Maou ni Nattanode, Dungeon Tsukutte Jingai Musume to Honobono Suru 63 ตราเวทมนต์

Now you are reading Maou ni Nattanode, Dungeon Tsukutte Jingai Musume to Honobono Suru Chapter 63 ตราเวทมนต์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ถ้าจำไม่ผิดเธอบอกว่าพวกเธอรับซื้อซากมอนเตอร์สินะ?” ผมถามพนักงานต้อนรับ

 

“ใช่คะ”

 

ถ้าจะให้พูด ผมก็รู้สึกแย่อยู่ที่ไปใช้เงินของผู้กล้าเยอะขนาดนั้น ผมเลยน่าจะใช้โอกาศนี้หาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองซักหน่อย ผมเตรียมที่จะเอื้อมมือเข้าไปหยิบของในไอเท็มบ๊อก แต่ก็หยุดการทำงานของสกิลเอาไว้

 

“นี้ เนลล์ มนุษย์คิดยังไงกับไอเท็มบ๊อกหรอ?” ผมเอนตัวไปทางผู้กล้าและกระซิบถาม

“ไอเท็มบ๊อก? อ๋อ หมายถึงเวทเก็บของนะหรอ?”

“ก็ประมาณนั้นแหละ”

“ถึงจะหายากไปหน่อย แต่ถ้าเป็นคนที่มีค่าสัมพันกันก็ใช้ได้นะ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหรอก”

 

เยี่ยม จะได้ใช้ได้เต็มเนี่ยวไม่ต้องกั๊ก ผมเปิดใช้งานสกิลและเริ่มควานหาของที่จะมาขาย เอาอะไรดีน้า… ของที่ผมออกล่ากับฟิร์คงเอามาขายไม่ได้ พวกนั้นมันอร่อยเกินไปละนะ เอามาขายไปคงเสียเปล่าหมด เอาเป็นพวกที่ผมจัดการได้ในหมัดเดียวล่ะกัน

 

ผมหยิบศพมอนมาจำนวนนึงแล้ววางลงบนเคาเตอร์

 

“ล-ลูกพี่ เห็นนั้นหรือเปล่านะ? หมอนั้นพึ่งจะหยิบเสือโคร่งออกมาด้วย!”

“ยังไม่หมดแค่นั้น มันมีหมีกระหายเลือดด้วยว่ะ!”

“เชี่ย! นั้นมัน มาร์โมโดลติส(Marmodoltis)!” [TL:ตัวไรมิรุ ทางอิงยังมิรุ้เลยว่าเป็นตัวอะไร]  

 

คนบางส่วนที่มองมาทางผมออกอาการตกใจ ทำให้เกิดความสนใจที่มากขึ้น ไม่นานแทบทั้งกิลด์ก็เพ่งความสนใจมาที่ผม

 

“ฟุฟุ” ผมกอดอก ผมยิ้มและมองไปยังเหล่าผู้คนที่กำลังตกตระลึงกันอยู่  จงดูไว้ซะเจ้าพวกต่ำต้อย และรับรู้ถึงความต่างชั้นของพลังซะ Mwahahahaha!

 

“หยุดทำตัวงี่เง่าได้แล้วยูกิ ทำธุระของเจ้าให้เสร็จ เราจะได้ไปกันซักที”

“โธ่เอ๊ย…ช่วยอย่าขัดตอนคนเขากำลังมีความสุขจะได้ไหมนิเลฟี่ ซักนิดซักหน่อยไม่เห็นจะเป็นไรเลย?”

“จ้า จ๊ะ ตามใจเจ้าเลย แต่ช่วยรีบๆหน่อย เราเบื่อที่นี้เต็มทนแล้ว”

“ก็ได้…” ผมหันไปทางพนักงานที่อ้าปากตาค้างอยู่ “คือ ช่วยคิดเป็นเงินทีครับ?”

“ด-ได้ค่ะ ซักครู่นะคะ” พนักงานกลับเป็นปกติก่อนจะไปหยิบถุงเงินมาให้ผม “ข-ขอบคุณที่รอค่ะ นี้ค่ะ”

“เยี่ยม ขอบคุณนะ”

“ข-ขอบคุณที่มาใช้บริการค่ะ! ครั้งหน้ามาใหม่นะคะ!” ผมเห็นพนักงานต้อนรับก้มโค้งให้ก่อนที่จะเดินออกมา

 

***

 

“เนลล์ รับ”

“หือ? อ๊ะ!?”

 

ผมแบ่งเงินเป็นครึ่งต่อครึ่ง เก็บไว้ในไอเท็มบ๊อกครึ่งนึง อีกครึ่งก็ให้ผู้กล้าไป

 

“เพื่ออะไรเนี่ย?”

“ก็ที่เราซื้อของนู้นนั้นในตอนที่เดินเล่นในเมืองไปไง?”

“ตอนนั้นนะหรอ!? ต-แต่นี้มันมากกว่าที่ฉันใช้ไปอีกนะ!”  

“ก็ ชั้นไม่ได้จะเอาไปใช้ทำอะไรอย่างอื่่นอีกแล้ว ที่เกินๆไปก็คิดซะว่าเป็นค่าพาเดินทัวร์เมืองและสอนเรื่องของมนุษย์ก็แล้วกัน”

“จริงหรอ? แน่ใจนะว่าจะไม่ขอคืนที่หลังนะ?”

“เอาไปเถอะน่า”

 

“ขอบคุณมากนะ!” ผู้กล้าลนลานพลางเกือบจะทำกระเป๋าตกในตอนที่นางกำลังหาจุดที่จะใส่เงินอยู่ แปลกแหะ ไอเราก็นึกว่าหล่อนมีปัญหาเรื่องเงินหรืออะไรซักอีก

 

ถึงเธอจะแข็งแกร่งพอที่จะจัดการมอนเตอร์ที่ผมเพิ่งขายไปได้อย่างง่ายๆ แต่เธอก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ชินกับการมีเงินเยอะๆติดตัว

 

“จริงสิ ตกลงเจ้านี้มันคืออะไรนะ?” ผมหยิบการ์ดที่ได้จากกิลด์มาและชี้ไปที่ลวดลายที่สลักไว้

“มันคือตราเวทมนต์ของนายนะ ตราของนายมันสะท้อนถึงคลื่นพลังเวท และทุกคนจะมีแตกต่างกัน ตัวตรามันจะเรืองแสงหน่อยๆด้วยนะถ้านายใส่พลังเวทลงไป”

“งั้นหรอ?” ผมลองทำตามที่เธอบอกดูและมันก็เรืองแสงจริงๆ

“มันจะเรืองแสงต่อเมื่อเป็นพลังเวทของเจ้าของเท่านั้น ดังนั้นจะปลอมแปลงเป็นใครไม่ได้หรอกนะ”

“น่าประทับใจแหะ แล้วถ้าเกิดเป็นพวกที่ไม่มีพลังเวทล่ะ?”

“พูดอะไรของนายนะ? ทุกคนเขาก็มีพลังเวทกันหมดนั้นแหละ” ผู้กล้ามองผมด้วยความสงสัย

 

“ถ้าจะให้อธิบายในสิ่งที่นายพูดละก็ ใกล้เคียงสุดคงเป็นพวกที่คุมพลังเวทตัวเองไม่ได้นั้นแหละ พวกนั้นเป็นข้อยกเว้น และจะมีการ์ดพิเศษเป็นของตัวเอง”

 

โอ้ มนุษย์ในโลกนี้มีวิทยาการที่ไกลกว่าที่ผมคาดแหะ คงต้องให้เครดิตมากกว่านี้ซักหน่อยแล้ว

 

“งั้น ทุกทีก็เป็นแบบนี้หมดเลยหรอ?”

“ก็ไม่หรอก ที่เมืองนี้นะเป็นที่เดียวที่มีการจัดการที่ดีแบบนี้ ที่อื่นหละหลวมกว่านี้อีก”

 

เหมือนจะไม่ใช่แหะ อย่างนี้เจ้าเมืองที่เจอก่อนหน้าต้องเป็นผู้ปกครองที่เก่งเอาเรื่องเลยนะเนี่ย

 

“แล้วเจ้าตรานี้มันมีความหมายอะไรไหม?”

“มีคนเคยว่าไว้ว่ามันหมายถึงธาตุที่แต่ละคนถนัด แต่ก็ไม่มีใครมายืนยันอย่างชัดเจน เพราะตัวตรามันไม่ได้แสดงอะไรออกมาชัดเจนละนะ”

 

หืมมม… คงจะเป็นอย่างนั้นแหละนะ ผมเก่งในเวทน้ำ ตัวตราเลยออกจะคล้ายๆกับ 水, ตัวคันจิที่หมายถึงน้ำ, และ 川, คันจิที่หมายถึงแม่น้ำ ผมออกจะชอบตราของตัวเองแหะ เดี่ยวลอกสลักลงบนอาวุธที่จะสร้างบ้างดีกว่า

 

“แล้วของเธอเป็นยังไงหรอเลฟี่?” ผมหันไปทางมังกรสาวที่อยู่ข้างๆ

“เจ้าดูเอาเองเลย” เลฟี่หยิบกิลด์การ์ดออกมาจากกระเป๋าเดรสแล้วยื่นให้ผม

“นี้มัน… ไฟ…?”

“ใช่ ถึงเราจะไม่เคยแสดงให้ดุ แต่ธาตุที่เราถนัดที่สุดคือเปลวเพลิงละนะ”

“พอคิดๆดูชั้นก็ไม่ค่อยเห็นเธอใช้ไฟจริงๆนั้นแหละ”

“เราแค่ยังไม่เห็นโอกาศที่จะแสดงมันออกมาก็เท่านั้น” เลฟี่ยิ้มออกมา “ไฟ โดยธรรมชาติ เป้าหมายของมันมีแค่การเผาและทำลาย เจ้ามีความเข้ากันได้สูงในธาตุดินและน้ำ และเราก็คิดว่าการสอนในด้านที่เจ้าถนัดนั้นจะได้ผลลัพที่ดีกว่า”

 

“ไม่รู้สิ เลฟี่ ชั้นคิดว่าไฟมันมีดีมากกว่าการทำลายนะ ชั้นรู้สึกว่ามันเท่ และให้ความรู้สึกถึงแรกผลักดันและความอบอุ่นด้วย”

“จริงหรือ?” เลฟี่ผงะเล็กน้อย

“ก็จริงนะสิ เธอก็คือเธอนี้น่าเลฟี่ ชั้นมั่นใจว่ามันต้องเป็นไฟที่อบอุ่นอย่างแน่นอน”

 

เลฟี่ยิ้มอย่างพึงพอใจก่อนจะเร่งฝีเท้ามาเดินเทียบเท่ากับผม

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Maou ni Nattanode, Dungeon Tsukutte Jingai Musume to Honobono Suru 63 ตราเวทมนต์

Now you are reading Maou ni Nattanode, Dungeon Tsukutte Jingai Musume to Honobono Suru Chapter 63 ตราเวทมนต์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ถ้าจำไม่ผิดเธอบอกว่าพวกเธอรับซื้อซากมอนเตอร์สินะ?” ผมถามพนักงานต้อนรับ

 

“ใช่คะ”

 

ถ้าจะให้พูด ผมก็รู้สึกแย่อยู่ที่ไปใช้เงินของผู้กล้าเยอะขนาดนั้น ผมเลยน่าจะใช้โอกาศนี้หาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองซักหน่อย ผมเตรียมที่จะเอื้อมมือเข้าไปหยิบของในไอเท็มบ๊อก แต่ก็หยุดการทำงานของสกิลเอาไว้

 

“นี้ เนลล์ มนุษย์คิดยังไงกับไอเท็มบ๊อกหรอ?” ผมเอนตัวไปทางผู้กล้าและกระซิบถาม

“ไอเท็มบ๊อก? อ๋อ หมายถึงเวทเก็บของนะหรอ?”

“ก็ประมาณนั้นแหละ”

“ถึงจะหายากไปหน่อย แต่ถ้าเป็นคนที่มีค่าสัมพันกันก็ใช้ได้นะ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหรอก”

 

เยี่ยม จะได้ใช้ได้เต็มเนี่ยวไม่ต้องกั๊ก ผมเปิดใช้งานสกิลและเริ่มควานหาของที่จะมาขาย เอาอะไรดีน้า… ของที่ผมออกล่ากับฟิร์คงเอามาขายไม่ได้ พวกนั้นมันอร่อยเกินไปละนะ เอามาขายไปคงเสียเปล่าหมด เอาเป็นพวกที่ผมจัดการได้ในหมัดเดียวล่ะกัน

 

ผมหยิบศพมอนมาจำนวนนึงแล้ววางลงบนเคาเตอร์

 

“ล-ลูกพี่ เห็นนั้นหรือเปล่านะ? หมอนั้นพึ่งจะหยิบเสือโคร่งออกมาด้วย!”

“ยังไม่หมดแค่นั้น มันมีหมีกระหายเลือดด้วยว่ะ!”

“เชี่ย! นั้นมัน มาร์โมโดลติส(Marmodoltis)!” [TL:ตัวไรมิรุ ทางอิงยังมิรุ้เลยว่าเป็นตัวอะไร]  

 

คนบางส่วนที่มองมาทางผมออกอาการตกใจ ทำให้เกิดความสนใจที่มากขึ้น ไม่นานแทบทั้งกิลด์ก็เพ่งความสนใจมาที่ผม

 

“ฟุฟุ” ผมกอดอก ผมยิ้มและมองไปยังเหล่าผู้คนที่กำลังตกตระลึงกันอยู่  จงดูไว้ซะเจ้าพวกต่ำต้อย และรับรู้ถึงความต่างชั้นของพลังซะ Mwahahahaha!

 

“หยุดทำตัวงี่เง่าได้แล้วยูกิ ทำธุระของเจ้าให้เสร็จ เราจะได้ไปกันซักที”

“โธ่เอ๊ย…ช่วยอย่าขัดตอนคนเขากำลังมีความสุขจะได้ไหมนิเลฟี่ ซักนิดซักหน่อยไม่เห็นจะเป็นไรเลย?”

“จ้า จ๊ะ ตามใจเจ้าเลย แต่ช่วยรีบๆหน่อย เราเบื่อที่นี้เต็มทนแล้ว”

“ก็ได้…” ผมหันไปทางพนักงานที่อ้าปากตาค้างอยู่ “คือ ช่วยคิดเป็นเงินทีครับ?”

“ด-ได้ค่ะ ซักครู่นะคะ” พนักงานกลับเป็นปกติก่อนจะไปหยิบถุงเงินมาให้ผม “ข-ขอบคุณที่รอค่ะ นี้ค่ะ”

“เยี่ยม ขอบคุณนะ”

“ข-ขอบคุณที่มาใช้บริการค่ะ! ครั้งหน้ามาใหม่นะคะ!” ผมเห็นพนักงานต้อนรับก้มโค้งให้ก่อนที่จะเดินออกมา

 

***

 

“เนลล์ รับ”

“หือ? อ๊ะ!?”

 

ผมแบ่งเงินเป็นครึ่งต่อครึ่ง เก็บไว้ในไอเท็มบ๊อกครึ่งนึง อีกครึ่งก็ให้ผู้กล้าไป

 

“เพื่ออะไรเนี่ย?”

“ก็ที่เราซื้อของนู้นนั้นในตอนที่เดินเล่นในเมืองไปไง?”

“ตอนนั้นนะหรอ!? ต-แต่นี้มันมากกว่าที่ฉันใช้ไปอีกนะ!”  

“ก็ ชั้นไม่ได้จะเอาไปใช้ทำอะไรอย่างอื่่นอีกแล้ว ที่เกินๆไปก็คิดซะว่าเป็นค่าพาเดินทัวร์เมืองและสอนเรื่องของมนุษย์ก็แล้วกัน”

“จริงหรอ? แน่ใจนะว่าจะไม่ขอคืนที่หลังนะ?”

“เอาไปเถอะน่า”

 

“ขอบคุณมากนะ!” ผู้กล้าลนลานพลางเกือบจะทำกระเป๋าตกในตอนที่นางกำลังหาจุดที่จะใส่เงินอยู่ แปลกแหะ ไอเราก็นึกว่าหล่อนมีปัญหาเรื่องเงินหรืออะไรซักอีก

 

ถึงเธอจะแข็งแกร่งพอที่จะจัดการมอนเตอร์ที่ผมเพิ่งขายไปได้อย่างง่ายๆ แต่เธอก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ชินกับการมีเงินเยอะๆติดตัว

 

“จริงสิ ตกลงเจ้านี้มันคืออะไรนะ?” ผมหยิบการ์ดที่ได้จากกิลด์มาและชี้ไปที่ลวดลายที่สลักไว้

“มันคือตราเวทมนต์ของนายนะ ตราของนายมันสะท้อนถึงคลื่นพลังเวท และทุกคนจะมีแตกต่างกัน ตัวตรามันจะเรืองแสงหน่อยๆด้วยนะถ้านายใส่พลังเวทลงไป”

“งั้นหรอ?” ผมลองทำตามที่เธอบอกดูและมันก็เรืองแสงจริงๆ

“มันจะเรืองแสงต่อเมื่อเป็นพลังเวทของเจ้าของเท่านั้น ดังนั้นจะปลอมแปลงเป็นใครไม่ได้หรอกนะ”

“น่าประทับใจแหะ แล้วถ้าเกิดเป็นพวกที่ไม่มีพลังเวทล่ะ?”

“พูดอะไรของนายนะ? ทุกคนเขาก็มีพลังเวทกันหมดนั้นแหละ” ผู้กล้ามองผมด้วยความสงสัย

 

“ถ้าจะให้อธิบายในสิ่งที่นายพูดละก็ ใกล้เคียงสุดคงเป็นพวกที่คุมพลังเวทตัวเองไม่ได้นั้นแหละ พวกนั้นเป็นข้อยกเว้น และจะมีการ์ดพิเศษเป็นของตัวเอง”

 

โอ้ มนุษย์ในโลกนี้มีวิทยาการที่ไกลกว่าที่ผมคาดแหะ คงต้องให้เครดิตมากกว่านี้ซักหน่อยแล้ว

 

“งั้น ทุกทีก็เป็นแบบนี้หมดเลยหรอ?”

“ก็ไม่หรอก ที่เมืองนี้นะเป็นที่เดียวที่มีการจัดการที่ดีแบบนี้ ที่อื่นหละหลวมกว่านี้อีก”

 

เหมือนจะไม่ใช่แหะ อย่างนี้เจ้าเมืองที่เจอก่อนหน้าต้องเป็นผู้ปกครองที่เก่งเอาเรื่องเลยนะเนี่ย

 

“แล้วเจ้าตรานี้มันมีความหมายอะไรไหม?”

“มีคนเคยว่าไว้ว่ามันหมายถึงธาตุที่แต่ละคนถนัด แต่ก็ไม่มีใครมายืนยันอย่างชัดเจน เพราะตัวตรามันไม่ได้แสดงอะไรออกมาชัดเจนละนะ”

 

หืมมม… คงจะเป็นอย่างนั้นแหละนะ ผมเก่งในเวทน้ำ ตัวตราเลยออกจะคล้ายๆกับ 水, ตัวคันจิที่หมายถึงน้ำ, และ 川, คันจิที่หมายถึงแม่น้ำ ผมออกจะชอบตราของตัวเองแหะ เดี่ยวลอกสลักลงบนอาวุธที่จะสร้างบ้างดีกว่า

 

“แล้วของเธอเป็นยังไงหรอเลฟี่?” ผมหันไปทางมังกรสาวที่อยู่ข้างๆ

“เจ้าดูเอาเองเลย” เลฟี่หยิบกิลด์การ์ดออกมาจากกระเป๋าเดรสแล้วยื่นให้ผม

“นี้มัน… ไฟ…?”

“ใช่ ถึงเราจะไม่เคยแสดงให้ดุ แต่ธาตุที่เราถนัดที่สุดคือเปลวเพลิงละนะ”

“พอคิดๆดูชั้นก็ไม่ค่อยเห็นเธอใช้ไฟจริงๆนั้นแหละ”

“เราแค่ยังไม่เห็นโอกาศที่จะแสดงมันออกมาก็เท่านั้น” เลฟี่ยิ้มออกมา “ไฟ โดยธรรมชาติ เป้าหมายของมันมีแค่การเผาและทำลาย เจ้ามีความเข้ากันได้สูงในธาตุดินและน้ำ และเราก็คิดว่าการสอนในด้านที่เจ้าถนัดนั้นจะได้ผลลัพที่ดีกว่า”

 

“ไม่รู้สิ เลฟี่ ชั้นคิดว่าไฟมันมีดีมากกว่าการทำลายนะ ชั้นรู้สึกว่ามันเท่ และให้ความรู้สึกถึงแรกผลักดันและความอบอุ่นด้วย”

“จริงหรือ?” เลฟี่ผงะเล็กน้อย

“ก็จริงนะสิ เธอก็คือเธอนี้น่าเลฟี่ ชั้นมั่นใจว่ามันต้องเป็นไฟที่อบอุ่นอย่างแน่นอน”

 

เลฟี่ยิ้มอย่างพึงพอใจก่อนจะเร่งฝีเท้ามาเดินเทียบเท่ากับผม

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+