Maou ni Nattanode, Dungeon Tsukutte Jingai Musume to Honobono Suru 40 สาธิตระบบดันเจี้ยน

Now you are reading Maou ni Nattanode, Dungeon Tsukutte Jingai Musume to Honobono Suru Chapter 40 สาธิตระบบดันเจี้ยน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“…ก็ว่าไว้แล้วว่ามันจะไม่ง่ายเหมือนที่หวัง”

 

ผมดูหน้าจอแผนที่ ชายที่ผมไปพบด้วยเขาก็ทำตามที่ผมบอกเป็นอย่างดี ปลุกลูกน้องตัวเอง วิ่งไปที่เต้นหัวหน้า และบอกเรื่องราวและข้อความที่ผมฝากไปให้ แต่น่าเสียดายที่หัวหน้าของเขาไม่เชื่อ

 

เขาเป็นคนเดียวที่ได้เห็นผม คนอื่นๆเลยคิดว่าเขาฝันร้ายไม่ก็บ้าไปแล้ว แค่ถงึจะเป็นอย่างนั้น เขาก็ไม่ได้ลังเลในการตัดสินใจของตัวเอง ก่อนจะพาตัวเองและเหล่าลูกน้องออกจากป่าไป

 

เลือกได้ดี

 

ไม่เหมือนหัวหน้าของเขา เขาได้รักษาชีวิตตัวเองเอาไว้ และก็ได้ช่วยชีวิตของลูกน้องไปเป็นที่เรียบร้อย

 

“อืมมมมม…”

“อะไรหรอ เลฟี่?”

“ตอบเราหน่อยสิยูกิ ทำไมเจ้ากลับมาแบบสภาพปกติจัง…?”

 

เสียงของเลฟี่มีความลังเลเล็กน้อย

 

“ก็ ชั้นแค่ไปเตือนเฉยๆนะ…”

“ที่หลังก็บอกกันก่อนสิ…”

 

เลฟี่เริ่มพูดแบบอายๆ มีท่าทีไม่เป็นสุขนัก

 

“เราก็นึกว่าเจ้าจะออกไปทำอีกอย่างหนึ่ง เลยอุตส่าห์ไม่นอน รอเจ้ากลับมาแท้ๆ เรารู้สึกเหมือนเป็นคนโง่เลย เป็นความผิดของเจ้าแท้ๆ”

 

ผมอดคิดไม่ได้ว่าท่าทางของเธอมันน่ารักดี

 

“ครับ ขอโทษครับ มะ เดี๋ยวชั้นจะแสดงอะไรที่น่าสนใจให้ดู”

 

ผมปรับให้แผนที่มันแสดงให้เลฟี่เห็นด้วยได้ พูดตรงๆผมก็ยังไม่รู้ว่าระบบดันเจี้ยนมันนับยังไงว่าใครที่แสดงให้ดูได้ แต่ใครไม่ แต่ถ้าให้เดา ก็คงเกี่ยวกับความเชื่อใจ

 

“พวกนี้สินะ ผู้บุกรุก?”

“ใช่ เจ้าพวกหน้าโง่ที่กล้ามาตอแยเรา”

 

ภาพที่แสดงนั้นตรงกับเวลาจริง ความคมชัดก็ขนาดเห็นใบหน้าบื้อๆของทหารยามกลางคืนได้ชัดเจนเลยล่ะ

 

ที่เราเห็นอย่างนี้ได้ก็เป็นเพราะ ‘ตาปีศาจ’ มอนเตอร์จากในดันเจี้ยน มันเป็นมอนเตอร์กลมๆที่ทีตาเท่าลูกเบสบอล มีปีก และสิ่งที่เราเห็นอยู่ก็คือสิ่งที่มันเห็น พูดง่ายๆมันก็คือกล้องไร้สายดีๆนี้เอง

 

และพวกมันก็ค่อนข้างมีความเหมือนโกเลมด้วย คือมันจะเอาพลังเวทจากดันเจี้ยนเป็นพลังงาน และก็ใช้นอกพื้นที่อาณาเขตไม่ได้ แต่แค่นี้ก็มีประโยชน์มากพอล่ะ

 

ก็ต้องยอมรับนะว่าตอนแรกก็เอาเจ้านี้ไปทัวร์โลกกว้างเหมือนกัน แต่ดูเหมือนมันจะไม่เป็นใจซักเท่าไหร่

 

เอาล่ะ แล้วเจ้าพวกที่ยังอยู่นี้ ก็คงตั้งตัวเป็นศัตรูอย่างชัดเจนแล้วสินะ อุตส่าห์ออกไปเตือนดีๆแล้วก็ไม่ชอบ

 

ถ้างั้น ก็ได้เวลาลองของใหม่กันแล้วสินะ!

 

***

 

“หือ? บ้าอะไรเนี่ย? ทำไมจู่ๆมันก็สว่างขึ้นมาว่ะ?”

 

หนึ่งในทหารยามยกมือขึ้นมาบังตาจากแสงที่จู่ๆก็สว่างขึ้นมา และพูดออกมาอย่างงงๆ

 

“เหอะ!” ทหารข้างหลังเขาหัวเราะ “ดูเหมือนแกจะหลอนแล้วล่ะ นี้มันยังไม่เที่ยง—”

 

แต่ทหารคนที่สองก็ไม่อาจได้พูดจบ เพราะเขาโดนแทงทะลุหัวใจจากทหารคนที่สามซะก่อน

 

“ร-เราถูกโจมตี! ศัตรูมันล้อมไว้หมดแล้ว!”

 

ทหารที่เพิ่งแทงเพื่อนตัวเองตายไป ตะโกนขึ้นมาแล้วเหวี่ยงดาบตัดอากาศและหลบไปมา ราวกับว่ากำลังสู้กับใครอยู่จริงๆ

 

และเขาก็ไม่ใช่เพียงคนเดียวด้วย

 

เขาและทหารคนอื่นๆไม่ได้รู้เลยว่า ทั้งเสียง กลิ่น และสิ่งที่พวกเขาได้เห็นนั้นต่างกันไปหมด

 

พวกเขาสูญเสียสติอย่างแท้จริง

 

เสียงจากความวุ่นวายนี้ส่งผลให้คนอื่นๆที่พักผ่อนกันอยู่ต้องตื่นขึ้นมาเพื่อตรวจสอบสถานการณ์

 

“นี้มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกันเนี่ย!?

 

มีชายตัวอ้วนที่ดูเหมือนจะเป็นผู้บังคับบัญชาของที่มองผ่านๆก็รู้ว่าเอาพลังอำนาจดันตัวเองขึ้นมา

 

“ก็ไม่ทราบเหมือนกันครับท่าน! แต่ทหารแต่ล่ะนายต่างก็พูดบางเรื่องต่างกั—”

 

ร่างของชายผู้มารายงานล้มลง หัวหลุดจากบ่ากลิ้งไปที่เท้าของหัวหน้าเขา

 

“อ-อะไรกัน!?”

 

“ศัตรู ฆ่าาาาาาาาาาาาาาา!”

 

ข้างหลังศพหัวขาด ก็มีทหารนายหนึ่งยืนอยู่ อ้าปาก น้ำลายไหล ที่ดาบมีคราบของไขมันและเลือดติดอยู่

 

เขาบ้าอย่างชัดเจน

 

“ห-เห้ย! หยุด! อย่าเข้ามาใกล้นะเว้ย!” เขาพยายามออกคำสั่ง ผมก็ได้รับสิ่งที่ตรงกันข้าม ”หยุดมันไว้ที! ค-ใครก็ได้มาหยุดมันเดี๋ยวนี้!”

 

ก็ถือว่าโชคดีของเขาที่ทหารบางส่วนยักคงปกติดีอยู่ ทหารหลายคนที่มีไหวพริบพอก็จับกดคนที่เสียสติเอาไว้

 

“นี้มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกันแน่ว่ะเนี่ย!?”

 

ก็เป็นอีกครั้งที่ตัวหัวหน้าร้องตะโกนด้วยความสับสนและมาไปที่บริเวณแคมป์อื่นๆ

 

ที่ตอนนี้ตกอยู่ในความวุ่นวายไปหมดแล้ว

 

***

 

“โอ้…? เจ้าใช้ต้นไม้หลอนประสาทสินะ?”

 

เลฟี่แสดงความคิดเห็นหลังจากได้เห็นภาพ น้ำเสียงของเธอดูสนใจในสิ่งที่ผมทำอย่างชัดเจน

 

 

“ใช่ แปลกใจนะที่เธอรู้จังมันด้วย”

“แน่นอนอยู่แล้ว”

 

ผมค่อนข้างประทับใจเลยที่เธอรู้สาเหตุได้แค่จากการดูอาการของพวกทหาร

 

เธอรู้ได้ทันทีว่าผมใช้ ยารอสช์กิฟต์ (rauschgift balm) อีกชื่อก็คือ ต้นไม้หลอนประสาท ผลของมันก็ตามชื่อเลย

 

พวกมันจะปล่อยพลังเวทหลอนประสาทออกมา สิ่งมีชีวิตที่ซึบซับมันเข้าไปจนเกินกว่าร่างกายจะรับได้จะเสียสติไปทันที แต่ผลมันจะไม่ทันที มอนเตอร์ที่มีประสาทรับพลังเวทสูงกว่าจะรู้ได้ว่าไม่ควรเข้าไปใกล้ ซึ่งผิดกับมนุษย์

 

ผมเลยใช้ดันเจี้ยนสร้างมันขึ้นมาในพื้นที่ต่างๆ และเมื่อมันถูกสร้างในดันเจี้ยน ก็เท่ากับว่าควบคุมได้ ผมจึงสามารถสั่งให้มันปล่อยพลังเวทหรือหยุดปล่อยก็ได้

 

และผมก็สั่งปล่อยทันทีที่รู้ว่ากลุ่มนี้ได้ขัดคำเตือนของผม

 

ทั้งผมและเลฟี่ต่างต้านทานผลของมันได้ 100% พลังเวทของพวกเรามันสูงเกินไป ถึงจะได้รับพลังเวทของมันเข้ามา มันก็จะผสมกับของเก่าจนผลหลอนประสาทของมันลดลงจนไร้ผล 

 

ตอนแรกผมคิดว่าผลมันจะตรงกันข้ามเพราะร่างกายผมมันสร้างมาจากพลังเวท แต่ผมคิดผิด

 

ผมเคยไปยืนเกาะต้นมันดูและถือโพชั่นขั้นสูงเอาเผื่อเอาไว้ แต่ก็ไม่เป็นอะไรเพราะพลังเวทผมมันหนาแน่นเกินไป

 

“ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่จัดการพวกมันแค่ผลของต้นไม้สินะ” เลฟี่พูด

“ก็นะ ยังมีของเล่นอยู่อีกแหละ เธอก็น่าจะรู้แล้วนี้ว่าชั้นนะอัจฉริยะแค่ไหนนะ?”

“คนที่บอกว่าตัวเองอัจฉริยะนะ มักจะธรรมดาที่สุดเสมอนั้นแหละ”

“ก็ได้ เอาอย่างนี้ล่ะกัน” ผมแสยะยิ้ม “ชั้นก็ฉลาดมากพอที่จะเอาชนะเธอทุกครั้งได้ในเกมกระดาน เธอนะไม่เคยเอาชนะชั้นได้เลยนะ”

“น-นั้นก็เพราะว่าเจ้าถนัดเกมนั้นมากกว่าต่างหากล่ะ! และที่สำคัญกว่านั้นนะ เกมเก่าของเรายังเล่นไม่จบกันเลยนะ ผมแพ้ชนะนะยังไม่ได้ถูกตัดสินด้วยซ้ำ และเราก็รู้ว่าเราจะต้องครองชัยชนะนัน้อย่างแน่นอน ฟังให้ดีนะยูกิ! เราจะจัดการเจ้าให้หงายหลังเลย! ดังนั้นจงมาเล่นกันเดี๋ยวนี้!”

 

เลฟี่ท้าสู้เกมกระดานกับผมแบบหน้าแดงๆ

 

“จ้า จ้า ตามใจเลย แต่ขอชั้นจัดการนี้ให้เสร็จไปก่อนนะ โอเค?”

 

ผมเอามือวางบนหัวเธอแล้วลูบเบาๆ ก่อนจะเปิดใช้งานกับดักตัวถัดไป

 

 

TL:ทำการเอาภาพตอน 14 มาใส่ตอนนี้นะจิ ลงผิดจิ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Maou ni Nattanode, Dungeon Tsukutte Jingai Musume to Honobono Suru 40 สาธิตระบบดันเจี้ยน

Now you are reading Maou ni Nattanode, Dungeon Tsukutte Jingai Musume to Honobono Suru Chapter 40 สาธิตระบบดันเจี้ยน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“…ก็ว่าไว้แล้วว่ามันจะไม่ง่ายเหมือนที่หวัง”

 

ผมดูหน้าจอแผนที่ ชายที่ผมไปพบด้วยเขาก็ทำตามที่ผมบอกเป็นอย่างดี ปลุกลูกน้องตัวเอง วิ่งไปที่เต้นหัวหน้า และบอกเรื่องราวและข้อความที่ผมฝากไปให้ แต่น่าเสียดายที่หัวหน้าของเขาไม่เชื่อ

 

เขาเป็นคนเดียวที่ได้เห็นผม คนอื่นๆเลยคิดว่าเขาฝันร้ายไม่ก็บ้าไปแล้ว แค่ถงึจะเป็นอย่างนั้น เขาก็ไม่ได้ลังเลในการตัดสินใจของตัวเอง ก่อนจะพาตัวเองและเหล่าลูกน้องออกจากป่าไป

 

เลือกได้ดี

 

ไม่เหมือนหัวหน้าของเขา เขาได้รักษาชีวิตตัวเองเอาไว้ และก็ได้ช่วยชีวิตของลูกน้องไปเป็นที่เรียบร้อย

 

“อืมมมมม…”

“อะไรหรอ เลฟี่?”

“ตอบเราหน่อยสิยูกิ ทำไมเจ้ากลับมาแบบสภาพปกติจัง…?”

 

เสียงของเลฟี่มีความลังเลเล็กน้อย

 

“ก็ ชั้นแค่ไปเตือนเฉยๆนะ…”

“ที่หลังก็บอกกันก่อนสิ…”

 

เลฟี่เริ่มพูดแบบอายๆ มีท่าทีไม่เป็นสุขนัก

 

“เราก็นึกว่าเจ้าจะออกไปทำอีกอย่างหนึ่ง เลยอุตส่าห์ไม่นอน รอเจ้ากลับมาแท้ๆ เรารู้สึกเหมือนเป็นคนโง่เลย เป็นความผิดของเจ้าแท้ๆ”

 

ผมอดคิดไม่ได้ว่าท่าทางของเธอมันน่ารักดี

 

“ครับ ขอโทษครับ มะ เดี๋ยวชั้นจะแสดงอะไรที่น่าสนใจให้ดู”

 

ผมปรับให้แผนที่มันแสดงให้เลฟี่เห็นด้วยได้ พูดตรงๆผมก็ยังไม่รู้ว่าระบบดันเจี้ยนมันนับยังไงว่าใครที่แสดงให้ดูได้ แต่ใครไม่ แต่ถ้าให้เดา ก็คงเกี่ยวกับความเชื่อใจ

 

“พวกนี้สินะ ผู้บุกรุก?”

“ใช่ เจ้าพวกหน้าโง่ที่กล้ามาตอแยเรา”

 

ภาพที่แสดงนั้นตรงกับเวลาจริง ความคมชัดก็ขนาดเห็นใบหน้าบื้อๆของทหารยามกลางคืนได้ชัดเจนเลยล่ะ

 

ที่เราเห็นอย่างนี้ได้ก็เป็นเพราะ ‘ตาปีศาจ’ มอนเตอร์จากในดันเจี้ยน มันเป็นมอนเตอร์กลมๆที่ทีตาเท่าลูกเบสบอล มีปีก และสิ่งที่เราเห็นอยู่ก็คือสิ่งที่มันเห็น พูดง่ายๆมันก็คือกล้องไร้สายดีๆนี้เอง

 

และพวกมันก็ค่อนข้างมีความเหมือนโกเลมด้วย คือมันจะเอาพลังเวทจากดันเจี้ยนเป็นพลังงาน และก็ใช้นอกพื้นที่อาณาเขตไม่ได้ แต่แค่นี้ก็มีประโยชน์มากพอล่ะ

 

ก็ต้องยอมรับนะว่าตอนแรกก็เอาเจ้านี้ไปทัวร์โลกกว้างเหมือนกัน แต่ดูเหมือนมันจะไม่เป็นใจซักเท่าไหร่

 

เอาล่ะ แล้วเจ้าพวกที่ยังอยู่นี้ ก็คงตั้งตัวเป็นศัตรูอย่างชัดเจนแล้วสินะ อุตส่าห์ออกไปเตือนดีๆแล้วก็ไม่ชอบ

 

ถ้างั้น ก็ได้เวลาลองของใหม่กันแล้วสินะ!

 

***

 

“หือ? บ้าอะไรเนี่ย? ทำไมจู่ๆมันก็สว่างขึ้นมาว่ะ?”

 

หนึ่งในทหารยามยกมือขึ้นมาบังตาจากแสงที่จู่ๆก็สว่างขึ้นมา และพูดออกมาอย่างงงๆ

 

“เหอะ!” ทหารข้างหลังเขาหัวเราะ “ดูเหมือนแกจะหลอนแล้วล่ะ นี้มันยังไม่เที่ยง—”

 

แต่ทหารคนที่สองก็ไม่อาจได้พูดจบ เพราะเขาโดนแทงทะลุหัวใจจากทหารคนที่สามซะก่อน

 

“ร-เราถูกโจมตี! ศัตรูมันล้อมไว้หมดแล้ว!”

 

ทหารที่เพิ่งแทงเพื่อนตัวเองตายไป ตะโกนขึ้นมาแล้วเหวี่ยงดาบตัดอากาศและหลบไปมา ราวกับว่ากำลังสู้กับใครอยู่จริงๆ

 

และเขาก็ไม่ใช่เพียงคนเดียวด้วย

 

เขาและทหารคนอื่นๆไม่ได้รู้เลยว่า ทั้งเสียง กลิ่น และสิ่งที่พวกเขาได้เห็นนั้นต่างกันไปหมด

 

พวกเขาสูญเสียสติอย่างแท้จริง

 

เสียงจากความวุ่นวายนี้ส่งผลให้คนอื่นๆที่พักผ่อนกันอยู่ต้องตื่นขึ้นมาเพื่อตรวจสอบสถานการณ์

 

“นี้มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกันเนี่ย!?

 

มีชายตัวอ้วนที่ดูเหมือนจะเป็นผู้บังคับบัญชาของที่มองผ่านๆก็รู้ว่าเอาพลังอำนาจดันตัวเองขึ้นมา

 

“ก็ไม่ทราบเหมือนกันครับท่าน! แต่ทหารแต่ล่ะนายต่างก็พูดบางเรื่องต่างกั—”

 

ร่างของชายผู้มารายงานล้มลง หัวหลุดจากบ่ากลิ้งไปที่เท้าของหัวหน้าเขา

 

“อ-อะไรกัน!?”

 

“ศัตรู ฆ่าาาาาาาาาาาาาาา!”

 

ข้างหลังศพหัวขาด ก็มีทหารนายหนึ่งยืนอยู่ อ้าปาก น้ำลายไหล ที่ดาบมีคราบของไขมันและเลือดติดอยู่

 

เขาบ้าอย่างชัดเจน

 

“ห-เห้ย! หยุด! อย่าเข้ามาใกล้นะเว้ย!” เขาพยายามออกคำสั่ง ผมก็ได้รับสิ่งที่ตรงกันข้าม ”หยุดมันไว้ที! ค-ใครก็ได้มาหยุดมันเดี๋ยวนี้!”

 

ก็ถือว่าโชคดีของเขาที่ทหารบางส่วนยักคงปกติดีอยู่ ทหารหลายคนที่มีไหวพริบพอก็จับกดคนที่เสียสติเอาไว้

 

“นี้มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกันแน่ว่ะเนี่ย!?”

 

ก็เป็นอีกครั้งที่ตัวหัวหน้าร้องตะโกนด้วยความสับสนและมาไปที่บริเวณแคมป์อื่นๆ

 

ที่ตอนนี้ตกอยู่ในความวุ่นวายไปหมดแล้ว

 

***

 

“โอ้…? เจ้าใช้ต้นไม้หลอนประสาทสินะ?”

 

เลฟี่แสดงความคิดเห็นหลังจากได้เห็นภาพ น้ำเสียงของเธอดูสนใจในสิ่งที่ผมทำอย่างชัดเจน

 

 

“ใช่ แปลกใจนะที่เธอรู้จังมันด้วย”

“แน่นอนอยู่แล้ว”

 

ผมค่อนข้างประทับใจเลยที่เธอรู้สาเหตุได้แค่จากการดูอาการของพวกทหาร

 

เธอรู้ได้ทันทีว่าผมใช้ ยารอสช์กิฟต์ (rauschgift balm) อีกชื่อก็คือ ต้นไม้หลอนประสาท ผลของมันก็ตามชื่อเลย

 

พวกมันจะปล่อยพลังเวทหลอนประสาทออกมา สิ่งมีชีวิตที่ซึบซับมันเข้าไปจนเกินกว่าร่างกายจะรับได้จะเสียสติไปทันที แต่ผลมันจะไม่ทันที มอนเตอร์ที่มีประสาทรับพลังเวทสูงกว่าจะรู้ได้ว่าไม่ควรเข้าไปใกล้ ซึ่งผิดกับมนุษย์

 

ผมเลยใช้ดันเจี้ยนสร้างมันขึ้นมาในพื้นที่ต่างๆ และเมื่อมันถูกสร้างในดันเจี้ยน ก็เท่ากับว่าควบคุมได้ ผมจึงสามารถสั่งให้มันปล่อยพลังเวทหรือหยุดปล่อยก็ได้

 

และผมก็สั่งปล่อยทันทีที่รู้ว่ากลุ่มนี้ได้ขัดคำเตือนของผม

 

ทั้งผมและเลฟี่ต่างต้านทานผลของมันได้ 100% พลังเวทของพวกเรามันสูงเกินไป ถึงจะได้รับพลังเวทของมันเข้ามา มันก็จะผสมกับของเก่าจนผลหลอนประสาทของมันลดลงจนไร้ผล 

 

ตอนแรกผมคิดว่าผลมันจะตรงกันข้ามเพราะร่างกายผมมันสร้างมาจากพลังเวท แต่ผมคิดผิด

 

ผมเคยไปยืนเกาะต้นมันดูและถือโพชั่นขั้นสูงเอาเผื่อเอาไว้ แต่ก็ไม่เป็นอะไรเพราะพลังเวทผมมันหนาแน่นเกินไป

 

“ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่จัดการพวกมันแค่ผลของต้นไม้สินะ” เลฟี่พูด

“ก็นะ ยังมีของเล่นอยู่อีกแหละ เธอก็น่าจะรู้แล้วนี้ว่าชั้นนะอัจฉริยะแค่ไหนนะ?”

“คนที่บอกว่าตัวเองอัจฉริยะนะ มักจะธรรมดาที่สุดเสมอนั้นแหละ”

“ก็ได้ เอาอย่างนี้ล่ะกัน” ผมแสยะยิ้ม “ชั้นก็ฉลาดมากพอที่จะเอาชนะเธอทุกครั้งได้ในเกมกระดาน เธอนะไม่เคยเอาชนะชั้นได้เลยนะ”

“น-นั้นก็เพราะว่าเจ้าถนัดเกมนั้นมากกว่าต่างหากล่ะ! และที่สำคัญกว่านั้นนะ เกมเก่าของเรายังเล่นไม่จบกันเลยนะ ผมแพ้ชนะนะยังไม่ได้ถูกตัดสินด้วยซ้ำ และเราก็รู้ว่าเราจะต้องครองชัยชนะนัน้อย่างแน่นอน ฟังให้ดีนะยูกิ! เราจะจัดการเจ้าให้หงายหลังเลย! ดังนั้นจงมาเล่นกันเดี๋ยวนี้!”

 

เลฟี่ท้าสู้เกมกระดานกับผมแบบหน้าแดงๆ

 

“จ้า จ้า ตามใจเลย แต่ขอชั้นจัดการนี้ให้เสร็จไปก่อนนะ โอเค?”

 

ผมเอามือวางบนหัวเธอแล้วลูบเบาๆ ก่อนจะเปิดใช้งานกับดักตัวถัดไป

 

 

TL:ทำการเอาภาพตอน 14 มาใส่ตอนนี้นะจิ ลงผิดจิ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+