Maou ni Nattanode, Dungeon Tsukutte Jingai Musume to Honobono Suru 62 จอมมารมาเป็นนักผจญภัยล่ะ

Now you are reading Maou ni Nattanode, Dungeon Tsukutte Jingai Musume to Honobono Suru Chapter 62 จอมมารมาเป็นนักผจญภัยล่ะ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เราขอยอมรับเลยนะ ว่านี้มันน่าประทับใจ” เลฟี่เอ่ยปากชมพลางมองไปรอบๆตัวเมือง “เราเคยคิดว่าเสมอว่าถิ่นฐานของพวกมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่น่าเบื่อ แต่เหมือนจะมิเป็นเช่นนั้น”

“เดี๋ยวนะ เธอเพิ่งเข้าเมืองมาเป็นครั้งแรกหรอ?” เอาจริงดิ? ตลอดพันปีที่ผ่านมาเนี่ยนะ?

 

ถึงแม้ว่าเราจะดูการแสดงจบแล้ว แต่เจ้าหล่อนก็ยังคงนั่งอยู่บนไหล่ผม เธอชอบวิวบนนี้ มันให้ความรู้สึกเหมือนกำลังจ้องมองผู้คนที่อยู่เบื้องล่างด้วยพลังที่เหนือกว่า ก็นั้นแหละนะ มังกรชั้นสูง แต่น่าเสียดายที่ชาวเมืองไม่ได้รู้สึกอะไรด้วยเลย

 

ผู้คนที่เดินผ่านเราไปมองมายังเจ้าหล่อนแบบไม่มีความเกรงกลัวอะไรเลย หน่ำซ้ำยังมีสายตาอันอบอุ่นมองมายังเธออีกเยอะเลยด้วย ราวกับมองเด็กที่กำลังมีความสุขอยู่ทั่วไป  

ความเป็นจริงกับสิ่งที่พวกเขาคิดนั้นต่างราวฟ้ากับเหวจนผมอยากจะไปถามความเห็นของคนอื่นๆที่มีต่อเธอเพื่อหาเรื่องกวนโอ๊ยเธอจริงๆ

 

“ทุกครั้งที่เราไปเยือนถิ่นฐานของมนุษย์ มันก็จะถูกทำให้มอดไหม้เป็นเถ่าถ่านไปทุกหน นี้เป็นครั้งแรกที่เรามาเดินท่ามกลางฝูงชนอย่างนี้ เราก็ไม่ค่อยจะสนใจเผ่าพันธ์อื่นเท่าไหร่อยู่แล้วด้วย”

“อย่างนี้นี่เอง”

 

จริงสินะ เธอเคยพูดถึงเรื่องข้อตกลงที่จะไม่ไปยุ่งเกี่ยวอะไรนั้นนี้นา หลังจากนั้นเธอก็คงไม่ได้เข้ามาในบริเวณที่อยู่อาศัยของมนุษย์อีกเลย แต่เดี๋ยวก่อนนะ อย่างนี้ก็เท่ากับว่าเธอกำลังฝ่าฝืนข้อตกลงหรือเปล่านะ? เอ่… คงไม่แหละ ก็มันมีคนไปรุกล้ำที่ของพวกเราก่อนนี้น่า ดังนั้นข้อตกลงบ้าๆนี้คงไม่มีผลอะไรแล้วแหละ

 

“อา จริงสิ ยูกิ เราลืมไปว่าเรามีสิ่งนึงที่จะพูดนะ”  

“อะไรหรอ?”

“เราเข้าใจว่าต้นขาของเราทำให้เจ้าตื่นเต้น แต่ช่วยแสดงการหักห้ามใจหน่อยสิ่งที่เจ้าคิดมันแสดงบนหน้าหมดแล้ว”

“ม-ไม่เห็นจะเข้าว่าเธอพูดถึงอะไรเลยนะ!”

 

ผมตอบปฎิเสธไปทันที แต่ก็ไม่มีผล เพราะพรรคพวกของผมดูท่าจะไม่เชื่อกันเลยซักนิด

 

“นายเป็นพวกโรคจิตสินะ” ผู้กล้าหันมองผมด้วยสายตาไม่เชื่อ

 

โอ้พระเจ้า หยุดเลยนะ! อย่ามามองชั้นแบบนั้นนะ! ก็ได้ ชั้นยอมรับว่ามันนุ่มและรู้สึกดี แต่มันก็แค่นั้นแหละ! ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้นซักหน่อย!

 

“อะแฮ่ม” ผมแกล้งไอก่อนจะถามคำถามผู้กล้า “คือ ชั้นอยากจะถามมาซักพักแล้วว่า นักผจญภัยนี้เขาทำอะไรกันบ้างหรอ?”

“นายหลอกฉันไม่ได้ง่ายๆหรอกนะยูกิ ฉันรู้ว่านายพยายามจะเปลี่ยนเรื่อง” เมื่อมองไปทางเธอ ก็พบกับสายตาแบบเดิมอีกครั้ง

 

ผู้กล้ากับผมเรียกกันด้วยชื่อเพราะความจำเป็นล้วนๆ ถึงผมอยากจะเรียกด้วยฉายาก็เถอะ แต่เธออยากให้ตัวตนของเธอเป็นความลับ และเธอจะไปป่าวประกาศว่าผมเป็นจอมมารกลางใจกลางเมืองก็ไม่ได้ เธอคิดจะให้ชื่อเล่นผม แต่ก็ตัดสินใจกันว่าใช้ชื่อจริงจะดีกว่า

 

เช่นเดียวกับทางเลฟี่ ผู้กล้าตั้งใจจะให้ชื่อเล่นใหม่กับเลฟี่เหมือนกัน แต่ก็ต้องสยบต่อ “รอยยิ้ม” อันเงียบงันของเลฟี่ นางปฎิเสธที่จะไปใช้ชื่ออื่นนอกจาก เลฟี่ กับ เลฟิเซิยส ทำให้ผู้กล้าต้องจำยอมไป

 

ผมได้ลองให้ชื่อเล่นใหม่กับเธอเพื่อแกล้งเธอเล่นเหมือนกัน แต่เธอโกรธเป็นฟืนเป็นไฟจนโดนซัดหน้าเข้าให้ ยัยนี้ต่อยหนักราวกับโดนรถบรรทุกชนเข้าให้เลย

 

“ก็ได้ ฉันจะเพิกเฉยต่อ ‘ความชอบ’ ของนายไปก่อนก็แล้วกัน นักผจญภัยนะจะมีหน้าที่ในการกำจัดมอนเตอร์ ปกป้องสิ่งของหรือผู้คน หรือเก็บยาสมุนไพรหายาก และพวกเขาก็ไม่ได้ไปไล่ฆ่าเผ่าพันธุ์อื่นอย่างที่เลฟี่พูดไปก่อนหน้านี้หรอกนะ”

 

อ้อ ก็คงจะคล้ายๆมอ*ฮันสินะ

 

“เจ้าแน่ใจรึ? เราโดนจู่โจมโดยพวกนักผจญภัยอยู่บ่อยครั้งเลยนะ”  

“คงจะเข้าใจว่าเธอเป็นมอนเตอร์ตัวอื่นล่ะมั้ง” ผมยักไหล่ ก็แบบ เธอเป็น “มังกรชั้นสูง” เลยนะ คงไปเป็นฝันร้ายของใครเขาบ้างแหละ อ๊ะ แย่ล่ะสิ

“หยาบคาย..” ยัยมังกรขมวดคิ้ว “ความไร้มารยาทของพวกนั้นต้องได้รับการลงโทษ เราจะไปกำจัดมิให้เหลือรอดแม้แต่ผู้เดียว”

“อย่าน้าาา!” เนลล์พูดขึ้น

 

***

 

เรามาถึงอาหารหลังหนึ่งหลังจากฝ่าฝูงมวลชนบนถนนมาได้ มีกลุ่มคนเดินเข้า-ออกอย่างหน่าแน่น มองแปปเดียวก็รู้ว่าธุรกิจนี้เจริญขนาดไหน

 

“เรามาถึงแล้ว” ผมมองไปที่ตึกอีกรอบนึง รู้สึกอยากจะรีบเดินเข้าไปแล้วจริงๆ “เอาล่ะ มองกันพอแล้ว เข้าไปกันเถอะ เดี๋ยวนี้เลย”

“นายเนี่ยไม่มีความกังวลหรือกลัวอะไรเลยสินะ?”

“เขาไม่มีหรอก” เลฟี่ ผู้ซึ่งเพิ่งลงจากไหล่ผม ตอบด้วยการพยักหน้า “ความงี่เง่าของเขาทำให้เขาสัมผัสความรู้สึกแบบนั้นไมได้นะ”

 

หลังจากพูดกันเสร็จ เราก็เดินเข้าไปในตึกกัน สิ่งแรกที่ออกมาต้อนรับพวกเราเลยก็คือ เสียง

 

เป็นเสียงที่ดังและวุ่นวายอยู่ตลอด สามารถได้ยินเสียงสนทนาท่ามกลางเสียงกระทบกันของภาชนะบนโต๊ะอาหาร แต่มีหลายอย่างเกิดขึ้นพร้อมกันจนผมไม่สามารถแยกออกได้เลยว่าอะไรเป็นอะไร แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่รู้สึกถึงความน่ารำคาญเลย

 

เลฟี่ที่ดูเหมือนเด็กสาว และเนลล์ที่อาจจะดูโตกว่า แต่ก็ไม่ให้ความรู้สึกของการเป็นผู้ใหญ่เลย ทำให้ทั้งคู่ดึงดูดความสนใจของผู้ใครในตึก แต่ก็แค่ช่วงเดียวเท่านั้น เหล่าคนพวกนั้นก็กลับไปทำธุระของตนเองกันต่อ และเหตุผลที่ทำให้กิลด์นักผจญภัยแน่นไปด้วยผู้คนขนาดนี้ก็เพราะที่นี้มีร้านอาหารตั้งอยู่ด้วย ทำให้คนส่วนใหญ่ที่อยู่ในนี้มาเพื่อทานอาหารเท่านั้น

 

ผมเดินผ่านโถงทางเดินตรงไปที่เคาเตอร์ ณ ตรงนั้นมีพนักงานสาวในวัย 20 ต้อนรับอยู่

 

“ยินดีต้อนรับสู่กิลด์นักผจญภัยค่ะ มีอะไรให้รับใช้คะ?” เธอพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ

“พรรคพวกของฉันต้องการลงทะเบียนกับทางกิลด์นะคะ” ผู้กล้าตอบ

“ทั้งคู่เลยหรอคะ?” สายตาของพนักงานมองไปที่เลฟี่ “ฉันต้องขอโทษด้วยนะคะถ้ามันฟังดูหยาบคาย แต่คุณหนูตรงนั้นต้องการลงทะเบียนด้วยหรอคะ? เธอดูจะยังเด็กเกินไปหน่อยนะคะ”

 

ผมเข้าใจเลยละครับคุณผู้หญิง เลฟี่นะดูไม่เหมือนนักผจญภัยเลยซักนิด ถึงจะตัดเรื่องอายุออกไป แต่สภาพผมที่ดูดี ผิวพรรณที่ไร้ซึ่งรอยแผลเป็น มองแว่บแรกก็ไม่มีใครคิดหรอกว่าเธอเป็นนักสู้ ออกจะดูเหมือนลูกใครซักคนไม่ก็เป็นเด็กจากตระกูลผู้ดีซักตระกูลก็ได้

 

“แล้วนั้นเป็นปัญหารึ?” เลฟี่หยี่ตาลง

“ไม่เลยค่ะ” คุณพนักงานตอบ

“ฉันรับรองพวกเขาให้ได้นะคะ” ผู้กล้าพูดขัดบท ก่อนจะแสดงตราให้พนักงานดูเหมือนกับที่ทำกับทหารยาม

“ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ช่วยให้ง่ายมากขึ้นเลยค่ะ” คุณพนักงานต้อนรับหยักหน้า ถึงเธอจะมีอาการตกใจนิดๆ เธอก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว  

“พวกคุณทั้งคู่ช่วยวางมือลงบนอุปกรณ์เวทมนต์ที่อยู่ตรงมุมของเคาเตอร์ได้ไหมคะ?”

 

พนักงานนำเราไปยังอุปกรณ์บางอย่างที่ทำจากเหล็ก มันทีรูปร่างที่ไม่ค่อยสวยงามเท่าไหร่ เลฟี่กับผมยืนอยู่กัยคนล่ะเครื่อง พอวางมือลงบนอุปกรณ์ ผมรู้สึกเหมือนพลังเวทถูกดูดไปนิดหน่อย ก่อนที่เครื่องจะส่งเสียงประหลาดที่คล้ายกับเครื่องถ่ายเอกสาร

 

ไม่นานนัก เจ้าเครื่องก็ปล่อยการ์ดสีทองแดงที่มีขนาดเท่ากับแผ่นไม้ที่เราได้รับมาจากทหารยาม มีสัญลักษณ์แปลก ๆ ที่ประกอบด้วยเส้นแนวตั้งสามเส้นที่แกะสลักไว้ ออกจะคล้ายๆ 川, ที่เป็นตัวคันจิที่หมายถึงแม่น้ำ

 

“การลงทะเบียนเสร็จเรียบร้อยค่ะ ยินดีด้วยนะคะ ตอนนี้พวกคุณเป็นสมาชิกของทางกิลด์แล้วค่ะ” คุณพนักงานพูดด้วยรอยยิ้ม “การ์ดที่ได้รับเปรียบเสมือนใบยืนยันตัวตน ดังนั้นพยายามอย่าทำหายกันนะคะ”

“ง่ายจังแหะ”

“ขั้นตอนเคยยุ่งยากกว่านี้ค่ะ แต่มันตัดสิทธิ์คนจำนวนมากเกินไป ธุรกิจผจญภัยในตอนนั้นดูไม่ค่อยดีนัก เราจึงต้องเปลี่ยนมัน ทุกวันนี้ สิ่งที่เราทำคือสแกนพลังงานเวทย์มนตร์ของคุณและลงทะเบียนเท่านั้นค่ะ”

 

พนักงานต้อนรับปิดการสนทนาโดยอธิบายพื้นฐานของการผจญภัย และด้วยเหตุนี้ทุกอย่างจึงเสร็จสิ้น พวกเราเป็นนักผจญภัย พร้อมที่จะออกเดินทางและทำงานแล้ว

 

“ตื่นได้แล้วเลฟี่ เขาพูดจบแล้ว” ผมเขย่าเลฟี่ที่หลับไปเพราะความเบื่อหน่าย

“Mmrrphh…” เธอขยี้ตาและค่อยๆตื่นขึ้นมาอย่างช้าๆ ท่าทางที่น่ารักนั้นทำให้เกิดรอยยิ้มเล็กๆบนใบหน้าของผม

 

“การ์ดใบนี้จะทำให้พวกเธอเข้าออกเมืองได้อย่างอิสระ งั้นเราเอาการ์ดชั่วคร่าวอันนั้นไปคืนทหารที่หน้าประตูกันดีกว่า”

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Maou ni Nattanode, Dungeon Tsukutte Jingai Musume to Honobono Suru 62 จอมมารมาเป็นนักผจญภัยล่ะ

Now you are reading Maou ni Nattanode, Dungeon Tsukutte Jingai Musume to Honobono Suru Chapter 62 จอมมารมาเป็นนักผจญภัยล่ะ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เราขอยอมรับเลยนะ ว่านี้มันน่าประทับใจ” เลฟี่เอ่ยปากชมพลางมองไปรอบๆตัวเมือง “เราเคยคิดว่าเสมอว่าถิ่นฐานของพวกมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่น่าเบื่อ แต่เหมือนจะมิเป็นเช่นนั้น”

“เดี๋ยวนะ เธอเพิ่งเข้าเมืองมาเป็นครั้งแรกหรอ?” เอาจริงดิ? ตลอดพันปีที่ผ่านมาเนี่ยนะ?

 

ถึงแม้ว่าเราจะดูการแสดงจบแล้ว แต่เจ้าหล่อนก็ยังคงนั่งอยู่บนไหล่ผม เธอชอบวิวบนนี้ มันให้ความรู้สึกเหมือนกำลังจ้องมองผู้คนที่อยู่เบื้องล่างด้วยพลังที่เหนือกว่า ก็นั้นแหละนะ มังกรชั้นสูง แต่น่าเสียดายที่ชาวเมืองไม่ได้รู้สึกอะไรด้วยเลย

 

ผู้คนที่เดินผ่านเราไปมองมายังเจ้าหล่อนแบบไม่มีความเกรงกลัวอะไรเลย หน่ำซ้ำยังมีสายตาอันอบอุ่นมองมายังเธออีกเยอะเลยด้วย ราวกับมองเด็กที่กำลังมีความสุขอยู่ทั่วไป  

ความเป็นจริงกับสิ่งที่พวกเขาคิดนั้นต่างราวฟ้ากับเหวจนผมอยากจะไปถามความเห็นของคนอื่นๆที่มีต่อเธอเพื่อหาเรื่องกวนโอ๊ยเธอจริงๆ

 

“ทุกครั้งที่เราไปเยือนถิ่นฐานของมนุษย์ มันก็จะถูกทำให้มอดไหม้เป็นเถ่าถ่านไปทุกหน นี้เป็นครั้งแรกที่เรามาเดินท่ามกลางฝูงชนอย่างนี้ เราก็ไม่ค่อยจะสนใจเผ่าพันธ์อื่นเท่าไหร่อยู่แล้วด้วย”

“อย่างนี้นี่เอง”

 

จริงสินะ เธอเคยพูดถึงเรื่องข้อตกลงที่จะไม่ไปยุ่งเกี่ยวอะไรนั้นนี้นา หลังจากนั้นเธอก็คงไม่ได้เข้ามาในบริเวณที่อยู่อาศัยของมนุษย์อีกเลย แต่เดี๋ยวก่อนนะ อย่างนี้ก็เท่ากับว่าเธอกำลังฝ่าฝืนข้อตกลงหรือเปล่านะ? เอ่… คงไม่แหละ ก็มันมีคนไปรุกล้ำที่ของพวกเราก่อนนี้น่า ดังนั้นข้อตกลงบ้าๆนี้คงไม่มีผลอะไรแล้วแหละ

 

“อา จริงสิ ยูกิ เราลืมไปว่าเรามีสิ่งนึงที่จะพูดนะ”  

“อะไรหรอ?”

“เราเข้าใจว่าต้นขาของเราทำให้เจ้าตื่นเต้น แต่ช่วยแสดงการหักห้ามใจหน่อยสิ่งที่เจ้าคิดมันแสดงบนหน้าหมดแล้ว”

“ม-ไม่เห็นจะเข้าว่าเธอพูดถึงอะไรเลยนะ!”

 

ผมตอบปฎิเสธไปทันที แต่ก็ไม่มีผล เพราะพรรคพวกของผมดูท่าจะไม่เชื่อกันเลยซักนิด

 

“นายเป็นพวกโรคจิตสินะ” ผู้กล้าหันมองผมด้วยสายตาไม่เชื่อ

 

โอ้พระเจ้า หยุดเลยนะ! อย่ามามองชั้นแบบนั้นนะ! ก็ได้ ชั้นยอมรับว่ามันนุ่มและรู้สึกดี แต่มันก็แค่นั้นแหละ! ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้นซักหน่อย!

 

“อะแฮ่ม” ผมแกล้งไอก่อนจะถามคำถามผู้กล้า “คือ ชั้นอยากจะถามมาซักพักแล้วว่า นักผจญภัยนี้เขาทำอะไรกันบ้างหรอ?”

“นายหลอกฉันไม่ได้ง่ายๆหรอกนะยูกิ ฉันรู้ว่านายพยายามจะเปลี่ยนเรื่อง” เมื่อมองไปทางเธอ ก็พบกับสายตาแบบเดิมอีกครั้ง

 

ผู้กล้ากับผมเรียกกันด้วยชื่อเพราะความจำเป็นล้วนๆ ถึงผมอยากจะเรียกด้วยฉายาก็เถอะ แต่เธออยากให้ตัวตนของเธอเป็นความลับ และเธอจะไปป่าวประกาศว่าผมเป็นจอมมารกลางใจกลางเมืองก็ไม่ได้ เธอคิดจะให้ชื่อเล่นผม แต่ก็ตัดสินใจกันว่าใช้ชื่อจริงจะดีกว่า

 

เช่นเดียวกับทางเลฟี่ ผู้กล้าตั้งใจจะให้ชื่อเล่นใหม่กับเลฟี่เหมือนกัน แต่ก็ต้องสยบต่อ “รอยยิ้ม” อันเงียบงันของเลฟี่ นางปฎิเสธที่จะไปใช้ชื่ออื่นนอกจาก เลฟี่ กับ เลฟิเซิยส ทำให้ผู้กล้าต้องจำยอมไป

 

ผมได้ลองให้ชื่อเล่นใหม่กับเธอเพื่อแกล้งเธอเล่นเหมือนกัน แต่เธอโกรธเป็นฟืนเป็นไฟจนโดนซัดหน้าเข้าให้ ยัยนี้ต่อยหนักราวกับโดนรถบรรทุกชนเข้าให้เลย

 

“ก็ได้ ฉันจะเพิกเฉยต่อ ‘ความชอบ’ ของนายไปก่อนก็แล้วกัน นักผจญภัยนะจะมีหน้าที่ในการกำจัดมอนเตอร์ ปกป้องสิ่งของหรือผู้คน หรือเก็บยาสมุนไพรหายาก และพวกเขาก็ไม่ได้ไปไล่ฆ่าเผ่าพันธุ์อื่นอย่างที่เลฟี่พูดไปก่อนหน้านี้หรอกนะ”

 

อ้อ ก็คงจะคล้ายๆมอ*ฮันสินะ

 

“เจ้าแน่ใจรึ? เราโดนจู่โจมโดยพวกนักผจญภัยอยู่บ่อยครั้งเลยนะ”  

“คงจะเข้าใจว่าเธอเป็นมอนเตอร์ตัวอื่นล่ะมั้ง” ผมยักไหล่ ก็แบบ เธอเป็น “มังกรชั้นสูง” เลยนะ คงไปเป็นฝันร้ายของใครเขาบ้างแหละ อ๊ะ แย่ล่ะสิ

“หยาบคาย..” ยัยมังกรขมวดคิ้ว “ความไร้มารยาทของพวกนั้นต้องได้รับการลงโทษ เราจะไปกำจัดมิให้เหลือรอดแม้แต่ผู้เดียว”

“อย่าน้าาา!” เนลล์พูดขึ้น

 

***

 

เรามาถึงอาหารหลังหนึ่งหลังจากฝ่าฝูงมวลชนบนถนนมาได้ มีกลุ่มคนเดินเข้า-ออกอย่างหน่าแน่น มองแปปเดียวก็รู้ว่าธุรกิจนี้เจริญขนาดไหน

 

“เรามาถึงแล้ว” ผมมองไปที่ตึกอีกรอบนึง รู้สึกอยากจะรีบเดินเข้าไปแล้วจริงๆ “เอาล่ะ มองกันพอแล้ว เข้าไปกันเถอะ เดี๋ยวนี้เลย”

“นายเนี่ยไม่มีความกังวลหรือกลัวอะไรเลยสินะ?”

“เขาไม่มีหรอก” เลฟี่ ผู้ซึ่งเพิ่งลงจากไหล่ผม ตอบด้วยการพยักหน้า “ความงี่เง่าของเขาทำให้เขาสัมผัสความรู้สึกแบบนั้นไมได้นะ”

 

หลังจากพูดกันเสร็จ เราก็เดินเข้าไปในตึกกัน สิ่งแรกที่ออกมาต้อนรับพวกเราเลยก็คือ เสียง

 

เป็นเสียงที่ดังและวุ่นวายอยู่ตลอด สามารถได้ยินเสียงสนทนาท่ามกลางเสียงกระทบกันของภาชนะบนโต๊ะอาหาร แต่มีหลายอย่างเกิดขึ้นพร้อมกันจนผมไม่สามารถแยกออกได้เลยว่าอะไรเป็นอะไร แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่รู้สึกถึงความน่ารำคาญเลย

 

เลฟี่ที่ดูเหมือนเด็กสาว และเนลล์ที่อาจจะดูโตกว่า แต่ก็ไม่ให้ความรู้สึกของการเป็นผู้ใหญ่เลย ทำให้ทั้งคู่ดึงดูดความสนใจของผู้ใครในตึก แต่ก็แค่ช่วงเดียวเท่านั้น เหล่าคนพวกนั้นก็กลับไปทำธุระของตนเองกันต่อ และเหตุผลที่ทำให้กิลด์นักผจญภัยแน่นไปด้วยผู้คนขนาดนี้ก็เพราะที่นี้มีร้านอาหารตั้งอยู่ด้วย ทำให้คนส่วนใหญ่ที่อยู่ในนี้มาเพื่อทานอาหารเท่านั้น

 

ผมเดินผ่านโถงทางเดินตรงไปที่เคาเตอร์ ณ ตรงนั้นมีพนักงานสาวในวัย 20 ต้อนรับอยู่

 

“ยินดีต้อนรับสู่กิลด์นักผจญภัยค่ะ มีอะไรให้รับใช้คะ?” เธอพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ

“พรรคพวกของฉันต้องการลงทะเบียนกับทางกิลด์นะคะ” ผู้กล้าตอบ

“ทั้งคู่เลยหรอคะ?” สายตาของพนักงานมองไปที่เลฟี่ “ฉันต้องขอโทษด้วยนะคะถ้ามันฟังดูหยาบคาย แต่คุณหนูตรงนั้นต้องการลงทะเบียนด้วยหรอคะ? เธอดูจะยังเด็กเกินไปหน่อยนะคะ”

 

ผมเข้าใจเลยละครับคุณผู้หญิง เลฟี่นะดูไม่เหมือนนักผจญภัยเลยซักนิด ถึงจะตัดเรื่องอายุออกไป แต่สภาพผมที่ดูดี ผิวพรรณที่ไร้ซึ่งรอยแผลเป็น มองแว่บแรกก็ไม่มีใครคิดหรอกว่าเธอเป็นนักสู้ ออกจะดูเหมือนลูกใครซักคนไม่ก็เป็นเด็กจากตระกูลผู้ดีซักตระกูลก็ได้

 

“แล้วนั้นเป็นปัญหารึ?” เลฟี่หยี่ตาลง

“ไม่เลยค่ะ” คุณพนักงานตอบ

“ฉันรับรองพวกเขาให้ได้นะคะ” ผู้กล้าพูดขัดบท ก่อนจะแสดงตราให้พนักงานดูเหมือนกับที่ทำกับทหารยาม

“ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ช่วยให้ง่ายมากขึ้นเลยค่ะ” คุณพนักงานต้อนรับหยักหน้า ถึงเธอจะมีอาการตกใจนิดๆ เธอก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว  

“พวกคุณทั้งคู่ช่วยวางมือลงบนอุปกรณ์เวทมนต์ที่อยู่ตรงมุมของเคาเตอร์ได้ไหมคะ?”

 

พนักงานนำเราไปยังอุปกรณ์บางอย่างที่ทำจากเหล็ก มันทีรูปร่างที่ไม่ค่อยสวยงามเท่าไหร่ เลฟี่กับผมยืนอยู่กัยคนล่ะเครื่อง พอวางมือลงบนอุปกรณ์ ผมรู้สึกเหมือนพลังเวทถูกดูดไปนิดหน่อย ก่อนที่เครื่องจะส่งเสียงประหลาดที่คล้ายกับเครื่องถ่ายเอกสาร

 

ไม่นานนัก เจ้าเครื่องก็ปล่อยการ์ดสีทองแดงที่มีขนาดเท่ากับแผ่นไม้ที่เราได้รับมาจากทหารยาม มีสัญลักษณ์แปลก ๆ ที่ประกอบด้วยเส้นแนวตั้งสามเส้นที่แกะสลักไว้ ออกจะคล้ายๆ 川, ที่เป็นตัวคันจิที่หมายถึงแม่น้ำ

 

“การลงทะเบียนเสร็จเรียบร้อยค่ะ ยินดีด้วยนะคะ ตอนนี้พวกคุณเป็นสมาชิกของทางกิลด์แล้วค่ะ” คุณพนักงานพูดด้วยรอยยิ้ม “การ์ดที่ได้รับเปรียบเสมือนใบยืนยันตัวตน ดังนั้นพยายามอย่าทำหายกันนะคะ”

“ง่ายจังแหะ”

“ขั้นตอนเคยยุ่งยากกว่านี้ค่ะ แต่มันตัดสิทธิ์คนจำนวนมากเกินไป ธุรกิจผจญภัยในตอนนั้นดูไม่ค่อยดีนัก เราจึงต้องเปลี่ยนมัน ทุกวันนี้ สิ่งที่เราทำคือสแกนพลังงานเวทย์มนตร์ของคุณและลงทะเบียนเท่านั้นค่ะ”

 

พนักงานต้อนรับปิดการสนทนาโดยอธิบายพื้นฐานของการผจญภัย และด้วยเหตุนี้ทุกอย่างจึงเสร็จสิ้น พวกเราเป็นนักผจญภัย พร้อมที่จะออกเดินทางและทำงานแล้ว

 

“ตื่นได้แล้วเลฟี่ เขาพูดจบแล้ว” ผมเขย่าเลฟี่ที่หลับไปเพราะความเบื่อหน่าย

“Mmrrphh…” เธอขยี้ตาและค่อยๆตื่นขึ้นมาอย่างช้าๆ ท่าทางที่น่ารักนั้นทำให้เกิดรอยยิ้มเล็กๆบนใบหน้าของผม

 

“การ์ดใบนี้จะทำให้พวกเธอเข้าออกเมืองได้อย่างอิสระ งั้นเราเอาการ์ดชั่วคร่าวอันนั้นไปคืนทหารที่หน้าประตูกันดีกว่า”

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+