กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ 334 กั๋วเว่ยเห็นอย่างไร

Now you are reading กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ Chapter 334 กั๋วเว่ยเห็นอย่างไร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

วันต่อมา อิ๋งซื่อเข้าประชุมราชสำนักตามปกติ

เขานั่งอยู่บนพระที่นั่งสูง ใบหน้าหล่อเหลาถูกบดบังด้วยพู่ครึ่งหนึ่ง บวกกับเดิมทีเขาพูดน้อยอยู่แล้ว เหล่าขุนนางจึงไม่รู้สึกว่ามีสิ่งใดผิดปกติ เรื่องนี้ก็ผ่านไปทั้งอย่างนี้

เจ้าอี่โหลวขาดงานและถูกปลดออกจากตำแหน่งเนื่องด้วยเรื่องส่วนตัว ครั้งนี้ตั้งใจเข้าร่วมสงครามฉินเว่ยด้วยตัวเองก็ได้รับการอนุมัติจากอิ๋งซื่อทันที…ได้สถานะกลับคืนเพื่อสร้างผลงานชดเชยความผิดและรีบไปที่สนามรบในอีกไม่กี่วันต่อมา

หิมะหยุดตกร่วมครึ่งวันแล้ว แสงหิมะระยิบระยับสะท้อนฟ้าดินเป็นสีขาวโพลน

ซ่งชูอีออกจากจวนพร้อมกับเจ้าอี่โหลว คนหนึ่งออกจากนคร อีกคนเข้าวัง

เมื่อมาถึงทางแยก เจ้าอี่โหลวลงมาจากรถม้าแล้วพลิกตัวขึ้นม้า เมื่อเห็นว่าซ่งชูอีเลิกม่านในรถขึ้นก็ก้มศีรษะลง

แสงหิมะสะท้อนอยู่บนใบหน้าขาวผ่องของนางจนแทบโปร่งแสง ดวงตาที่สงบราวกับสายน้ำนั้นยิ่งชัดเจน “การแก้แค้นเป็นสิ่งสำคัญ ทว่าคนก็จากไปแล้ว ฉะนั้นการเอาชีวิตไปทิ้งย่อมไม่คุ้มค่า บัดนี้ข้าเสียลูกไปแล้ว ไม่ต้องการเสียเจ้าไปอีกคน”

“ได้” รอยยิ้มผลิบานอยู่บนใบหน้าของเจ้าอี่โหลวราวกับเมฆต้องแสงตะวัน

“ไปเถิด” ซ่งชูอีเอ่ย

รถม้าเคลื่อนตัว ทั้งสองคนแยกทางกันไปทางทิศเหนือและใต้บนถนนหลวง

อิ๋งซื่อยังคงรักษาตำแหน่งไว้ให้ซ่งชูอี ในช่วงที่นางหายตัวและเจ็บป่วยก็เพียงมองหาคนมารักษาตำแหน่งแทนเท่านั้น ดังนั้นหลังจากที่นางแสดงป้ายขุนนางแล้วทหารรักษาการณ์ก็ปล่อยให้ผ่านเข้าไป

ลงจากรถม้าเดินไปถึงหอคอย รอจนเด็กรับใช้เข้าไปรายงานแล้ว ขันทีเถาก็ลงมารับนางขึ้นไปยังชั้นสาม

ภายในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นยาหนักหน่วง ซ่งชูอีคำนับอยู่หลังม่าน “ถวายบังคมฝ่าบาท”

“เข้ามา” น้ำเสียงของอิ๋งซื่อไร้พลังเล็กน้อย

ขันทีเถาเลิกม่านขึ้น ซ่งชูอีเข้าไปข้างใน

อิ๋งซื่อเพิ่งจะวางถ้วยยาลง รับผ้าเช็ดหน้ามาจากขันทีเพื่อเช็ดๆ ปาก เงยหน้ามองซ่งชูอี “กั๋วเว่ยมาในเวลาพลบค่ำเช่นนี้ มีเรื่องสำคัญใด?”

ซ่งชูอีค้อมตัวเล็กน้อย “กระหม่อมได้ยินว่าร่างกายฝ่าบาทไม่ใคร่ดี ในใจมีความกังวลจึงตั้งใจมาเยี่ยม และต้องการมาทูลรายงานฝ่าบาทว่าบัดนี้กระหม่อมหายดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“นั่ง” อิ๋งซื่อเอ่ย

“ขอบพระทัยฝ่าบาท” ซ่งชูอีนั่งคุกเข่าลงบนที่นั่ง ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองอิ๋งซื่อ

สีหน้าของเขาไม่นับว่าแย่นัก เพียงแต่ใบหน้าที่หล่อเหลาและอวบอิ่มบัดนี้ซูบตอบลดไปมาก สีหน้าก็เหนื่อยล้าเล็กน้อย

ซ่งชูอีเอ่ย “คำพูดของฝ่าบาทเดือนที่แล้วปลุกสติของกระหม่อม ในอนาคตกระหม่อมจะตั้งสติให้มาก และมอบความจงรักภักดีให้ฝ่าบาท ทว่างานชิ้นใหญ่ยังไม่บรรลุผล ฝ่าบาทก็โปรดทะนุถนอมพระวรกายด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

“อืม” อิ๋งซื่อตอบรับ จากนั้นก็เอ่ยว่า “พรุ่งนี้เจ้าก็คืนสู่ตำแหน่งเพื่อจัดการกิจการบ้านเมืองเถิด”

ซ่งชูอีเอ่ย “กระหม่อมมีเรื่องจะขอร้อง”

อิ๋งซื่อเอ่ยอย่างเฉยเมย “กว่าเหรินรู้คำขอของเจ้า ทว่าเจ้าเพิ่งหายจากอาการป่วย อย่าทำงานหนักเกินไป รอจนเวลาเหมาะสมแล้วข้าย่อมทำให้เจ้าสมหวัง”

หากจะกล่าวถึงคนที่เข้าใจนางในโลกใบนี้ก็ต้องเป็นอิ๋งซื่อ มีบางเรื่องไม่จำเป็นต้องปริปาก เขาก็ตระหนักรู้แล้ว สิ่งนี้ไม่เพียงทำให้นางมีความสุข ในทางตรงกันข้ามกลับทำให้นางระวังตัวอย่างยิ่ง

“ฝ่าบาท ท่านมหาเสนาบดีทั้งสองท่านขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเถารายงาน

อิ๋งซื่อเอ่ย “เชิญ”

ไม่ช้าก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นที่บันได หลังจากจางอี๋และชูหลี่จี๋คำนับอยู่นอกม่านแล้วก็ถูกอิ๋งซื่อเชิญเข้ามานั่ง

ทั้งสองคนยังไม่ทันจะกำจัดหิมะที่อยู่บนศีรษะ เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องด่วน

“ฝ่าบาท สายลับส่งข่าวเรื่องธูปหอมติดตามตัวมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” จางอี๋เห็นว่าอิ๋งซื่อตั้งใจฟัง จึงพูดต่อ “ผู้ที่รับจดหมายนกพิราบคือฮูหยินรองขององค์ชายซื่อ ตู้เจา ฮูหยินเจาเป็นลูกสาวคนโตของสกุลตู้พ่อค้าใหญ่แห่งรัฐเว่ย น้องสาวของตู้เหิง เจ็ดปีก่อนเกิดการต่อสู้ภายในในสกุลตู้ ถูกตู้เหิงปราบปรามไว้ได้ ตู้เหิงเพื่อหยิบยืมกำลังภายนอก เขาจึงมอบตู้เจาให้กับองค์ชายซื่อในสถานะนางบำเรอและได้รับหนึ่งหมื่นตำลึงทองคำ หลังจากนั้นหนึ่งปีมีลูกจึงได้กลายเป็นฮูหยินรองขององค์ชายซื่อ จากนั้นคนที่สัมผัสกับธูปหอมติดตามตัวก็มีองค์ชายซื่อและหลางจงฝ่ายขวาหมิ่นจื๋อห่วนพ่ะย่ะค่ะ”

“ผู้บงการคือองค์ชายซื่อรึ?” ชูหลี่จี๋เอ่ยถาม

จางอี๋ส่ายหน้า “ในตอนแรกข้าก็คิดเช่นนี้ ทว่าคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่ามันค่อนข้างมีเงื่อนงำ สกุลตู้เป็นผู้ยิ่งใหญ่หลายชั่วอายุคน เป็นพ่อค้านักทำกำไร ภรรยาของตู้เหิงจากไปเร็ว ไม่มีทายาทสืบสกุล แม้แต่ลูกชายคนโตสุดก็อายุเพียงเจ็ดขวบเท่านั้น ทันทีที่เขาตาย สกุลตู้ก็ระจัดกระจายทันที เขามีเหตุใดที่จะต้องขายชีวิตให้กับองค์ชายซื่อเช่นนี้ด้วยเล่า? ต่อมาเมื่อสืบลึกลงไปก็พบว่า ระหว่างตู้เหิงกับตู้เจามีความสัมพันธ์คลุมเครือ ทว่าตู้เจามีคำขอว่าต้องฟังนางทุกอย่าง น้องสาวสุดที่รักของตู้เหิงช่างน่าทึ่งเหลือเกิน!”

ซ่งชูอีเข้าใจในทันที “ก่อนที่ข้าจะถูกขังไม่กี่วัน ในนครมีข่าวลือหนึ่งว่าชายาเอกขององค์ชายซื่อสิ้นใจแล้ว เว่ยอ๋องต้องการที่จะสู่ขอองค์หญิงอิ๋งสี่ หากข้าเดาไม่ผิด จะต้องเป็นเพราะตู้เจาละโมบในตำแหน่งของชายาเอกเป็นแน่ จึงขอให้พี่ชายของนางไปหาแผนภาพของหน้าไม้และตำแหน่งของกองทัพใหม่ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือต่อหน้าองค์ชายซื่อ”

“ถูกต้อง” จางอี๋เอ่ย

ชูหลี่จี๋ไม่เข้าใจ “ทว่าแม้จะต้องการหาหลักฐาน ตู้เหิงก็ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีต่ำช้าเช่นนี้ก็ได้นี่นา!”

จางอี๋เอ่ยว่า “หลังจากตรวจสอบ ตู้เหิงเริ่มแผนการมาครึ่งปีแล้ว ทว่าทันทีที่มีข่าวองค์ชายซื่อต้องการจะสู่ขอองค์หญิงอิ๋งสี่ ตู้เจาก็ใจร้อนยิ่ง แม้กระทั่งจะขู่เอาชีวิตด้วยซ้ำ ขณะที่ทำความสะอาดสุสานจวินองค์ก่อนก็ได้พบจดหมายสองฉบับที่ตู้เหิงนำติดตัวมาด้วย มันเป็นลายมือของตู้เจา คำพูดมีความเด็ดขาดมาก”

จางอี๋หยิบกระบอกจดหมายสัมฤทธิ์สองใบออกมาจากแขนเสื้อ ยื่นถวายด้วยสองมือ

ขันทีเถาเข้ามารับกระบอกจดหมายนั้น หลังจากเปิดออกแล้วก็กางลงบนโต๊ะตรงหน้าอิ๋งซื่อ

อิ๋งซื่ออ่านจบแล้วก็เอ่ยว่า “จับตู้เจามาเป็นๆ รอจนส่งคนเข้ามาในรัฐฉินแล้วค่อยหาวิธีทำให้องค์ชายซื่อรู้ว่าตู้เจามีความสัมพันธ์กับพี่ชายของตัวเอง”

“พ่ะย่ะค่ะ” จางอี๋เอ่ย

นิสัยขององค์ชายซื่อไม่ชอบทำตามกฎเกณฑ์และโหดร้าย หากรู้ว่าตัวเองเป็นไอ้โง่มาหลายปี เกรงว่าแม้แต่ลูกที่ตู้เจาคลอดออกมาก็จะถูกฆ่าไปด้วย ด้วยรูปแบบของเขาจะต้องฆ่าโดยไม่ปล่อยไปอย่างแน่นอน

ซ่งชูอีรู้สึกขบขันในใจ คิดไม่ถึงว่าการที่ตนถูกกักขังและได้รับความขมขื่นมากมายเพียงนั้นจะเกิดมาจากเรื่องที่ไร้สาระเพียงนี้!

จางอี๋กล่าวอีกว่า “บัดนี้รัฐเว่ยไม่ยอมรับว่าตู้เหิงทำงานให้กับรัฐเว่ย ขอให้พวกเราหาหลักฐาน กระหม่อมต้องการจะผลักเรื่องนี้ไปที่องค์รัชทายาทเว่ย อาศัยโอกาสนี้กำจัดเขาเสีย”

อิ๋งซื่อมองไปที่ซ่งชูอี “กั๋วเว่ยถูกมอบหมายให้เป็นสายลับอยู่ในรัฐเว่ยหลายปี มีความเห็นต่อเรื่องนี้อย่างไรบ้าง?”

“กระหม่อมเห็นด้วย” ซ่งชูอีนิ่งไปครู่หนึ่ง “ฝ่าบาทให้คนอื่นออกไปก่อนได้หรือไม่”

อิ๋งซื่อโบกมือเล็กน้อย ขันทีเถารีบคนในวังทั้งหมดถอยออกไปทันที

ซ่งชูอีจึงเอ่ยว่า “ตามที่กระหม่อมรู้ หมิ่นจื๋อห่วนเป็นคนขององค์รัชทายาท เขาเคยอ่านจดหมายฉบับนั้น แสดงว่าองค์รัชทายาทเว่ยก็รู้แล้วว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับองค์ชายซื่อ เกรงว่าบัดนี้คงกำลังหาทางกำจัดเขาอยู่ เรื่องนี้ไม่อาจรอช้า พวกเรารอให้องค์รัชทายาทโยนเรื่องนี้ไปให้องค์ชายซื่อ แล้วค่อยเอาเบาะแสออกมากล่าวว่าเป็นฝีมือขององค์รัชทายาทเว่ย ให้โอกาสองค์ชายซื่อได้หายใจหายคอ องค์ชายซื่อถูกองค์ทายาทเล่นงานจะต้องเคียดแค้นในใจเป็นแน่ ในเวลานี้กระหม่อมก็จะมอบแผนการให้กับองค์ชายซื่อผ่านสายลับ…”

จากนั้น ซ่งชูอีก็เล่าถึงแผนการของตัวเองทั้งหมด เมื่อจางอี๋และชูหลี่จี๋ได้ยินก็ตกตะลึง

พวกเขาก็เรียกได้ว่าเป็นผู้ที่มีสติปัญญา วิธีการเมืองและการทำสงครามไม่พ่ายแพ้ซ่งชูอีเลย แต่พวกเขาไม่เคยกัดรัฐใดรัฐหนึ่งด้วยวิธีที่สกปรกและไร้ยางอายเพียงนี้

จางอี๋คิดมาตลอดว่าตนกระทำการโดยไร้ความเป็นสุภาพบุรุษ ทว่าเมื่อเทียบกับซ่งชูอีแล้ว จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าตัวเองมีคุณธรรมเต็มเปี่ยม และสามารถทิ้งร่องรอยไว้ให้คนรุ่นต่อๆ ไปได้แล้ว

สงครามภายในเป็นการทำลายพลังของบ้านเมืองที่ได้ผลที่สุด สิ่งนี้มีประสิทธิภาพมากกว่าการเริ่มต้นด้วยกองกำลังภายนอกมากนัก ชูหลี่จี๋และจางอี๋รู้เรื่องนี้ดีดังนั้นพวกเขาจึงเห็นด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย

ชูหลี่จี๋เอ่ย “ไม่ว่าจะเป็นองค์รัชทายาทเว่ยหรือว่าองค์ชายซื่อสืบราชสมบัติ ล้วนมีความสำคัญต่อต้าฉินเราทั้งสิ้น ผู้ที่มีอำนาจส่วนใหญ่ล้วนกลัวกษัตริย์ที่ไม่มีความคิดและที่มีความคิดมากเกินไป!”

สิ่งที่เรียกว่า “ไม่มีความคิด” ก็คือการไม่มีความเห็น คนอื่นว่าอย่างไรก็ว่าตามนั้น ส่วน “คิดมากเกินไป” หมายถึงความดื้อรั้นในการแสดงความเห็นของตัวเอง คนอื่นจะพูดอย่างไรก็ไม่ฟัง รู้สึกว่าความคิดของตัวเองดี ทำตามอำเภอใจ

องค์รัชทายาทเว่ยและองค์ชายซื่อ คนนึ่งไม่มีความคิด อีกคนมีความคิดมากเกินไป

อิ๋งซื่ออดไม่ได้ที่จะกังวลเรื่องการศึกษาของโอรสตนเอง รู้สึกว่าเขาควรที่จะทุ่มเทพลังงานบางอย่างไปกับรัชทายาทบ้างแล้ว

“กระหม่อมมีเรื่องจะทูลรายงาน” ชูหลี่จี๋สงบน้ำเสียงตื่นตกใจเอาไว้ “บรรดาขุนนางเรียกร้องให้ปลดหวังโฮ่วพ่ะย่ะค่ะ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ 334 กั๋วเว่ยเห็นอย่างไร

Now you are reading กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ Chapter 334 กั๋วเว่ยเห็นอย่างไร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

วันต่อมา อิ๋งซื่อเข้าประชุมราชสำนักตามปกติ

เขานั่งอยู่บนพระที่นั่งสูง ใบหน้าหล่อเหลาถูกบดบังด้วยพู่ครึ่งหนึ่ง บวกกับเดิมทีเขาพูดน้อยอยู่แล้ว เหล่าขุนนางจึงไม่รู้สึกว่ามีสิ่งใดผิดปกติ เรื่องนี้ก็ผ่านไปทั้งอย่างนี้

เจ้าอี่โหลวขาดงานและถูกปลดออกจากตำแหน่งเนื่องด้วยเรื่องส่วนตัว ครั้งนี้ตั้งใจเข้าร่วมสงครามฉินเว่ยด้วยตัวเองก็ได้รับการอนุมัติจากอิ๋งซื่อทันที…ได้สถานะกลับคืนเพื่อสร้างผลงานชดเชยความผิดและรีบไปที่สนามรบในอีกไม่กี่วันต่อมา

หิมะหยุดตกร่วมครึ่งวันแล้ว แสงหิมะระยิบระยับสะท้อนฟ้าดินเป็นสีขาวโพลน

ซ่งชูอีออกจากจวนพร้อมกับเจ้าอี่โหลว คนหนึ่งออกจากนคร อีกคนเข้าวัง

เมื่อมาถึงทางแยก เจ้าอี่โหลวลงมาจากรถม้าแล้วพลิกตัวขึ้นม้า เมื่อเห็นว่าซ่งชูอีเลิกม่านในรถขึ้นก็ก้มศีรษะลง

แสงหิมะสะท้อนอยู่บนใบหน้าขาวผ่องของนางจนแทบโปร่งแสง ดวงตาที่สงบราวกับสายน้ำนั้นยิ่งชัดเจน “การแก้แค้นเป็นสิ่งสำคัญ ทว่าคนก็จากไปแล้ว ฉะนั้นการเอาชีวิตไปทิ้งย่อมไม่คุ้มค่า บัดนี้ข้าเสียลูกไปแล้ว ไม่ต้องการเสียเจ้าไปอีกคน”

“ได้” รอยยิ้มผลิบานอยู่บนใบหน้าของเจ้าอี่โหลวราวกับเมฆต้องแสงตะวัน

“ไปเถิด” ซ่งชูอีเอ่ย

รถม้าเคลื่อนตัว ทั้งสองคนแยกทางกันไปทางทิศเหนือและใต้บนถนนหลวง

อิ๋งซื่อยังคงรักษาตำแหน่งไว้ให้ซ่งชูอี ในช่วงที่นางหายตัวและเจ็บป่วยก็เพียงมองหาคนมารักษาตำแหน่งแทนเท่านั้น ดังนั้นหลังจากที่นางแสดงป้ายขุนนางแล้วทหารรักษาการณ์ก็ปล่อยให้ผ่านเข้าไป

ลงจากรถม้าเดินไปถึงหอคอย รอจนเด็กรับใช้เข้าไปรายงานแล้ว ขันทีเถาก็ลงมารับนางขึ้นไปยังชั้นสาม

ภายในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นยาหนักหน่วง ซ่งชูอีคำนับอยู่หลังม่าน “ถวายบังคมฝ่าบาท”

“เข้ามา” น้ำเสียงของอิ๋งซื่อไร้พลังเล็กน้อย

ขันทีเถาเลิกม่านขึ้น ซ่งชูอีเข้าไปข้างใน

อิ๋งซื่อเพิ่งจะวางถ้วยยาลง รับผ้าเช็ดหน้ามาจากขันทีเพื่อเช็ดๆ ปาก เงยหน้ามองซ่งชูอี “กั๋วเว่ยมาในเวลาพลบค่ำเช่นนี้ มีเรื่องสำคัญใด?”

ซ่งชูอีค้อมตัวเล็กน้อย “กระหม่อมได้ยินว่าร่างกายฝ่าบาทไม่ใคร่ดี ในใจมีความกังวลจึงตั้งใจมาเยี่ยม และต้องการมาทูลรายงานฝ่าบาทว่าบัดนี้กระหม่อมหายดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“นั่ง” อิ๋งซื่อเอ่ย

“ขอบพระทัยฝ่าบาท” ซ่งชูอีนั่งคุกเข่าลงบนที่นั่ง ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองอิ๋งซื่อ

สีหน้าของเขาไม่นับว่าแย่นัก เพียงแต่ใบหน้าที่หล่อเหลาและอวบอิ่มบัดนี้ซูบตอบลดไปมาก สีหน้าก็เหนื่อยล้าเล็กน้อย

ซ่งชูอีเอ่ย “คำพูดของฝ่าบาทเดือนที่แล้วปลุกสติของกระหม่อม ในอนาคตกระหม่อมจะตั้งสติให้มาก และมอบความจงรักภักดีให้ฝ่าบาท ทว่างานชิ้นใหญ่ยังไม่บรรลุผล ฝ่าบาทก็โปรดทะนุถนอมพระวรกายด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

“อืม” อิ๋งซื่อตอบรับ จากนั้นก็เอ่ยว่า “พรุ่งนี้เจ้าก็คืนสู่ตำแหน่งเพื่อจัดการกิจการบ้านเมืองเถิด”

ซ่งชูอีเอ่ย “กระหม่อมมีเรื่องจะขอร้อง”

อิ๋งซื่อเอ่ยอย่างเฉยเมย “กว่าเหรินรู้คำขอของเจ้า ทว่าเจ้าเพิ่งหายจากอาการป่วย อย่าทำงานหนักเกินไป รอจนเวลาเหมาะสมแล้วข้าย่อมทำให้เจ้าสมหวัง”

หากจะกล่าวถึงคนที่เข้าใจนางในโลกใบนี้ก็ต้องเป็นอิ๋งซื่อ มีบางเรื่องไม่จำเป็นต้องปริปาก เขาก็ตระหนักรู้แล้ว สิ่งนี้ไม่เพียงทำให้นางมีความสุข ในทางตรงกันข้ามกลับทำให้นางระวังตัวอย่างยิ่ง

“ฝ่าบาท ท่านมหาเสนาบดีทั้งสองท่านขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเถารายงาน

อิ๋งซื่อเอ่ย “เชิญ”

ไม่ช้าก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นที่บันได หลังจากจางอี๋และชูหลี่จี๋คำนับอยู่นอกม่านแล้วก็ถูกอิ๋งซื่อเชิญเข้ามานั่ง

ทั้งสองคนยังไม่ทันจะกำจัดหิมะที่อยู่บนศีรษะ เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องด่วน

“ฝ่าบาท สายลับส่งข่าวเรื่องธูปหอมติดตามตัวมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” จางอี๋เห็นว่าอิ๋งซื่อตั้งใจฟัง จึงพูดต่อ “ผู้ที่รับจดหมายนกพิราบคือฮูหยินรองขององค์ชายซื่อ ตู้เจา ฮูหยินเจาเป็นลูกสาวคนโตของสกุลตู้พ่อค้าใหญ่แห่งรัฐเว่ย น้องสาวของตู้เหิง เจ็ดปีก่อนเกิดการต่อสู้ภายในในสกุลตู้ ถูกตู้เหิงปราบปรามไว้ได้ ตู้เหิงเพื่อหยิบยืมกำลังภายนอก เขาจึงมอบตู้เจาให้กับองค์ชายซื่อในสถานะนางบำเรอและได้รับหนึ่งหมื่นตำลึงทองคำ หลังจากนั้นหนึ่งปีมีลูกจึงได้กลายเป็นฮูหยินรองขององค์ชายซื่อ จากนั้นคนที่สัมผัสกับธูปหอมติดตามตัวก็มีองค์ชายซื่อและหลางจงฝ่ายขวาหมิ่นจื๋อห่วนพ่ะย่ะค่ะ”

“ผู้บงการคือองค์ชายซื่อรึ?” ชูหลี่จี๋เอ่ยถาม

จางอี๋ส่ายหน้า “ในตอนแรกข้าก็คิดเช่นนี้ ทว่าคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่ามันค่อนข้างมีเงื่อนงำ สกุลตู้เป็นผู้ยิ่งใหญ่หลายชั่วอายุคน เป็นพ่อค้านักทำกำไร ภรรยาของตู้เหิงจากไปเร็ว ไม่มีทายาทสืบสกุล แม้แต่ลูกชายคนโตสุดก็อายุเพียงเจ็ดขวบเท่านั้น ทันทีที่เขาตาย สกุลตู้ก็ระจัดกระจายทันที เขามีเหตุใดที่จะต้องขายชีวิตให้กับองค์ชายซื่อเช่นนี้ด้วยเล่า? ต่อมาเมื่อสืบลึกลงไปก็พบว่า ระหว่างตู้เหิงกับตู้เจามีความสัมพันธ์คลุมเครือ ทว่าตู้เจามีคำขอว่าต้องฟังนางทุกอย่าง น้องสาวสุดที่รักของตู้เหิงช่างน่าทึ่งเหลือเกิน!”

ซ่งชูอีเข้าใจในทันที “ก่อนที่ข้าจะถูกขังไม่กี่วัน ในนครมีข่าวลือหนึ่งว่าชายาเอกขององค์ชายซื่อสิ้นใจแล้ว เว่ยอ๋องต้องการที่จะสู่ขอองค์หญิงอิ๋งสี่ หากข้าเดาไม่ผิด จะต้องเป็นเพราะตู้เจาละโมบในตำแหน่งของชายาเอกเป็นแน่ จึงขอให้พี่ชายของนางไปหาแผนภาพของหน้าไม้และตำแหน่งของกองทัพใหม่ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือต่อหน้าองค์ชายซื่อ”

“ถูกต้อง” จางอี๋เอ่ย

ชูหลี่จี๋ไม่เข้าใจ “ทว่าแม้จะต้องการหาหลักฐาน ตู้เหิงก็ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีต่ำช้าเช่นนี้ก็ได้นี่นา!”

จางอี๋เอ่ยว่า “หลังจากตรวจสอบ ตู้เหิงเริ่มแผนการมาครึ่งปีแล้ว ทว่าทันทีที่มีข่าวองค์ชายซื่อต้องการจะสู่ขอองค์หญิงอิ๋งสี่ ตู้เจาก็ใจร้อนยิ่ง แม้กระทั่งจะขู่เอาชีวิตด้วยซ้ำ ขณะที่ทำความสะอาดสุสานจวินองค์ก่อนก็ได้พบจดหมายสองฉบับที่ตู้เหิงนำติดตัวมาด้วย มันเป็นลายมือของตู้เจา คำพูดมีความเด็ดขาดมาก”

จางอี๋หยิบกระบอกจดหมายสัมฤทธิ์สองใบออกมาจากแขนเสื้อ ยื่นถวายด้วยสองมือ

ขันทีเถาเข้ามารับกระบอกจดหมายนั้น หลังจากเปิดออกแล้วก็กางลงบนโต๊ะตรงหน้าอิ๋งซื่อ

อิ๋งซื่ออ่านจบแล้วก็เอ่ยว่า “จับตู้เจามาเป็นๆ รอจนส่งคนเข้ามาในรัฐฉินแล้วค่อยหาวิธีทำให้องค์ชายซื่อรู้ว่าตู้เจามีความสัมพันธ์กับพี่ชายของตัวเอง”

“พ่ะย่ะค่ะ” จางอี๋เอ่ย

นิสัยขององค์ชายซื่อไม่ชอบทำตามกฎเกณฑ์และโหดร้าย หากรู้ว่าตัวเองเป็นไอ้โง่มาหลายปี เกรงว่าแม้แต่ลูกที่ตู้เจาคลอดออกมาก็จะถูกฆ่าไปด้วย ด้วยรูปแบบของเขาจะต้องฆ่าโดยไม่ปล่อยไปอย่างแน่นอน

ซ่งชูอีรู้สึกขบขันในใจ คิดไม่ถึงว่าการที่ตนถูกกักขังและได้รับความขมขื่นมากมายเพียงนั้นจะเกิดมาจากเรื่องที่ไร้สาระเพียงนี้!

จางอี๋กล่าวอีกว่า “บัดนี้รัฐเว่ยไม่ยอมรับว่าตู้เหิงทำงานให้กับรัฐเว่ย ขอให้พวกเราหาหลักฐาน กระหม่อมต้องการจะผลักเรื่องนี้ไปที่องค์รัชทายาทเว่ย อาศัยโอกาสนี้กำจัดเขาเสีย”

อิ๋งซื่อมองไปที่ซ่งชูอี “กั๋วเว่ยถูกมอบหมายให้เป็นสายลับอยู่ในรัฐเว่ยหลายปี มีความเห็นต่อเรื่องนี้อย่างไรบ้าง?”

“กระหม่อมเห็นด้วย” ซ่งชูอีนิ่งไปครู่หนึ่ง “ฝ่าบาทให้คนอื่นออกไปก่อนได้หรือไม่”

อิ๋งซื่อโบกมือเล็กน้อย ขันทีเถารีบคนในวังทั้งหมดถอยออกไปทันที

ซ่งชูอีจึงเอ่ยว่า “ตามที่กระหม่อมรู้ หมิ่นจื๋อห่วนเป็นคนขององค์รัชทายาท เขาเคยอ่านจดหมายฉบับนั้น แสดงว่าองค์รัชทายาทเว่ยก็รู้แล้วว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับองค์ชายซื่อ เกรงว่าบัดนี้คงกำลังหาทางกำจัดเขาอยู่ เรื่องนี้ไม่อาจรอช้า พวกเรารอให้องค์รัชทายาทโยนเรื่องนี้ไปให้องค์ชายซื่อ แล้วค่อยเอาเบาะแสออกมากล่าวว่าเป็นฝีมือขององค์รัชทายาทเว่ย ให้โอกาสองค์ชายซื่อได้หายใจหายคอ องค์ชายซื่อถูกองค์ทายาทเล่นงานจะต้องเคียดแค้นในใจเป็นแน่ ในเวลานี้กระหม่อมก็จะมอบแผนการให้กับองค์ชายซื่อผ่านสายลับ…”

จากนั้น ซ่งชูอีก็เล่าถึงแผนการของตัวเองทั้งหมด เมื่อจางอี๋และชูหลี่จี๋ได้ยินก็ตกตะลึง

พวกเขาก็เรียกได้ว่าเป็นผู้ที่มีสติปัญญา วิธีการเมืองและการทำสงครามไม่พ่ายแพ้ซ่งชูอีเลย แต่พวกเขาไม่เคยกัดรัฐใดรัฐหนึ่งด้วยวิธีที่สกปรกและไร้ยางอายเพียงนี้

จางอี๋คิดมาตลอดว่าตนกระทำการโดยไร้ความเป็นสุภาพบุรุษ ทว่าเมื่อเทียบกับซ่งชูอีแล้ว จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าตัวเองมีคุณธรรมเต็มเปี่ยม และสามารถทิ้งร่องรอยไว้ให้คนรุ่นต่อๆ ไปได้แล้ว

สงครามภายในเป็นการทำลายพลังของบ้านเมืองที่ได้ผลที่สุด สิ่งนี้มีประสิทธิภาพมากกว่าการเริ่มต้นด้วยกองกำลังภายนอกมากนัก ชูหลี่จี๋และจางอี๋รู้เรื่องนี้ดีดังนั้นพวกเขาจึงเห็นด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย

ชูหลี่จี๋เอ่ย “ไม่ว่าจะเป็นองค์รัชทายาทเว่ยหรือว่าองค์ชายซื่อสืบราชสมบัติ ล้วนมีความสำคัญต่อต้าฉินเราทั้งสิ้น ผู้ที่มีอำนาจส่วนใหญ่ล้วนกลัวกษัตริย์ที่ไม่มีความคิดและที่มีความคิดมากเกินไป!”

สิ่งที่เรียกว่า “ไม่มีความคิด” ก็คือการไม่มีความเห็น คนอื่นว่าอย่างไรก็ว่าตามนั้น ส่วน “คิดมากเกินไป” หมายถึงความดื้อรั้นในการแสดงความเห็นของตัวเอง คนอื่นจะพูดอย่างไรก็ไม่ฟัง รู้สึกว่าความคิดของตัวเองดี ทำตามอำเภอใจ

องค์รัชทายาทเว่ยและองค์ชายซื่อ คนนึ่งไม่มีความคิด อีกคนมีความคิดมากเกินไป

อิ๋งซื่ออดไม่ได้ที่จะกังวลเรื่องการศึกษาของโอรสตนเอง รู้สึกว่าเขาควรที่จะทุ่มเทพลังงานบางอย่างไปกับรัชทายาทบ้างแล้ว

“กระหม่อมมีเรื่องจะทูลรายงาน” ชูหลี่จี๋สงบน้ำเสียงตื่นตกใจเอาไว้ “บรรดาขุนนางเรียกร้องให้ปลดหวังโฮ่วพ่ะย่ะค่ะ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ 334 กั๋วเว่ยเห็นอย่างไร

Now you are reading กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ Chapter 334 กั๋วเว่ยเห็นอย่างไร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

วันต่อมา อิ๋งซื่อเข้าประชุมราชสำนักตามปกติ

เขานั่งอยู่บนพระที่นั่งสูง ใบหน้าหล่อเหลาถูกบดบังด้วยพู่ครึ่งหนึ่ง บวกกับเดิมทีเขาพูดน้อยอยู่แล้ว เหล่าขุนนางจึงไม่รู้สึกว่ามีสิ่งใดผิดปกติ เรื่องนี้ก็ผ่านไปทั้งอย่างนี้

เจ้าอี่โหลวขาดงานและถูกปลดออกจากตำแหน่งเนื่องด้วยเรื่องส่วนตัว ครั้งนี้ตั้งใจเข้าร่วมสงครามฉินเว่ยด้วยตัวเองก็ได้รับการอนุมัติจากอิ๋งซื่อทันที…ได้สถานะกลับคืนเพื่อสร้างผลงานชดเชยความผิดและรีบไปที่สนามรบในอีกไม่กี่วันต่อมา

หิมะหยุดตกร่วมครึ่งวันแล้ว แสงหิมะระยิบระยับสะท้อนฟ้าดินเป็นสีขาวโพลน

ซ่งชูอีออกจากจวนพร้อมกับเจ้าอี่โหลว คนหนึ่งออกจากนคร อีกคนเข้าวัง

เมื่อมาถึงทางแยก เจ้าอี่โหลวลงมาจากรถม้าแล้วพลิกตัวขึ้นม้า เมื่อเห็นว่าซ่งชูอีเลิกม่านในรถขึ้นก็ก้มศีรษะลง

แสงหิมะสะท้อนอยู่บนใบหน้าขาวผ่องของนางจนแทบโปร่งแสง ดวงตาที่สงบราวกับสายน้ำนั้นยิ่งชัดเจน “การแก้แค้นเป็นสิ่งสำคัญ ทว่าคนก็จากไปแล้ว ฉะนั้นการเอาชีวิตไปทิ้งย่อมไม่คุ้มค่า บัดนี้ข้าเสียลูกไปแล้ว ไม่ต้องการเสียเจ้าไปอีกคน”

“ได้” รอยยิ้มผลิบานอยู่บนใบหน้าของเจ้าอี่โหลวราวกับเมฆต้องแสงตะวัน

“ไปเถิด” ซ่งชูอีเอ่ย

รถม้าเคลื่อนตัว ทั้งสองคนแยกทางกันไปทางทิศเหนือและใต้บนถนนหลวง

อิ๋งซื่อยังคงรักษาตำแหน่งไว้ให้ซ่งชูอี ในช่วงที่นางหายตัวและเจ็บป่วยก็เพียงมองหาคนมารักษาตำแหน่งแทนเท่านั้น ดังนั้นหลังจากที่นางแสดงป้ายขุนนางแล้วทหารรักษาการณ์ก็ปล่อยให้ผ่านเข้าไป

ลงจากรถม้าเดินไปถึงหอคอย รอจนเด็กรับใช้เข้าไปรายงานแล้ว ขันทีเถาก็ลงมารับนางขึ้นไปยังชั้นสาม

ภายในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นยาหนักหน่วง ซ่งชูอีคำนับอยู่หลังม่าน “ถวายบังคมฝ่าบาท”

“เข้ามา” น้ำเสียงของอิ๋งซื่อไร้พลังเล็กน้อย

ขันทีเถาเลิกม่านขึ้น ซ่งชูอีเข้าไปข้างใน

อิ๋งซื่อเพิ่งจะวางถ้วยยาลง รับผ้าเช็ดหน้ามาจากขันทีเพื่อเช็ดๆ ปาก เงยหน้ามองซ่งชูอี “กั๋วเว่ยมาในเวลาพลบค่ำเช่นนี้ มีเรื่องสำคัญใด?”

ซ่งชูอีค้อมตัวเล็กน้อย “กระหม่อมได้ยินว่าร่างกายฝ่าบาทไม่ใคร่ดี ในใจมีความกังวลจึงตั้งใจมาเยี่ยม และต้องการมาทูลรายงานฝ่าบาทว่าบัดนี้กระหม่อมหายดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“นั่ง” อิ๋งซื่อเอ่ย

“ขอบพระทัยฝ่าบาท” ซ่งชูอีนั่งคุกเข่าลงบนที่นั่ง ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองอิ๋งซื่อ

สีหน้าของเขาไม่นับว่าแย่นัก เพียงแต่ใบหน้าที่หล่อเหลาและอวบอิ่มบัดนี้ซูบตอบลดไปมาก สีหน้าก็เหนื่อยล้าเล็กน้อย

ซ่งชูอีเอ่ย “คำพูดของฝ่าบาทเดือนที่แล้วปลุกสติของกระหม่อม ในอนาคตกระหม่อมจะตั้งสติให้มาก และมอบความจงรักภักดีให้ฝ่าบาท ทว่างานชิ้นใหญ่ยังไม่บรรลุผล ฝ่าบาทก็โปรดทะนุถนอมพระวรกายด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

“อืม” อิ๋งซื่อตอบรับ จากนั้นก็เอ่ยว่า “พรุ่งนี้เจ้าก็คืนสู่ตำแหน่งเพื่อจัดการกิจการบ้านเมืองเถิด”

ซ่งชูอีเอ่ย “กระหม่อมมีเรื่องจะขอร้อง”

อิ๋งซื่อเอ่ยอย่างเฉยเมย “กว่าเหรินรู้คำขอของเจ้า ทว่าเจ้าเพิ่งหายจากอาการป่วย อย่าทำงานหนักเกินไป รอจนเวลาเหมาะสมแล้วข้าย่อมทำให้เจ้าสมหวัง”

หากจะกล่าวถึงคนที่เข้าใจนางในโลกใบนี้ก็ต้องเป็นอิ๋งซื่อ มีบางเรื่องไม่จำเป็นต้องปริปาก เขาก็ตระหนักรู้แล้ว สิ่งนี้ไม่เพียงทำให้นางมีความสุข ในทางตรงกันข้ามกลับทำให้นางระวังตัวอย่างยิ่ง

“ฝ่าบาท ท่านมหาเสนาบดีทั้งสองท่านขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเถารายงาน

อิ๋งซื่อเอ่ย “เชิญ”

ไม่ช้าก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นที่บันได หลังจากจางอี๋และชูหลี่จี๋คำนับอยู่นอกม่านแล้วก็ถูกอิ๋งซื่อเชิญเข้ามานั่ง

ทั้งสองคนยังไม่ทันจะกำจัดหิมะที่อยู่บนศีรษะ เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องด่วน

“ฝ่าบาท สายลับส่งข่าวเรื่องธูปหอมติดตามตัวมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” จางอี๋เห็นว่าอิ๋งซื่อตั้งใจฟัง จึงพูดต่อ “ผู้ที่รับจดหมายนกพิราบคือฮูหยินรองขององค์ชายซื่อ ตู้เจา ฮูหยินเจาเป็นลูกสาวคนโตของสกุลตู้พ่อค้าใหญ่แห่งรัฐเว่ย น้องสาวของตู้เหิง เจ็ดปีก่อนเกิดการต่อสู้ภายในในสกุลตู้ ถูกตู้เหิงปราบปรามไว้ได้ ตู้เหิงเพื่อหยิบยืมกำลังภายนอก เขาจึงมอบตู้เจาให้กับองค์ชายซื่อในสถานะนางบำเรอและได้รับหนึ่งหมื่นตำลึงทองคำ หลังจากนั้นหนึ่งปีมีลูกจึงได้กลายเป็นฮูหยินรองขององค์ชายซื่อ จากนั้นคนที่สัมผัสกับธูปหอมติดตามตัวก็มีองค์ชายซื่อและหลางจงฝ่ายขวาหมิ่นจื๋อห่วนพ่ะย่ะค่ะ”

“ผู้บงการคือองค์ชายซื่อรึ?” ชูหลี่จี๋เอ่ยถาม

จางอี๋ส่ายหน้า “ในตอนแรกข้าก็คิดเช่นนี้ ทว่าคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่ามันค่อนข้างมีเงื่อนงำ สกุลตู้เป็นผู้ยิ่งใหญ่หลายชั่วอายุคน เป็นพ่อค้านักทำกำไร ภรรยาของตู้เหิงจากไปเร็ว ไม่มีทายาทสืบสกุล แม้แต่ลูกชายคนโตสุดก็อายุเพียงเจ็ดขวบเท่านั้น ทันทีที่เขาตาย สกุลตู้ก็ระจัดกระจายทันที เขามีเหตุใดที่จะต้องขายชีวิตให้กับองค์ชายซื่อเช่นนี้ด้วยเล่า? ต่อมาเมื่อสืบลึกลงไปก็พบว่า ระหว่างตู้เหิงกับตู้เจามีความสัมพันธ์คลุมเครือ ทว่าตู้เจามีคำขอว่าต้องฟังนางทุกอย่าง น้องสาวสุดที่รักของตู้เหิงช่างน่าทึ่งเหลือเกิน!”

ซ่งชูอีเข้าใจในทันที “ก่อนที่ข้าจะถูกขังไม่กี่วัน ในนครมีข่าวลือหนึ่งว่าชายาเอกขององค์ชายซื่อสิ้นใจแล้ว เว่ยอ๋องต้องการที่จะสู่ขอองค์หญิงอิ๋งสี่ หากข้าเดาไม่ผิด จะต้องเป็นเพราะตู้เจาละโมบในตำแหน่งของชายาเอกเป็นแน่ จึงขอให้พี่ชายของนางไปหาแผนภาพของหน้าไม้และตำแหน่งของกองทัพใหม่ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือต่อหน้าองค์ชายซื่อ”

“ถูกต้อง” จางอี๋เอ่ย

ชูหลี่จี๋ไม่เข้าใจ “ทว่าแม้จะต้องการหาหลักฐาน ตู้เหิงก็ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีต่ำช้าเช่นนี้ก็ได้นี่นา!”

จางอี๋เอ่ยว่า “หลังจากตรวจสอบ ตู้เหิงเริ่มแผนการมาครึ่งปีแล้ว ทว่าทันทีที่มีข่าวองค์ชายซื่อต้องการจะสู่ขอองค์หญิงอิ๋งสี่ ตู้เจาก็ใจร้อนยิ่ง แม้กระทั่งจะขู่เอาชีวิตด้วยซ้ำ ขณะที่ทำความสะอาดสุสานจวินองค์ก่อนก็ได้พบจดหมายสองฉบับที่ตู้เหิงนำติดตัวมาด้วย มันเป็นลายมือของตู้เจา คำพูดมีความเด็ดขาดมาก”

จางอี๋หยิบกระบอกจดหมายสัมฤทธิ์สองใบออกมาจากแขนเสื้อ ยื่นถวายด้วยสองมือ

ขันทีเถาเข้ามารับกระบอกจดหมายนั้น หลังจากเปิดออกแล้วก็กางลงบนโต๊ะตรงหน้าอิ๋งซื่อ

อิ๋งซื่ออ่านจบแล้วก็เอ่ยว่า “จับตู้เจามาเป็นๆ รอจนส่งคนเข้ามาในรัฐฉินแล้วค่อยหาวิธีทำให้องค์ชายซื่อรู้ว่าตู้เจามีความสัมพันธ์กับพี่ชายของตัวเอง”

“พ่ะย่ะค่ะ” จางอี๋เอ่ย

นิสัยขององค์ชายซื่อไม่ชอบทำตามกฎเกณฑ์และโหดร้าย หากรู้ว่าตัวเองเป็นไอ้โง่มาหลายปี เกรงว่าแม้แต่ลูกที่ตู้เจาคลอดออกมาก็จะถูกฆ่าไปด้วย ด้วยรูปแบบของเขาจะต้องฆ่าโดยไม่ปล่อยไปอย่างแน่นอน

ซ่งชูอีรู้สึกขบขันในใจ คิดไม่ถึงว่าการที่ตนถูกกักขังและได้รับความขมขื่นมากมายเพียงนั้นจะเกิดมาจากเรื่องที่ไร้สาระเพียงนี้!

จางอี๋กล่าวอีกว่า “บัดนี้รัฐเว่ยไม่ยอมรับว่าตู้เหิงทำงานให้กับรัฐเว่ย ขอให้พวกเราหาหลักฐาน กระหม่อมต้องการจะผลักเรื่องนี้ไปที่องค์รัชทายาทเว่ย อาศัยโอกาสนี้กำจัดเขาเสีย”

อิ๋งซื่อมองไปที่ซ่งชูอี “กั๋วเว่ยถูกมอบหมายให้เป็นสายลับอยู่ในรัฐเว่ยหลายปี มีความเห็นต่อเรื่องนี้อย่างไรบ้าง?”

“กระหม่อมเห็นด้วย” ซ่งชูอีนิ่งไปครู่หนึ่ง “ฝ่าบาทให้คนอื่นออกไปก่อนได้หรือไม่”

อิ๋งซื่อโบกมือเล็กน้อย ขันทีเถารีบคนในวังทั้งหมดถอยออกไปทันที

ซ่งชูอีจึงเอ่ยว่า “ตามที่กระหม่อมรู้ หมิ่นจื๋อห่วนเป็นคนขององค์รัชทายาท เขาเคยอ่านจดหมายฉบับนั้น แสดงว่าองค์รัชทายาทเว่ยก็รู้แล้วว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับองค์ชายซื่อ เกรงว่าบัดนี้คงกำลังหาทางกำจัดเขาอยู่ เรื่องนี้ไม่อาจรอช้า พวกเรารอให้องค์รัชทายาทโยนเรื่องนี้ไปให้องค์ชายซื่อ แล้วค่อยเอาเบาะแสออกมากล่าวว่าเป็นฝีมือขององค์รัชทายาทเว่ย ให้โอกาสองค์ชายซื่อได้หายใจหายคอ องค์ชายซื่อถูกองค์ทายาทเล่นงานจะต้องเคียดแค้นในใจเป็นแน่ ในเวลานี้กระหม่อมก็จะมอบแผนการให้กับองค์ชายซื่อผ่านสายลับ…”

จากนั้น ซ่งชูอีก็เล่าถึงแผนการของตัวเองทั้งหมด เมื่อจางอี๋และชูหลี่จี๋ได้ยินก็ตกตะลึง

พวกเขาก็เรียกได้ว่าเป็นผู้ที่มีสติปัญญา วิธีการเมืองและการทำสงครามไม่พ่ายแพ้ซ่งชูอีเลย แต่พวกเขาไม่เคยกัดรัฐใดรัฐหนึ่งด้วยวิธีที่สกปรกและไร้ยางอายเพียงนี้

จางอี๋คิดมาตลอดว่าตนกระทำการโดยไร้ความเป็นสุภาพบุรุษ ทว่าเมื่อเทียบกับซ่งชูอีแล้ว จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าตัวเองมีคุณธรรมเต็มเปี่ยม และสามารถทิ้งร่องรอยไว้ให้คนรุ่นต่อๆ ไปได้แล้ว

สงครามภายในเป็นการทำลายพลังของบ้านเมืองที่ได้ผลที่สุด สิ่งนี้มีประสิทธิภาพมากกว่าการเริ่มต้นด้วยกองกำลังภายนอกมากนัก ชูหลี่จี๋และจางอี๋รู้เรื่องนี้ดีดังนั้นพวกเขาจึงเห็นด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย

ชูหลี่จี๋เอ่ย “ไม่ว่าจะเป็นองค์รัชทายาทเว่ยหรือว่าองค์ชายซื่อสืบราชสมบัติ ล้วนมีความสำคัญต่อต้าฉินเราทั้งสิ้น ผู้ที่มีอำนาจส่วนใหญ่ล้วนกลัวกษัตริย์ที่ไม่มีความคิดและที่มีความคิดมากเกินไป!”

สิ่งที่เรียกว่า “ไม่มีความคิด” ก็คือการไม่มีความเห็น คนอื่นว่าอย่างไรก็ว่าตามนั้น ส่วน “คิดมากเกินไป” หมายถึงความดื้อรั้นในการแสดงความเห็นของตัวเอง คนอื่นจะพูดอย่างไรก็ไม่ฟัง รู้สึกว่าความคิดของตัวเองดี ทำตามอำเภอใจ

องค์รัชทายาทเว่ยและองค์ชายซื่อ คนนึ่งไม่มีความคิด อีกคนมีความคิดมากเกินไป

อิ๋งซื่ออดไม่ได้ที่จะกังวลเรื่องการศึกษาของโอรสตนเอง รู้สึกว่าเขาควรที่จะทุ่มเทพลังงานบางอย่างไปกับรัชทายาทบ้างแล้ว

“กระหม่อมมีเรื่องจะทูลรายงาน” ชูหลี่จี๋สงบน้ำเสียงตื่นตกใจเอาไว้ “บรรดาขุนนางเรียกร้องให้ปลดหวังโฮ่วพ่ะย่ะค่ะ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+