Maou ni Nattanode, Dungeon Tsukutte Jingai Musume to Honobono Suru 68 วันหยุดพักผ่อนในต่างโลก

Now you are reading Maou ni Nattanode, Dungeon Tsukutte Jingai Musume to Honobono Suru Chapter 68 วันหยุดพักผ่อนในต่างโลก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เธอรู้อะไรไหม?” ผมเอียงคอไปทางเลฟี่ และพูดกับเธอขณะที่เราสองคนออกจากโรงแรม ฌ ตอนนี้เป็นเวลาตอนเช้า เราเพิ่งเสร็จสิ้นขั้นตอนการเช็คเอาท์และออกเดินทาง จุดหมายของเราคือคฤหาสน์ของเจ้าเมือง ซึ่งเราจะไปพบกับผู้กล้า ไกด์นำเที่ยวของเรา “โรงแรมนี้ก็ไม่ได้แย่เลยนะ ค่อนข้างดีเลยด้วยซ้ำ”

“เราก็ชอบอยู่ระดับนึง” มังกรสาวตอบ “แต่ก็เทียบเท่าบ้านของเราไม่ได้อยู่ดี”

“ก็จริง”

 

ลึกๆภายใจในผมรู้สึกมีความสุขที่ได้ยินเลฟี่พูดแบบนั้น มันเป็นการพิสูจน์ว่าเธอมองปราสาทของผมเป็นมากกว่าที่พักปีก แต่มันคือบ้านของเธอ แต่ผมก็ไม่ยอมปล่อยให้ความรู้สึกนี้มันแสดงออกมา

 

โรงแรมที่เราเลือกมาพักกันเป็นโรงแรมที่แพงที่สุด และพนักงานภายในโรงแรมก็เป็นมือโปรกันหมดเลยด้วย ถึงเราจะเป็นหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้าเมืองมา แต่ก็ให้การต้อนรับเราเป็นอย่างดี และเตรียมห้องให้เราแทบจะทันที การตกแต่งภายในก็ทำได้ดี อาหารก็อร่อย ถึงจะเป็นอาหารที่ผมไม่เคยพบเห็นหรือได้กินมาก่อนก็ตาม ข้อติเดียวเลยคือเขาให้เราอยู่ในห้องใหญ่เตียงเดี่ยว ไม่ใช่ห้องเล็กสองห้อง การที่เตียงหายไปเตียงนึงก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรซักเท่าไหร่ เพราะเลฟี่กับผมก็อาศัยอยู่ร่วมกันมาช่วงเวลานึงแล้ว แถมยัยนี้ก็ชอบเข้ามาในช่วงเวลาอาบน้ำของผมเพราะต้องการให้ผมสระหัวให้ ทำให้การนอนร่วมกันนั้นไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาคือสายตาที่เหล่าพนักงานมองมาที่ผมมันช่างเจ็บปวดไปถึงกระดูกซะเหลือเกิน

 

ส่วนไอเรื่องเจ้าชายเส็งเคร็งนั้นนะหรอ? ผมเลิกคิดเรื่องของมันไปก่อน เพราะเป็นปัญหาที่ใหญ่เกินกว่าจะมาวางแผนแปปๆแล้วก็ทำเลยไม่ได้ เพราะการออกเดินทางครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อระบุตัวเท่านั้น ซึ่งเรื่องนั้นก็เสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อย ผมจึงหยุดคิดและหันมาพักผ่อนหย่อนใจ เที่ยวให้เต็มทีไปก่อนแล้วค่อยไปคิดต่อหลังจากนี้  

 

“อยู่นั้นไง” ผมพูดขึ้นเมื่อสังเกตเห็นผู้กล้า “เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมเขามาอยู่ด้วยล่ะเนี่ย?”

 

ไม่นับทหารที่ยืนอยู่ ตอนนี้มีคนสองคนที่ยืนอยู่หน้าคฤหาสน์เจ้าเมือง คนแรกก็คือเนลล์ ผู้กล้าของเรานี้เอง ส่วนอีกคนคือตาแก่เจ้าเมือง เลย์โลว

 

“เฮ้ ว่าไงตาแก่? มีไรหรอ?” ผมทักทายก่อนจะหันสลับไปมาระหว่างทั้งคู่ “หืม นี้ชั้นคิดไปเองหรือพวกนายดูเหนื่อยๆกัน?”

“แล้วคิดว่าเป็นความผิดใครกันล่ะ…? ที่คุณเลย์โลวเขาอยู่ด้วยเพราะมีเรื่องอยากจะถามนายนะ”

“งั้นหรอ ว่ามาสิ?”  

“อรุณสวัสดิ์ครับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงแบบเป็นทางการและให้ความเคารพ “ผมได้ยินว่าคุณไปเจอกับอาวุธต้องสาบเข้า ผมเลยอยากจะสอบถามเกี่ยวกับมันนะครับ”

 

อาวุธต้องสาบ? อ้อ เขาหมายถึงขวานนี้เอง หืมมมม เป็นชื่อที่เหมาะกับมันดีแหะ เลฟี่ก็พูดถึงการที่ผมไม่โดยกลืนกินโดยอาวุธอยู่นี้น่า

 

“หมายถึงเจ้านี้นะหรอ?” ผมหยิบขวานออกมาให้เขาดู

“อะไรกัน!? ท่านเจ้าเมือง ถอยไปครับ!” ทหารยามที่ยืนอยู่หน้าทางเข้าซักอาวุธออกมาและเข้าประจันหน้ากับผมทันที

“หยุดเดี๋ยวนี้! เก็บดาบลงไปซะ!” ตาแก่ตะโกนสั่งใส่ลูกน้องของตนเอง “ผมต้องขอโทษในความหยาบคายของพวกเขาด้วยครับ”

“ไม่ต้องห่วง ชั้นไม่คิดมากหรอก”

“ถึงอย่างงั้นก็เถอะ… คุณไม่เป็นอะไรจริงๆหรอครับที่จับอาวุธแบบนี้? คำสาปไม่ได้ส่งผลต่อร่างกายหรือจิตใจบ้างหรอครับ?”

“มันก็ค่อนข้างเชื่องไปแล้วล่ะ”

 

“น่าเหลื่อเชื่อจริงๆ… ไม่คิดเลยว่าเขาจะสามารถฝึกอาวุธเวทมนต์ต้องสาปให้เชื่องได้ ขอบคุณมากเลยครับ ผมอยากทราบแค่นี้แหละ แต่คุณช่วยเก็บมันไปทีได้ไหมครับ? ให้พูดตรงๆเลยแค่มองมันผมก็รู้สึกกระอักกระอวนแล้วล่ะครับ”

“โว้ว เอ่อ… ไอเจ้านี้มันแข็งแกร่งขนาดนั้นเลยหรอ?”

“สุดๆเลยครับ มันแข็งแกร่งจนผมยังแปลกใจว่าทำไมมันยังไม่เข้าควบคุมจิตใจคุณอยู่เลย”

 

สงสัยที่เคยบอกผู้กล้าไปว่าจอมมารจะรับมือเรื่องคำสาปเก่งจะเป็นมากกว่าแค่เรื่องตลกแล้วแหะ แต่คิดอีกทีก็ไม่น่าใช่นะ

 

ผู้กล้าก็รู้สึกกดดันกับตัวอาวุธอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีกระอักกระอวนหรืออะไร ทางเลฟี่เหมือนจะตรงกับข้ามเลย ตัวตนของเธอมันทำเอาตัวอาวุธอึดอัดแทนซะงั้น เจ้าขวานที่น่าสงสารนี้ถึงกับอยู่นิ่งไม่ไหวติ่ง ราวกับเป็นอาวุธธรรมดาทั่วๆไปในตอนที่เธอถือมัน ราวกับเป็นสัตว์ตัวจิ๋วที่สั่นกลัวต่อนักล่าเลย พอคิดแบบนั้นก็ออกจะดูน่ารักดีแหะ

 

ด้วยความไม่พอใจ เธอถึงกับขู่ในอาวุธสาบเธอด้วยซ้ำ แต่ก็ไร้ประโยชน์ ด้วยความสงสาร ผมเลยเข้าไปหยุดก่อนเธอจะทำอะไรไปมากกว่านี้ ดังนั้นความรู้สึกที่มีต่ออาวุธนี้คงจะขึ้นอยู่กับค่าสถานะว่าสูงแค่ไหนนั้นแหละ

 

ผมเก็บเจ้าขวานเข้าช่องเก็บของไปในระหว่างที่คิด  

 

“ผมก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าคุณ… ผิดปกติ ดังนั้นเราจะผ่านเรื่องความสามารถของคุณไปก่อน คุณช่วยบอกข้อมูลของชายที่ใช้มันมาก่อนได้ไหมครับ?”

“ผิดปกติ? ฟังดูหยาบคายไปหน่อยแต่จะยอมปล่อยๆไปก่อนละกัน ไอเจ้าอาวุธมันเพิ่มพลังให้กับมันเยอะเลยล่ะ แต่ถึงมันยังไม่หยิบอาวุธออกมามันก็ดูเก่งกว่ากุ๊ยทั่วๆไปอยู่แล้วนะ”

 

พูดตรงๆผมคิดว่ามันแข็งแกร่งพอที่จะทำงานสุจริตก็ยังใช้ชีวิตสบายๆได้เลย ตอนแรกก็นึกว่าเป็นเพราะอาวุธเลยทำให้มันมาเดินเส้นทางนั้น แต่พอมาได้ถือเองถึงได้รู้ว่าไม่ใช่ มันต้องเพิ่งได้อาวุธชิ้นนี้มาไม่นานแน่ๆ ไม่งั้นเป็นบ้าไล่ฆ่าคนไปทั่วไปนานแล้ว

 

แม้จะต้องสาป แต่มันก็เป็นขวานที่ทรงพลัง ถึงจะมีความต่างในค่าสถานะแค่ 10 ก็สร้างความแตกต่างได้มากแล้ว แต่การแค่ถือเจ้าขวานนี้ก็เพิ่มไป 200 ทุกค่านี้มันบ้าชัดๆ กับการเสียสติไปนี้กลายเป็นเรื่ยงที่คุ้มค่าขึ้นมาเลย  

 

“คร่าวๆก็ประมาณนั้นแหละ”

 

เจ้าเมืองเริ่มขมวดคิ้วหลังจากที่ผมบอกข้อสันนิษฐานออกไป “เหมือนนายมีอะไรคาใจนะ?”

“…ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอกครับ แค่คำพูดของคุณพลางให้ผมนึกถึงเรื่องอื่นนะครับ” ตาแก่พูด “ตายจริง ผมเผลอพูดนอกเรื่องไป ขอโทษที่มารั้งตัวคุณไว้ด้วยนะครับ”

“ไม่ต้องกังวลไปหรอก”

“ถึงผมอยากจะให้คุณกลับเข้าป่าไปในทันทีเลยก็เถอะ แต่ผมก็ไม่มีข้อแย้งอะไรถ้าคุณจะทำธุระในนี้ต่อ แต่ช่วยอยู่ห่างจากปัญหาให้มากที่สุดเท่าที่จะได้ด้วยนะครับ”

“เอ่ออ นายเลิกตีหน้าเข้าหาอะไรพวกนั้นแล้วหรอ? รู้สึกหลังๆนี้จะพูดกันตรงๆขึ้นนะ”

“ผมว่าคุณน่าจะชอบแบบนี้มากกว่านะครับ”

“หึ ก็จริง” ใต้ตายสิ ตาแก่นี้มันรู้ใจดีจริงๆ ผมชอบคนที่พูดตรงๆกันมากกว่าพูดอ้อมค้อมไปเรื่อยล่ะนะ

 

“ยังไงก็ไม่ต้องห่วงหรอก ที่พวกเราจะทำกันก็แค่ชมวิวในเมืองก็เท่านั้น พอเดินดูกันเต็มที่เดี๋ยวก็กลับ ใช่ไหมเลฟี่?”

“ถูกต้อง” มังกรสาวตอบกลับ “อาหารที่ชาวเมืองของเจ้าทำนั้นอร่อย เราจะพยายามหลีกเลี่ยงการทำลายให้สิ้นซากถึงแม้เราจะโกรธก็ตาม”

“ไม่เคยรู้สึกดีใจมากเท่านี้มาก่อนเลยที่พ่อครัวของเราทำอาหารเก่ง” ตาแก่พึมพัมอย่างจริงจัง

 

เมื่อเราเสร็จกิจกับเจ้าเมืองเสร็จ พวกเราก็โบกมือลาและเตรียมตัวไปเดินเที่ยวชมเมืองโดยมีผู้กล้าเป็นไกด์นำเที่ยว

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Maou ni Nattanode, Dungeon Tsukutte Jingai Musume to Honobono Suru 68 วันหยุดพักผ่อนในต่างโลก

Now you are reading Maou ni Nattanode, Dungeon Tsukutte Jingai Musume to Honobono Suru Chapter 68 วันหยุดพักผ่อนในต่างโลก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เธอรู้อะไรไหม?” ผมเอียงคอไปทางเลฟี่ และพูดกับเธอขณะที่เราสองคนออกจากโรงแรม ฌ ตอนนี้เป็นเวลาตอนเช้า เราเพิ่งเสร็จสิ้นขั้นตอนการเช็คเอาท์และออกเดินทาง จุดหมายของเราคือคฤหาสน์ของเจ้าเมือง ซึ่งเราจะไปพบกับผู้กล้า ไกด์นำเที่ยวของเรา “โรงแรมนี้ก็ไม่ได้แย่เลยนะ ค่อนข้างดีเลยด้วยซ้ำ”

“เราก็ชอบอยู่ระดับนึง” มังกรสาวตอบ “แต่ก็เทียบเท่าบ้านของเราไม่ได้อยู่ดี”

“ก็จริง”

 

ลึกๆภายใจในผมรู้สึกมีความสุขที่ได้ยินเลฟี่พูดแบบนั้น มันเป็นการพิสูจน์ว่าเธอมองปราสาทของผมเป็นมากกว่าที่พักปีก แต่มันคือบ้านของเธอ แต่ผมก็ไม่ยอมปล่อยให้ความรู้สึกนี้มันแสดงออกมา

 

โรงแรมที่เราเลือกมาพักกันเป็นโรงแรมที่แพงที่สุด และพนักงานภายในโรงแรมก็เป็นมือโปรกันหมดเลยด้วย ถึงเราจะเป็นหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้าเมืองมา แต่ก็ให้การต้อนรับเราเป็นอย่างดี และเตรียมห้องให้เราแทบจะทันที การตกแต่งภายในก็ทำได้ดี อาหารก็อร่อย ถึงจะเป็นอาหารที่ผมไม่เคยพบเห็นหรือได้กินมาก่อนก็ตาม ข้อติเดียวเลยคือเขาให้เราอยู่ในห้องใหญ่เตียงเดี่ยว ไม่ใช่ห้องเล็กสองห้อง การที่เตียงหายไปเตียงนึงก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรซักเท่าไหร่ เพราะเลฟี่กับผมก็อาศัยอยู่ร่วมกันมาช่วงเวลานึงแล้ว แถมยัยนี้ก็ชอบเข้ามาในช่วงเวลาอาบน้ำของผมเพราะต้องการให้ผมสระหัวให้ ทำให้การนอนร่วมกันนั้นไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาคือสายตาที่เหล่าพนักงานมองมาที่ผมมันช่างเจ็บปวดไปถึงกระดูกซะเหลือเกิน

 

ส่วนไอเรื่องเจ้าชายเส็งเคร็งนั้นนะหรอ? ผมเลิกคิดเรื่องของมันไปก่อน เพราะเป็นปัญหาที่ใหญ่เกินกว่าจะมาวางแผนแปปๆแล้วก็ทำเลยไม่ได้ เพราะการออกเดินทางครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อระบุตัวเท่านั้น ซึ่งเรื่องนั้นก็เสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อย ผมจึงหยุดคิดและหันมาพักผ่อนหย่อนใจ เที่ยวให้เต็มทีไปก่อนแล้วค่อยไปคิดต่อหลังจากนี้  

 

“อยู่นั้นไง” ผมพูดขึ้นเมื่อสังเกตเห็นผู้กล้า “เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมเขามาอยู่ด้วยล่ะเนี่ย?”

 

ไม่นับทหารที่ยืนอยู่ ตอนนี้มีคนสองคนที่ยืนอยู่หน้าคฤหาสน์เจ้าเมือง คนแรกก็คือเนลล์ ผู้กล้าของเรานี้เอง ส่วนอีกคนคือตาแก่เจ้าเมือง เลย์โลว

 

“เฮ้ ว่าไงตาแก่? มีไรหรอ?” ผมทักทายก่อนจะหันสลับไปมาระหว่างทั้งคู่ “หืม นี้ชั้นคิดไปเองหรือพวกนายดูเหนื่อยๆกัน?”

“แล้วคิดว่าเป็นความผิดใครกันล่ะ…? ที่คุณเลย์โลวเขาอยู่ด้วยเพราะมีเรื่องอยากจะถามนายนะ”

“งั้นหรอ ว่ามาสิ?”  

“อรุณสวัสดิ์ครับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงแบบเป็นทางการและให้ความเคารพ “ผมได้ยินว่าคุณไปเจอกับอาวุธต้องสาบเข้า ผมเลยอยากจะสอบถามเกี่ยวกับมันนะครับ”

 

อาวุธต้องสาบ? อ้อ เขาหมายถึงขวานนี้เอง หืมมมม เป็นชื่อที่เหมาะกับมันดีแหะ เลฟี่ก็พูดถึงการที่ผมไม่โดยกลืนกินโดยอาวุธอยู่นี้น่า

 

“หมายถึงเจ้านี้นะหรอ?” ผมหยิบขวานออกมาให้เขาดู

“อะไรกัน!? ท่านเจ้าเมือง ถอยไปครับ!” ทหารยามที่ยืนอยู่หน้าทางเข้าซักอาวุธออกมาและเข้าประจันหน้ากับผมทันที

“หยุดเดี๋ยวนี้! เก็บดาบลงไปซะ!” ตาแก่ตะโกนสั่งใส่ลูกน้องของตนเอง “ผมต้องขอโทษในความหยาบคายของพวกเขาด้วยครับ”

“ไม่ต้องห่วง ชั้นไม่คิดมากหรอก”

“ถึงอย่างงั้นก็เถอะ… คุณไม่เป็นอะไรจริงๆหรอครับที่จับอาวุธแบบนี้? คำสาปไม่ได้ส่งผลต่อร่างกายหรือจิตใจบ้างหรอครับ?”

“มันก็ค่อนข้างเชื่องไปแล้วล่ะ”

 

“น่าเหลื่อเชื่อจริงๆ… ไม่คิดเลยว่าเขาจะสามารถฝึกอาวุธเวทมนต์ต้องสาปให้เชื่องได้ ขอบคุณมากเลยครับ ผมอยากทราบแค่นี้แหละ แต่คุณช่วยเก็บมันไปทีได้ไหมครับ? ให้พูดตรงๆเลยแค่มองมันผมก็รู้สึกกระอักกระอวนแล้วล่ะครับ”

“โว้ว เอ่อ… ไอเจ้านี้มันแข็งแกร่งขนาดนั้นเลยหรอ?”

“สุดๆเลยครับ มันแข็งแกร่งจนผมยังแปลกใจว่าทำไมมันยังไม่เข้าควบคุมจิตใจคุณอยู่เลย”

 

สงสัยที่เคยบอกผู้กล้าไปว่าจอมมารจะรับมือเรื่องคำสาปเก่งจะเป็นมากกว่าแค่เรื่องตลกแล้วแหะ แต่คิดอีกทีก็ไม่น่าใช่นะ

 

ผู้กล้าก็รู้สึกกดดันกับตัวอาวุธอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีกระอักกระอวนหรืออะไร ทางเลฟี่เหมือนจะตรงกับข้ามเลย ตัวตนของเธอมันทำเอาตัวอาวุธอึดอัดแทนซะงั้น เจ้าขวานที่น่าสงสารนี้ถึงกับอยู่นิ่งไม่ไหวติ่ง ราวกับเป็นอาวุธธรรมดาทั่วๆไปในตอนที่เธอถือมัน ราวกับเป็นสัตว์ตัวจิ๋วที่สั่นกลัวต่อนักล่าเลย พอคิดแบบนั้นก็ออกจะดูน่ารักดีแหะ

 

ด้วยความไม่พอใจ เธอถึงกับขู่ในอาวุธสาบเธอด้วยซ้ำ แต่ก็ไร้ประโยชน์ ด้วยความสงสาร ผมเลยเข้าไปหยุดก่อนเธอจะทำอะไรไปมากกว่านี้ ดังนั้นความรู้สึกที่มีต่ออาวุธนี้คงจะขึ้นอยู่กับค่าสถานะว่าสูงแค่ไหนนั้นแหละ

 

ผมเก็บเจ้าขวานเข้าช่องเก็บของไปในระหว่างที่คิด  

 

“ผมก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าคุณ… ผิดปกติ ดังนั้นเราจะผ่านเรื่องความสามารถของคุณไปก่อน คุณช่วยบอกข้อมูลของชายที่ใช้มันมาก่อนได้ไหมครับ?”

“ผิดปกติ? ฟังดูหยาบคายไปหน่อยแต่จะยอมปล่อยๆไปก่อนละกัน ไอเจ้าอาวุธมันเพิ่มพลังให้กับมันเยอะเลยล่ะ แต่ถึงมันยังไม่หยิบอาวุธออกมามันก็ดูเก่งกว่ากุ๊ยทั่วๆไปอยู่แล้วนะ”

 

พูดตรงๆผมคิดว่ามันแข็งแกร่งพอที่จะทำงานสุจริตก็ยังใช้ชีวิตสบายๆได้เลย ตอนแรกก็นึกว่าเป็นเพราะอาวุธเลยทำให้มันมาเดินเส้นทางนั้น แต่พอมาได้ถือเองถึงได้รู้ว่าไม่ใช่ มันต้องเพิ่งได้อาวุธชิ้นนี้มาไม่นานแน่ๆ ไม่งั้นเป็นบ้าไล่ฆ่าคนไปทั่วไปนานแล้ว

 

แม้จะต้องสาป แต่มันก็เป็นขวานที่ทรงพลัง ถึงจะมีความต่างในค่าสถานะแค่ 10 ก็สร้างความแตกต่างได้มากแล้ว แต่การแค่ถือเจ้าขวานนี้ก็เพิ่มไป 200 ทุกค่านี้มันบ้าชัดๆ กับการเสียสติไปนี้กลายเป็นเรื่ยงที่คุ้มค่าขึ้นมาเลย  

 

“คร่าวๆก็ประมาณนั้นแหละ”

 

เจ้าเมืองเริ่มขมวดคิ้วหลังจากที่ผมบอกข้อสันนิษฐานออกไป “เหมือนนายมีอะไรคาใจนะ?”

“…ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอกครับ แค่คำพูดของคุณพลางให้ผมนึกถึงเรื่องอื่นนะครับ” ตาแก่พูด “ตายจริง ผมเผลอพูดนอกเรื่องไป ขอโทษที่มารั้งตัวคุณไว้ด้วยนะครับ”

“ไม่ต้องกังวลไปหรอก”

“ถึงผมอยากจะให้คุณกลับเข้าป่าไปในทันทีเลยก็เถอะ แต่ผมก็ไม่มีข้อแย้งอะไรถ้าคุณจะทำธุระในนี้ต่อ แต่ช่วยอยู่ห่างจากปัญหาให้มากที่สุดเท่าที่จะได้ด้วยนะครับ”

“เอ่ออ นายเลิกตีหน้าเข้าหาอะไรพวกนั้นแล้วหรอ? รู้สึกหลังๆนี้จะพูดกันตรงๆขึ้นนะ”

“ผมว่าคุณน่าจะชอบแบบนี้มากกว่านะครับ”

“หึ ก็จริง” ใต้ตายสิ ตาแก่นี้มันรู้ใจดีจริงๆ ผมชอบคนที่พูดตรงๆกันมากกว่าพูดอ้อมค้อมไปเรื่อยล่ะนะ

 

“ยังไงก็ไม่ต้องห่วงหรอก ที่พวกเราจะทำกันก็แค่ชมวิวในเมืองก็เท่านั้น พอเดินดูกันเต็มที่เดี๋ยวก็กลับ ใช่ไหมเลฟี่?”

“ถูกต้อง” มังกรสาวตอบกลับ “อาหารที่ชาวเมืองของเจ้าทำนั้นอร่อย เราจะพยายามหลีกเลี่ยงการทำลายให้สิ้นซากถึงแม้เราจะโกรธก็ตาม”

“ไม่เคยรู้สึกดีใจมากเท่านี้มาก่อนเลยที่พ่อครัวของเราทำอาหารเก่ง” ตาแก่พึมพัมอย่างจริงจัง

 

เมื่อเราเสร็จกิจกับเจ้าเมืองเสร็จ พวกเราก็โบกมือลาและเตรียมตัวไปเดินเที่ยวชมเมืองโดยมีผู้กล้าเป็นไกด์นำเที่ยว

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+