กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ 381 ความเฉียบขาดชั่วนิรันดร์ของกษัตริย์ (ตอนจบ) (2)

Now you are reading กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ Chapter 381 ความเฉียบขาดชั่วนิรันดร์ของกษัตริย์ (ตอนจบ) (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ถวายบังคมฝ่าบาท” ซ่งชูอีสะบัดแขนเสื้อ

ขันทีเถาลอบมองอิ๋งซื่อแวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเขามองนางเงียบๆ ก็เอ่ยขึ้น “เชิญไท่ฟู่นั่งเถิด”

เมื่อซ่งชูอีเห็นว่าอิ๋งซื่อไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองก็รู้ว่าขันทีเถาพูดแทนเขา นางจึงเลือกตำแหน่งและนั่งลง

หลังจากนั่งแล้วทั้งคู่ก็ไม่ส่งเสียงอีก

ลมแรงที่ปะปนกับหิมะที่ม้วนตัวนั้นไม่ด้อยไปกว่าพายุหิมะเลย

อิ๋งซื่อเงยหน้าเล็กน้อย มองหิมะที่โปรยปรายลงมา ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

“ไท่ฟู่” ขันทีเถากางร่มให้อิ๋งซื่อ “ท่านอ๋องได้สั่งให้คนไปบอกเจ้าอี่โหลวแล้ว ว่าหากเขามาในตอนนี้ก็ยังสามารถเห็นหน้าท่านเป็นครั้งสุดท้าย”

ซ่งชูอีปฏิเสธเด็กรับใช้ที่มาถือร่มให้นาง

เดิมทีนางคิดว่านางจะสามารถช่วยเจ้าอี่โหลวหาทางเอาชีวิตรอดเมื่อนางมีเวลา นางไม่ได้คาดหวังว่าอิ๋งซื่อจะเริ่มแผนการอย่างกระตือรือร้น เห็นได้ชัดว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะฆ่าพวกเขา

หากเป็นเวลานี้ตอนนี้ ไม่ว่าทางหนีใดก็ไร้ประโยชน์แล้ว!

หรือว่าอิ๋งซื่อคิดว่าตัวเองไม่ไหวแล้ว? แม้ซ่งชูอีจะเห็นว่าเขาซูบลง ทว่ายังดูมีชีวิตชีวาดี คงไม่รีบร้อนจากไปภายในสองสามวันนี้กระมัง! อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะใช่หรือไม่ บัดนี้นางก็เป็นเนื้ออยู่บนเขียง สิ่งที่นางทำได้ในตอนนี้คือการอ้อนวอนเท่านั้น

“ฝ่าบาทจะปล่อยเขาไปไม่ได้เชียวหรือ?” ซ่งชูอีเอ่ย “เขาไม่มีความทะเยอะทะยาน ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ไม่แสวงหาผลกำไร แม้ว่าจะค่อนข้างมีเกียรติในวงการทหารแต่ก็ไม่มีอันตรายต่อต้าฉินมากนัก ขอบังอาจถามฝ่าบาท เหตุใดเขาต้องตายด้วย?”

ซ่งชูอีไม่เคยรู้สึกว่าอิ๋งซื่อต้องการฆ่านางที่ตัดสินใจผิดพลาดเพราะนางไม่สามารถคาดเดาการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ใต้หล้าได้ แล้วก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะสนับสนุนอิ๋งฉินตลอดไป หากอิ๋งฉินไม่มีกษัตริย์ที่มีความสามารถก็เป็นไปได้ที่นางจะสนับสนุนผู้อื่นเพื่อแย่งชิงรัฐ

ทว่าเจ้าอี่โหลวไม่ควรตาย!

อิ๋งซื่อหลุบตาลงมองนาง น้ำเสียงแหบแห้ง “เพราะว่าเขาอุทิศตนเพื่อเจ้า”

ด้วยการตกตะกอนทีละน้อย อิ๋งซื่อสามารถมองเห็นลมหายใจแห่งกษัตริย์จากเจ้าอี่โหลวได้ เขาสามารถข่มความเย่อหยิ่งและความอวดดีของตัวเองทั้งหมดได้เพื่อซ่งชูอี และเป็นที่คาดการณ์ได้ว่าทันทีที่มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับซ่งชูอีเขาจะแก้แค้นอย่างบ้าคลั่ง เจ้าอี่โหลวเพียงแค่ไม่เต็มใจที่จะทะเยอทะยาน ไม่เต็มใจที่จะมีเล่ห์เหลี่ยม ไม่เต็มใจที่จะแสวงหาผลกำไร แต่ใช่ว่าจะทำไม่ได้!

ใบหน้าของขันทีเถาเปี่ยมด้วยความตกตะลึงยิ่งกว่าซ่งชูอี เพราะว่าอิ๋งซื่อไม่ได้พูดอะไรมาสามวันแล้วทว่าจู่ๆ วันนี้กลับพูดออกมา…

ทันใดนั้นมีเสียงโห่ร้องที่ชั้นล่าง ซ่งชูอีอดที่จะลุกขึ้นและเดินไปที่ราวจับไม่ได้ ยังไม่ทันจะเข้าไปใกล้ก็เห็นชายคนหนึ่งในชุดสีดำ มัดผมเป็นมวยอยู่ด้านบน กำลังเผชิญหน้ากับกองทัพสีดำนับร้อยพร้อมถือดาบขนาดใหญ่อยู่ในระยะไกล

มุมหอคอยถูกสร้างอยู่ในมุมของพระราชวังตามชื่อของมัน มีพื้นที่ขนาดใหญ่ระหว่างพระราชวังเสียนหยางกับอาคารในนครเพื่อแยกแยะสถานะของผู้ปกครองและราษฎร

ซ่งชูอีหันขวับกลับมา “ฝ่าบาทพูดกับเขาว่าอะไร?”

ถ้าไม่ใช่เพราะถูกอิ๋งซื่อหลอกลวง เจ้าอี่โหลวก็จะไม่ทำเรื่องงี่เง่าเช่นนี้! ทันทีที่เจ้าอี่โหลวถือดาบและหันไปหากำแพงพระราชวัง ความผิดฐานการก่อกบฏและสังหารกษัตริย์นั้นก็กลายเป็นเรื่องที่แน่นอนและไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้!

ขันทีเถามองด้วยความสงสาร “ท่านแม่ทัพเจ้าจะได้เห็นหน้าท่านเป็นครั้งสุดท้ายหรือไม่ก็ต้องดูว่าเขาสามารถบุกเข้ามาถึงบนหอคอยได้ไหม”

ซ่งชูอีกวาดตามองเขาอย่างเฉยเมย แม้ในตอนนี้นางและเจ้าอี่โหลวก็ไม่ต้องการความสงสารและความเห็นใจจากใครทั้งสิ้น

ขันทีเถาเงียบงัน ยกมือขึ้นสั่งให้เด็กรับใช้ยกสุราสองจอกเข้ามา

“ข้าจะให้โอกาสเจ้า” อิ๋งซื่อไอรุนแรง

ขันทีเถาได้รับคำสั่งล่วงหน้าแล้วจึงทำได้เพียงพูดแทนเขาต่อ “สุราหนึ่งในสองชนิดนี้ ชนิดหนึ่งมีพิษ ถ้าไท่ฟู่เลือกจอกที่มีพิษด้วยตัวเองก็จะอภัยโทษแก่ท่านแม่ทัพเจ้า หากเลือกจอกที่ไร้พิษ ไท่ฟู่กับท่านแม่ทัพเจ้าก็จะจากไปพร้อมกัน”

มีเสียงเอี๊ยดอ๊าดแผ่วเบาดังขึ้นด้านหลังเขา

ซ่งชูอีหันขวับกลับมา ก็เห็นผู้คุมชุดดำหลายร้อยคนง้างคันธนูและเล็งหน้าไม้ไปยังเจ้าอี่โหลว

“ฝ่าบาทคิดจะท้าทายลิขิตสวรรค์รึ?”

นี่คือการยอมจำนนครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดที่อิ๋งซื่อสามารถทำได้ แต่ความรู้สึกของการถูกบังคับให้อยู่บนสายธนูแห่งโชคชะตาเป็นเรื่องที่เลวร้ายมาก ซ่งชูอีไม่รู้สึกซาบซึ้งเลยแม้แต่น้อย

เจ้าอี่โหลวเข้าใกล้กำแพงวัง เขาพบว่าตัวเองถูกสกัดกั้นด้วยหน้าไม้หลายร้อยคันแล้วแต่กลับทำเป็นมองไม่เห็น แม้ว่าซ่งชูอีไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน แต่กลับรู้สึกว่าคิ้วยาวที่ชี้เข้าไปในขมับและดวงตาที่เหมือนทะเลสาบแห่งดวงดาวนั้นชัดเจนอยู่ตรงหน้า

แสงดาบนั้นราวกับหิมะที่สาดกระเซ็นผ่านพายุฝนคาวเลือด

สายลมหวีดหวิวพัดม้วนหิมะที่กำลังโปรยปราย ทุกคนที่อยู่บนหอคอยล้วนเห็นความกล้าหาญในการสู้กับศัตรูเป็นร้อยของเจ้าอี่โหลว อดที่จะอุทานในใจมิได้…ช่างน่าเสียดายพลทหารที่มีประสบการณ์ผู้นี้เหลือเกิน!

เสียงของสายธนูที่ตึงแน่นนั้นเหมือนกับหัวใจของนางที่กำลังจะแตกสลาย

“กุนซือไม่สามารถแสดงความรักใคร่ได้มากเกินไป” ซ่งชูอียกสุราสองจอกนั้นขึ้นมา ดื่มรวดเดียวจนหมด แล้วโยนจอกสุราลงบนโต๊ะส่งเสียงดังโคร้งเคร้ง

สุราแก่มีรสอ่อนและเผ็ดปะปนกัน มีกลิ่นหอมของบ๊วยจางๆ ตรงบริเวณปลายลิ้นซึ่งจะต้องเป็นสุราบ๊วยที่เก็บไว้นานหลายปี

ซ่งชูอีโยนความคิดทั้งหมดทิ้งไว้แล้วจ้องอิ๋งซื่อเขม็ง สิ่งที่นางคิดอยู่เต็มหัวใจในตอนนี้คือนางจะสามารถรักษาเจ้าอี่โหลวไว้ได้หรือไม่ “หากฝ่าบาทมีเจตนาที่จะไว้ชีวิต กระหม่อมก็จะเชื่อใจฝ่าบาทเป็นครั้งสุดท้าย”

ซ่งชูอียังคงเป็นตัวของตัวเอง แม้ว่าจะตายก็ยังคงทำตัวเหมือนคนโกง

อิ๋งซื่อยิ้มทันที ใบหน้านั้นงดงามเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อก่อนซ่งชูอีเคยคิดว่าเขาหน้าตาดีมาก แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรช่วงเวลาที่ยังเยาว์วัยและมีพลังนั้นกลับเทียบรอยยิ้มซีดๆ ในตอนนี้ไม่ติดเลย

เขาหลุบตาลงมองไปยังนคร เสียงของเขาแทบไม่มีใครได้ยิน “กว่าเหรินจะใช้ความรักและความไว้ใจทั้งชีวิตไปกับครั้งนี้”

มีเสียงถอนหายใจยืดยาว

ท่ามกลางหิมะที่หนาแน่น ซ่งชูอีมองเห็นเขาก้มหน้าลง ใบหน้าด้านข้างมีขอบและมุมชัดเจน ขนตาหนาปกปิดดวงตา สันจมูกตั้งตรง คิ้วดุจดาบคม ริมฝีปากและกรามบอบบางซ่อนอยู่ในขนจิ้งจอกครึ่งหนึ่ง สายลมที่พัดมาอย่างกะทันหันทำให้เกล็ดหิมะตกใส่เขาราวกับกำลังรั้งเขาไว้และดูเหมือนจะรบเร้าให้เขาจากไป

“ฝ่าบาท!” เสียงเข้มของขันทีเถาตัดผ่านท้องฟ้า

ทุกคนวางอาวุธลง คุกเข่าลงบนพื้นพระราชวัง

ซ่งชูอีมองเขาด้วยความว่างเปล่า รู้สึกว่าอวัยวะภายในถูกไฟแผดเผาและเลือดทั้งหมดพุ่งไปที่ศีรษะ ความร้อนที่แผดเผานี้ได้บีบมาถึงลำคอจนถึงขีดสุด นางกระอักเลือดออกมาฉับพลัน

สติของนางค่อยๆ เลือนราง ซ่งชูอีรู้สึกว่าตัวเองอยู่ห่างจากอิ๋งซื่อออกไปทุกที นางต้องการหันไปมองเจ้าอี่โหลวทว่ากลับไม่มีเรี่ยวแรงเลย

ขันทีเถากล่าวเสียงสูง “ท่านอ๋องมีราชโองการ ไท่ฟู่ลอบปลงพระชนม์ แต่เพื่อระลึกถึงคุณประโยชน์อันยิ่งใหญ่ของเขาที่มีต่อรัฐฉิน ดังนั้นจึงรักษาร่างกายของเขาไว้ทั้งหมด กู่หาน นำเสื่อฟางม้วนศพแล้วไปฝังในเขตชานเมืองทางตอนเหนือ! กู่ฉิง ถ่ายทอดประกาศนี้ไปยังท่านแม่ทัพเจ้า”

……

ท้องฟ้ามืดครึ้ม เกล็ดหิมะหมุนวนผสมกับหิมะบนพื้นให้บินสูง

ฉินหวังซื่อปีที่ยี่สิบสอง อิ๋งซื่อสิ้นพระชนม์ในช่วงที่สำคัญของชีวิต ท่านมหาเสนาบดีฝ่ายขวาชูหลี่จี๋ไม่จัดงานศพ แต่สนับสนุนให้อิ๋งตั้งเข้ามาบริหารบ้านเมืองโดยสมบูรณ์

เนื่องจากอิ๋งซื่อได้จัดการทุกด้านไว้อย่างเรียบร้อยแล้ว ทั้งอิ๋งตั้งยังเป็นรัชทายาทอย่างถูกต้อง การสลับร่างของกษัตริย์ทั้งสองรุ่นนั้นราบรื่นเป็นพิเศษ

ตอนที่อิ๋งซื่อสิ้น มหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายจางอี๋อยู่ในรัฐฉู่ตลอดเวลาเพื่อรักษาสถานการณ์ให้มั่นคง

ในท้องพระโรงอันกว้างใหญ่

ขันทีเถาโค้งคำนับและยื่นกล่องหยกให้อิ๋งตั้ง “ฝ่าบาทกล่าวว่าให้จัดงานศพอย่างเรียบง่าย ไม่จำเป็นต้องมีแก้วแหวนเงินทองใดๆ เพียงใส่สิ่งนี้ลงไปในโลงศพเป็นพอ”

อิ๋งตั้งอยู่ในชุดไว้ทุกข์ ดวงตาดำขลับเป็นสีแดงก่ำ เขาได้กลายเป็นผู้ใหญ่ภายในระยะเวลาอันสั้น

เขาเปิดกล่องหยกและพบว่ามีหนังแกะซอมซ่อเพียงสามม้วนอยู่ข้างใน

เมื่อคลี่ม้วนหนังแกะออก จารึกอักขระของรัฐฉินที่เป็นระเบียบเรียบร้อยก็ปรากฏสู่สายตา มีความแข็งแรงในการทรงตัวของแปรง อิ๋งตั้งจำได้ทันทีว่านี่เป็นลายมือของซ่งชูอี หนังสือม้วนนี้เขียนขึ้นด้วยความรู้เชิงอรรถกถา เรื่องราวและข้อมูลเชิงลึกเช่นเดียวกับ “จวงจื่อ”

“นี่มัน…” อิ๋งตั้งเอ่ยด้วยความสงสัย

“นี่เป็นของขวัญจากซ่งไท่ฟูเมื่อเขาได้พบกับฝ่าบาทในฐานะราชทูต” ขันทีเถาหยิบไม้ไผ่ออกมาจากอกแล้วยื่นให้ “นี่คือรายชื่อของสิ่งที่ฝังไปพร้อมกับศพที่เขียนโดยฝ่าบาท”

เจตจำนงของอิ๋งซื่อนั้นกระชับเหมือนคำพูดที่มีค่าราวกับทองคำของเขา บนใบไผ่มีเพียงห้าคำที่เขียนไว้ว่า “ฝังกล่องหยกในโลง” อย่างโดดเดี่ยวเท่านั้น

คำสั่งของเสด็จพ่อไม่อาจละเมิด อิ๋งตั้งเชื่อฟังโดยธรรมชาติ ทว่าอิ๋งซื่อเป็นอ๋ององค์แรกแห่งรัฐฉิน สุสานจะเย็นชืดเกินไปก็ไม่ดี อิ๋งตั้งขีดฆ่าสัญลักษณ์สิ่งของฝังศพบางส่วนที่เตรียมไว้ในตอนแรก อย่างไรก็ดีเขาไม่ได้ทำดีกับเสด็จพ่อเพียงวันสองวันอยู่แล้ว

เมื่อจรดพู่กัน อิ๋งตั้งก็น้ำตานองหน้า ไม่ว่าจะทำดีเพียงใดก็เป็นเพียงครั้งสุดท้าย…

วันรุ่งสางบนทุ่งหิมะกว้างใหญ่ ชายคนหนึ่งที่เนื้อตัวเปื้อนเลือดและหมาป่าสีขาวขนาดยักษ์กำลังขุดเนินฝังศพที่เพิ่งถูกฝังใหม่ๆ ในสุสานที่ยุ่งเหยิงอย่างเอาเป็นเอาตาย

ด้านบนเต็มไปด้วยเลือดและดินบนหลุมนั้นก็หลวมมากเช่นกัน หนึ่งคนหนึ่งหมาป่าขุดมันออกมาอย่างง่ายดาย ชายผู้นั้นดึงเสื่อฟางม้วนหนึ่งออกมาจากหลุม

เลือดสดๆ ไหลหยดจากมือที่แตกระแหงของเขา เขาคลี่เสื่อออกอย่างกระวนกระวาย ครั้นเห็นศพของบัณฑิตคนหนึ่งที่มีใบหน้าซีดขาวในเสื้อคลุมแขนกว้าง ทั้งตัวของเขาก็ไม่สามารถหยุดสั่นได้ กอดนางในอ้อมแขนพร้อมกับสะอื้นไห้ “หวยจิน…ข้าจะต้องแก้แค้นให้เจ้า!”

ท่าทางหมดสภาพของเขาเหมือนกับสัตว์ป่าที่เศร้าโศก หมาป่าหิมะที่อยู่ข้างๆ เขาหูลู่ลงและส่งเสียงร้องอิ๋งๆ เบาๆ อยู่ข้างหู

หมาป่าหิมะสั่นหูของมันอย่างแรง ทันใดนั้นศพก็คว้าต้นขาของเขาทันที

เจ้าอี่โหลวก้มหน้าลง มองดูมือซีดขาวนั้นด้วยความประหลาดใจสุดขีด

“อี่โหลว” นางคว้าขาของเจ้าอี่โหลว รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากเขา น้ำเสียงแหบแห้งสั่นเทาเล็กน้อย ในน้ำเสียงทั้งคล้ายยินดี คล้ายสงสัย คล้ายโศกเศร้า และคล้ายประหลาดใจ “มันไม่ได้มีพิษจริงๆ…”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ 381 ความเฉียบขาดชั่วนิรันดร์ของกษัตริย์ (ตอนจบ) (2)

Now you are reading กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ Chapter 381 ความเฉียบขาดชั่วนิรันดร์ของกษัตริย์ (ตอนจบ) (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ถวายบังคมฝ่าบาท” ซ่งชูอีสะบัดแขนเสื้อ

ขันทีเถาลอบมองอิ๋งซื่อแวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเขามองนางเงียบๆ ก็เอ่ยขึ้น “เชิญไท่ฟู่นั่งเถิด”

เมื่อซ่งชูอีเห็นว่าอิ๋งซื่อไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองก็รู้ว่าขันทีเถาพูดแทนเขา นางจึงเลือกตำแหน่งและนั่งลง

หลังจากนั่งแล้วทั้งคู่ก็ไม่ส่งเสียงอีก

ลมแรงที่ปะปนกับหิมะที่ม้วนตัวนั้นไม่ด้อยไปกว่าพายุหิมะเลย

อิ๋งซื่อเงยหน้าเล็กน้อย มองหิมะที่โปรยปรายลงมา ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

“ไท่ฟู่” ขันทีเถากางร่มให้อิ๋งซื่อ “ท่านอ๋องได้สั่งให้คนไปบอกเจ้าอี่โหลวแล้ว ว่าหากเขามาในตอนนี้ก็ยังสามารถเห็นหน้าท่านเป็นครั้งสุดท้าย”

ซ่งชูอีปฏิเสธเด็กรับใช้ที่มาถือร่มให้นาง

เดิมทีนางคิดว่านางจะสามารถช่วยเจ้าอี่โหลวหาทางเอาชีวิตรอดเมื่อนางมีเวลา นางไม่ได้คาดหวังว่าอิ๋งซื่อจะเริ่มแผนการอย่างกระตือรือร้น เห็นได้ชัดว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะฆ่าพวกเขา

หากเป็นเวลานี้ตอนนี้ ไม่ว่าทางหนีใดก็ไร้ประโยชน์แล้ว!

หรือว่าอิ๋งซื่อคิดว่าตัวเองไม่ไหวแล้ว? แม้ซ่งชูอีจะเห็นว่าเขาซูบลง ทว่ายังดูมีชีวิตชีวาดี คงไม่รีบร้อนจากไปภายในสองสามวันนี้กระมัง! อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะใช่หรือไม่ บัดนี้นางก็เป็นเนื้ออยู่บนเขียง สิ่งที่นางทำได้ในตอนนี้คือการอ้อนวอนเท่านั้น

“ฝ่าบาทจะปล่อยเขาไปไม่ได้เชียวหรือ?” ซ่งชูอีเอ่ย “เขาไม่มีความทะเยอะทะยาน ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ไม่แสวงหาผลกำไร แม้ว่าจะค่อนข้างมีเกียรติในวงการทหารแต่ก็ไม่มีอันตรายต่อต้าฉินมากนัก ขอบังอาจถามฝ่าบาท เหตุใดเขาต้องตายด้วย?”

ซ่งชูอีไม่เคยรู้สึกว่าอิ๋งซื่อต้องการฆ่านางที่ตัดสินใจผิดพลาดเพราะนางไม่สามารถคาดเดาการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ใต้หล้าได้ แล้วก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะสนับสนุนอิ๋งฉินตลอดไป หากอิ๋งฉินไม่มีกษัตริย์ที่มีความสามารถก็เป็นไปได้ที่นางจะสนับสนุนผู้อื่นเพื่อแย่งชิงรัฐ

ทว่าเจ้าอี่โหลวไม่ควรตาย!

อิ๋งซื่อหลุบตาลงมองนาง น้ำเสียงแหบแห้ง “เพราะว่าเขาอุทิศตนเพื่อเจ้า”

ด้วยการตกตะกอนทีละน้อย อิ๋งซื่อสามารถมองเห็นลมหายใจแห่งกษัตริย์จากเจ้าอี่โหลวได้ เขาสามารถข่มความเย่อหยิ่งและความอวดดีของตัวเองทั้งหมดได้เพื่อซ่งชูอี และเป็นที่คาดการณ์ได้ว่าทันทีที่มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับซ่งชูอีเขาจะแก้แค้นอย่างบ้าคลั่ง เจ้าอี่โหลวเพียงแค่ไม่เต็มใจที่จะทะเยอทะยาน ไม่เต็มใจที่จะมีเล่ห์เหลี่ยม ไม่เต็มใจที่จะแสวงหาผลกำไร แต่ใช่ว่าจะทำไม่ได้!

ใบหน้าของขันทีเถาเปี่ยมด้วยความตกตะลึงยิ่งกว่าซ่งชูอี เพราะว่าอิ๋งซื่อไม่ได้พูดอะไรมาสามวันแล้วทว่าจู่ๆ วันนี้กลับพูดออกมา…

ทันใดนั้นมีเสียงโห่ร้องที่ชั้นล่าง ซ่งชูอีอดที่จะลุกขึ้นและเดินไปที่ราวจับไม่ได้ ยังไม่ทันจะเข้าไปใกล้ก็เห็นชายคนหนึ่งในชุดสีดำ มัดผมเป็นมวยอยู่ด้านบน กำลังเผชิญหน้ากับกองทัพสีดำนับร้อยพร้อมถือดาบขนาดใหญ่อยู่ในระยะไกล

มุมหอคอยถูกสร้างอยู่ในมุมของพระราชวังตามชื่อของมัน มีพื้นที่ขนาดใหญ่ระหว่างพระราชวังเสียนหยางกับอาคารในนครเพื่อแยกแยะสถานะของผู้ปกครองและราษฎร

ซ่งชูอีหันขวับกลับมา “ฝ่าบาทพูดกับเขาว่าอะไร?”

ถ้าไม่ใช่เพราะถูกอิ๋งซื่อหลอกลวง เจ้าอี่โหลวก็จะไม่ทำเรื่องงี่เง่าเช่นนี้! ทันทีที่เจ้าอี่โหลวถือดาบและหันไปหากำแพงพระราชวัง ความผิดฐานการก่อกบฏและสังหารกษัตริย์นั้นก็กลายเป็นเรื่องที่แน่นอนและไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้!

ขันทีเถามองด้วยความสงสาร “ท่านแม่ทัพเจ้าจะได้เห็นหน้าท่านเป็นครั้งสุดท้ายหรือไม่ก็ต้องดูว่าเขาสามารถบุกเข้ามาถึงบนหอคอยได้ไหม”

ซ่งชูอีกวาดตามองเขาอย่างเฉยเมย แม้ในตอนนี้นางและเจ้าอี่โหลวก็ไม่ต้องการความสงสารและความเห็นใจจากใครทั้งสิ้น

ขันทีเถาเงียบงัน ยกมือขึ้นสั่งให้เด็กรับใช้ยกสุราสองจอกเข้ามา

“ข้าจะให้โอกาสเจ้า” อิ๋งซื่อไอรุนแรง

ขันทีเถาได้รับคำสั่งล่วงหน้าแล้วจึงทำได้เพียงพูดแทนเขาต่อ “สุราหนึ่งในสองชนิดนี้ ชนิดหนึ่งมีพิษ ถ้าไท่ฟู่เลือกจอกที่มีพิษด้วยตัวเองก็จะอภัยโทษแก่ท่านแม่ทัพเจ้า หากเลือกจอกที่ไร้พิษ ไท่ฟู่กับท่านแม่ทัพเจ้าก็จะจากไปพร้อมกัน”

มีเสียงเอี๊ยดอ๊าดแผ่วเบาดังขึ้นด้านหลังเขา

ซ่งชูอีหันขวับกลับมา ก็เห็นผู้คุมชุดดำหลายร้อยคนง้างคันธนูและเล็งหน้าไม้ไปยังเจ้าอี่โหลว

“ฝ่าบาทคิดจะท้าทายลิขิตสวรรค์รึ?”

นี่คือการยอมจำนนครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดที่อิ๋งซื่อสามารถทำได้ แต่ความรู้สึกของการถูกบังคับให้อยู่บนสายธนูแห่งโชคชะตาเป็นเรื่องที่เลวร้ายมาก ซ่งชูอีไม่รู้สึกซาบซึ้งเลยแม้แต่น้อย

เจ้าอี่โหลวเข้าใกล้กำแพงวัง เขาพบว่าตัวเองถูกสกัดกั้นด้วยหน้าไม้หลายร้อยคันแล้วแต่กลับทำเป็นมองไม่เห็น แม้ว่าซ่งชูอีไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน แต่กลับรู้สึกว่าคิ้วยาวที่ชี้เข้าไปในขมับและดวงตาที่เหมือนทะเลสาบแห่งดวงดาวนั้นชัดเจนอยู่ตรงหน้า

แสงดาบนั้นราวกับหิมะที่สาดกระเซ็นผ่านพายุฝนคาวเลือด

สายลมหวีดหวิวพัดม้วนหิมะที่กำลังโปรยปราย ทุกคนที่อยู่บนหอคอยล้วนเห็นความกล้าหาญในการสู้กับศัตรูเป็นร้อยของเจ้าอี่โหลว อดที่จะอุทานในใจมิได้…ช่างน่าเสียดายพลทหารที่มีประสบการณ์ผู้นี้เหลือเกิน!

เสียงของสายธนูที่ตึงแน่นนั้นเหมือนกับหัวใจของนางที่กำลังจะแตกสลาย

“กุนซือไม่สามารถแสดงความรักใคร่ได้มากเกินไป” ซ่งชูอียกสุราสองจอกนั้นขึ้นมา ดื่มรวดเดียวจนหมด แล้วโยนจอกสุราลงบนโต๊ะส่งเสียงดังโคร้งเคร้ง

สุราแก่มีรสอ่อนและเผ็ดปะปนกัน มีกลิ่นหอมของบ๊วยจางๆ ตรงบริเวณปลายลิ้นซึ่งจะต้องเป็นสุราบ๊วยที่เก็บไว้นานหลายปี

ซ่งชูอีโยนความคิดทั้งหมดทิ้งไว้แล้วจ้องอิ๋งซื่อเขม็ง สิ่งที่นางคิดอยู่เต็มหัวใจในตอนนี้คือนางจะสามารถรักษาเจ้าอี่โหลวไว้ได้หรือไม่ “หากฝ่าบาทมีเจตนาที่จะไว้ชีวิต กระหม่อมก็จะเชื่อใจฝ่าบาทเป็นครั้งสุดท้าย”

ซ่งชูอียังคงเป็นตัวของตัวเอง แม้ว่าจะตายก็ยังคงทำตัวเหมือนคนโกง

อิ๋งซื่อยิ้มทันที ใบหน้านั้นงดงามเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อก่อนซ่งชูอีเคยคิดว่าเขาหน้าตาดีมาก แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรช่วงเวลาที่ยังเยาว์วัยและมีพลังนั้นกลับเทียบรอยยิ้มซีดๆ ในตอนนี้ไม่ติดเลย

เขาหลุบตาลงมองไปยังนคร เสียงของเขาแทบไม่มีใครได้ยิน “กว่าเหรินจะใช้ความรักและความไว้ใจทั้งชีวิตไปกับครั้งนี้”

มีเสียงถอนหายใจยืดยาว

ท่ามกลางหิมะที่หนาแน่น ซ่งชูอีมองเห็นเขาก้มหน้าลง ใบหน้าด้านข้างมีขอบและมุมชัดเจน ขนตาหนาปกปิดดวงตา สันจมูกตั้งตรง คิ้วดุจดาบคม ริมฝีปากและกรามบอบบางซ่อนอยู่ในขนจิ้งจอกครึ่งหนึ่ง สายลมที่พัดมาอย่างกะทันหันทำให้เกล็ดหิมะตกใส่เขาราวกับกำลังรั้งเขาไว้และดูเหมือนจะรบเร้าให้เขาจากไป

“ฝ่าบาท!” เสียงเข้มของขันทีเถาตัดผ่านท้องฟ้า

ทุกคนวางอาวุธลง คุกเข่าลงบนพื้นพระราชวัง

ซ่งชูอีมองเขาด้วยความว่างเปล่า รู้สึกว่าอวัยวะภายในถูกไฟแผดเผาและเลือดทั้งหมดพุ่งไปที่ศีรษะ ความร้อนที่แผดเผานี้ได้บีบมาถึงลำคอจนถึงขีดสุด นางกระอักเลือดออกมาฉับพลัน

สติของนางค่อยๆ เลือนราง ซ่งชูอีรู้สึกว่าตัวเองอยู่ห่างจากอิ๋งซื่อออกไปทุกที นางต้องการหันไปมองเจ้าอี่โหลวทว่ากลับไม่มีเรี่ยวแรงเลย

ขันทีเถากล่าวเสียงสูง “ท่านอ๋องมีราชโองการ ไท่ฟู่ลอบปลงพระชนม์ แต่เพื่อระลึกถึงคุณประโยชน์อันยิ่งใหญ่ของเขาที่มีต่อรัฐฉิน ดังนั้นจึงรักษาร่างกายของเขาไว้ทั้งหมด กู่หาน นำเสื่อฟางม้วนศพแล้วไปฝังในเขตชานเมืองทางตอนเหนือ! กู่ฉิง ถ่ายทอดประกาศนี้ไปยังท่านแม่ทัพเจ้า”

……

ท้องฟ้ามืดครึ้ม เกล็ดหิมะหมุนวนผสมกับหิมะบนพื้นให้บินสูง

ฉินหวังซื่อปีที่ยี่สิบสอง อิ๋งซื่อสิ้นพระชนม์ในช่วงที่สำคัญของชีวิต ท่านมหาเสนาบดีฝ่ายขวาชูหลี่จี๋ไม่จัดงานศพ แต่สนับสนุนให้อิ๋งตั้งเข้ามาบริหารบ้านเมืองโดยสมบูรณ์

เนื่องจากอิ๋งซื่อได้จัดการทุกด้านไว้อย่างเรียบร้อยแล้ว ทั้งอิ๋งตั้งยังเป็นรัชทายาทอย่างถูกต้อง การสลับร่างของกษัตริย์ทั้งสองรุ่นนั้นราบรื่นเป็นพิเศษ

ตอนที่อิ๋งซื่อสิ้น มหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายจางอี๋อยู่ในรัฐฉู่ตลอดเวลาเพื่อรักษาสถานการณ์ให้มั่นคง

ในท้องพระโรงอันกว้างใหญ่

ขันทีเถาโค้งคำนับและยื่นกล่องหยกให้อิ๋งตั้ง “ฝ่าบาทกล่าวว่าให้จัดงานศพอย่างเรียบง่าย ไม่จำเป็นต้องมีแก้วแหวนเงินทองใดๆ เพียงใส่สิ่งนี้ลงไปในโลงศพเป็นพอ”

อิ๋งตั้งอยู่ในชุดไว้ทุกข์ ดวงตาดำขลับเป็นสีแดงก่ำ เขาได้กลายเป็นผู้ใหญ่ภายในระยะเวลาอันสั้น

เขาเปิดกล่องหยกและพบว่ามีหนังแกะซอมซ่อเพียงสามม้วนอยู่ข้างใน

เมื่อคลี่ม้วนหนังแกะออก จารึกอักขระของรัฐฉินที่เป็นระเบียบเรียบร้อยก็ปรากฏสู่สายตา มีความแข็งแรงในการทรงตัวของแปรง อิ๋งตั้งจำได้ทันทีว่านี่เป็นลายมือของซ่งชูอี หนังสือม้วนนี้เขียนขึ้นด้วยความรู้เชิงอรรถกถา เรื่องราวและข้อมูลเชิงลึกเช่นเดียวกับ “จวงจื่อ”

“นี่มัน…” อิ๋งตั้งเอ่ยด้วยความสงสัย

“นี่เป็นของขวัญจากซ่งไท่ฟูเมื่อเขาได้พบกับฝ่าบาทในฐานะราชทูต” ขันทีเถาหยิบไม้ไผ่ออกมาจากอกแล้วยื่นให้ “นี่คือรายชื่อของสิ่งที่ฝังไปพร้อมกับศพที่เขียนโดยฝ่าบาท”

เจตจำนงของอิ๋งซื่อนั้นกระชับเหมือนคำพูดที่มีค่าราวกับทองคำของเขา บนใบไผ่มีเพียงห้าคำที่เขียนไว้ว่า “ฝังกล่องหยกในโลง” อย่างโดดเดี่ยวเท่านั้น

คำสั่งของเสด็จพ่อไม่อาจละเมิด อิ๋งตั้งเชื่อฟังโดยธรรมชาติ ทว่าอิ๋งซื่อเป็นอ๋ององค์แรกแห่งรัฐฉิน สุสานจะเย็นชืดเกินไปก็ไม่ดี อิ๋งตั้งขีดฆ่าสัญลักษณ์สิ่งของฝังศพบางส่วนที่เตรียมไว้ในตอนแรก อย่างไรก็ดีเขาไม่ได้ทำดีกับเสด็จพ่อเพียงวันสองวันอยู่แล้ว

เมื่อจรดพู่กัน อิ๋งตั้งก็น้ำตานองหน้า ไม่ว่าจะทำดีเพียงใดก็เป็นเพียงครั้งสุดท้าย…

วันรุ่งสางบนทุ่งหิมะกว้างใหญ่ ชายคนหนึ่งที่เนื้อตัวเปื้อนเลือดและหมาป่าสีขาวขนาดยักษ์กำลังขุดเนินฝังศพที่เพิ่งถูกฝังใหม่ๆ ในสุสานที่ยุ่งเหยิงอย่างเอาเป็นเอาตาย

ด้านบนเต็มไปด้วยเลือดและดินบนหลุมนั้นก็หลวมมากเช่นกัน หนึ่งคนหนึ่งหมาป่าขุดมันออกมาอย่างง่ายดาย ชายผู้นั้นดึงเสื่อฟางม้วนหนึ่งออกมาจากหลุม

เลือดสดๆ ไหลหยดจากมือที่แตกระแหงของเขา เขาคลี่เสื่อออกอย่างกระวนกระวาย ครั้นเห็นศพของบัณฑิตคนหนึ่งที่มีใบหน้าซีดขาวในเสื้อคลุมแขนกว้าง ทั้งตัวของเขาก็ไม่สามารถหยุดสั่นได้ กอดนางในอ้อมแขนพร้อมกับสะอื้นไห้ “หวยจิน…ข้าจะต้องแก้แค้นให้เจ้า!”

ท่าทางหมดสภาพของเขาเหมือนกับสัตว์ป่าที่เศร้าโศก หมาป่าหิมะที่อยู่ข้างๆ เขาหูลู่ลงและส่งเสียงร้องอิ๋งๆ เบาๆ อยู่ข้างหู

หมาป่าหิมะสั่นหูของมันอย่างแรง ทันใดนั้นศพก็คว้าต้นขาของเขาทันที

เจ้าอี่โหลวก้มหน้าลง มองดูมือซีดขาวนั้นด้วยความประหลาดใจสุดขีด

“อี่โหลว” นางคว้าขาของเจ้าอี่โหลว รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากเขา น้ำเสียงแหบแห้งสั่นเทาเล็กน้อย ในน้ำเสียงทั้งคล้ายยินดี คล้ายสงสัย คล้ายโศกเศร้า และคล้ายประหลาดใจ “มันไม่ได้มีพิษจริงๆ…”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+