Maou ni Nattanode, Dungeon Tsukutte Jingai Musume to Honobono Suru 44 ความเปลี่ยนแปลงในค่าสถานะ

Now you are reading Maou ni Nattanode, Dungeon Tsukutte Jingai Musume to Honobono Suru Chapter 44 ความเปลี่ยนแปลงในค่าสถานะ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เอาล่ะ ได้เวลาตรวจสอบว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างล่ะ”

 

ผมนั่งลงบนบัลลังเหมือนทุกทีและเปิดหน้าต่างดันเจี้ยนขึ้นมา

 

เท่าที่ดูมันก็ยังไม่มีอะไรสำคัญเปลี่ยนไปมาก แต่ก็มีเพิ่มมาบ้าง อย่าง ผมสามารถอัญเชิญมอนตัวใหม่ได้ สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกเพิ่มเติมได้ และเสกของใหม่ได้ หรือก็คือ ผมได้รายการของเพิ่มมากขึ้นจากที่แต่ก่อนมันปิดเอาไว้ ก็ดูเหมือนว่าตัวดันเจี้ยนมันจะอัพเลเวลขึ้นมาจริงๆจากการสะสมค่า DP ไประดับหนึ่ง

 

ผมเอาค่า DP ไปลงในส่วนขยายอาณาเขตดันเจี้ยนทันที รายได้ที่ผมได้จากพวกมอนเตอร์ที่มาเดินเรร่อนอยู่ในอาณาเขตผมก็ไม่ได้แย่เลย และพวกมันก็ไม่ได้ส่งผลเสียอะไรด้วย

 

“ดูเหมือนพลังเวทในตัวเจ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นนิ เป็นตั้งแต่ตอนไหนงั้นรึ?”

 

เลฟี่เอียงคอด้วยความสงสัยพลางจ้องมาที่ผม ยัยมังกรสาวนี้หลับตั้งแต่กินมื้อเช้าเสร็จ เธอจึงมาเริ่มรู้สึกตัวเอาตอนนี้

 

“เมื่อคืนละมั้ง น่าจะเกิดในช่วงที่ชั้นกำลังหลับพอดีนะ”

“ก็คงเป็นอย่างนั้นสินะ” เธอพยักหน้าก่อนมองตรวจสอบผม แล้วก็พูดต่อ “น่าสนใจดีนิ เราไม่รู้เลยนะว่ามีเผ่าจอมมารอยู่ด้วย”

“จริงหรอ? ชั้นคิดว่าเธอจะรู้อยู่แล้วซะอีก”

“เราไม่ค่อยจะไปตรวจสอบหน้าสถานะคนอื่นเขาเท่าไหร่เพราะมันไม่ค่อยจำเป็นนะ”

 

ก็ไม่แปลกล่ะนะ กับมังกรที่แข็งแกร่งอย่างเลฟี่ เธอคงไม่คิดจะสนใจกับศัตรูที่เข้ามาหามากนักหรอก

 

“จริงด้วยสิ เลฟี่ เธอเคยเกิดการวิวัฒนาการบ้างหรือปล่าว?”

“ไม่ล่ะ การวิวัฒนาการนะมีอยู่เพื่อให้สิ่งมีชีวิตระดับต่ำนั้นแข็งแกร่งขึ้น และหลบหนีจากพันธนาการที่ถูกล่ามเอาไว้ ในส่วนของเราที่เป็นเผ่ามังกรโบราณที่แข็งแกร่งที่สุด เท่าที่เราจำได้ ก็ไม่มีรูปร่างไหนให้เราวิวัฒนาการไปได้อีกนะ”

 

โอ้ เข้าใจล่ะ ก็คือเธอเกิดมาเวล 1 แต่พลัง 999 จากปกติเวล 1 พลัง 10 สินะ

 

“แต่ถึงยังไงซะ ก็ไม่ใช่ว่าเราจะวิวัฒนาการไม่ได้ มันอาจเป็นเพราะเรายังไม่ผ่านเงื่อนไขบ้างอย่างก็เป็นได้”

“อืมมม… ก็นะ ชั้นว่าเลเวลขนาดนี้ก็คงจะสุดแล้วล่ะมั้ง”

“เรามีพลังขนาดนี้มาเป็นทศวรรษแล้ว ถ้าจะให้แข็งแกร่งไปกว่านี้ก็คงยากแล้วหล่ะ อาจจะต้องใช้เวลาไปอีกเป็นพันปีเลยก็เป็นได้ถึงจะมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นมานิดหน่อย”

 

เป็นพันปีเลยหรอ? ผมคงตายก่อนแหง เอ่ออ ที่จริงแล้ว ก็คงเป็นไปได้มั้ง รู้สึกช่วงชีวิตผมจะอยู่ไปถึงนะ ถ้าถึงแล้วมันเกิดขึ้นจริงละก็ ผมจะจัดปาร์ตี้ชุดใหญ่ให้เธอไปเลย

 

“แต่เราก็แปลกในจะที่รูปร่างหน้าตาเจ้ายังคงเหมือนเดิมหลังจากการวิวัฒนาการแล้วนะ”

“ตามปกติมันต้องมีการเปลี่ยนแปลงหรอ?”

“ก็คงยังงั้น พวกมอนเตอร์มันจะมีเขี้ยวหรือเขางอกเพิ่มขึ้นมา ในส่วนพวกที่คล้ายมนุษย์เช่นเจ้า จะมีความเปลี่ยนแปลงในสีตาและสีผม บ้างเท่าที่เราเคยพบมา ก็มีปีศาจที่มีหนวด(เทนทาเคิล)และเขี้ยวงอกออกมาจากร่างกายด้วยละ”

 

สีหน้าเลฟี่แสดงออกถึงความรังเกลียด

 

“การโจมตีด้วยหนวดของมันทั้งลื่นและน่าขยะแขยงมากเลยละ เป็นไปได้ก็ไม่อยากจะเจออะไรแบบนั้นอีกแล้วละ”

 

ผมเผลอไปจินตนาการตามที่เลฟี่อธิบาย โชคดีที่ทางผมไม่มีอะไรแบบนั้นออกมา เพราะปกติผมก็ไม่ชอบอะไรที่มันมีขาเยอะๆอยู่แล้ว แค่เห็นก็หลอนแดกแล้ว

 

ผมลองเช็คร่างกายตัวเองอีกรอบว่าไม่ได้มีหนวดลื่นๆเหนียวๆงอกออกมา แล้วก็นึกขึ้นได้ว่ายังมีอีกส่วนที่ผมไม่ได้เช็ค ปีกของผมเอง

 

พูดตรงๆผมก็รู้สึกลังเลที่จะเช็คดูมันนะ เพราะผมรู้สึกได้ว่ามันต้องมีอะไรเปลี่ยนไปแน่นอน และผมก็กลัวว่าไอสิ่งที่เพิ่มขึ้นมามันจะทำให้ผมรู้สึกอยากจะตัดไอส่วนนั้นออกไปจากร่างกายแต่ถึงยังไงผมก็ต้องเอามันออกมาตรวจสอบดูอยู่ดี

 

และผมก็ลุกจากบัลลังและกางปีกออก

 

“เดี๋ยวนะ มันมีปีกอีกคู่เพิ่มขึ้นมาหรอ…?”

 

ปีกของผมเป็นส่วนเดียวที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ณ ตอนนี้ผมก็มีปีกสองคู่แล้ว

 

เจ้าคู่ใหม่ดูแตกต่างจากคู่เก่าเล็กน้อย สีของมันออกน้ำตาลอ่อนแดง ความประทับใจแรกเลยคือผมบอกไม่ถูกว่ามันเป็นปีกค้างคาวหรือปีกมังกร แต่มันก็ไม่ได้ดูแย่เลย ออกจะดูดีด้วยซ้ำ  

 

ขอบคุณพระเจ้าที่ผมไม่ได้มีหนวดงอกขึ้นมา

 

ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก

 

“ก็ไม่ได้แย่เลยแหะ คิดว่าไง เลฟี่?”

 

ผมหันไปทางเธออย่างภูมิใจ แต่ก็พบกับเลฟี่ที่นิ่งอยู่กับที่

 

“เอ่อ… เลฟี่…? วอ 1 ถึงเลฟี่ ได้ยินแล้วตอบด้วย?”

“ป-ปีกของเจ้ามัน…”

“เอ่อออ…อะไรนะ?”

“ท-ทำไมเจ้าถึงเก็บปีกอันสวยงามนี้เอาไว้แทนที่จะแสดงออกมากันเล่า!?” จู่ๆเธอก็ตะโกนออกมา

“โหว้! จ-ใจเยนก่อนสิ เลฟี่! แล้วก็หยุดจับปีกชั้นได้แล้ว มันจักจี๊นะ!”

 

ผมถอยหลังไปสอง-สามก้าว

 

“ท-ทำไมละ!? เราก็แค่จับมันเอง! มันก็ไม่ได้ผิดอะไรนิ ใช่ไหมละ? ขอละนะ? แค่ให้เราจับเอง!? ขอร้องละ!”

 

เลฟี่เริ่มหอบอย่างหนักขณะที่เธอเอื้อมมือไปที่ปีกของผมอีกครั้ง แก้มของเธอก็เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรือก

 

“หยุดเลยนะ! อย่างน้อยก็หยุดทำนิ้วกระดิกไปมาแบบนั้นได้แล้ว! มันโคตรแปลกลยโว๊ย!”

 

ผมเอามือดันหน้าเธอออกไป

 

“มาหยุดเราทำไมอะ!? แค่นวยหน่อยจะเป็นไรกันเชียว!?”

“เอาเรื่องจับนะไม่ว่าหรอกเฟ๊ย! แต่ไอปัญหาคือเธอทำตัวเป็นตาแก่ลามกต่างหากเล่า!”

 

และก็แน่นอน ๆม่มีทางที่แรงผมจะสามารถต่อกรกับพลังของมังกรชั้นสูงได้ เธอก็ค่อยๆใกล้เข้ามาอย่างช้าๆ

 

“ปั๊ดโถ่เว้ย ยัยบ้าคลั่งปีกนี่! โอเค ก็ได้! ชั้นจะให้เธอจับ แต่เธอต้องใจเย็นลงก่อน!”

 

ผมยอมแพ้ มันไม่มีทางหยุดเธอได้เลย

 

“ก็ได้ เราจะทำตามที่ขอ”  

 

ให้ตายสิยัยเลฟี่นี้…

 

“และเธอก็ต้องให้ชั้นจับปีกเธอด้วย มันไม่แฟร์ที่เธอได้จับอยู่คนเดียว” ผมพูดเพิ่มเข้าไป

 

อย่างน้อยเธอก็คงไม่ทำอะไรแปลกๆอีกถ้าผมได้จับของเธอด้วย

 

“ก-ก็ได้ งั้นก็รีบๆให้เราจับปีกของเจ้าได้แล้ว”

 

เธอดูอายหน่อยๆ แต่เธอก็ยอมและแสดงปีกออกมา เช่นเดียวกับสีผมขอเธอ เป็นปีกที่ส่องประกายแสงสีเงินออกมา ถ้าให้พูดตรงๆผมก็อย่างจะขอจับปีกของเธอมาตลอด แต่ก็ไม่เคยมีโอกาศ จนกระทั้งตอนนี้  

 

“สวยดีนะ”

 

ผมรู้สึกเหมือนทุกครั้งที่ได้เห็นมัน เป็นความรู้สึกประทับใจที่ไม่เคยเปลี่ยนเลย

 

“ง-งั้นหรอ?” เลฟี่ออกอาการอายมากกว่าเดิม “ป-ปีกของเจ้าก็ใช้ได้เลยนิ เป็นปีกที่น่าประทับใจที่สุดเท่าที่เราเคยพบเห็นมาเลยละ”

“ข-ขอบคุณ”

 

เรายื่นมือไปที่ปีกของอีกฝ่ายอย่างเก้ๆกังๆ

 

โว้

 

ปีกของเลฟี่นุ่มและเนียนดุจดังผ้าไหม ผมรู้สึกได้ถึงความดึงดูดทันที่ที่จับมัน จนแทบไม่อยากจะปล่อยไปอีกเลย  

 

ผมอยากจะซบหน้าลงปแล้วหลับตาลง แค่จับก็รู้สึกดีขนาดที่ว่าถ้าผมได้หลับลงบนปีกพวกนี้ผมคงหลับลึกถึงสวรรค์แน่

 

“Nnn…” เลฟี่ถอนหายใจอย่างมีเสน่ห์ “ร-เราก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะที่เจ้าจับนะ แต่… ช่วยอ่อนโยนกว่านี้อีกนิดจะได้ไหม…?”

“อ-เอ่อ… โทษทีนะ”

 

ดูเหมือนว่าปีกของเธอจะไวต่อความรู้สึกไม่ต่างจากผมเลย เธอครางออมาทุกครั้งที่นิ้วของผมไปสัมผัสโดนมัน

 

มันก็ใช้เวลาไม่นานเลยที่เราทั้งสองลืมสิ่งรอบตัวนอกจากตัวเอง เธอก็จับปีกของผมต่อไป ผมก็จับของเธอ ดังกับว่าเราอยู่ในโลกส่วนตัวของกันและกัน

 

ลมหายใจของผมเริ่มจะไม่เป็นจังหวะมากขึ้น ทางฝั่งเลฟี่ก็เช่นกัน

 

ในที่สุดผมก็ดึงสติออกมาจากปีกของเธอ และมองปที่หน้าเธอ ทางเลฟี่ก็มองมาทางผมกลับมาเช่นกัน

 

ดวงตาของเธอดูใสและแก้มก็แดงเท่าที่มันจะแดงได้

 

“…”

 

เรายังคงจ้องตากันโดยไม่พูดอะไร ผมไม่อาจละสายตาจากใบหน้าอันหน้าหลงใหลของเธอได้เลย

 

ผมเอามือที่จับปีกออกมาข้างหนึ่งและเลื่อนไปที่แก้มของเธอ

 

“เอ่ออ…”

 

มีเสียงที่เราสองคนไม่คาดคิดโผล่ออกมา ทำเราทำคู่ตกใจกันหมด

 

“ถ้าจะทำเรื่องลามกกันกรุณาช่วยละตอนกลางวันแบบนี้ได้ไหมคะ? ถ้าเป็นไปได้ฉันอยากให้ทำตอนที่พวกเราหลับกันหมดแล้วจะดีมากเลยค่ะ”

 

เลล่ามองเราอย่างตำนิ

 

“ธ-เธอเข้าใจผิดไปหมดแล้ว!”

“จ-เจ้าเข้าใจผิดแล้ว! เราไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นซักหน่อย!”

 

เลฟี่และผมปลีกตัวออกจากกันและตะโกนแก้ต่างกันทันที ทำให้ทั้งห้องโถงเต็มไปด้วยคำพูดแก้ต่างของตน

 

 

TL:ถ้าผมตัดคำว่าปีกออกหมดทุกประโยคแล้วเว้นเป็นช่องว่างเอาไว้ มันจะเป็นยังไงกันนะจิ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Maou ni Nattanode, Dungeon Tsukutte Jingai Musume to Honobono Suru 44 ความเปลี่ยนแปลงในค่าสถานะ

Now you are reading Maou ni Nattanode, Dungeon Tsukutte Jingai Musume to Honobono Suru Chapter 44 ความเปลี่ยนแปลงในค่าสถานะ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เอาล่ะ ได้เวลาตรวจสอบว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างล่ะ”

 

ผมนั่งลงบนบัลลังเหมือนทุกทีและเปิดหน้าต่างดันเจี้ยนขึ้นมา

 

เท่าที่ดูมันก็ยังไม่มีอะไรสำคัญเปลี่ยนไปมาก แต่ก็มีเพิ่มมาบ้าง อย่าง ผมสามารถอัญเชิญมอนตัวใหม่ได้ สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกเพิ่มเติมได้ และเสกของใหม่ได้ หรือก็คือ ผมได้รายการของเพิ่มมากขึ้นจากที่แต่ก่อนมันปิดเอาไว้ ก็ดูเหมือนว่าตัวดันเจี้ยนมันจะอัพเลเวลขึ้นมาจริงๆจากการสะสมค่า DP ไประดับหนึ่ง

 

ผมเอาค่า DP ไปลงในส่วนขยายอาณาเขตดันเจี้ยนทันที รายได้ที่ผมได้จากพวกมอนเตอร์ที่มาเดินเรร่อนอยู่ในอาณาเขตผมก็ไม่ได้แย่เลย และพวกมันก็ไม่ได้ส่งผลเสียอะไรด้วย

 

“ดูเหมือนพลังเวทในตัวเจ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นนิ เป็นตั้งแต่ตอนไหนงั้นรึ?”

 

เลฟี่เอียงคอด้วยความสงสัยพลางจ้องมาที่ผม ยัยมังกรสาวนี้หลับตั้งแต่กินมื้อเช้าเสร็จ เธอจึงมาเริ่มรู้สึกตัวเอาตอนนี้

 

“เมื่อคืนละมั้ง น่าจะเกิดในช่วงที่ชั้นกำลังหลับพอดีนะ”

“ก็คงเป็นอย่างนั้นสินะ” เธอพยักหน้าก่อนมองตรวจสอบผม แล้วก็พูดต่อ “น่าสนใจดีนิ เราไม่รู้เลยนะว่ามีเผ่าจอมมารอยู่ด้วย”

“จริงหรอ? ชั้นคิดว่าเธอจะรู้อยู่แล้วซะอีก”

“เราไม่ค่อยจะไปตรวจสอบหน้าสถานะคนอื่นเขาเท่าไหร่เพราะมันไม่ค่อยจำเป็นนะ”

 

ก็ไม่แปลกล่ะนะ กับมังกรที่แข็งแกร่งอย่างเลฟี่ เธอคงไม่คิดจะสนใจกับศัตรูที่เข้ามาหามากนักหรอก

 

“จริงด้วยสิ เลฟี่ เธอเคยเกิดการวิวัฒนาการบ้างหรือปล่าว?”

“ไม่ล่ะ การวิวัฒนาการนะมีอยู่เพื่อให้สิ่งมีชีวิตระดับต่ำนั้นแข็งแกร่งขึ้น และหลบหนีจากพันธนาการที่ถูกล่ามเอาไว้ ในส่วนของเราที่เป็นเผ่ามังกรโบราณที่แข็งแกร่งที่สุด เท่าที่เราจำได้ ก็ไม่มีรูปร่างไหนให้เราวิวัฒนาการไปได้อีกนะ”

 

โอ้ เข้าใจล่ะ ก็คือเธอเกิดมาเวล 1 แต่พลัง 999 จากปกติเวล 1 พลัง 10 สินะ

 

“แต่ถึงยังไงซะ ก็ไม่ใช่ว่าเราจะวิวัฒนาการไม่ได้ มันอาจเป็นเพราะเรายังไม่ผ่านเงื่อนไขบ้างอย่างก็เป็นได้”

“อืมมม… ก็นะ ชั้นว่าเลเวลขนาดนี้ก็คงจะสุดแล้วล่ะมั้ง”

“เรามีพลังขนาดนี้มาเป็นทศวรรษแล้ว ถ้าจะให้แข็งแกร่งไปกว่านี้ก็คงยากแล้วหล่ะ อาจจะต้องใช้เวลาไปอีกเป็นพันปีเลยก็เป็นได้ถึงจะมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นมานิดหน่อย”

 

เป็นพันปีเลยหรอ? ผมคงตายก่อนแหง เอ่ออ ที่จริงแล้ว ก็คงเป็นไปได้มั้ง รู้สึกช่วงชีวิตผมจะอยู่ไปถึงนะ ถ้าถึงแล้วมันเกิดขึ้นจริงละก็ ผมจะจัดปาร์ตี้ชุดใหญ่ให้เธอไปเลย

 

“แต่เราก็แปลกในจะที่รูปร่างหน้าตาเจ้ายังคงเหมือนเดิมหลังจากการวิวัฒนาการแล้วนะ”

“ตามปกติมันต้องมีการเปลี่ยนแปลงหรอ?”

“ก็คงยังงั้น พวกมอนเตอร์มันจะมีเขี้ยวหรือเขางอกเพิ่มขึ้นมา ในส่วนพวกที่คล้ายมนุษย์เช่นเจ้า จะมีความเปลี่ยนแปลงในสีตาและสีผม บ้างเท่าที่เราเคยพบมา ก็มีปีศาจที่มีหนวด(เทนทาเคิล)และเขี้ยวงอกออกมาจากร่างกายด้วยละ”

 

สีหน้าเลฟี่แสดงออกถึงความรังเกลียด

 

“การโจมตีด้วยหนวดของมันทั้งลื่นและน่าขยะแขยงมากเลยละ เป็นไปได้ก็ไม่อยากจะเจออะไรแบบนั้นอีกแล้วละ”

 

ผมเผลอไปจินตนาการตามที่เลฟี่อธิบาย โชคดีที่ทางผมไม่มีอะไรแบบนั้นออกมา เพราะปกติผมก็ไม่ชอบอะไรที่มันมีขาเยอะๆอยู่แล้ว แค่เห็นก็หลอนแดกแล้ว

 

ผมลองเช็คร่างกายตัวเองอีกรอบว่าไม่ได้มีหนวดลื่นๆเหนียวๆงอกออกมา แล้วก็นึกขึ้นได้ว่ายังมีอีกส่วนที่ผมไม่ได้เช็ค ปีกของผมเอง

 

พูดตรงๆผมก็รู้สึกลังเลที่จะเช็คดูมันนะ เพราะผมรู้สึกได้ว่ามันต้องมีอะไรเปลี่ยนไปแน่นอน และผมก็กลัวว่าไอสิ่งที่เพิ่มขึ้นมามันจะทำให้ผมรู้สึกอยากจะตัดไอส่วนนั้นออกไปจากร่างกายแต่ถึงยังไงผมก็ต้องเอามันออกมาตรวจสอบดูอยู่ดี

 

และผมก็ลุกจากบัลลังและกางปีกออก

 

“เดี๋ยวนะ มันมีปีกอีกคู่เพิ่มขึ้นมาหรอ…?”

 

ปีกของผมเป็นส่วนเดียวที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ณ ตอนนี้ผมก็มีปีกสองคู่แล้ว

 

เจ้าคู่ใหม่ดูแตกต่างจากคู่เก่าเล็กน้อย สีของมันออกน้ำตาลอ่อนแดง ความประทับใจแรกเลยคือผมบอกไม่ถูกว่ามันเป็นปีกค้างคาวหรือปีกมังกร แต่มันก็ไม่ได้ดูแย่เลย ออกจะดูดีด้วยซ้ำ  

 

ขอบคุณพระเจ้าที่ผมไม่ได้มีหนวดงอกขึ้นมา

 

ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก

 

“ก็ไม่ได้แย่เลยแหะ คิดว่าไง เลฟี่?”

 

ผมหันไปทางเธออย่างภูมิใจ แต่ก็พบกับเลฟี่ที่นิ่งอยู่กับที่

 

“เอ่อ… เลฟี่…? วอ 1 ถึงเลฟี่ ได้ยินแล้วตอบด้วย?”

“ป-ปีกของเจ้ามัน…”

“เอ่อออ…อะไรนะ?”

“ท-ทำไมเจ้าถึงเก็บปีกอันสวยงามนี้เอาไว้แทนที่จะแสดงออกมากันเล่า!?” จู่ๆเธอก็ตะโกนออกมา

“โหว้! จ-ใจเยนก่อนสิ เลฟี่! แล้วก็หยุดจับปีกชั้นได้แล้ว มันจักจี๊นะ!”

 

ผมถอยหลังไปสอง-สามก้าว

 

“ท-ทำไมละ!? เราก็แค่จับมันเอง! มันก็ไม่ได้ผิดอะไรนิ ใช่ไหมละ? ขอละนะ? แค่ให้เราจับเอง!? ขอร้องละ!”

 

เลฟี่เริ่มหอบอย่างหนักขณะที่เธอเอื้อมมือไปที่ปีกของผมอีกครั้ง แก้มของเธอก็เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรือก

 

“หยุดเลยนะ! อย่างน้อยก็หยุดทำนิ้วกระดิกไปมาแบบนั้นได้แล้ว! มันโคตรแปลกลยโว๊ย!”

 

ผมเอามือดันหน้าเธอออกไป

 

“มาหยุดเราทำไมอะ!? แค่นวยหน่อยจะเป็นไรกันเชียว!?”

“เอาเรื่องจับนะไม่ว่าหรอกเฟ๊ย! แต่ไอปัญหาคือเธอทำตัวเป็นตาแก่ลามกต่างหากเล่า!”

 

และก็แน่นอน ๆม่มีทางที่แรงผมจะสามารถต่อกรกับพลังของมังกรชั้นสูงได้ เธอก็ค่อยๆใกล้เข้ามาอย่างช้าๆ

 

“ปั๊ดโถ่เว้ย ยัยบ้าคลั่งปีกนี่! โอเค ก็ได้! ชั้นจะให้เธอจับ แต่เธอต้องใจเย็นลงก่อน!”

 

ผมยอมแพ้ มันไม่มีทางหยุดเธอได้เลย

 

“ก็ได้ เราจะทำตามที่ขอ”  

 

ให้ตายสิยัยเลฟี่นี้…

 

“และเธอก็ต้องให้ชั้นจับปีกเธอด้วย มันไม่แฟร์ที่เธอได้จับอยู่คนเดียว” ผมพูดเพิ่มเข้าไป

 

อย่างน้อยเธอก็คงไม่ทำอะไรแปลกๆอีกถ้าผมได้จับของเธอด้วย

 

“ก-ก็ได้ งั้นก็รีบๆให้เราจับปีกของเจ้าได้แล้ว”

 

เธอดูอายหน่อยๆ แต่เธอก็ยอมและแสดงปีกออกมา เช่นเดียวกับสีผมขอเธอ เป็นปีกที่ส่องประกายแสงสีเงินออกมา ถ้าให้พูดตรงๆผมก็อย่างจะขอจับปีกของเธอมาตลอด แต่ก็ไม่เคยมีโอกาศ จนกระทั้งตอนนี้  

 

“สวยดีนะ”

 

ผมรู้สึกเหมือนทุกครั้งที่ได้เห็นมัน เป็นความรู้สึกประทับใจที่ไม่เคยเปลี่ยนเลย

 

“ง-งั้นหรอ?” เลฟี่ออกอาการอายมากกว่าเดิม “ป-ปีกของเจ้าก็ใช้ได้เลยนิ เป็นปีกที่น่าประทับใจที่สุดเท่าที่เราเคยพบเห็นมาเลยละ”

“ข-ขอบคุณ”

 

เรายื่นมือไปที่ปีกของอีกฝ่ายอย่างเก้ๆกังๆ

 

โว้

 

ปีกของเลฟี่นุ่มและเนียนดุจดังผ้าไหม ผมรู้สึกได้ถึงความดึงดูดทันที่ที่จับมัน จนแทบไม่อยากจะปล่อยไปอีกเลย  

 

ผมอยากจะซบหน้าลงปแล้วหลับตาลง แค่จับก็รู้สึกดีขนาดที่ว่าถ้าผมได้หลับลงบนปีกพวกนี้ผมคงหลับลึกถึงสวรรค์แน่

 

“Nnn…” เลฟี่ถอนหายใจอย่างมีเสน่ห์ “ร-เราก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะที่เจ้าจับนะ แต่… ช่วยอ่อนโยนกว่านี้อีกนิดจะได้ไหม…?”

“อ-เอ่อ… โทษทีนะ”

 

ดูเหมือนว่าปีกของเธอจะไวต่อความรู้สึกไม่ต่างจากผมเลย เธอครางออมาทุกครั้งที่นิ้วของผมไปสัมผัสโดนมัน

 

มันก็ใช้เวลาไม่นานเลยที่เราทั้งสองลืมสิ่งรอบตัวนอกจากตัวเอง เธอก็จับปีกของผมต่อไป ผมก็จับของเธอ ดังกับว่าเราอยู่ในโลกส่วนตัวของกันและกัน

 

ลมหายใจของผมเริ่มจะไม่เป็นจังหวะมากขึ้น ทางฝั่งเลฟี่ก็เช่นกัน

 

ในที่สุดผมก็ดึงสติออกมาจากปีกของเธอ และมองปที่หน้าเธอ ทางเลฟี่ก็มองมาทางผมกลับมาเช่นกัน

 

ดวงตาของเธอดูใสและแก้มก็แดงเท่าที่มันจะแดงได้

 

“…”

 

เรายังคงจ้องตากันโดยไม่พูดอะไร ผมไม่อาจละสายตาจากใบหน้าอันหน้าหลงใหลของเธอได้เลย

 

ผมเอามือที่จับปีกออกมาข้างหนึ่งและเลื่อนไปที่แก้มของเธอ

 

“เอ่ออ…”

 

มีเสียงที่เราสองคนไม่คาดคิดโผล่ออกมา ทำเราทำคู่ตกใจกันหมด

 

“ถ้าจะทำเรื่องลามกกันกรุณาช่วยละตอนกลางวันแบบนี้ได้ไหมคะ? ถ้าเป็นไปได้ฉันอยากให้ทำตอนที่พวกเราหลับกันหมดแล้วจะดีมากเลยค่ะ”

 

เลล่ามองเราอย่างตำนิ

 

“ธ-เธอเข้าใจผิดไปหมดแล้ว!”

“จ-เจ้าเข้าใจผิดแล้ว! เราไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นซักหน่อย!”

 

เลฟี่และผมปลีกตัวออกจากกันและตะโกนแก้ต่างกันทันที ทำให้ทั้งห้องโถงเต็มไปด้วยคำพูดแก้ต่างของตน

 

 

TL:ถ้าผมตัดคำว่าปีกออกหมดทุกประโยคแล้วเว้นเป็นช่องว่างเอาไว้ มันจะเป็นยังไงกันนะจิ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+