นที่ที่ยังไม่ได้รับการสำรวจและเต็มไปด้วยมอนเตอร์อันตรายใช่ไหมล่ะ ข้ารู้มันดี”

“เจ้าจะไม่มีความอยากท้าทายมันเลยถ้าเจ้าได้เข้าใจถึงมันจริงๆ”

 

ผู้เป็นพ่อทอดสายตาไปยังลูกชายอันโง่เขลาและหัวดื้อของตน สายตาเขานั้นเต็มไปด้วยความผิดหวัง

 

เป็นสีหน้าที่ริตต์ไม่ชอบเอาเสียเลย

 

“ข้าไม่สนว่าเจ้าจะพูดอย่างไรนะริตต์ ข้าจะจะไม่อนุญาติให้เจ้านำกองกำลังเข้าไปในป่าต้องห้ามเด็ดขาด นี้คือพระราชกฤษฎีกา”

“…ก็ได้” ริตต์ขบฟัน “ข้าจะถอยไปก่อน”

 

องค์ชายเดินออกมาจากท้องพระโรงอย่างโกรธเกรี๊ยวก่อนจะเดินไปตามทางที่ซับซ้อนของพระราชวัง

 

เขาไม่แม้แต่จะซ่อนความไม่พอใจของเขาเลย เขาเห็นก็รู้ได้ทันทีว่าเขาเต็มไปด้วยความโกรธ และก็มีชายคนหนึ่งมาปรากฏตัวข้างๆเขา

 

“จะเอายังไงกันต่อล่ะครับ องค์ชาย? พระราชกฤษฎีกาขององค์ราชาทำให้เราทำอะไรมากไม่ได้นะครับ”

“องค์ราชานะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับแผนของเรา และเขาก็จะไม่รู้ต่อไป” ริตต์พูด

“ดำเนินตามแผนสินะครับ?”

“ใช่ เตรียมกองกำลังเอาไว้”

“ตามพระประสงค์”

 

ชายคนนั้นเดินแยกออกมาเพื่อไปทำหน้าที่ของเขา

 

ไม่มีใครอยู่ข้างกาย และจิตใจก็ว่างเปล่า องค์ชายหยุดมองไปที่ของตกแต่งหรูหรามากมายในราชวัง

 

ถึงเขาจะจ้องไปยังของตกแต่งพวกนั้น แต่มันก็ไม่อาจสะท้อนสิ่งที่อยู่ในสายตาเขาได้ สายตาของเขานั้นเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่อาจควบคุมได้

 

***

 

เสียงกระทบกันของเสียงฝีเท้าและการส่งเสียงดังกราวด์ของโลหะสะท้อนไปทั่วป่าต้องห้าม โดยมีกลุ่มชายติดอาวุธ เดินผ่านป่ากันอยู่

 

พวกเขาเคลื่อนที่เป็นรูปขบวน แต่ภายในกลุ่มก็เต็มไปด้วยความอึกอัดและไม่เป็นธรรมชาติ ถึงพวกเขาจะทำงานภายใต้ธงขององค์ชาย แต่พวกเขาก็ไม่ได้ขึ้นตรงแต่อย่างใด แค่กลุ่มคนที่ร่วมมือกันเพื่อทำงานให้เสร็จๆไปเท่านั้น

 

ทหารส่วนใหญ่ในนี้ถูกจ้างโดยพวกขุนนางในอัลลิเซีย ทางเทคนิค พวกเขาก็อยู่ในองค์กรเดียวกัน แต่พวกเขาก็ไม่เคยเจอกันมาก่อน และก่อนจะมาเดินทาง พวกเขาก็รับใช้เจ้านายต่างคนกัน แต่ละกลุ่มต่างมาด้วยต่างเหตุผล แต่หลักๆพวกเขามาทำงานตามที่นายจ้างสั่ง ขุนนางส่งกองกำลังไปสนับสนุนเจ้าชายเพื่อหวังผลประโยชน์ของตัวเอง

 

“อึก เกลียดที่นี้ชะมัด ทำไมเราต้องมาทำอะไรในนี้กันด้วยว่ะ?” หนึ่งในทหารพูดขึ้นมา

“ใจเย็นนาพวก ข้ารู้ว่าแกรู้สึกยังไง ที่นี้นนะมันอันตรายยังกับนรก แต่พวกนั้นก็จ่ายหนักเลย ใช่ไหมล่ะ? แล้วเราก็มีนักสู้แนวหน้ามากประสบการณ์มาช่วยด้วย แล้วก็มีอุปกรณ์ใหม่ๆมาใช้ด้วย มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอก”

“ใช่”

 

ชายสองคนที่ตอบกลับคำบ่นของทหารคือนักรบรับจ้าง ก็เหมือนคนอื่น พวกเขาถูกจ้างโดยคนที่หวังผลประโยชน์จากเจ้าชาย บางครั้งพวกนักรบรับจ้างก็จะทำตัวเหมือนโจรบ้างตามสถานการณ์ ทำให้ทหารจำนวนมากเกลียดคนพวกนี้ แต่ก็ไม่ได้ดูถูกถึงความสามารถของพวกเขา

 

“และก็ได้ยินมาว่าไอเจ้าปีศาจหรือลูกครึ่งอะไรนั้นลักพาตัวพวกครึ่งมนุษย์ผู้หญิงไปเยอะด้วย ถ้าแผนไปได้ดี เราเอาพวกผู้หญิงพวกนั้นมาเล่นให้หน่ำใจก็ยังได้”

“หึหึหึ พวกลูกครึ่ง? น่าสนใจนี้ คงต้องพยายามกันหน่อยแล้ว”

“คึกไปเดี๋ยวก็เหนื่อยก่อนได้ทำนะโว้ย ไอเจี๊ยวเล็ก”

“เฮอะ ไม่ต้องห่วงหรอกพวก เอาข้างล่างของชั้นนะมันแข็งได้นานกว่านกหินอีกนะเฟ้ย”

 

กลุ่มชายเหล่านี้ยังพูดคุยและเดินหน้าต่อไป โดยไม่ได้รับรู้เลยว่ากำลังเดินเข้าประตูนรกอย่างช้าๆ

 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+