Maou ni Nattanode, Dungeon Tsukutte Jingai Musume to Honobono Suru 61 เยี่ยมชมเมืองครั้งที่สอง

Now you are reading Maou ni Nattanode, Dungeon Tsukutte Jingai Musume to Honobono Suru Chapter 61 เยี่ยมชมเมืองครั้งที่สอง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“วู้! ถึงแล้ว!” ผมร้องตะโกนและยกแขนขึ้นด้วยความตื่นเต้น เมื่อเนลล์ เลฟี่ และผมเข้าใกล้ประตูเมือง  

 

“เอาละ ได้เวลาใช้ชีวิตในเมืองดูบ้างแล้ว!”

 

ผู้คนรอบๆมองมาที่เราและหัวเราะเมื่อเห็นท่าทีของผม พวกเขาคงคิดว่าผมเป็นพวกบ้านนอกเข้ากรุงบ้าๆละมั้ง

 

“อ-เอ่ออ… น-นายช่วยเงียบลงกว่านี้หน่อยได้ไหม? แบบนี้มันน่าอายนะ” ดูเหมือนผู้กล้าก็คิดว่าพฤติกรรมของผมมันไม่เหมาะสมเช่นกัน เธอพยายามสงบผมลงด้วยการกระซิบ แต่ผมก็ไม่สนใจ

“น่าอายงั้นหรอ? เหอะ! แค่การอายนิดๆหน่อยๆนะมาปิดกั้นความรู้สึกที่จะปะทุออกมาจากใจชั้นไม่ได้หรอกนะ!”

“ก็แล้วเราละ…?” ผู้กล้าได้แต่พึมพำและไหล่ตกด้วยความท้อใจ

“เจ้าควรจะยอมแพ้ซะดีกว่านะ ผู้-เนลล์” เลฟี่พูดขึ้นมา เธอเกือบเรียกเนลล์ว่าผู้กล้า แต่ก็หยุดและเปลี่ยนกลับมาเรียกชื่อได้ทัน  

“มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะหยุดเขาในสภาพแบบนี้ ได้แต่ต้องปล่อยรอเวลาไปเท่านั้นแหละ”

 

ไม่เหมือนผู้กล้า เสียงของเลฟี่ไม่มีความละอายใดๆเลย อารมณ์เดียวทีมีอยู่ในตอนนี้คือความฉุนเฉียว เห็นไหมละ เลฟี่ยังเข้าใจผมเลย จะให้ผมใจเย็นได้ยังไงละ นี้มาเข้าเมืองในต่างโลก  

เลยนะ ถือเป็นเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นอีกอันนึงเลยนะ

 

ถ้านับทางเทคนิคแล้วละก็ นี้เป็นครั้งที่สองที่ผมเข้าเมือง แต่ครั้งแรกผมมัวแต่โกรธจนไม่ได้สนใจสภาพแวดล้อมรอบข้างของเมืองเลย แต่สิ่งหนึ่งที่ทำผมประทับใจตั้งแต่เห็นครั้งก่อน  

คือกำแพงเมือง ถึงครั้งนั้นจะเป็นการมองจากบนฟ้า แต่พอมามองจากพื้นดินก็ให้ความรู้สึกประทับใจไม่ต่างกันเลย

 

แต่ก็ยังแพ้ปราสาทของผมอยู่ดีละนะ

 

“เอาละ คุยกันพอแล้ว ไปกันเถอะ!”

“ห๊ะ? ด-เดี๋ยว รอก่อน!” ผมกล้าพยายามจะหยุดผม แต่ผมไม่สนใจ ผมยังคงเดินหน้าต่อไปโดยไม่ลดความเร็วลง แต่ก็ถูกหยุดไว้โดยหอก ทหารยามที่ยืนเฝ้าประตูอยู่ลดอาวุธลงมาเพื่อไม่  

ให้ผมผ่าน

 

“อะไรละเนี่ย? นี้พวก นายช่วยเอาอาวุธหลบออกไปหน่อยได้ไหม? ชั้นมีที่ที่จะต้องไปอยู่นะ”

“เอกสารของแกละ?” เขาพูดตอบด้วยน้ำเสียงหยาบกระด้าง ดูเป็นตาลุงปลายๆสามสิบ ย่างสี่สิบ

“อะไรนะ?” ผมก็ได้ยินที่เขาพูดชัดเจนดี แต่ไม่เข้าใจว่าสื่อถึงอะไร

“เอาเอกสารของแกมาให้ดู ข้าไม่ปล่อยให้แกเข้าไปจนการจะมีใบยืนยันตัวตนหรอกนะ”

“…”

 

เอาจริงดิ? เขาจะเอาข้อมูลยืนยันตัวตนจริงๆดิ? นี้มันควรจะเป็นต่างโลกแฟนตาซีที่ยังไม่มีการพัฒนาอะไรมากไม่ใช่หรอ? แล้วใช้ใบยืนยันตัวตนกันได้ไงนิ? ไม่ใช่ว่าไอของแบบนี้มันต้องให้วิทยาการมันพัฒนาไปมากกว่านี้ก่อนไม่ใช่หรอ?

 

“อะไรเล่า ลุง? ก็เมื่อกี้เพิ่งเห็นลุงปล่อยคนกลุ่มนึงเดินผ่านไปเฉยๆเลยไม่ใช่หรอ?”

“ใช่ แต่เพราะข้าจำหน้าพวกเขาได้ พวกเขาใช้ประตูนี้บ่อย แต่แกมันอีกเรื่อง ข้าไม่เคยเห็นหน้าแก และแกก็ดูหน้าสงสัยด้วย” ทหารยามมองผมผ่านช่วงเล็กๆของหมวก  

“และข้าก็ไม่ใช่ลุง! ชั้นยังหนุ่มอยู่เฟ๊ย!”

 

ตาลุงพูดปิดท้ายด้วยการตะโกน แต่ผมก็เลิกสนใจไปในช่วงที่เขาทำให้ผมรู้ว่าผมเข้าเมืองไม่ได้

 

“แย่ชะมัด… ไม่คิดเลยว่าเส้นทางแห่งความทะเยอทะยานของชั้นจะมาจบลงตรงนี้…”  

“โถ่เอ๊ย ก็ถึงบอกไงว่าให้รอก่อนนะ” ผู้กล้าวิ่งเข้ามาแล้วหยิบสัญลักษณ์อะไรซักอย่างออกมาจากกระเป๋าของเธอ “ฉันเป็นคนของโบสถ์ค่ะ” เธอพูดพร้อมกับแสดงให้ทหารยามดู  

“สองคนนี้เป็นพวกของฉันเองค่ะ ฉันพบพวกเขาในระหว่างเดินทาง คุณช่วยออกใบยืนยันตัวตนชั่วคร่าวให้พวกเขาเข้าไปให้หน่อยได้ไหมคะ?”

“สัญลักษณ์นี้มัน… เธอเป็นอัศวินศักดิ์สิทธิ์งั้นหรอ?” ดวงตาของทหารเบิกกว้างเมื่อเห็นตราสัญลักษณ์ของผู้กล้า “เข้าใจแล้วครับ ผมจะจัดเตรียมให้เดี๋ยวนี้ครับ”

 

เขารีบกลับเข้าด่านไปในทันที ท่าทีก็เปลี่ยนเป็นหน้ามือไปหลังหลังมือ  

 

“เมื่อกี้เธอเอาอะไรให้เขาดูไปอ่ะ ผู้-เนลล์?”  

“หนึ่งในใบอนุญาตการเดินทางของโบสถ์นะ ในฐานะผู้กล้า ฉันจำเป็นต้องไปไหนมาไหนได้นะ…”

“เธอนี้มีอำนาจมากกว่าที่คิดแหะ ขัดกับนิสัยที่ไม่ค่อยสนใจวิถีของโลกซักเท่าไหร่”

“ฉันไม่อยากได้ยินคำนั้นจากนายหรอกนะ โดยเฉพาะหลังจากสิ่งที่นายทำลงไปก่อนหน้านี้นะ!” ผู้กล้าร้องอย่างขุ่นเคือง

“แล้วพวกนายก็ช่วยระวังเรื่องผู้กล้ามากกว่านี้หน่อยจะได้ไหม?”

“ครับ ครับ เข้าใจแล้ว” I rolled my eyes.

“เข้าใจแล้ว การเปลี่ยนวิธีเรียกเจ้านะมิใช่เรื่องยาก” เลฟี่พูดเสริม

 

ผู้กล้า หรือก็คือ เนลล์ ได้ขอให้เราเรียกเจ้าตัวด้วยชื่อมากกว่าฉายา จริงจังถึงขนาดจะไม่ยอมพาพวกเรามาด้วยถ้าไม่ยอมทำตาม ถึงจะน่ารำคาญหน่อยๆแต่ก็ช่างเถอะ เธอคงมีเหตุผลของตัวเองนั้นแหละ

 

ทหารกลับมาหลังจากหายไปพักนึง พร้อมกับแผ่นไม้ขนาดเท่าบัตรเครดิตการ์ดในมือ

 

“ขอโทษที่ให้รอครับ” ตาลุงพยักหน้าให้เนลล์ก่อนจะวิ่งเอาของมาให้เลฟี่กับผม  “และก็พวกแกทั้งคู่ อย่างได้คิดจะสร้างปัญหาล่ะ ที่ยอมให้เข้าไปเพราะมากับอัศวินศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น นี้เป็นแค่ใบยืนยันตัวชั่วคร่าวเท่านั้น ถ้าก่อเรื่อง โดนพวกเราไล่เตะออกจากเมืองแน่”

 

น้ำเสียงเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดเลยแหะ พอพูดกับพวกเราเนี่ย

 

“อาอา เข้าใจแล้ว ขอบใจนะลุง”

“เจ้าวัยกลางคน เราเป็นหนี้บุญคุณเจ้าละนะ” เลฟี่พูด

“ครั้งหน้าข้าไม่ให้พวกแกเข้ามาแน่…” เส้นเลือดบนหน้าผากของเขาเริ่มปูดออกมาด้วย

 

โกรธอะไรของเขานิ?

 

เอาเรื่องของเขาไว้ทีหลังละกัน ทันทีที่ผมผ่านประตูเมือเข้ามา สิ่งที่ผมได้เห็นทำเอาผมพูดอะไรไม่ออก มันช่างน่าหลงใหล ราวกับว่าภาพพวกนี้ถูกดึงออกมาจาก JRPG ตรงๆเลย  

ทุกอย่างให้ความรู้สึกแฟนตาซีสูงมาก ตึกราบ้านช่องก็สร้างด้วยวัตถุดิบที่คุ้นเคย และมีรูปลักษณ์ที่คุ้นตา ถนนกว้างขวาง ผู้คนก็ใส่ชุดที่ให้ความรู้สึกแฟนตาซีดีจริงๆ

 

พอเห็นอย่างนี้ก็ทำให้ผมอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ ผมอยู่เฉยๆไม่ได้หรอก อย่างนี้ต้องออกสำรวจ

 

“‘เอาล่ะ ก่อนอื่นเลยก็ ไปดูอาหารกัน!”

 

***

 

“โว้ เธอเห็นอันนั้นหรือเปล่า? ดูน่ากินสุดๆเลย”

“อย่างที่เจ้าว่า เจ้าสิ่งนั้นก็เช่นกัน”

“ใช่ไหมล่ะ? เอาทั้งสองอย่างเลยล่ะกัน”

 

ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้นที่ผมและเลฟี่เปลี่ยนไปเป็นโหมดนักท่องเที่ยว เราเดินเตร่จเตร่ไปตามถนน แวะเข้าแผงลอยขายอาหารนู้นนี้นั้นไปทั่ว

 

“อื่อออออ…” ผู้กล้าส่งเสียงกึ่งร้องไห้กึ่งครวญคร่างออกมา “เงินฉันหายไปไวดั่งสายลม…”

 

ทั้งผมและยัยมังกรต่างไม่มีเงินตราของมนุษย์ติดตัวอยู่เลย เราเลยให้ผู้กล้าออกตังซื้อของที่พวกเราอยากได้ ถึงจะเป็นอาหารข้างทาง แต่ของเหล่านี้ก็อร่อยมาก ถึงจะเป็นเนื้อมอนเตอร์แต่ก็อร่อยกว่าที่ผมทำซะอีก

 

ก็นะ พวกเขามีพ่อครัวมีฝีมือกันนี้น่า ผมมันก็แค่มือสมัครเล่น

 

อาหารพวกนี้มันอร่อยจริงๆแหะ เท่าๆกับที่เลเลียทำให้กินเลย พอมาคิดๆดูแล้วเลเลียเป็นใครมาจากไหนกันแน่นะ ถึงได้เก่งเรื่องพวกนี้อย่างนี้?

 

เมดที่กำลังพูดถึงนั้นสามารถทำงานที่ได้รับมอบหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำอาหารได้เก่งเทียบเท่าพ่อครัว ทำความสะอาดได้เหมือนแม่บ้าน และงานอื่นๆอีกมากมาย ผมยังเคยเห็นเธอสอนอิลูน่าอยู่เป็นครั้งคร่าวเลย และเธอก็สอนได้กระซับ และเข้าใจง่ายอีกด้วย

 

ด้วยความสงสัยผมจึงเคยถามไปว่าเคยมีประสบการณ์ทำงานแบบนี้มาหรอ แต่คำตอบที่ได้รับก็คือ ไม่ แต่นั้นก็ไม่ได้สำคัญอะไรนัก

 

เธอทำให้ชีวิตผมง่ายขึ้น ผมก็ยินดีที่ได้เธอมาอยู่ด้วย ผมไม่สนหรอกว่าเธอเป็นใครมาจากไหน มีอดีตอย่างไร เพราะที่สำคัญคือเธอเข้ามาช่วยให้ชีวิตประจำของผมมีความสะดวกสบายมากขึ้นอย่างมาก

 

ส่วนลูก็… เอาเป็นว่าเธอก็… พัฒนาขึ้นละนะ  

 

ผมหยุดคิดเรื่องเมดและมาสนใจในสภาพแวดล้อมของตัวเองก่อน

ถึงผมจะเคยมาโจมตีเมืองไปแล้วครั้งนึง แต่ก็ไม่มีใครจำตัวตนของผมได้เลย ส่วนนึงก็คงมาจากท่าทีของผม ที่ทำตัวตามสบาย เดินดูเมืองเหมือนคนทั่วๆไป เลยไม่มีใครสนใจผม และครั้งนั้นผมก็ปล่อยพลังเวทออกมามหาศาลจนทำเหล่าผู้คนที่ผนเดินผ่านกลัวหัวหดกันหมด จะมีก็แค่สองคนเท่านั้นที่ได้เห็นหน้าผมอย่างชัดๆ ซึ่งก็คือเจ้าเมืองของเมืองนี้ และ และแม่ทัพที่ค่อนข้างแข็งแกร่งคนนั้น

 

ทางเลฟี่ก็กลืนไปกับฝูงชนเช่นกัน Sเธอเก็บหางและเขาทำให้ดูไม่ต่างจากมนุษย์ทั่วไป แต่เหมือนเจ้าตัวจะดูไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่เพราะส่วนหนึ่งของร่างกายที่เคยอยู่มันได้หายไป  

 

“พวกเธอทั้งคู่ช่วยมีความเกรงใจมากกว่านี้หน่อยจะได้ไหม…?” ผู้กล้าที่จวนจะร้องไห้เดินตามหลังเรามา และพวกเราก็ไม่ได้สนใจและซื้อของที่ต้องตาต่อไป

 

“โอ้ นั้นอะไรนะ?”ผมสังเกตเห็นฝูงคนร่วมตัวรอบอะไรซักอย่าง ผมจึงหยุดกินและเข้าไปดูว่ามันเป็นอะไร… โชว์เวทมนต์หรอ?

 

ณ ศูนย์กลางของฝูงชน เป็นกลุ่มของนักเวท หรือจะให้พูดว่านักแสดงข้างถนนก็ได้ พวกเขาร่ายเวทฉูดฉาดออกมาเพื่อสร้างความบันเทิงให้ผู้คน

 

หืม มันต่างออกไปแหะ ผมเรียนเวทมนต์จากเลฟี่ ผมเลยไปเลียนแบบรูปแบบของเธอมา เวทมนต์ของผมมันเลยออกจะรุนแรง ไม่เหมือนกับที่พวกเขากำลังทำกันอยู่เลย วิธีที่พวกเขาใช้กันเป็นตัวอย่างชั้นดีเลยแหะ ว่างๆลองทำตามดูบ้างดีกว่า

 

“อืออออ ยูกิ เราต้องการให้เจ้าช่วย” เลฟี่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนจะโกรธอยู่หน่อยๆ

“อะไรหรอ?”

“เรามองไม่เห็น” ยัยมังกรสาวนี้เตี้ยไปหน่อยเลยโดนผู้คนเขาบังไปหมด

“เข้าใจล่ะ”

 

ผมก้มลงไป เอาหัวมุดไประหว่างขาของเธอ และยกตัวขึ้นมา ให้เธอมาขี่คอผมไว้

 

“ดีขึ้นไหม?”

“ดีขึ้นแล้ว”

“‘เค ที่นี้ก็หมดปัญหาแล้วนะ”

“ใช่” เลฟี่พูดตอบ การที่เสียงเธอมาจากข้างบนมันก็ให้ความรู้สึกแปลกอยู่หน่อยๆแหะ

“พวกเธอนี้สนิทกันดีจังเลยนะ…” The hero rolled her eyes. “เราน่าจะให้พวกนายไปลงทะเบียนที่กิลด์นักผจญภัยไว้ดีกว่า ไป-”

“มีกิลด์นักผจญภัยด้วยหรอ!?” ดูเหมือนผู้กล้าจะพูดอะไรซักอย่างต่อ แต่ผมพูดขัดเธอก่อนด้วยความตื่นเต้น

“มีสิ เป็นหน่วยงานที่ช่วยจัดหางานให้ผู้คนนะ อย่างกำจัดมอนเตอร์อะไรพวกนั้น การลงทะเบียนเป็นนักผจญภัยเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะหาใบยืนยันตัวตนให้พวกนายได้ เพราะพวกเขาไม่ค่อยจะขุดคุ้ยเบื่องลึกเบื่องหลังของคนกันหรอก”

“น่าสนใจ” กิลด์นักผจญภัยมีอยู่ด้วยสินะ  

 

“ทำไมเจ้าถึงได้ดูตื่นเต้นจังล่ะ?” เลฟี่ถามผมขึ้นมา

“จะไม่ให้ตื่นเต้นได้ไงล่ะ? กิลด์นักผจยภัยเลยนะ!”

“นักผจญภัย? เจ้าหมายถึงงานที่ได้รายได้จากการสังหารมอนเตอร์และอมนุษย์อย่างงั้นรึ? มิใช่ว่าเจ้าพวกนั้นเป็นศัตรูของเจ้าหรอกหรือ?”

“ถ้าทางเทคนิดล่ะก็ใช่ แต่การเป็นนักผจญภัยนะเป็นสิ่งที่ลูกผู้ชายต้องทำเลยนะ”

“ข้าไม่มันใจว่าข้าเข้าใจเจ้าเลยนะ” เลฟี่ยิ้มแบบฝื่นๆ เธอคงจะตัดใจที่จะถามผมต่อแล้ว

 

มันก็เป็นแนวคิดแบบแปลกๆของผู้ชายละนะ จะไม่เข้าใจก็ไม่แปลก

 

ยังไงก็ตาม ผมตั้งใจจะสนุกไปกับสิ่งรอบๆตัวนี้ไปเรื่อยๆตราบใดที่มันยังคงบันเทิงผมไปได้เรื่อยๆ

TL:กลับมาแปลต่อล่ะจิ ขอโทษที่หายไปนานนะจิ ว่าจะพักแค่แปปเดียว เผลอแปปเดี่ยวก็ผ่านไปปีนึงซะแล้วจิ แต่พอเห็นจำนวนตอนที่อิงแปลไป…….ก็รู้สึกอยากกลับไปพักต่อล่ะจิ ความขี้เกียจนี้น่ากลัวจริงๆจิ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Maou ni Nattanode, Dungeon Tsukutte Jingai Musume to Honobono Suru 61 เยี่ยมชมเมืองครั้งที่สอง

Now you are reading Maou ni Nattanode, Dungeon Tsukutte Jingai Musume to Honobono Suru Chapter 61 เยี่ยมชมเมืองครั้งที่สอง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“วู้! ถึงแล้ว!” ผมร้องตะโกนและยกแขนขึ้นด้วยความตื่นเต้น เมื่อเนลล์ เลฟี่ และผมเข้าใกล้ประตูเมือง  

 

“เอาละ ได้เวลาใช้ชีวิตในเมืองดูบ้างแล้ว!”

 

ผู้คนรอบๆมองมาที่เราและหัวเราะเมื่อเห็นท่าทีของผม พวกเขาคงคิดว่าผมเป็นพวกบ้านนอกเข้ากรุงบ้าๆละมั้ง

 

“อ-เอ่ออ… น-นายช่วยเงียบลงกว่านี้หน่อยได้ไหม? แบบนี้มันน่าอายนะ” ดูเหมือนผู้กล้าก็คิดว่าพฤติกรรมของผมมันไม่เหมาะสมเช่นกัน เธอพยายามสงบผมลงด้วยการกระซิบ แต่ผมก็ไม่สนใจ

“น่าอายงั้นหรอ? เหอะ! แค่การอายนิดๆหน่อยๆนะมาปิดกั้นความรู้สึกที่จะปะทุออกมาจากใจชั้นไม่ได้หรอกนะ!”

“ก็แล้วเราละ…?” ผู้กล้าได้แต่พึมพำและไหล่ตกด้วยความท้อใจ

“เจ้าควรจะยอมแพ้ซะดีกว่านะ ผู้-เนลล์” เลฟี่พูดขึ้นมา เธอเกือบเรียกเนลล์ว่าผู้กล้า แต่ก็หยุดและเปลี่ยนกลับมาเรียกชื่อได้ทัน  

“มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะหยุดเขาในสภาพแบบนี้ ได้แต่ต้องปล่อยรอเวลาไปเท่านั้นแหละ”

 

ไม่เหมือนผู้กล้า เสียงของเลฟี่ไม่มีความละอายใดๆเลย อารมณ์เดียวทีมีอยู่ในตอนนี้คือความฉุนเฉียว เห็นไหมละ เลฟี่ยังเข้าใจผมเลย จะให้ผมใจเย็นได้ยังไงละ นี้มาเข้าเมืองในต่างโลก  

เลยนะ ถือเป็นเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นอีกอันนึงเลยนะ

 

ถ้านับทางเทคนิคแล้วละก็ นี้เป็นครั้งที่สองที่ผมเข้าเมือง แต่ครั้งแรกผมมัวแต่โกรธจนไม่ได้สนใจสภาพแวดล้อมรอบข้างของเมืองเลย แต่สิ่งหนึ่งที่ทำผมประทับใจตั้งแต่เห็นครั้งก่อน  

คือกำแพงเมือง ถึงครั้งนั้นจะเป็นการมองจากบนฟ้า แต่พอมามองจากพื้นดินก็ให้ความรู้สึกประทับใจไม่ต่างกันเลย

 

แต่ก็ยังแพ้ปราสาทของผมอยู่ดีละนะ

 

“เอาละ คุยกันพอแล้ว ไปกันเถอะ!”

“ห๊ะ? ด-เดี๋ยว รอก่อน!” ผมกล้าพยายามจะหยุดผม แต่ผมไม่สนใจ ผมยังคงเดินหน้าต่อไปโดยไม่ลดความเร็วลง แต่ก็ถูกหยุดไว้โดยหอก ทหารยามที่ยืนเฝ้าประตูอยู่ลดอาวุธลงมาเพื่อไม่  

ให้ผมผ่าน

 

“อะไรละเนี่ย? นี้พวก นายช่วยเอาอาวุธหลบออกไปหน่อยได้ไหม? ชั้นมีที่ที่จะต้องไปอยู่นะ”

“เอกสารของแกละ?” เขาพูดตอบด้วยน้ำเสียงหยาบกระด้าง ดูเป็นตาลุงปลายๆสามสิบ ย่างสี่สิบ

“อะไรนะ?” ผมก็ได้ยินที่เขาพูดชัดเจนดี แต่ไม่เข้าใจว่าสื่อถึงอะไร

“เอาเอกสารของแกมาให้ดู ข้าไม่ปล่อยให้แกเข้าไปจนการจะมีใบยืนยันตัวตนหรอกนะ”

“…”

 

เอาจริงดิ? เขาจะเอาข้อมูลยืนยันตัวตนจริงๆดิ? นี้มันควรจะเป็นต่างโลกแฟนตาซีที่ยังไม่มีการพัฒนาอะไรมากไม่ใช่หรอ? แล้วใช้ใบยืนยันตัวตนกันได้ไงนิ? ไม่ใช่ว่าไอของแบบนี้มันต้องให้วิทยาการมันพัฒนาไปมากกว่านี้ก่อนไม่ใช่หรอ?

 

“อะไรเล่า ลุง? ก็เมื่อกี้เพิ่งเห็นลุงปล่อยคนกลุ่มนึงเดินผ่านไปเฉยๆเลยไม่ใช่หรอ?”

“ใช่ แต่เพราะข้าจำหน้าพวกเขาได้ พวกเขาใช้ประตูนี้บ่อย แต่แกมันอีกเรื่อง ข้าไม่เคยเห็นหน้าแก และแกก็ดูหน้าสงสัยด้วย” ทหารยามมองผมผ่านช่วงเล็กๆของหมวก  

“และข้าก็ไม่ใช่ลุง! ชั้นยังหนุ่มอยู่เฟ๊ย!”

 

ตาลุงพูดปิดท้ายด้วยการตะโกน แต่ผมก็เลิกสนใจไปในช่วงที่เขาทำให้ผมรู้ว่าผมเข้าเมืองไม่ได้

 

“แย่ชะมัด… ไม่คิดเลยว่าเส้นทางแห่งความทะเยอทะยานของชั้นจะมาจบลงตรงนี้…”  

“โถ่เอ๊ย ก็ถึงบอกไงว่าให้รอก่อนนะ” ผู้กล้าวิ่งเข้ามาแล้วหยิบสัญลักษณ์อะไรซักอย่างออกมาจากกระเป๋าของเธอ “ฉันเป็นคนของโบสถ์ค่ะ” เธอพูดพร้อมกับแสดงให้ทหารยามดู  

“สองคนนี้เป็นพวกของฉันเองค่ะ ฉันพบพวกเขาในระหว่างเดินทาง คุณช่วยออกใบยืนยันตัวตนชั่วคร่าวให้พวกเขาเข้าไปให้หน่อยได้ไหมคะ?”

“สัญลักษณ์นี้มัน… เธอเป็นอัศวินศักดิ์สิทธิ์งั้นหรอ?” ดวงตาของทหารเบิกกว้างเมื่อเห็นตราสัญลักษณ์ของผู้กล้า “เข้าใจแล้วครับ ผมจะจัดเตรียมให้เดี๋ยวนี้ครับ”

 

เขารีบกลับเข้าด่านไปในทันที ท่าทีก็เปลี่ยนเป็นหน้ามือไปหลังหลังมือ  

 

“เมื่อกี้เธอเอาอะไรให้เขาดูไปอ่ะ ผู้-เนลล์?”  

“หนึ่งในใบอนุญาตการเดินทางของโบสถ์นะ ในฐานะผู้กล้า ฉันจำเป็นต้องไปไหนมาไหนได้นะ…”

“เธอนี้มีอำนาจมากกว่าที่คิดแหะ ขัดกับนิสัยที่ไม่ค่อยสนใจวิถีของโลกซักเท่าไหร่”

“ฉันไม่อยากได้ยินคำนั้นจากนายหรอกนะ โดยเฉพาะหลังจากสิ่งที่นายทำลงไปก่อนหน้านี้นะ!” ผู้กล้าร้องอย่างขุ่นเคือง

“แล้วพวกนายก็ช่วยระวังเรื่องผู้กล้ามากกว่านี้หน่อยจะได้ไหม?”

“ครับ ครับ เข้าใจแล้ว” I rolled my eyes.

“เข้าใจแล้ว การเปลี่ยนวิธีเรียกเจ้านะมิใช่เรื่องยาก” เลฟี่พูดเสริม

 

ผู้กล้า หรือก็คือ เนลล์ ได้ขอให้เราเรียกเจ้าตัวด้วยชื่อมากกว่าฉายา จริงจังถึงขนาดจะไม่ยอมพาพวกเรามาด้วยถ้าไม่ยอมทำตาม ถึงจะน่ารำคาญหน่อยๆแต่ก็ช่างเถอะ เธอคงมีเหตุผลของตัวเองนั้นแหละ

 

ทหารกลับมาหลังจากหายไปพักนึง พร้อมกับแผ่นไม้ขนาดเท่าบัตรเครดิตการ์ดในมือ

 

“ขอโทษที่ให้รอครับ” ตาลุงพยักหน้าให้เนลล์ก่อนจะวิ่งเอาของมาให้เลฟี่กับผม  “และก็พวกแกทั้งคู่ อย่างได้คิดจะสร้างปัญหาล่ะ ที่ยอมให้เข้าไปเพราะมากับอัศวินศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น นี้เป็นแค่ใบยืนยันตัวชั่วคร่าวเท่านั้น ถ้าก่อเรื่อง โดนพวกเราไล่เตะออกจากเมืองแน่”

 

น้ำเสียงเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดเลยแหะ พอพูดกับพวกเราเนี่ย

 

“อาอา เข้าใจแล้ว ขอบใจนะลุง”

“เจ้าวัยกลางคน เราเป็นหนี้บุญคุณเจ้าละนะ” เลฟี่พูด

“ครั้งหน้าข้าไม่ให้พวกแกเข้ามาแน่…” เส้นเลือดบนหน้าผากของเขาเริ่มปูดออกมาด้วย

 

โกรธอะไรของเขานิ?

 

เอาเรื่องของเขาไว้ทีหลังละกัน ทันทีที่ผมผ่านประตูเมือเข้ามา สิ่งที่ผมได้เห็นทำเอาผมพูดอะไรไม่ออก มันช่างน่าหลงใหล ราวกับว่าภาพพวกนี้ถูกดึงออกมาจาก JRPG ตรงๆเลย  

ทุกอย่างให้ความรู้สึกแฟนตาซีสูงมาก ตึกราบ้านช่องก็สร้างด้วยวัตถุดิบที่คุ้นเคย และมีรูปลักษณ์ที่คุ้นตา ถนนกว้างขวาง ผู้คนก็ใส่ชุดที่ให้ความรู้สึกแฟนตาซีดีจริงๆ

 

พอเห็นอย่างนี้ก็ทำให้ผมอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ ผมอยู่เฉยๆไม่ได้หรอก อย่างนี้ต้องออกสำรวจ

 

“‘เอาล่ะ ก่อนอื่นเลยก็ ไปดูอาหารกัน!”

 

***

 

“โว้ เธอเห็นอันนั้นหรือเปล่า? ดูน่ากินสุดๆเลย”

“อย่างที่เจ้าว่า เจ้าสิ่งนั้นก็เช่นกัน”

“ใช่ไหมล่ะ? เอาทั้งสองอย่างเลยล่ะกัน”

 

ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้นที่ผมและเลฟี่เปลี่ยนไปเป็นโหมดนักท่องเที่ยว เราเดินเตร่จเตร่ไปตามถนน แวะเข้าแผงลอยขายอาหารนู้นนี้นั้นไปทั่ว

 

“อื่อออออ…” ผู้กล้าส่งเสียงกึ่งร้องไห้กึ่งครวญคร่างออกมา “เงินฉันหายไปไวดั่งสายลม…”

 

ทั้งผมและยัยมังกรต่างไม่มีเงินตราของมนุษย์ติดตัวอยู่เลย เราเลยให้ผู้กล้าออกตังซื้อของที่พวกเราอยากได้ ถึงจะเป็นอาหารข้างทาง แต่ของเหล่านี้ก็อร่อยมาก ถึงจะเป็นเนื้อมอนเตอร์แต่ก็อร่อยกว่าที่ผมทำซะอีก

 

ก็นะ พวกเขามีพ่อครัวมีฝีมือกันนี้น่า ผมมันก็แค่มือสมัครเล่น

 

อาหารพวกนี้มันอร่อยจริงๆแหะ เท่าๆกับที่เลเลียทำให้กินเลย พอมาคิดๆดูแล้วเลเลียเป็นใครมาจากไหนกันแน่นะ ถึงได้เก่งเรื่องพวกนี้อย่างนี้?

 

เมดที่กำลังพูดถึงนั้นสามารถทำงานที่ได้รับมอบหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำอาหารได้เก่งเทียบเท่าพ่อครัว ทำความสะอาดได้เหมือนแม่บ้าน และงานอื่นๆอีกมากมาย ผมยังเคยเห็นเธอสอนอิลูน่าอยู่เป็นครั้งคร่าวเลย และเธอก็สอนได้กระซับ และเข้าใจง่ายอีกด้วย

 

ด้วยความสงสัยผมจึงเคยถามไปว่าเคยมีประสบการณ์ทำงานแบบนี้มาหรอ แต่คำตอบที่ได้รับก็คือ ไม่ แต่นั้นก็ไม่ได้สำคัญอะไรนัก

 

เธอทำให้ชีวิตผมง่ายขึ้น ผมก็ยินดีที่ได้เธอมาอยู่ด้วย ผมไม่สนหรอกว่าเธอเป็นใครมาจากไหน มีอดีตอย่างไร เพราะที่สำคัญคือเธอเข้ามาช่วยให้ชีวิตประจำของผมมีความสะดวกสบายมากขึ้นอย่างมาก

 

ส่วนลูก็… เอาเป็นว่าเธอก็… พัฒนาขึ้นละนะ  

 

ผมหยุดคิดเรื่องเมดและมาสนใจในสภาพแวดล้อมของตัวเองก่อน

ถึงผมจะเคยมาโจมตีเมืองไปแล้วครั้งนึง แต่ก็ไม่มีใครจำตัวตนของผมได้เลย ส่วนนึงก็คงมาจากท่าทีของผม ที่ทำตัวตามสบาย เดินดูเมืองเหมือนคนทั่วๆไป เลยไม่มีใครสนใจผม และครั้งนั้นผมก็ปล่อยพลังเวทออกมามหาศาลจนทำเหล่าผู้คนที่ผนเดินผ่านกลัวหัวหดกันหมด จะมีก็แค่สองคนเท่านั้นที่ได้เห็นหน้าผมอย่างชัดๆ ซึ่งก็คือเจ้าเมืองของเมืองนี้ และ และแม่ทัพที่ค่อนข้างแข็งแกร่งคนนั้น

 

ทางเลฟี่ก็กลืนไปกับฝูงชนเช่นกัน Sเธอเก็บหางและเขาทำให้ดูไม่ต่างจากมนุษย์ทั่วไป แต่เหมือนเจ้าตัวจะดูไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่เพราะส่วนหนึ่งของร่างกายที่เคยอยู่มันได้หายไป  

 

“พวกเธอทั้งคู่ช่วยมีความเกรงใจมากกว่านี้หน่อยจะได้ไหม…?” ผู้กล้าที่จวนจะร้องไห้เดินตามหลังเรามา และพวกเราก็ไม่ได้สนใจและซื้อของที่ต้องตาต่อไป

 

“โอ้ นั้นอะไรนะ?”ผมสังเกตเห็นฝูงคนร่วมตัวรอบอะไรซักอย่าง ผมจึงหยุดกินและเข้าไปดูว่ามันเป็นอะไร… โชว์เวทมนต์หรอ?

 

ณ ศูนย์กลางของฝูงชน เป็นกลุ่มของนักเวท หรือจะให้พูดว่านักแสดงข้างถนนก็ได้ พวกเขาร่ายเวทฉูดฉาดออกมาเพื่อสร้างความบันเทิงให้ผู้คน

 

หืม มันต่างออกไปแหะ ผมเรียนเวทมนต์จากเลฟี่ ผมเลยไปเลียนแบบรูปแบบของเธอมา เวทมนต์ของผมมันเลยออกจะรุนแรง ไม่เหมือนกับที่พวกเขากำลังทำกันอยู่เลย วิธีที่พวกเขาใช้กันเป็นตัวอย่างชั้นดีเลยแหะ ว่างๆลองทำตามดูบ้างดีกว่า

 

“อืออออ ยูกิ เราต้องการให้เจ้าช่วย” เลฟี่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนจะโกรธอยู่หน่อยๆ

“อะไรหรอ?”

“เรามองไม่เห็น” ยัยมังกรสาวนี้เตี้ยไปหน่อยเลยโดนผู้คนเขาบังไปหมด

“เข้าใจล่ะ”

 

ผมก้มลงไป เอาหัวมุดไประหว่างขาของเธอ และยกตัวขึ้นมา ให้เธอมาขี่คอผมไว้

 

“ดีขึ้นไหม?”

“ดีขึ้นแล้ว”

“‘เค ที่นี้ก็หมดปัญหาแล้วนะ”

“ใช่” เลฟี่พูดตอบ การที่เสียงเธอมาจากข้างบนมันก็ให้ความรู้สึกแปลกอยู่หน่อยๆแหะ

“พวกเธอนี้สนิทกันดีจังเลยนะ…” The hero rolled her eyes. “เราน่าจะให้พวกนายไปลงทะเบียนที่กิลด์นักผจญภัยไว้ดีกว่า ไป-”

“มีกิลด์นักผจญภัยด้วยหรอ!?” ดูเหมือนผู้กล้าจะพูดอะไรซักอย่างต่อ แต่ผมพูดขัดเธอก่อนด้วยความตื่นเต้น

“มีสิ เป็นหน่วยงานที่ช่วยจัดหางานให้ผู้คนนะ อย่างกำจัดมอนเตอร์อะไรพวกนั้น การลงทะเบียนเป็นนักผจญภัยเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะหาใบยืนยันตัวตนให้พวกนายได้ เพราะพวกเขาไม่ค่อยจะขุดคุ้ยเบื่องลึกเบื่องหลังของคนกันหรอก”

“น่าสนใจ” กิลด์นักผจญภัยมีอยู่ด้วยสินะ  

 

“ทำไมเจ้าถึงได้ดูตื่นเต้นจังล่ะ?” เลฟี่ถามผมขึ้นมา

“จะไม่ให้ตื่นเต้นได้ไงล่ะ? กิลด์นักผจยภัยเลยนะ!”

“นักผจญภัย? เจ้าหมายถึงงานที่ได้รายได้จากการสังหารมอนเตอร์และอมนุษย์อย่างงั้นรึ? มิใช่ว่าเจ้าพวกนั้นเป็นศัตรูของเจ้าหรอกหรือ?”

“ถ้าทางเทคนิดล่ะก็ใช่ แต่การเป็นนักผจญภัยนะเป็นสิ่งที่ลูกผู้ชายต้องทำเลยนะ”

“ข้าไม่มันใจว่าข้าเข้าใจเจ้าเลยนะ” เลฟี่ยิ้มแบบฝื่นๆ เธอคงจะตัดใจที่จะถามผมต่อแล้ว

 

มันก็เป็นแนวคิดแบบแปลกๆของผู้ชายละนะ จะไม่เข้าใจก็ไม่แปลก

 

ยังไงก็ตาม ผมตั้งใจจะสนุกไปกับสิ่งรอบๆตัวนี้ไปเรื่อยๆตราบใดที่มันยังคงบันเทิงผมไปได้เรื่อยๆ

TL:กลับมาแปลต่อล่ะจิ ขอโทษที่หายไปนานนะจิ ว่าจะพักแค่แปปเดียว เผลอแปปเดี่ยวก็ผ่านไปปีนึงซะแล้วจิ แต่พอเห็นจำนวนตอนที่อิงแปลไป…….ก็รู้สึกอยากกลับไปพักต่อล่ะจิ ความขี้เกียจนี้น่ากลัวจริงๆจิ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+