กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ 249 เข้าสู่ภาวะความเป็นความตาย

Now you are reading กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ Chapter 249 เข้าสู่ภาวะความเป็นความตาย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ไป๋เริ่น! กลับ!” ซ่งชูอีเดินโซซัดโซเซไปที่ไป๋เริ่น ล้มลงบนตัวของมัน ยื่นมือตบๆ หัว มือที่เปื้อนเลือดทำให้หัวของไป๋เริ่นแดงไปทั้งแถบ ไป๋เริ่นได้กลิ่นเลือด อีกทั้งได้รับคำสั่งของซ่งชูอีให้จากไปก็รู้ว่าสถานการณ์ผิดปกติ จึงรีบลุกขึ้นยืน หันหน้าแยกเขี้ยวขู่ซือหม่าหวยอี้ จากนั้นก็ปล่อยให้นางขี่หลังแล้ววิ่งออกไป ไป๋เริ่นเดินไปในตรอกที่ไร้ผู้คน ร่างของมันทะลุผ่านไปราวกับสายฟ้าบนพื้นหิมะ ลมหนาวที่ขมขื่นกับความรู้สึกที่แผดเผาในร่างกายทำให้ซ่งชูอีเจ็บไปทั่วตัว ครั้นกลับมาถึงจวน หน้าอกของซ่งชูอีก็ชุ่มไปด้วยเลือดกำเดาแล้ว ไป๋เริ่นพาซ่งชูอีตรงไปยังหนิงยาตามรอยกลิ่น “ท่าน!” หนิงยาสะดุ้งโหยง ทิ้งงานในมือลงทันที แล้วพาซ่งชูอีเข้าไปในห้องนอน จากนั้นก็ให้เจียนไปตามหมอมา การเดือดดาลจนเลือดกำเดาไหลเป็นอาการที่พบบ่อย มีวิธีแก้มากมายในหมู่ราษฎร ตอนที่หนิงยาเป็นเด็กก็เคยเลือดกำเดาไหล มารดาให้นางเงยหน้าแล้วใช้น้ำแข็งประคบบริเวณหน้าผาก ไม่ช้าเลือดก็หยุดไหลแล้ว บัดนี้นางเห็นว่าใบหน้าของซ่งชูอียิ่งซีดขาวลงเรื่อยๆ รอหมอไม่ไหวจึงเรียกให้สาวใช้นำน้ำสะอาดเข้ามาถังหนึ่ง พยายามห้ามเลือดด้วยวิธีนั้นก่อน ซ่งชูอีเงยหน้า เลือดกำเดาไหลเป็นทาง หลังจากที่หนิงยาจัดการอยู่สักพักหนึ่ง เลือดจึงหยุดไหล จากนั้นท่านหมอก็เข้ามา แล้วจ่ายยาให้ซ่งชูอี “แม่นาง ใครเป็นผู้ดูแลจวนแห่งนี้?” ท่านหมอเห็นว่าซ่งชูอีหลับไปแล้ว จึงได้แต่ถามหนิงยา “คือว่า…” แม้ว่าหนิงยาจะใช้สกุลของซ่งชูอีแล้ว ทว่าสุดท้ายก็ยังคงเป็นสาวใช้คนหนึ่ง เรื่องใหญ่เช่นนี้ ต่อให้กล้าหาญอีกสิบเท่านางก็มิกล้ารับผิดชอบสุ่มสี่สุ่มห้า “ข้าจะไปเรียกเจียวเจียวมา!” นอกเหนือจากซ่งชูอีแล้ว บัดนี้ก็มีเพียงเจ้านายอย่างเจินอวี๋เท่านั้น ไม่ช้า เจินอวี๋ก็เดินตามหนิงยามาจากลานหลังบ้านด้วยความร้อนรน ครั้นท่านหมอเห็นว่าผู้ดูแลจวนมาแล้ว ก็งดเว้นคำทักทายและกล่าวว่า “ธาตุไฟของซ่งจื่อเจริญมากเกินไป เกรงว่าเป็นเพราะกินของแสลง ร่างกายที่บกพร่องของเขาถูกจู่โจมอย่างรุนแรงเช่นนี้ อาการแย่ลงเล็กน้อย วิชาการแพทย์ของข้ามีจำกัด และสามารถทำได้เพียงจ่ายยาเพื่อทุเลาธาตุไฟลงก่อน สำหรับการบำรุงนั้น หากสามารถเชิญเปี่ยนเชวี่ยหรือหมอหลวงมาวินิจฉัยจะเป็นการดีที่สุด” หลังจากได้ยินข่าวนี้อย่างฉับพลันแล้ว ใบหน้างดงามของเจินอวี๋สูญเสียสีสันทันใด ตะลึงงันไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยคำขอบคุณ สั่งให้คนใช้ของตนนำค่ารักษาให้ท่านหมอ จากนั้นก็สั่งให้เขาส่งเขาออกไปจากจวน เจินอวี๋นึกถึงชูหลี่จี๋ทันที ไม่สนใจความอับอายในการแต่งงานไม่สำเร็จในครั้งนั้น เอ่ยว่า “ข้าจะไปหาพี่ใหญ่อิ๋ง!” “เจียวเจียว องค์ชายดีกับท่านหวยจินของพวกเรามากที่สุด คงไม่ใส่ใจเรื่องมารยาทดอกเจ้าค่ะ ถ้าอย่างไรให้เจียนไปดีกว่า จะได้เร็วขึ้น!” หนิงยาเป็นห่วงซ่งชูอีที่สุด ทว่าเพื่อซ่งชูอีแล้ว นางก็ไม่กลัวที่พูดตรงๆ และทำให้ผู้อื่นไม่พอใจ เจินอวี๋เหลือบมองนางทว่าก็มิได้ใส่ใจ ยังคงสั่งให้เตรียมรถ นางรู้สึกว่าหนิงยาเป็นเพียงสาวใช้เท่านั้น จะไปเข้าใจเรื่องมารยาทในสังคมได้อย่างไร? อย่างไรก็ดีนางไม่มีนิสัยโต้เถียง จึงไม่เต็มใจที่เจ้ากี้เจ้าการกับสาวใช้ปากมากคนหนึ่ง หนิงยาเห็นว่านางจากไปโดยไม่พูดจา กระทืบเท้าด้วยความกระวนกระวาย กัดฟันและตัดสินใจที่จะไม่สนใจวิธีการของเจินอวี๋! จากนั้นก็คุยหารือกับเจียน ขอให้เขาไปที่จวนของชูหลี่จี๋เพื่อขอความช่วยเหลือก่อน เจินอวี๋ยังคงรอคนในจวนเตรียมรถม้า เจียนจูงม้าออกจากเพิงม้าและบึ่งตรงไปหาชูหลี่จี๋ก่อนแล้ว ซ่งชูอีเกิดเรื่อง จิตใจของเจินอวี๋ก็ร้อนรนเป็นอย่างยิ่ง ไม่สนใจแม้แต่จะตรวจสอบว่าเสื้อผ้าและการแต่งหน้าของตัวเองเหมาะสมหรือไม่ ทันทีที่รถม้ามาก็รีบขึ้นรถแล้วให้คนขับรถม้ารีบไปที่จวนของชูหลี่จี๋ทันที หิมะหนักโปรยปราย น้ำแข็งและหิมะที่ทับถมบนถนนลื่นมาก รถม้าลื่นไถลไม่หยุด เจินอวี๋ที่นั่งอยู่ในรถทั้งตกใจทั้งหวาดกลัว มาถึงจวนของชูหลี่จี๋ได้อย่างยากลำบาก เจินอวี๋จัดรูปลักษณ์ให้เรียบร้อย จากนั้นก็ลงจากรถไปเคาะประตู ประตูด้านข้างเปิดออกเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งโผล่ศีรษะออกมา ถามว่า “เจียวเจียวมาหาผู้ใด?” เจินอวี๋กล่าวด้วยความร้อนรน “องค์ชายอยู่จวนหรือไม่? ข้าเป็นน้องสาวของซ่งหวยจิน มีเรื่องด่วนต้องการพบ” ผู้ดูแลจวนนึกสงสัยในใจ ผู้คนที่มาแวะคารวะในอดีตล้วนเป็นเด็กหนุ่มหรือไม่ก็ชายวัยฉกรรจ์ วันนี้ประหลาดแท้ที่มีเด็กคนหนึ่งแวะมา อีกทั้งยังเป็นเด็กผู้หญิงด้วย “องค์ชายไปประชุมราชสำนักตั้งแต่เช้ายังไม่กลับมา เกรงว่าคงมีเรื่องทางการเมืองที่ต้องตัดสินใจ” “จะกลับมาเมื่อใด?” เจินอวี๋เอ่ยถาม ครั้นถามแล้วจึงระลึกขึ้นมาได้ ผู้ดูแลจวนคนหนึ่งจะไปรู้ได้อย่างไรว่าประชุมทางการเมืองจะสิ้นสุดลงเมื่อใด สีหน้าแดงก่ำ ผู้ดูแลจวนพบเจอผู้คนมากมาย ครั้นเห็นเจินอวี๋หน้าแดงก็รู้ว่าในใจของนางกำลังคิดอะไร จึงยิ้มแล้วเอ่ยเตือนด้วยความหวังดีว่า “หากแม่นางมีเรื่องด่วนจริงๆ ก็ไปรอที่ประตูพระราชวัง ทว่าในอดีตการประชุมราชทางการเมืองสามวันสามคืนก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว วันนี้อากาศหนาว เกรงว่าเจียวเจียวจะทนไม่ไหว อย่างไรเสียก็ส่งบ่าวไพร่ที่ร่างกายแข็งแรงไปรอเถิด” เจินอวี๋มิใช่คนที่มีชีวิตชีวา ดังนั้นเมื่อเทียบกับสาวชาวฉินทั่วไปแล้ว ร่างกายจึงดูบอบบางอย่างเห็นได้ชัด “ขอบคุณ” เจินอวี๋กล่าว ผู้ดูแลจวนประสานมือเอ่ย “เจียวเจียวเกรงใจแล้ว” ลมหนาวพัดซู่ ผู้ดูแลจวนมองดูเจินอวี๋หมุนตัวจากไป จากนั้นก็ปิดประตูลงทันที ครั้นลงบันไดมา เจินอวี๋ยืนครุ่นคิดอยู่หน้ารถม้าครู่หนึ่ง ตัดสินใจที่จะไปรอที่หน้าประตูพระราชวังด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการเสียมารยาทหรือไม่ก็ยังต้องตอบแทนซ่งชูอี นางไม่ควรกลัวความหนาวเย็น เจินอวี๋กำลังจะก้าวเท้าขึ้นรถม้า ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเลือนราง ดังนั้นจึงหันไปมองตามที่มาของเสียง พบว่ามีผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งวิ่งออกมาจากประตูใหญ่ด้านข้างด้วยความเร่งรีบ ผู้ชายคนนั้นก็เห็นว่ามีคนอยู่ข้างๆ เมื่อหันมอง ทั้งสองคนก็สบสายตากัน เจินอวี๋ไม่รู้จักบุคคลนี้และไม่แม้แต่สนใจด้วยซ้ำ นางละสายตากลับมา ขึ้นรถรบเร้าให้คนขับรถรีบไปที่ประตูพระราชวัง ขณะที่รถม้ากำลังจะเลี้ยวเปลี่ยนทิศ กลับได้ยินเสียงบุคคลนั้นกล่าวขึ้น “เจียวเจียวคือน้องสาวของซ่งจื่อกระมัง?” “เอ๋?” เจินอวี๋สั่งให้คนขับรถหยุดครู่หนึ่ง เอ่ยด้วยความสงสัย “ท่านมีชื่อแซ่ว่ากระไร? เหตุใดจึงรู้จักข้า?” นางแทบไม่ออกจากบ้านเลย แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีเพื่อนมากมาย ทว่าล้วนเป็นหญิงสาวสูงศักดิ์ ดังนั้นนางจึงมั่นใจว่าตนไม่เคยเจอบุคคลผู้นี้มาก่อน บุคคลนั้นนิ่งไปครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “ข้าน้อยแวะมาคารวะองค์ชายจี๋ คิดไม่ถึงว่าจะไม่เจอใครจึงมานั่งเล่นในบ้านของพี่หลี่ว์ ข้าน้อยถือวิสาสะเรียกเจียวเจียว เพราะเห็นว่าตอนที่เจียวเจียวเข้ามาราวกับมีแววของเลือด ต้องการเตือนให้เจียวเจียวระวังตัว” “ท่านเป็นยอดฝีมือด้านคุณไสยจริงๆ เสียมารยาทแล้ว!” เจินอวี๋กล่าว นางไม่มีกะใจจะคุยเล่น ขณะที่ต้องการจะกล่าวคำลา คนนั้นกลับยิ้มเอ่ย “ข้าไม่คู่ควรกับคำว่ายอดฝีมือนี้ ข้ามาจากสำนักแพทย์ รู้เรื่องคุณไสยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น” “ท่านเป็นศิษย์สำนักแพทย์รึ!” เจินอวี๋ดีใจยิ่ง สำนักแพทย์ก็เป็นหนึ่งในหลายสำนัก มีทฤษฎีวิชาการอยู่ในสายของตัวเองและส่วนใหญ่ก็เป็นนักวิชาการซึ่งต่างจากหมอทั่วไป ไม่เพียงเท่านี้ ทักษะทางการแพทย์ส่วนใหญ่ของพวกเขาล้วนยอดเยี่ยม เจินอวี๋รีบลงมาจากรถ ค้อมตัวเอ่ย “ไม่ขอปิดบังท่าน พี่ชายของข้าได้รับบาดเจ็บสาหัส ร่างกายอ่อนแอมาโดยตลอด ไม่รู้ว่าวันนี้ไปกินอาหารผิดสำแดงที่ไหนเข้า ชีวิตตกอยู่ในอันตราย ท่านสามารถช่วยพี่ชายของข้าได้หรือไม่?” “ซ่งจื่อประสบความลำบาก ไฉนเลยข้าน้อยจะปฏิเสธ!” คนนั้นกล่าว เจิวอวี๋รู้สึกโชคดียิ่ง เชิญเข้าขึ้นรถม้า รถที่นางนั่งเป็นรถม้าคันเล็ก ภายในรถสามารถรองรับผู้หญิงได้ไม่เกินสองคน บัดนี้มีผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่นั่งมาด้วย ค่อนข้างแออัด แต่ตอนนี้นางไม่สนใจอะไรมากขนาดนั้นแล้ว “ข้ายังไม่ทราบชื่อของท่านเลย” นั่งใกล้กันเพียงนี้ เจินอวี๋ก็ไม่สะดวกที่จะมองสำรวจเขาอย่างละเอียด ได้แต่หลุบตาถาม ไม่ทันรอคำตอบจากอีกฝ่าย ทันใดนั้นเจินอวี๋ก็พบว่าบนเสื้อคลุมของเขาเปื้อนคราบเลือด ใบหน้าถอดสีทันใด นึกถึงเมื่อครู่ที่เขาวิ่งออกมาจากจวนด้วยความลุกลี้ลุกลน ทว่าตอนนี้กลับใจเย็นเหลือเกิน ในใจของนางอดที่จะตื่นตระหนกมิได้

“ไป๋เริ่น! กลับ!” ซ่งชูอีเดินโซซัดโซเซไปที่ไป๋เริ่น ล้มลงบนตัวของมัน ยื่นมือตบๆ หัว มือที่เปื้อนเลือดทำให้หัวของไป๋เริ่นแดงไปทั้งแถบ

ไป๋เริ่นได้กลิ่นเลือด อีกทั้งได้รับคำสั่งของซ่งชูอีให้จากไปก็รู้ว่าสถานการณ์ผิดปกติ จึงรีบลุกขึ้นยืน หันหน้าแยกเขี้ยวขู่ซือหม่าหวยอี้ จากนั้นก็ปล่อยให้นางขี่หลังแล้ววิ่งออกไป

ไป๋เริ่นเดินไปในตรอกที่ไร้ผู้คน ร่างของมันทะลุผ่านไปราวกับสายฟ้าบนพื้นหิมะ ลมหนาวที่ขมขื่นกับความรู้สึกที่แผดเผาในร่างกายทำให้ซ่งชูอีเจ็บไปทั่วตัว

ครั้นกลับมาถึงจวน หน้าอกของซ่งชูอีก็ชุ่มไปด้วยเลือดกำเดาแล้ว

ไป๋เริ่นพาซ่งชูอีตรงไปยังหนิงยาตามรอยกลิ่น

“ท่าน!” หนิงยาสะดุ้งโหยง ทิ้งงานในมือลงทันที แล้วพาซ่งชูอีเข้าไปในห้องนอน จากนั้นก็ให้เจียนไปตามหมอมา

การเดือดดาลจนเลือดกำเดาไหลเป็นอาการที่พบบ่อย มีวิธีแก้มากมายในหมู่ราษฎร ตอนที่หนิงยาเป็นเด็กก็เคยเลือดกำเดาไหล มารดาให้นางเงยหน้าแล้วใช้น้ำแข็งประคบบริเวณหน้าผาก ไม่ช้าเลือดก็หยุดไหลแล้ว บัดนี้นางเห็นว่าใบหน้าของซ่งชูอียิ่งซีดขาวลงเรื่อยๆ รอหมอไม่ไหวจึงเรียกให้สาวใช้นำน้ำสะอาดเข้ามาถังหนึ่ง พยายามห้ามเลือดด้วยวิธีนั้นก่อน

ซ่งชูอีเงยหน้า เลือดกำเดาไหลเป็นทาง หลังจากที่หนิงยาจัดการอยู่สักพักหนึ่ง เลือดจึงหยุดไหล

จากนั้นท่านหมอก็เข้ามา แล้วจ่ายยาให้ซ่งชูอี

“แม่นาง ใครเป็นผู้ดูแลจวนแห่งนี้?” ท่านหมอเห็นว่าซ่งชูอีหลับไปแล้ว จึงได้แต่ถามหนิงยา

“คือว่า…” แม้ว่าหนิงยาจะใช้สกุลของซ่งชูอีแล้ว ทว่าสุดท้ายก็ยังคงเป็นสาวใช้คนหนึ่ง เรื่องใหญ่เช่นนี้ ต่อให้กล้าหาญอีกสิบเท่านางก็มิกล้ารับผิดชอบสุ่มสี่สุ่มห้า “ข้าจะไปเรียกเจียวเจียวมา!”

นอกเหนือจากซ่งชูอีแล้ว บัดนี้ก็มีเพียงเจ้านายอย่างเจินอวี๋เท่านั้น

ไม่ช้า เจินอวี๋ก็เดินตามหนิงยามาจากลานหลังบ้านด้วยความร้อนรน

ครั้นท่านหมอเห็นว่าผู้ดูแลจวนมาแล้ว ก็งดเว้นคำทักทายและกล่าวว่า “ธาตุไฟของซ่งจื่อเจริญมากเกินไป เกรงว่าเป็นเพราะกินของแสลง ร่างกายที่บกพร่องของเขาถูกจู่โจมอย่างรุนแรงเช่นนี้ อาการแย่ลงเล็กน้อย วิชาการแพทย์ของข้ามีจำกัด และสามารถทำได้เพียงจ่ายยาเพื่อทุเลาธาตุไฟลงก่อน สำหรับการบำรุงนั้น หากสามารถเชิญเปี่ยนเชวี่ยหรือหมอหลวงมาวินิจฉัยจะเป็นการดีที่สุด”

หลังจากได้ยินข่าวนี้อย่างฉับพลันแล้ว ใบหน้างดงามของเจินอวี๋สูญเสียสีสันทันใด ตะลึงงันไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยคำขอบคุณ สั่งให้คนใช้ของตนนำค่ารักษาให้ท่านหมอ จากนั้นก็สั่งให้เขาส่งเขาออกไปจากจวน

เจินอวี๋นึกถึงชูหลี่จี๋ทันที ไม่สนใจความอับอายในการแต่งงานไม่สำเร็จในครั้งนั้น เอ่ยว่า “ข้าจะไปหาพี่ใหญ่อิ๋ง!”

“เจียวเจียว องค์ชายดีกับท่านหวยจินของพวกเรามากที่สุด คงไม่ใส่ใจเรื่องมารยาทดอกเจ้าค่ะ ถ้าอย่างไรให้เจียนไปดีกว่า จะได้เร็วขึ้น!” หนิงยาเป็นห่วงซ่งชูอีที่สุด ทว่าเพื่อซ่งชูอีแล้ว นางก็ไม่กลัวที่พูดตรงๆ และทำให้ผู้อื่นไม่พอใจ

เจินอวี๋เหลือบมองนางทว่าก็มิได้ใส่ใจ ยังคงสั่งให้เตรียมรถ นางรู้สึกว่าหนิงยาเป็นเพียงสาวใช้เท่านั้น จะไปเข้าใจเรื่องมารยาทในสังคมได้อย่างไร? อย่างไรก็ดีนางไม่มีนิสัยโต้เถียง จึงไม่เต็มใจที่เจ้ากี้เจ้าการกับสาวใช้ปากมากคนหนึ่ง

หนิงยาเห็นว่านางจากไปโดยไม่พูดจา กระทืบเท้าด้วยความกระวนกระวาย กัดฟันและตัดสินใจที่จะไม่สนใจวิธีการของเจินอวี๋! จากนั้นก็คุยหารือกับเจียน ขอให้เขาไปที่จวนของชูหลี่จี๋เพื่อขอความช่วยเหลือก่อน

เจินอวี๋ยังคงรอคนในจวนเตรียมรถม้า เจียนจูงม้าออกจากเพิงม้าและบึ่งตรงไปหาชูหลี่จี๋ก่อนแล้ว

ซ่งชูอีเกิดเรื่อง จิตใจของเจินอวี๋ก็ร้อนรนเป็นอย่างยิ่ง ไม่สนใจแม้แต่จะตรวจสอบว่าเสื้อผ้าและการแต่งหน้าของตัวเองเหมาะสมหรือไม่ ทันทีที่รถม้ามาก็รีบขึ้นรถแล้วให้คนขับรถม้ารีบไปที่จวนของชูหลี่จี๋ทันที

หิมะหนักโปรยปราย น้ำแข็งและหิมะที่ทับถมบนถนนลื่นมาก รถม้าลื่นไถลไม่หยุด เจินอวี๋ที่นั่งอยู่ในรถทั้งตกใจทั้งหวาดกลัว

มาถึงจวนของชูหลี่จี๋ได้อย่างยากลำบาก เจินอวี๋จัดรูปลักษณ์ให้เรียบร้อย จากนั้นก็ลงจากรถไปเคาะประตู

ประตูด้านข้างเปิดออกเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งโผล่ศีรษะออกมา ถามว่า “เจียวเจียวมาหาผู้ใด?”

เจินอวี๋กล่าวด้วยความร้อนรน “องค์ชายอยู่จวนหรือไม่? ข้าเป็นน้องสาวของซ่งหวยจิน มีเรื่องด่วนต้องการพบ”

ผู้ดูแลจวนนึกสงสัยในใจ ผู้คนที่มาแวะคารวะในอดีตล้วนเป็นเด็กหนุ่มหรือไม่ก็ชายวัยฉกรรจ์ วันนี้ประหลาดแท้ที่มีเด็กคนหนึ่งแวะมา อีกทั้งยังเป็นเด็กผู้หญิงด้วย “องค์ชายไปประชุมราชสำนักตั้งแต่เช้ายังไม่กลับมา เกรงว่าคงมีเรื่องทางการเมืองที่ต้องตัดสินใจ”

“จะกลับมาเมื่อใด?” เจินอวี๋เอ่ยถาม ครั้นถามแล้วจึงระลึกขึ้นมาได้ ผู้ดูแลจวนคนหนึ่งจะไปรู้ได้อย่างไรว่าประชุมทางการเมืองจะสิ้นสุดลงเมื่อใด สีหน้าแดงก่ำ

ผู้ดูแลจวนพบเจอผู้คนมากมาย ครั้นเห็นเจินอวี๋หน้าแดงก็รู้ว่าในใจของนางกำลังคิดอะไร จึงยิ้มแล้วเอ่ยเตือนด้วยความหวังดีว่า “หากแม่นางมีเรื่องด่วนจริงๆ ก็ไปรอที่ประตูพระราชวัง ทว่าในอดีตการประชุมราชทางการเมืองสามวันสามคืนก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว วันนี้อากาศหนาว เกรงว่าเจียวเจียวจะทนไม่ไหว อย่างไรเสียก็ส่งบ่าวไพร่ที่ร่างกายแข็งแรงไปรอเถิด”

เจินอวี๋มิใช่คนที่มีชีวิตชีวา ดังนั้นเมื่อเทียบกับสาวชาวฉินทั่วไปแล้ว ร่างกายจึงดูบอบบางอย่างเห็นได้ชัด

“ขอบคุณ” เจินอวี๋กล่าว

ผู้ดูแลจวนประสานมือเอ่ย “เจียวเจียวเกรงใจแล้ว”

ลมหนาวพัดซู่ ผู้ดูแลจวนมองดูเจินอวี๋หมุนตัวจากไป จากนั้นก็ปิดประตูลงทันที

ครั้นลงบันไดมา เจินอวี๋ยืนครุ่นคิดอยู่หน้ารถม้าครู่หนึ่ง ตัดสินใจที่จะไปรอที่หน้าประตูพระราชวังด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการเสียมารยาทหรือไม่ก็ยังต้องตอบแทนซ่งชูอี นางไม่ควรกลัวความหนาวเย็น

เจินอวี๋กำลังจะก้าวเท้าขึ้นรถม้า ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเลือนราง ดังนั้นจึงหันไปมองตามที่มาของเสียง พบว่ามีผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งวิ่งออกมาจากประตูใหญ่ด้านข้างด้วยความเร่งรีบ

ผู้ชายคนนั้นก็เห็นว่ามีคนอยู่ข้างๆ เมื่อหันมอง ทั้งสองคนก็สบสายตากัน

เจินอวี๋ไม่รู้จักบุคคลนี้และไม่แม้แต่สนใจด้วยซ้ำ นางละสายตากลับมา ขึ้นรถรบเร้าให้คนขับรถรีบไปที่ประตูพระราชวัง

ขณะที่รถม้ากำลังจะเลี้ยวเปลี่ยนทิศ กลับได้ยินเสียงบุคคลนั้นกล่าวขึ้น “เจียวเจียวคือน้องสาวของซ่งจื่อกระมัง?”

“เอ๋?” เจินอวี๋สั่งให้คนขับรถหยุดครู่หนึ่ง เอ่ยด้วยความสงสัย “ท่านมีชื่อแซ่ว่ากระไร? เหตุใดจึงรู้จักข้า?”

นางแทบไม่ออกจากบ้านเลย แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีเพื่อนมากมาย ทว่าล้วนเป็นหญิงสาวสูงศักดิ์ ดังนั้นนางจึงมั่นใจว่าตนไม่เคยเจอบุคคลผู้นี้มาก่อน

บุคคลนั้นนิ่งไปครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “ข้าน้อยแวะมาคารวะองค์ชายจี๋ คิดไม่ถึงว่าจะไม่เจอใครจึงมานั่งเล่นในบ้านของพี่หลี่ว์ ข้าน้อยถือวิสาสะเรียกเจียวเจียว เพราะเห็นว่าตอนที่เจียวเจียวเข้ามาราวกับมีแววของเลือด ต้องการเตือนให้เจียวเจียวระวังตัว”

“ท่านเป็นยอดฝีมือด้านคุณไสยจริงๆ เสียมารยาทแล้ว!” เจินอวี๋กล่าว

นางไม่มีกะใจจะคุยเล่น ขณะที่ต้องการจะกล่าวคำลา คนนั้นกลับยิ้มเอ่ย “ข้าไม่คู่ควรกับคำว่ายอดฝีมือนี้ ข้ามาจากสำนักแพทย์ รู้เรื่องคุณไสยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”

“ท่านเป็นศิษย์สำนักแพทย์รึ!” เจินอวี๋ดีใจยิ่ง

สำนักแพทย์ก็เป็นหนึ่งในหลายสำนัก มีทฤษฎีวิชาการอยู่ในสายของตัวเองและส่วนใหญ่ก็เป็นนักวิชาการซึ่งต่างจากหมอทั่วไป ไม่เพียงเท่านี้ ทักษะทางการแพทย์ส่วนใหญ่ของพวกเขาล้วนยอดเยี่ยม

เจินอวี๋รีบลงมาจากรถ ค้อมตัวเอ่ย “ไม่ขอปิดบังท่าน พี่ชายของข้าได้รับบาดเจ็บสาหัส ร่างกายอ่อนแอมาโดยตลอด ไม่รู้ว่าวันนี้ไปกินอาหารผิดสำแดงที่ไหนเข้า ชีวิตตกอยู่ในอันตราย ท่านสามารถช่วยพี่ชายของข้าได้หรือไม่?”

“ซ่งจื่อประสบความลำบาก ไฉนเลยข้าน้อยจะปฏิเสธ!” คนนั้นกล่าว

เจิวอวี๋รู้สึกโชคดียิ่ง เชิญเข้าขึ้นรถม้า

รถที่นางนั่งเป็นรถม้าคันเล็ก ภายในรถสามารถรองรับผู้หญิงได้ไม่เกินสองคน บัดนี้มีผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่นั่งมาด้วย ค่อนข้างแออัด แต่ตอนนี้นางไม่สนใจอะไรมากขนาดนั้นแล้ว

“ข้ายังไม่ทราบชื่อของท่านเลย” นั่งใกล้กันเพียงนี้ เจินอวี๋ก็ไม่สะดวกที่จะมองสำรวจเขาอย่างละเอียด ได้แต่หลุบตาถาม

ไม่ทันรอคำตอบจากอีกฝ่าย ทันใดนั้นเจินอวี๋ก็พบว่าบนเสื้อคลุมของเขาเปื้อนคราบเลือด ใบหน้าถอดสีทันใด นึกถึงเมื่อครู่ที่เขาวิ่งออกมาจากจวนด้วยความลุกลี้ลุกลน ทว่าตอนนี้กลับใจเย็นเหลือเกิน ในใจของนางอดที่จะตื่นตระหนกมิได้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ 249 เข้าสู่ภาวะความเป็นความตาย

Now you are reading กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ Chapter 249 เข้าสู่ภาวะความเป็นความตาย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ไป๋เริ่น! กลับ!” ซ่งชูอีเดินโซซัดโซเซไปที่ไป๋เริ่น ล้มลงบนตัวของมัน ยื่นมือตบๆ หัว มือที่เปื้อนเลือดทำให้หัวของไป๋เริ่นแดงไปทั้งแถบ ไป๋เริ่นได้กลิ่นเลือด อีกทั้งได้รับคำสั่งของซ่งชูอีให้จากไปก็รู้ว่าสถานการณ์ผิดปกติ จึงรีบลุกขึ้นยืน หันหน้าแยกเขี้ยวขู่ซือหม่าหวยอี้ จากนั้นก็ปล่อยให้นางขี่หลังแล้ววิ่งออกไป ไป๋เริ่นเดินไปในตรอกที่ไร้ผู้คน ร่างของมันทะลุผ่านไปราวกับสายฟ้าบนพื้นหิมะ ลมหนาวที่ขมขื่นกับความรู้สึกที่แผดเผาในร่างกายทำให้ซ่งชูอีเจ็บไปทั่วตัว ครั้นกลับมาถึงจวน หน้าอกของซ่งชูอีก็ชุ่มไปด้วยเลือดกำเดาแล้ว ไป๋เริ่นพาซ่งชูอีตรงไปยังหนิงยาตามรอยกลิ่น “ท่าน!” หนิงยาสะดุ้งโหยง ทิ้งงานในมือลงทันที แล้วพาซ่งชูอีเข้าไปในห้องนอน จากนั้นก็ให้เจียนไปตามหมอมา การเดือดดาลจนเลือดกำเดาไหลเป็นอาการที่พบบ่อย มีวิธีแก้มากมายในหมู่ราษฎร ตอนที่หนิงยาเป็นเด็กก็เคยเลือดกำเดาไหล มารดาให้นางเงยหน้าแล้วใช้น้ำแข็งประคบบริเวณหน้าผาก ไม่ช้าเลือดก็หยุดไหลแล้ว บัดนี้นางเห็นว่าใบหน้าของซ่งชูอียิ่งซีดขาวลงเรื่อยๆ รอหมอไม่ไหวจึงเรียกให้สาวใช้นำน้ำสะอาดเข้ามาถังหนึ่ง พยายามห้ามเลือดด้วยวิธีนั้นก่อน ซ่งชูอีเงยหน้า เลือดกำเดาไหลเป็นทาง หลังจากที่หนิงยาจัดการอยู่สักพักหนึ่ง เลือดจึงหยุดไหล จากนั้นท่านหมอก็เข้ามา แล้วจ่ายยาให้ซ่งชูอี “แม่นาง ใครเป็นผู้ดูแลจวนแห่งนี้?” ท่านหมอเห็นว่าซ่งชูอีหลับไปแล้ว จึงได้แต่ถามหนิงยา “คือว่า…” แม้ว่าหนิงยาจะใช้สกุลของซ่งชูอีแล้ว ทว่าสุดท้ายก็ยังคงเป็นสาวใช้คนหนึ่ง เรื่องใหญ่เช่นนี้ ต่อให้กล้าหาญอีกสิบเท่านางก็มิกล้ารับผิดชอบสุ่มสี่สุ่มห้า “ข้าจะไปเรียกเจียวเจียวมา!” นอกเหนือจากซ่งชูอีแล้ว บัดนี้ก็มีเพียงเจ้านายอย่างเจินอวี๋เท่านั้น ไม่ช้า เจินอวี๋ก็เดินตามหนิงยามาจากลานหลังบ้านด้วยความร้อนรน ครั้นท่านหมอเห็นว่าผู้ดูแลจวนมาแล้ว ก็งดเว้นคำทักทายและกล่าวว่า “ธาตุไฟของซ่งจื่อเจริญมากเกินไป เกรงว่าเป็นเพราะกินของแสลง ร่างกายที่บกพร่องของเขาถูกจู่โจมอย่างรุนแรงเช่นนี้ อาการแย่ลงเล็กน้อย วิชาการแพทย์ของข้ามีจำกัด และสามารถทำได้เพียงจ่ายยาเพื่อทุเลาธาตุไฟลงก่อน สำหรับการบำรุงนั้น หากสามารถเชิญเปี่ยนเชวี่ยหรือหมอหลวงมาวินิจฉัยจะเป็นการดีที่สุด” หลังจากได้ยินข่าวนี้อย่างฉับพลันแล้ว ใบหน้างดงามของเจินอวี๋สูญเสียสีสันทันใด ตะลึงงันไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยคำขอบคุณ สั่งให้คนใช้ของตนนำค่ารักษาให้ท่านหมอ จากนั้นก็สั่งให้เขาส่งเขาออกไปจากจวน เจินอวี๋นึกถึงชูหลี่จี๋ทันที ไม่สนใจความอับอายในการแต่งงานไม่สำเร็จในครั้งนั้น เอ่ยว่า “ข้าจะไปหาพี่ใหญ่อิ๋ง!” “เจียวเจียว องค์ชายดีกับท่านหวยจินของพวกเรามากที่สุด คงไม่ใส่ใจเรื่องมารยาทดอกเจ้าค่ะ ถ้าอย่างไรให้เจียนไปดีกว่า จะได้เร็วขึ้น!” หนิงยาเป็นห่วงซ่งชูอีที่สุด ทว่าเพื่อซ่งชูอีแล้ว นางก็ไม่กลัวที่พูดตรงๆ และทำให้ผู้อื่นไม่พอใจ เจินอวี๋เหลือบมองนางทว่าก็มิได้ใส่ใจ ยังคงสั่งให้เตรียมรถ นางรู้สึกว่าหนิงยาเป็นเพียงสาวใช้เท่านั้น จะไปเข้าใจเรื่องมารยาทในสังคมได้อย่างไร? อย่างไรก็ดีนางไม่มีนิสัยโต้เถียง จึงไม่เต็มใจที่เจ้ากี้เจ้าการกับสาวใช้ปากมากคนหนึ่ง หนิงยาเห็นว่านางจากไปโดยไม่พูดจา กระทืบเท้าด้วยความกระวนกระวาย กัดฟันและตัดสินใจที่จะไม่สนใจวิธีการของเจินอวี๋! จากนั้นก็คุยหารือกับเจียน ขอให้เขาไปที่จวนของชูหลี่จี๋เพื่อขอความช่วยเหลือก่อน เจินอวี๋ยังคงรอคนในจวนเตรียมรถม้า เจียนจูงม้าออกจากเพิงม้าและบึ่งตรงไปหาชูหลี่จี๋ก่อนแล้ว ซ่งชูอีเกิดเรื่อง จิตใจของเจินอวี๋ก็ร้อนรนเป็นอย่างยิ่ง ไม่สนใจแม้แต่จะตรวจสอบว่าเสื้อผ้าและการแต่งหน้าของตัวเองเหมาะสมหรือไม่ ทันทีที่รถม้ามาก็รีบขึ้นรถแล้วให้คนขับรถม้ารีบไปที่จวนของชูหลี่จี๋ทันที หิมะหนักโปรยปราย น้ำแข็งและหิมะที่ทับถมบนถนนลื่นมาก รถม้าลื่นไถลไม่หยุด เจินอวี๋ที่นั่งอยู่ในรถทั้งตกใจทั้งหวาดกลัว มาถึงจวนของชูหลี่จี๋ได้อย่างยากลำบาก เจินอวี๋จัดรูปลักษณ์ให้เรียบร้อย จากนั้นก็ลงจากรถไปเคาะประตู ประตูด้านข้างเปิดออกเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งโผล่ศีรษะออกมา ถามว่า “เจียวเจียวมาหาผู้ใด?” เจินอวี๋กล่าวด้วยความร้อนรน “องค์ชายอยู่จวนหรือไม่? ข้าเป็นน้องสาวของซ่งหวยจิน มีเรื่องด่วนต้องการพบ” ผู้ดูแลจวนนึกสงสัยในใจ ผู้คนที่มาแวะคารวะในอดีตล้วนเป็นเด็กหนุ่มหรือไม่ก็ชายวัยฉกรรจ์ วันนี้ประหลาดแท้ที่มีเด็กคนหนึ่งแวะมา อีกทั้งยังเป็นเด็กผู้หญิงด้วย “องค์ชายไปประชุมราชสำนักตั้งแต่เช้ายังไม่กลับมา เกรงว่าคงมีเรื่องทางการเมืองที่ต้องตัดสินใจ” “จะกลับมาเมื่อใด?” เจินอวี๋เอ่ยถาม ครั้นถามแล้วจึงระลึกขึ้นมาได้ ผู้ดูแลจวนคนหนึ่งจะไปรู้ได้อย่างไรว่าประชุมทางการเมืองจะสิ้นสุดลงเมื่อใด สีหน้าแดงก่ำ ผู้ดูแลจวนพบเจอผู้คนมากมาย ครั้นเห็นเจินอวี๋หน้าแดงก็รู้ว่าในใจของนางกำลังคิดอะไร จึงยิ้มแล้วเอ่ยเตือนด้วยความหวังดีว่า “หากแม่นางมีเรื่องด่วนจริงๆ ก็ไปรอที่ประตูพระราชวัง ทว่าในอดีตการประชุมราชทางการเมืองสามวันสามคืนก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว วันนี้อากาศหนาว เกรงว่าเจียวเจียวจะทนไม่ไหว อย่างไรเสียก็ส่งบ่าวไพร่ที่ร่างกายแข็งแรงไปรอเถิด” เจินอวี๋มิใช่คนที่มีชีวิตชีวา ดังนั้นเมื่อเทียบกับสาวชาวฉินทั่วไปแล้ว ร่างกายจึงดูบอบบางอย่างเห็นได้ชัด “ขอบคุณ” เจินอวี๋กล่าว ผู้ดูแลจวนประสานมือเอ่ย “เจียวเจียวเกรงใจแล้ว” ลมหนาวพัดซู่ ผู้ดูแลจวนมองดูเจินอวี๋หมุนตัวจากไป จากนั้นก็ปิดประตูลงทันที ครั้นลงบันไดมา เจินอวี๋ยืนครุ่นคิดอยู่หน้ารถม้าครู่หนึ่ง ตัดสินใจที่จะไปรอที่หน้าประตูพระราชวังด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการเสียมารยาทหรือไม่ก็ยังต้องตอบแทนซ่งชูอี นางไม่ควรกลัวความหนาวเย็น เจินอวี๋กำลังจะก้าวเท้าขึ้นรถม้า ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเลือนราง ดังนั้นจึงหันไปมองตามที่มาของเสียง พบว่ามีผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งวิ่งออกมาจากประตูใหญ่ด้านข้างด้วยความเร่งรีบ ผู้ชายคนนั้นก็เห็นว่ามีคนอยู่ข้างๆ เมื่อหันมอง ทั้งสองคนก็สบสายตากัน เจินอวี๋ไม่รู้จักบุคคลนี้และไม่แม้แต่สนใจด้วยซ้ำ นางละสายตากลับมา ขึ้นรถรบเร้าให้คนขับรถรีบไปที่ประตูพระราชวัง ขณะที่รถม้ากำลังจะเลี้ยวเปลี่ยนทิศ กลับได้ยินเสียงบุคคลนั้นกล่าวขึ้น “เจียวเจียวคือน้องสาวของซ่งจื่อกระมัง?” “เอ๋?” เจินอวี๋สั่งให้คนขับรถหยุดครู่หนึ่ง เอ่ยด้วยความสงสัย “ท่านมีชื่อแซ่ว่ากระไร? เหตุใดจึงรู้จักข้า?” นางแทบไม่ออกจากบ้านเลย แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีเพื่อนมากมาย ทว่าล้วนเป็นหญิงสาวสูงศักดิ์ ดังนั้นนางจึงมั่นใจว่าตนไม่เคยเจอบุคคลผู้นี้มาก่อน บุคคลนั้นนิ่งไปครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “ข้าน้อยแวะมาคารวะองค์ชายจี๋ คิดไม่ถึงว่าจะไม่เจอใครจึงมานั่งเล่นในบ้านของพี่หลี่ว์ ข้าน้อยถือวิสาสะเรียกเจียวเจียว เพราะเห็นว่าตอนที่เจียวเจียวเข้ามาราวกับมีแววของเลือด ต้องการเตือนให้เจียวเจียวระวังตัว” “ท่านเป็นยอดฝีมือด้านคุณไสยจริงๆ เสียมารยาทแล้ว!” เจินอวี๋กล่าว นางไม่มีกะใจจะคุยเล่น ขณะที่ต้องการจะกล่าวคำลา คนนั้นกลับยิ้มเอ่ย “ข้าไม่คู่ควรกับคำว่ายอดฝีมือนี้ ข้ามาจากสำนักแพทย์ รู้เรื่องคุณไสยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น” “ท่านเป็นศิษย์สำนักแพทย์รึ!” เจินอวี๋ดีใจยิ่ง สำนักแพทย์ก็เป็นหนึ่งในหลายสำนัก มีทฤษฎีวิชาการอยู่ในสายของตัวเองและส่วนใหญ่ก็เป็นนักวิชาการซึ่งต่างจากหมอทั่วไป ไม่เพียงเท่านี้ ทักษะทางการแพทย์ส่วนใหญ่ของพวกเขาล้วนยอดเยี่ยม เจินอวี๋รีบลงมาจากรถ ค้อมตัวเอ่ย “ไม่ขอปิดบังท่าน พี่ชายของข้าได้รับบาดเจ็บสาหัส ร่างกายอ่อนแอมาโดยตลอด ไม่รู้ว่าวันนี้ไปกินอาหารผิดสำแดงที่ไหนเข้า ชีวิตตกอยู่ในอันตราย ท่านสามารถช่วยพี่ชายของข้าได้หรือไม่?” “ซ่งจื่อประสบความลำบาก ไฉนเลยข้าน้อยจะปฏิเสธ!” คนนั้นกล่าว เจิวอวี๋รู้สึกโชคดียิ่ง เชิญเข้าขึ้นรถม้า รถที่นางนั่งเป็นรถม้าคันเล็ก ภายในรถสามารถรองรับผู้หญิงได้ไม่เกินสองคน บัดนี้มีผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่นั่งมาด้วย ค่อนข้างแออัด แต่ตอนนี้นางไม่สนใจอะไรมากขนาดนั้นแล้ว “ข้ายังไม่ทราบชื่อของท่านเลย” นั่งใกล้กันเพียงนี้ เจินอวี๋ก็ไม่สะดวกที่จะมองสำรวจเขาอย่างละเอียด ได้แต่หลุบตาถาม ไม่ทันรอคำตอบจากอีกฝ่าย ทันใดนั้นเจินอวี๋ก็พบว่าบนเสื้อคลุมของเขาเปื้อนคราบเลือด ใบหน้าถอดสีทันใด นึกถึงเมื่อครู่ที่เขาวิ่งออกมาจากจวนด้วยความลุกลี้ลุกลน ทว่าตอนนี้กลับใจเย็นเหลือเกิน ในใจของนางอดที่จะตื่นตระหนกมิได้

“ไป๋เริ่น! กลับ!” ซ่งชูอีเดินโซซัดโซเซไปที่ไป๋เริ่น ล้มลงบนตัวของมัน ยื่นมือตบๆ หัว มือที่เปื้อนเลือดทำให้หัวของไป๋เริ่นแดงไปทั้งแถบ

ไป๋เริ่นได้กลิ่นเลือด อีกทั้งได้รับคำสั่งของซ่งชูอีให้จากไปก็รู้ว่าสถานการณ์ผิดปกติ จึงรีบลุกขึ้นยืน หันหน้าแยกเขี้ยวขู่ซือหม่าหวยอี้ จากนั้นก็ปล่อยให้นางขี่หลังแล้ววิ่งออกไป

ไป๋เริ่นเดินไปในตรอกที่ไร้ผู้คน ร่างของมันทะลุผ่านไปราวกับสายฟ้าบนพื้นหิมะ ลมหนาวที่ขมขื่นกับความรู้สึกที่แผดเผาในร่างกายทำให้ซ่งชูอีเจ็บไปทั่วตัว

ครั้นกลับมาถึงจวน หน้าอกของซ่งชูอีก็ชุ่มไปด้วยเลือดกำเดาแล้ว

ไป๋เริ่นพาซ่งชูอีตรงไปยังหนิงยาตามรอยกลิ่น

“ท่าน!” หนิงยาสะดุ้งโหยง ทิ้งงานในมือลงทันที แล้วพาซ่งชูอีเข้าไปในห้องนอน จากนั้นก็ให้เจียนไปตามหมอมา

การเดือดดาลจนเลือดกำเดาไหลเป็นอาการที่พบบ่อย มีวิธีแก้มากมายในหมู่ราษฎร ตอนที่หนิงยาเป็นเด็กก็เคยเลือดกำเดาไหล มารดาให้นางเงยหน้าแล้วใช้น้ำแข็งประคบบริเวณหน้าผาก ไม่ช้าเลือดก็หยุดไหลแล้ว บัดนี้นางเห็นว่าใบหน้าของซ่งชูอียิ่งซีดขาวลงเรื่อยๆ รอหมอไม่ไหวจึงเรียกให้สาวใช้นำน้ำสะอาดเข้ามาถังหนึ่ง พยายามห้ามเลือดด้วยวิธีนั้นก่อน

ซ่งชูอีเงยหน้า เลือดกำเดาไหลเป็นทาง หลังจากที่หนิงยาจัดการอยู่สักพักหนึ่ง เลือดจึงหยุดไหล

จากนั้นท่านหมอก็เข้ามา แล้วจ่ายยาให้ซ่งชูอี

“แม่นาง ใครเป็นผู้ดูแลจวนแห่งนี้?” ท่านหมอเห็นว่าซ่งชูอีหลับไปแล้ว จึงได้แต่ถามหนิงยา

“คือว่า…” แม้ว่าหนิงยาจะใช้สกุลของซ่งชูอีแล้ว ทว่าสุดท้ายก็ยังคงเป็นสาวใช้คนหนึ่ง เรื่องใหญ่เช่นนี้ ต่อให้กล้าหาญอีกสิบเท่านางก็มิกล้ารับผิดชอบสุ่มสี่สุ่มห้า “ข้าจะไปเรียกเจียวเจียวมา!”

นอกเหนือจากซ่งชูอีแล้ว บัดนี้ก็มีเพียงเจ้านายอย่างเจินอวี๋เท่านั้น

ไม่ช้า เจินอวี๋ก็เดินตามหนิงยามาจากลานหลังบ้านด้วยความร้อนรน

ครั้นท่านหมอเห็นว่าผู้ดูแลจวนมาแล้ว ก็งดเว้นคำทักทายและกล่าวว่า “ธาตุไฟของซ่งจื่อเจริญมากเกินไป เกรงว่าเป็นเพราะกินของแสลง ร่างกายที่บกพร่องของเขาถูกจู่โจมอย่างรุนแรงเช่นนี้ อาการแย่ลงเล็กน้อย วิชาการแพทย์ของข้ามีจำกัด และสามารถทำได้เพียงจ่ายยาเพื่อทุเลาธาตุไฟลงก่อน สำหรับการบำรุงนั้น หากสามารถเชิญเปี่ยนเชวี่ยหรือหมอหลวงมาวินิจฉัยจะเป็นการดีที่สุด”

หลังจากได้ยินข่าวนี้อย่างฉับพลันแล้ว ใบหน้างดงามของเจินอวี๋สูญเสียสีสันทันใด ตะลึงงันไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยคำขอบคุณ สั่งให้คนใช้ของตนนำค่ารักษาให้ท่านหมอ จากนั้นก็สั่งให้เขาส่งเขาออกไปจากจวน

เจินอวี๋นึกถึงชูหลี่จี๋ทันที ไม่สนใจความอับอายในการแต่งงานไม่สำเร็จในครั้งนั้น เอ่ยว่า “ข้าจะไปหาพี่ใหญ่อิ๋ง!”

“เจียวเจียว องค์ชายดีกับท่านหวยจินของพวกเรามากที่สุด คงไม่ใส่ใจเรื่องมารยาทดอกเจ้าค่ะ ถ้าอย่างไรให้เจียนไปดีกว่า จะได้เร็วขึ้น!” หนิงยาเป็นห่วงซ่งชูอีที่สุด ทว่าเพื่อซ่งชูอีแล้ว นางก็ไม่กลัวที่พูดตรงๆ และทำให้ผู้อื่นไม่พอใจ

เจินอวี๋เหลือบมองนางทว่าก็มิได้ใส่ใจ ยังคงสั่งให้เตรียมรถ นางรู้สึกว่าหนิงยาเป็นเพียงสาวใช้เท่านั้น จะไปเข้าใจเรื่องมารยาทในสังคมได้อย่างไร? อย่างไรก็ดีนางไม่มีนิสัยโต้เถียง จึงไม่เต็มใจที่เจ้ากี้เจ้าการกับสาวใช้ปากมากคนหนึ่ง

หนิงยาเห็นว่านางจากไปโดยไม่พูดจา กระทืบเท้าด้วยความกระวนกระวาย กัดฟันและตัดสินใจที่จะไม่สนใจวิธีการของเจินอวี๋! จากนั้นก็คุยหารือกับเจียน ขอให้เขาไปที่จวนของชูหลี่จี๋เพื่อขอความช่วยเหลือก่อน

เจินอวี๋ยังคงรอคนในจวนเตรียมรถม้า เจียนจูงม้าออกจากเพิงม้าและบึ่งตรงไปหาชูหลี่จี๋ก่อนแล้ว

ซ่งชูอีเกิดเรื่อง จิตใจของเจินอวี๋ก็ร้อนรนเป็นอย่างยิ่ง ไม่สนใจแม้แต่จะตรวจสอบว่าเสื้อผ้าและการแต่งหน้าของตัวเองเหมาะสมหรือไม่ ทันทีที่รถม้ามาก็รีบขึ้นรถแล้วให้คนขับรถม้ารีบไปที่จวนของชูหลี่จี๋ทันที

หิมะหนักโปรยปราย น้ำแข็งและหิมะที่ทับถมบนถนนลื่นมาก รถม้าลื่นไถลไม่หยุด เจินอวี๋ที่นั่งอยู่ในรถทั้งตกใจทั้งหวาดกลัว

มาถึงจวนของชูหลี่จี๋ได้อย่างยากลำบาก เจินอวี๋จัดรูปลักษณ์ให้เรียบร้อย จากนั้นก็ลงจากรถไปเคาะประตู

ประตูด้านข้างเปิดออกเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งโผล่ศีรษะออกมา ถามว่า “เจียวเจียวมาหาผู้ใด?”

เจินอวี๋กล่าวด้วยความร้อนรน “องค์ชายอยู่จวนหรือไม่? ข้าเป็นน้องสาวของซ่งหวยจิน มีเรื่องด่วนต้องการพบ”

ผู้ดูแลจวนนึกสงสัยในใจ ผู้คนที่มาแวะคารวะในอดีตล้วนเป็นเด็กหนุ่มหรือไม่ก็ชายวัยฉกรรจ์ วันนี้ประหลาดแท้ที่มีเด็กคนหนึ่งแวะมา อีกทั้งยังเป็นเด็กผู้หญิงด้วย “องค์ชายไปประชุมราชสำนักตั้งแต่เช้ายังไม่กลับมา เกรงว่าคงมีเรื่องทางการเมืองที่ต้องตัดสินใจ”

“จะกลับมาเมื่อใด?” เจินอวี๋เอ่ยถาม ครั้นถามแล้วจึงระลึกขึ้นมาได้ ผู้ดูแลจวนคนหนึ่งจะไปรู้ได้อย่างไรว่าประชุมทางการเมืองจะสิ้นสุดลงเมื่อใด สีหน้าแดงก่ำ

ผู้ดูแลจวนพบเจอผู้คนมากมาย ครั้นเห็นเจินอวี๋หน้าแดงก็รู้ว่าในใจของนางกำลังคิดอะไร จึงยิ้มแล้วเอ่ยเตือนด้วยความหวังดีว่า “หากแม่นางมีเรื่องด่วนจริงๆ ก็ไปรอที่ประตูพระราชวัง ทว่าในอดีตการประชุมราชทางการเมืองสามวันสามคืนก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว วันนี้อากาศหนาว เกรงว่าเจียวเจียวจะทนไม่ไหว อย่างไรเสียก็ส่งบ่าวไพร่ที่ร่างกายแข็งแรงไปรอเถิด”

เจินอวี๋มิใช่คนที่มีชีวิตชีวา ดังนั้นเมื่อเทียบกับสาวชาวฉินทั่วไปแล้ว ร่างกายจึงดูบอบบางอย่างเห็นได้ชัด

“ขอบคุณ” เจินอวี๋กล่าว

ผู้ดูแลจวนประสานมือเอ่ย “เจียวเจียวเกรงใจแล้ว”

ลมหนาวพัดซู่ ผู้ดูแลจวนมองดูเจินอวี๋หมุนตัวจากไป จากนั้นก็ปิดประตูลงทันที

ครั้นลงบันไดมา เจินอวี๋ยืนครุ่นคิดอยู่หน้ารถม้าครู่หนึ่ง ตัดสินใจที่จะไปรอที่หน้าประตูพระราชวังด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการเสียมารยาทหรือไม่ก็ยังต้องตอบแทนซ่งชูอี นางไม่ควรกลัวความหนาวเย็น

เจินอวี๋กำลังจะก้าวเท้าขึ้นรถม้า ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเลือนราง ดังนั้นจึงหันไปมองตามที่มาของเสียง พบว่ามีผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งวิ่งออกมาจากประตูใหญ่ด้านข้างด้วยความเร่งรีบ

ผู้ชายคนนั้นก็เห็นว่ามีคนอยู่ข้างๆ เมื่อหันมอง ทั้งสองคนก็สบสายตากัน

เจินอวี๋ไม่รู้จักบุคคลนี้และไม่แม้แต่สนใจด้วยซ้ำ นางละสายตากลับมา ขึ้นรถรบเร้าให้คนขับรถรีบไปที่ประตูพระราชวัง

ขณะที่รถม้ากำลังจะเลี้ยวเปลี่ยนทิศ กลับได้ยินเสียงบุคคลนั้นกล่าวขึ้น “เจียวเจียวคือน้องสาวของซ่งจื่อกระมัง?”

“เอ๋?” เจินอวี๋สั่งให้คนขับรถหยุดครู่หนึ่ง เอ่ยด้วยความสงสัย “ท่านมีชื่อแซ่ว่ากระไร? เหตุใดจึงรู้จักข้า?”

นางแทบไม่ออกจากบ้านเลย แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีเพื่อนมากมาย ทว่าล้วนเป็นหญิงสาวสูงศักดิ์ ดังนั้นนางจึงมั่นใจว่าตนไม่เคยเจอบุคคลผู้นี้มาก่อน

บุคคลนั้นนิ่งไปครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “ข้าน้อยแวะมาคารวะองค์ชายจี๋ คิดไม่ถึงว่าจะไม่เจอใครจึงมานั่งเล่นในบ้านของพี่หลี่ว์ ข้าน้อยถือวิสาสะเรียกเจียวเจียว เพราะเห็นว่าตอนที่เจียวเจียวเข้ามาราวกับมีแววของเลือด ต้องการเตือนให้เจียวเจียวระวังตัว”

“ท่านเป็นยอดฝีมือด้านคุณไสยจริงๆ เสียมารยาทแล้ว!” เจินอวี๋กล่าว

นางไม่มีกะใจจะคุยเล่น ขณะที่ต้องการจะกล่าวคำลา คนนั้นกลับยิ้มเอ่ย “ข้าไม่คู่ควรกับคำว่ายอดฝีมือนี้ ข้ามาจากสำนักแพทย์ รู้เรื่องคุณไสยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”

“ท่านเป็นศิษย์สำนักแพทย์รึ!” เจินอวี๋ดีใจยิ่ง

สำนักแพทย์ก็เป็นหนึ่งในหลายสำนัก มีทฤษฎีวิชาการอยู่ในสายของตัวเองและส่วนใหญ่ก็เป็นนักวิชาการซึ่งต่างจากหมอทั่วไป ไม่เพียงเท่านี้ ทักษะทางการแพทย์ส่วนใหญ่ของพวกเขาล้วนยอดเยี่ยม

เจินอวี๋รีบลงมาจากรถ ค้อมตัวเอ่ย “ไม่ขอปิดบังท่าน พี่ชายของข้าได้รับบาดเจ็บสาหัส ร่างกายอ่อนแอมาโดยตลอด ไม่รู้ว่าวันนี้ไปกินอาหารผิดสำแดงที่ไหนเข้า ชีวิตตกอยู่ในอันตราย ท่านสามารถช่วยพี่ชายของข้าได้หรือไม่?”

“ซ่งจื่อประสบความลำบาก ไฉนเลยข้าน้อยจะปฏิเสธ!” คนนั้นกล่าว

เจิวอวี๋รู้สึกโชคดียิ่ง เชิญเข้าขึ้นรถม้า

รถที่นางนั่งเป็นรถม้าคันเล็ก ภายในรถสามารถรองรับผู้หญิงได้ไม่เกินสองคน บัดนี้มีผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่นั่งมาด้วย ค่อนข้างแออัด แต่ตอนนี้นางไม่สนใจอะไรมากขนาดนั้นแล้ว

“ข้ายังไม่ทราบชื่อของท่านเลย” นั่งใกล้กันเพียงนี้ เจินอวี๋ก็ไม่สะดวกที่จะมองสำรวจเขาอย่างละเอียด ได้แต่หลุบตาถาม

ไม่ทันรอคำตอบจากอีกฝ่าย ทันใดนั้นเจินอวี๋ก็พบว่าบนเสื้อคลุมของเขาเปื้อนคราบเลือด ใบหน้าถอดสีทันใด นึกถึงเมื่อครู่ที่เขาวิ่งออกมาจากจวนด้วยความลุกลี้ลุกลน ทว่าตอนนี้กลับใจเย็นเหลือเกิน ในใจของนางอดที่จะตื่นตระหนกมิได้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+