กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ 281 ความขัดแย้งครั้งใหญ่ของนานารัฐ (2)

Now you are reading กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ Chapter 281 ความขัดแย้งครั้งใหญ่ของนานารัฐ (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“กระหม่อมทำเป็นเพียงสู้รบ ไม่เข้าใจจ้งเหิง” ซือหม่าชั่วกล่าว

ใช่ว่าเขาไม่เข้าใจ เพียงแต่ว่าไม่แตกฉาน ซือหม่าชั่วก็เป็นคนเช่นนี้ ไม่กล่าวอะไรโดยไม่ยั้งคิดและไม่กระทำในสิ่งที่ควบคุมไม่ได้

ซ่งชูอีสบสายตาของอิ๋งซื่อ จากนั้นก็เอ่ยว่า “การทำลายเหอจ้งนั้นมีท่านมหาเสนาบดีเป็นธุระแล้ว กระหม่อมเพียงคิดว่าควรจะหาช่องโหว่จากตรงไหนดี”

“ช่องโหว่?” ซือหม่าชั่วมีปฏิกิริยาในทันที ไหนว่าไม่สนใจจ้งเหิงมิใช่หรือ เช่นนั้นจะหาช่องโหว่อะไรเล่า?

รอยยิ้มผุดขึ้นใดดวงตาของซ่งชูอี น้ำเสียงเรียบๆ ทว่าแน่วแน่เป็นอย่างยิ่ง “ใช้ทั้งไม้นวนและไม้แข็ง ทำสองสิ่งพร้อมกันจึงจะเป็นวิถีครอบครองอำนาจอย่างแท้จริง”

จ้งเหิงต้องดำเนินการ กลยุทธ์ต้องใช้ แต่การทหารที่แข็งแกร่งก็ต้องใช้เช่นกัน มิฉะนั้นภายในโลกอันวุ่นวายนี้ ต่อให้วิชาจ้งเหิงโดดเด่นเพียงใด กลุยทธ์ละเอียดอ่อนเพียงใด ก็ไม่สามารถเอาชนะได้โดยที่ไม่ใช้ทหารเลย

“ดูเหมือนกั๋วเว่ยจะเชื่อมั่นในท่านมหาเสนาบดียิ่ง ประเสริฐนัก!” สีหน้าของอิ๋งซื่อยังคงเย็นชาดังเดิม ทว่าปมคิ้วคลายออกเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ดี

หากไม่มีความเชื่อใจ แล้วจะข้ามผ่านสถานการณ์ไฟลนก้นนี้เพื่อวางกลยุทธ์อื่นได้อย่างไร?

แม่ทัพและขุนนางสามัคคีเป็นสัญญาณอันดียิ่งว่ากิจการแห่งรัฐอยู่ในช่วงขาขึ้น ในฐานะองค์จักรพรรดิผู้มีความทะเยอทะยานในใต้หล้า ย่อมรู้สึกสบายใจเป็นธรรมดา

“ท่านมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายคิดว่าจะแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้าเยี่ยงไร?” อิ๋งซื่อถาม

จางอี๋ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนตอบว่า “เริ่มจากฉีและฉู่ก่อน”

เขานิ่งไปครู่หนึ่ง เรียบเรียงความคิดอย่างรอบคอบก่อนที่จะพูดต่อว่า “รัฐฉียังมิได้เข้าร่วมเหอจ้ง เพียงแค่เป็นผู้ชมที่เฝ้าดูอยู่ข้างๆ หรือแม้แต่นั่งเฉยๆ เพื่อรอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ ทว่าพันธมิตรทั้งห้ารัฐก็เป็นภัยคุกคามต่อรัฐฉีไม่น้อย เกรงว่าในใจของฉีอ๋องก็คงระแวดระวังเป็นอย่างยิ่ง กระหม่อมมีวิธีลากรัฐฉีเข้ามาเอี่ยวด้วย สำหรับรัฐฉู่นั้น ฉู่อ๋องก็คือต้นหญ้าที่งอกขึ้นบนกำแพงรั้ว ลมพัดไปทางไหนก็ไหวเอนไปทางนั้น ตราบใดที่ใช้วิธีอย่างถูกต้อง การยุยงให้เขาละทิ้งพันธสัญญาก็มิใช่เรื่องยาก”

รัฐฉีและรัฐฉู่ รัฐหนึ่งเป็นจอมเผด็จการที่ทรงพลัง อีกรัฐหนึ่งเป็นรัฐใหญ่แข็งแกร่งที่ยังคงดำรงอยู่ ขอเพียงพวกเขายอมที่จะขัดขวาง เหอจ้งนี้ก็ล่มสลายไปเสียเก้าส่วนแล้ว

การวางแผนเพียงไม่กี่คำก็สามารถหาข้อสรุปได้แล้ว อย่างไรก็ดีจ้งเหิงก็เป็นเช่นนี้ พูดง่ายทำยาก คนที่สามารถทำเรื่องเดียวกันให้สำเร็จได้มีน้อยจนนับนิ้วได้ ทิศทางโดยรวมถูกกำหนดไว้แล้ว ทว่ารายละเอียดปลีกย่อยยังคงต้องวางแผนอย่างละเอียด แม้ว่าจางอี๋จะมีความมั่นใจในฝีปากของตัวเอง แต่ก็ไม่คิดว่าจะสามารถโน้มน้าวองค์จวินทั้งสองรัฐได้ด้วยการโต้เถียงที่คมคายเพียงอย่างเดียว

ทุกคนเข้าใจความยากของเรื่องนี้ดี ด้วยเหตุนี้แม้ว่าจะได้รับคำตอบจากจางอี๋แล้ว ก็ไม่มีใครกล้าวางใจสักนิด

ในเมื่อการวางกลยุทธ์ต้องใช้เวลา อิ๋งซื่อจึงปล่อยพวกเขากลับไปทันที

หลังจากทั้งสี่คนเดินออกจากประตูพระราชวังเงียบๆ ซ่งชูอีก็เอ่ยปากพูดกับจางอี๋ “ท่านมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย เข้าไปคุยในรถสักหน่อยไหม?”

ชูหลี่จี๋และซือหม่าชั่วเห็นว่าทั้งสองคนมีเรื่องต้องคุยกัน จึงขี่ม้าเดินทางไปก่อนแล้ว

“ได้” จางอี๋พยักหน้า แล้วขึ้นรถม้าของซ่งชูอี

เมื่อใกล้ถึงจุดหมาย ซ่งชูอีจึงเห็นอย่างชัดเจนว่าใต้ตาของเขามีสีเขียวคล้ำจางๆ ในดวงตาก็แดงฉานเล็กน้อย ระยะหลังนี้เกรงว่าคงเหน็ดเหนื่อยไม่เบา

“เกรงว่ากงซุนเหยี่ยนคงคิดแค้นพี่ใหญ่แล้ว!” เมื่อนั่งอยู่ในรถ ซ่งชูอีก็ไม่เรียกเขาว่า “มหาเสนาบดี” อีก

จางอี๋หัวเราะเอ่ย “จ้งเหิงก็เป็นเช่นนี้ ข้าเหลียนเหิง เขาเหอจ้ง คนเยี่ยงพวกเขาจึงจะมีค่าในการดำรงอยู่ มันเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว”

ทันทีที่กลยุทธ์เหลียนเหิงของจางอี๋หลุดออกไป เป็นไปไม่ได้ที่นานารัฐจะมัดมือมัดเท้าเพื่อรอความตาย ครั้นเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง ก็ย่อมรวมพลังต่อสู้กันโดยธรรมชาติ และมีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่สามารถทำให้จ้งเหิงมีประสิทธิผลสูงสุด ฉะนั้นต่อให้วันนี้กงซุนเหยี่ยนมิได้เป็นคนดำเนินการเหอจ้งก็จะมีคนอื่นทำอยู่ดี เพียงแค่บังเอิญว่าทั้งสองคนมีความแค้นต่อกันก็เท่านั้น

“ที่จริงข้าพบกับซีโส่วเมื่อห้าหกปีก่อนแล้ว” จางอี๋สารภาพเป็นครั้งแรก ครั้นพูดถึงมัน สีหน้าก็ดูไม่สบายใจ “ข้าเป็นชาวเว่ย อ่อนเยาว์และอ่อนต่อโลก สิ่งแรกที่คิดคือต้องการทำงานให้มาตุภูมิ ดังนั้นจึงกลับสู่บ้านเกิดด้วยความกะตือรือร้นที่จะอุทิศตน ข้าเตร็ดเตร่อยู่ในรัฐเว่ยสองปีกว่า ทว่ากลับไม่เคยพบหน้าเว่ยอ๋องสักครั้ง เสียเงินไปมากมายเพื่อขอให้คนช่วยทูลถวายทฤษฎีกลยุทธ์แต่ก็เหมือนกับโยนหินลงทะเล จากนั้นในที่สุดข้าก็ได้เข้าเฝ้าเว่ยอ๋อง ก้าวไปข้างหน้าด้วยหัวใจเปี่ยมปิติ ใครจะรู้ว่ากงซุนเหยี่ยนจะใช้ตำแหน่งจงใจให้เว่ยอ๋องพบเข้าตอนที่รับเมิ่งจื่อเข้าไปแล้ว”

ความแค้นเก่าของเขายังยากที่จะขจัดออกไป เมื่อพูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงก็ยังคงโกรธเคืองเล็กน้อย

“เขาใช้แผนลอบกัดได้ดีเลยทีเดียว” แม้จะเป็นศัตรู กงซุนเหยี่ยนก็เป็นศัตรูที่คู่ควรแก่การยกย่อง

นี่คือคุณสมบัติในการวางกลยุทธ์ของกงซุนเหยี่ยน ทั้งๆ ที่คนอื่นเห็นแล้วว่าเขาขุดหลุมใหญ่เอาไว้ แต่กลับต้องกระโดดลงไป

เมิ่งจื่อเกลียดเหล่ากุนซือมาโดยตลอด รู้สึกว่าพวกที่เรียกว่ากงซุนนี้เป็นพวกต่ำต้อยที่เก่งแต่ประจบสอพลอและไร้ความซื่อสัตย์เท่านั้น ซ่งชูอีสามารถจิตนาการถึงสถานการณ์ในตอนนั้นได้ เมิ่งจือเป็นผู้มีคุณธรรมและบารมีสูงส่ง แน่นอนว่าเว่ยอ๋องจะต้องขอให้เขาแสดงความคิดเห็นอย่างแน่นอน วาทศิลป์เชิงวิจารณ์ของเมิ่งจื่อไม่อ่อนหวานเท่าไร จางอี๋ก็ยังอ่อนหัดและเปี่ยมไปด้วยความฮึกเหิม…สงครามน้ำลายอันมีสีสันนี้ ซ่งชูอีเคยได้ยินมาแล้วในชาติก่อน

“อาจารย์ชื่นชมสำนักขงจื้อมาโดยตลอด ดังนั้นข้าจึงยกย่องเมิ่งจื่อยิ่ง ทว่าเขากลับกล่าวว่าจ้งเหิงเป็นวิถีของนางสนมต่อหน้าธารกำนัล! ข้าล่ะโมโหจริงๆ!” จางอี๋เอ่ยด้วยความเกลียดชัง

เอาจ้งเหิงไปเปรียบเป็นวิถีแห่งนางสนม ก็เป็นการบอกว่าคนเยี่ยงจางอี๋เหมือนอิสตรี ผู้ชายคิดจะทำอะไรพวกนางก็สามารถทำได้ นี่ไม่นับว่าเป็นการเยาะเย้ยทว่าเป็นการดูหมิ่น

การได้ยินวาจาโหดร้ายเช่นนี้ออกมาจากปากของผู้ที่ตัวเองเคารพ จางอี๋ทั้งโมโห ทั้งผิดหวัง “บัดนั้นข้าก็โจมตีกลับอย่างหนัก แม้ตอนนั้นจะถูกเว่ยอ๋องโยนออกมาจากพระราชวัง ทว่าข้าก็ไม่เสียใจจนบัดนี้!”

ซ่งชูอีหัวเราะเอ่ย “ข้ากำลังคิดว่าหากข้าประสบกับเหตุการณ์เยี่ยงนี้ เกรงว่าก็คงจะทำแบบพี่ใหญ่เช่นกัน!”

“ฮ่าฮ่า นี่ถึงจะเป็นชายผู้มีความกล้าหาญของข้า!” จางอี๋หัวเราะเสียงดังพร้อมยื่นมือตบๆ นาง

จางอี๋มิใช่ผู้ที่ยอมรับการกล่าวหาได้ง่ายๆ อย่างไรก็ดีคนอื่นจะไม่ยอมรับก็ได้ จะเย้ยหยันก็ได้ ทว่าเขาไม่สามารถยอมรับการดูถูกซึ่งหน้าได้ ทั้งยังอยู่ต่อหน้าธารกำนัลเช่นนั้น หากเพิกเฉยต่อ “ความกล้าหาญ” นี้ ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกคนดูหมิ่นตามใจชอบทว่ากลับไม่โต้กลับ ต่อไปจะยืดหยัดอยู่ในนานารัฐได้อย่างไร!

จางอี๋พิงผนังรถ หลับตาลง “หวนจิน ข้าเดาว่า ครึ่งปี มากสุดหนึ่งปี จะเกิดสงครามอันดุเดือดระหว่างฉินเว่ย เรื่องการเสริมสร้างกองกำลังให้แข็งแกร่งต้องพึ่งเจ้าแล้ว!”

“พี่ใหญ่วางใจเถิด” ซ่งชูอีเอ่ย

ซ่งชูอีเห็นว่าสีหน้าของเขาสงบนิ่ง ราวกับว่ากำลังจะงีบหลับ อดที่จะผุดความคิดชั่วร้ายไม่ได้

นางไอเสียงเบา “บัดนี้กุ่ยกู๋จื่ออยู่ในเสียนหยาง…”

ราวกับเสียงฟ้าผ่ากลางพื้นเรียบ จางอี๋เบิกตาโพลง สีหน้าทั้งตกใจทั้งดีใจ “จริงรึ?!”

ซ่งชูอีเดาไว้อยู่แล้วว่าเขายุ่งกับกิจการของรัฐทั้งวัน จึงยังไม่รู้เรื่องนี้ “อืม ข้าเจอศิษย์พี่ใหญ่หลายวันก่อน เขาเป็นคนบอก”

“เว่ยเต้าจื่อ?” จางอี๋อารมณ์ดียิ่ง “ข้าไม่ได้เจออาจารย์กับเว่ยเต้าจื่อมาหลายปีแล้ว บัดนี้พวกเขาอยู่ที่ใด?”

ซ่งชูอีส่ายศีรษะด้วยความแน่วแน่ “ไม่รู้”

“เจ้าเย้าข้าเล่นรึ! เจ้าไม่รู้อะไรว่าไป๋เริ่นกับจินเกอสัตว์ป่าสองตัวนั่นวันทั้งวันก่อเรื่องจนปั่นป่วนกันไปหมด ตอนนี้แม้แต่เจ้าก็ยังสร้างความลำบากใจให้ข้า!” จางอี๋จนปัญญา พิงอยู่บนโต๊ะตัวเตี้ยด้วยความเศร้าสร้อย ถอนหายใจเอ่ย “ตอนนี้ข้ามีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้แล้วจริงๆ!”

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่จางอี๋กล่าวเช่นนี้ ทว่าบัดนี้เขาก็ยังอยู่อย่างสุขสบายดี

“จริงสิ เหตุใดกองทัพจึงมีการแจ้งเตือนฉุกเฉินด้วยเล่า?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม

จางอี๋เหลือบตาขึ้นมองนางอย่างเกียจคร้าน แล้วไม่สนใจนางอีก

สองมือซ่งชูอีกำหมัด หัวเราะฮี่ๆ “น้องชายต้องขอโทษท่านแล้ว พี่ใหญ่อย่าได้ลดตัวลงมาหาน้องชายเลย”

พูดเช่นนี้ทว่าในใจนางกลับคิดว่า ครั้งหน้าจะต้องถามธุระให้เสร็จก่อนทำให้เขาโมโห

“ช่างเถอะ อย่ามาเล่นลูกไม้นี้ รวบรวมกองทัพยังจะสามารถทำอะไรได้ ก็ไปรบไงเล่า!” จางอี๋กล่าวหัวเราะหึหึ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ 281 ความขัดแย้งครั้งใหญ่ของนานารัฐ (2)

Now you are reading กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ Chapter 281 ความขัดแย้งครั้งใหญ่ของนานารัฐ (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“กระหม่อมทำเป็นเพียงสู้รบ ไม่เข้าใจจ้งเหิง” ซือหม่าชั่วกล่าว

ใช่ว่าเขาไม่เข้าใจ เพียงแต่ว่าไม่แตกฉาน ซือหม่าชั่วก็เป็นคนเช่นนี้ ไม่กล่าวอะไรโดยไม่ยั้งคิดและไม่กระทำในสิ่งที่ควบคุมไม่ได้

ซ่งชูอีสบสายตาของอิ๋งซื่อ จากนั้นก็เอ่ยว่า “การทำลายเหอจ้งนั้นมีท่านมหาเสนาบดีเป็นธุระแล้ว กระหม่อมเพียงคิดว่าควรจะหาช่องโหว่จากตรงไหนดี”

“ช่องโหว่?” ซือหม่าชั่วมีปฏิกิริยาในทันที ไหนว่าไม่สนใจจ้งเหิงมิใช่หรือ เช่นนั้นจะหาช่องโหว่อะไรเล่า?

รอยยิ้มผุดขึ้นใดดวงตาของซ่งชูอี น้ำเสียงเรียบๆ ทว่าแน่วแน่เป็นอย่างยิ่ง “ใช้ทั้งไม้นวนและไม้แข็ง ทำสองสิ่งพร้อมกันจึงจะเป็นวิถีครอบครองอำนาจอย่างแท้จริง”

จ้งเหิงต้องดำเนินการ กลยุทธ์ต้องใช้ แต่การทหารที่แข็งแกร่งก็ต้องใช้เช่นกัน มิฉะนั้นภายในโลกอันวุ่นวายนี้ ต่อให้วิชาจ้งเหิงโดดเด่นเพียงใด กลุยทธ์ละเอียดอ่อนเพียงใด ก็ไม่สามารถเอาชนะได้โดยที่ไม่ใช้ทหารเลย

“ดูเหมือนกั๋วเว่ยจะเชื่อมั่นในท่านมหาเสนาบดียิ่ง ประเสริฐนัก!” สีหน้าของอิ๋งซื่อยังคงเย็นชาดังเดิม ทว่าปมคิ้วคลายออกเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ดี

หากไม่มีความเชื่อใจ แล้วจะข้ามผ่านสถานการณ์ไฟลนก้นนี้เพื่อวางกลยุทธ์อื่นได้อย่างไร?

แม่ทัพและขุนนางสามัคคีเป็นสัญญาณอันดียิ่งว่ากิจการแห่งรัฐอยู่ในช่วงขาขึ้น ในฐานะองค์จักรพรรดิผู้มีความทะเยอทะยานในใต้หล้า ย่อมรู้สึกสบายใจเป็นธรรมดา

“ท่านมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายคิดว่าจะแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้าเยี่ยงไร?” อิ๋งซื่อถาม

จางอี๋ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนตอบว่า “เริ่มจากฉีและฉู่ก่อน”

เขานิ่งไปครู่หนึ่ง เรียบเรียงความคิดอย่างรอบคอบก่อนที่จะพูดต่อว่า “รัฐฉียังมิได้เข้าร่วมเหอจ้ง เพียงแค่เป็นผู้ชมที่เฝ้าดูอยู่ข้างๆ หรือแม้แต่นั่งเฉยๆ เพื่อรอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ ทว่าพันธมิตรทั้งห้ารัฐก็เป็นภัยคุกคามต่อรัฐฉีไม่น้อย เกรงว่าในใจของฉีอ๋องก็คงระแวดระวังเป็นอย่างยิ่ง กระหม่อมมีวิธีลากรัฐฉีเข้ามาเอี่ยวด้วย สำหรับรัฐฉู่นั้น ฉู่อ๋องก็คือต้นหญ้าที่งอกขึ้นบนกำแพงรั้ว ลมพัดไปทางไหนก็ไหวเอนไปทางนั้น ตราบใดที่ใช้วิธีอย่างถูกต้อง การยุยงให้เขาละทิ้งพันธสัญญาก็มิใช่เรื่องยาก”

รัฐฉีและรัฐฉู่ รัฐหนึ่งเป็นจอมเผด็จการที่ทรงพลัง อีกรัฐหนึ่งเป็นรัฐใหญ่แข็งแกร่งที่ยังคงดำรงอยู่ ขอเพียงพวกเขายอมที่จะขัดขวาง เหอจ้งนี้ก็ล่มสลายไปเสียเก้าส่วนแล้ว

การวางแผนเพียงไม่กี่คำก็สามารถหาข้อสรุปได้แล้ว อย่างไรก็ดีจ้งเหิงก็เป็นเช่นนี้ พูดง่ายทำยาก คนที่สามารถทำเรื่องเดียวกันให้สำเร็จได้มีน้อยจนนับนิ้วได้ ทิศทางโดยรวมถูกกำหนดไว้แล้ว ทว่ารายละเอียดปลีกย่อยยังคงต้องวางแผนอย่างละเอียด แม้ว่าจางอี๋จะมีความมั่นใจในฝีปากของตัวเอง แต่ก็ไม่คิดว่าจะสามารถโน้มน้าวองค์จวินทั้งสองรัฐได้ด้วยการโต้เถียงที่คมคายเพียงอย่างเดียว

ทุกคนเข้าใจความยากของเรื่องนี้ดี ด้วยเหตุนี้แม้ว่าจะได้รับคำตอบจากจางอี๋แล้ว ก็ไม่มีใครกล้าวางใจสักนิด

ในเมื่อการวางกลยุทธ์ต้องใช้เวลา อิ๋งซื่อจึงปล่อยพวกเขากลับไปทันที

หลังจากทั้งสี่คนเดินออกจากประตูพระราชวังเงียบๆ ซ่งชูอีก็เอ่ยปากพูดกับจางอี๋ “ท่านมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย เข้าไปคุยในรถสักหน่อยไหม?”

ชูหลี่จี๋และซือหม่าชั่วเห็นว่าทั้งสองคนมีเรื่องต้องคุยกัน จึงขี่ม้าเดินทางไปก่อนแล้ว

“ได้” จางอี๋พยักหน้า แล้วขึ้นรถม้าของซ่งชูอี

เมื่อใกล้ถึงจุดหมาย ซ่งชูอีจึงเห็นอย่างชัดเจนว่าใต้ตาของเขามีสีเขียวคล้ำจางๆ ในดวงตาก็แดงฉานเล็กน้อย ระยะหลังนี้เกรงว่าคงเหน็ดเหนื่อยไม่เบา

“เกรงว่ากงซุนเหยี่ยนคงคิดแค้นพี่ใหญ่แล้ว!” เมื่อนั่งอยู่ในรถ ซ่งชูอีก็ไม่เรียกเขาว่า “มหาเสนาบดี” อีก

จางอี๋หัวเราะเอ่ย “จ้งเหิงก็เป็นเช่นนี้ ข้าเหลียนเหิง เขาเหอจ้ง คนเยี่ยงพวกเขาจึงจะมีค่าในการดำรงอยู่ มันเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว”

ทันทีที่กลยุทธ์เหลียนเหิงของจางอี๋หลุดออกไป เป็นไปไม่ได้ที่นานารัฐจะมัดมือมัดเท้าเพื่อรอความตาย ครั้นเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง ก็ย่อมรวมพลังต่อสู้กันโดยธรรมชาติ และมีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่สามารถทำให้จ้งเหิงมีประสิทธิผลสูงสุด ฉะนั้นต่อให้วันนี้กงซุนเหยี่ยนมิได้เป็นคนดำเนินการเหอจ้งก็จะมีคนอื่นทำอยู่ดี เพียงแค่บังเอิญว่าทั้งสองคนมีความแค้นต่อกันก็เท่านั้น

“ที่จริงข้าพบกับซีโส่วเมื่อห้าหกปีก่อนแล้ว” จางอี๋สารภาพเป็นครั้งแรก ครั้นพูดถึงมัน สีหน้าก็ดูไม่สบายใจ “ข้าเป็นชาวเว่ย อ่อนเยาว์และอ่อนต่อโลก สิ่งแรกที่คิดคือต้องการทำงานให้มาตุภูมิ ดังนั้นจึงกลับสู่บ้านเกิดด้วยความกะตือรือร้นที่จะอุทิศตน ข้าเตร็ดเตร่อยู่ในรัฐเว่ยสองปีกว่า ทว่ากลับไม่เคยพบหน้าเว่ยอ๋องสักครั้ง เสียเงินไปมากมายเพื่อขอให้คนช่วยทูลถวายทฤษฎีกลยุทธ์แต่ก็เหมือนกับโยนหินลงทะเล จากนั้นในที่สุดข้าก็ได้เข้าเฝ้าเว่ยอ๋อง ก้าวไปข้างหน้าด้วยหัวใจเปี่ยมปิติ ใครจะรู้ว่ากงซุนเหยี่ยนจะใช้ตำแหน่งจงใจให้เว่ยอ๋องพบเข้าตอนที่รับเมิ่งจื่อเข้าไปแล้ว”

ความแค้นเก่าของเขายังยากที่จะขจัดออกไป เมื่อพูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงก็ยังคงโกรธเคืองเล็กน้อย

“เขาใช้แผนลอบกัดได้ดีเลยทีเดียว” แม้จะเป็นศัตรู กงซุนเหยี่ยนก็เป็นศัตรูที่คู่ควรแก่การยกย่อง

นี่คือคุณสมบัติในการวางกลยุทธ์ของกงซุนเหยี่ยน ทั้งๆ ที่คนอื่นเห็นแล้วว่าเขาขุดหลุมใหญ่เอาไว้ แต่กลับต้องกระโดดลงไป

เมิ่งจื่อเกลียดเหล่ากุนซือมาโดยตลอด รู้สึกว่าพวกที่เรียกว่ากงซุนนี้เป็นพวกต่ำต้อยที่เก่งแต่ประจบสอพลอและไร้ความซื่อสัตย์เท่านั้น ซ่งชูอีสามารถจิตนาการถึงสถานการณ์ในตอนนั้นได้ เมิ่งจือเป็นผู้มีคุณธรรมและบารมีสูงส่ง แน่นอนว่าเว่ยอ๋องจะต้องขอให้เขาแสดงความคิดเห็นอย่างแน่นอน วาทศิลป์เชิงวิจารณ์ของเมิ่งจื่อไม่อ่อนหวานเท่าไร จางอี๋ก็ยังอ่อนหัดและเปี่ยมไปด้วยความฮึกเหิม…สงครามน้ำลายอันมีสีสันนี้ ซ่งชูอีเคยได้ยินมาแล้วในชาติก่อน

“อาจารย์ชื่นชมสำนักขงจื้อมาโดยตลอด ดังนั้นข้าจึงยกย่องเมิ่งจื่อยิ่ง ทว่าเขากลับกล่าวว่าจ้งเหิงเป็นวิถีของนางสนมต่อหน้าธารกำนัล! ข้าล่ะโมโหจริงๆ!” จางอี๋เอ่ยด้วยความเกลียดชัง

เอาจ้งเหิงไปเปรียบเป็นวิถีแห่งนางสนม ก็เป็นการบอกว่าคนเยี่ยงจางอี๋เหมือนอิสตรี ผู้ชายคิดจะทำอะไรพวกนางก็สามารถทำได้ นี่ไม่นับว่าเป็นการเยาะเย้ยทว่าเป็นการดูหมิ่น

การได้ยินวาจาโหดร้ายเช่นนี้ออกมาจากปากของผู้ที่ตัวเองเคารพ จางอี๋ทั้งโมโห ทั้งผิดหวัง “บัดนั้นข้าก็โจมตีกลับอย่างหนัก แม้ตอนนั้นจะถูกเว่ยอ๋องโยนออกมาจากพระราชวัง ทว่าข้าก็ไม่เสียใจจนบัดนี้!”

ซ่งชูอีหัวเราะเอ่ย “ข้ากำลังคิดว่าหากข้าประสบกับเหตุการณ์เยี่ยงนี้ เกรงว่าก็คงจะทำแบบพี่ใหญ่เช่นกัน!”

“ฮ่าฮ่า นี่ถึงจะเป็นชายผู้มีความกล้าหาญของข้า!” จางอี๋หัวเราะเสียงดังพร้อมยื่นมือตบๆ นาง

จางอี๋มิใช่ผู้ที่ยอมรับการกล่าวหาได้ง่ายๆ อย่างไรก็ดีคนอื่นจะไม่ยอมรับก็ได้ จะเย้ยหยันก็ได้ ทว่าเขาไม่สามารถยอมรับการดูถูกซึ่งหน้าได้ ทั้งยังอยู่ต่อหน้าธารกำนัลเช่นนั้น หากเพิกเฉยต่อ “ความกล้าหาญ” นี้ ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกคนดูหมิ่นตามใจชอบทว่ากลับไม่โต้กลับ ต่อไปจะยืดหยัดอยู่ในนานารัฐได้อย่างไร!

จางอี๋พิงผนังรถ หลับตาลง “หวนจิน ข้าเดาว่า ครึ่งปี มากสุดหนึ่งปี จะเกิดสงครามอันดุเดือดระหว่างฉินเว่ย เรื่องการเสริมสร้างกองกำลังให้แข็งแกร่งต้องพึ่งเจ้าแล้ว!”

“พี่ใหญ่วางใจเถิด” ซ่งชูอีเอ่ย

ซ่งชูอีเห็นว่าสีหน้าของเขาสงบนิ่ง ราวกับว่ากำลังจะงีบหลับ อดที่จะผุดความคิดชั่วร้ายไม่ได้

นางไอเสียงเบา “บัดนี้กุ่ยกู๋จื่ออยู่ในเสียนหยาง…”

ราวกับเสียงฟ้าผ่ากลางพื้นเรียบ จางอี๋เบิกตาโพลง สีหน้าทั้งตกใจทั้งดีใจ “จริงรึ?!”

ซ่งชูอีเดาไว้อยู่แล้วว่าเขายุ่งกับกิจการของรัฐทั้งวัน จึงยังไม่รู้เรื่องนี้ “อืม ข้าเจอศิษย์พี่ใหญ่หลายวันก่อน เขาเป็นคนบอก”

“เว่ยเต้าจื่อ?” จางอี๋อารมณ์ดียิ่ง “ข้าไม่ได้เจออาจารย์กับเว่ยเต้าจื่อมาหลายปีแล้ว บัดนี้พวกเขาอยู่ที่ใด?”

ซ่งชูอีส่ายศีรษะด้วยความแน่วแน่ “ไม่รู้”

“เจ้าเย้าข้าเล่นรึ! เจ้าไม่รู้อะไรว่าไป๋เริ่นกับจินเกอสัตว์ป่าสองตัวนั่นวันทั้งวันก่อเรื่องจนปั่นป่วนกันไปหมด ตอนนี้แม้แต่เจ้าก็ยังสร้างความลำบากใจให้ข้า!” จางอี๋จนปัญญา พิงอยู่บนโต๊ะตัวเตี้ยด้วยความเศร้าสร้อย ถอนหายใจเอ่ย “ตอนนี้ข้ามีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้แล้วจริงๆ!”

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่จางอี๋กล่าวเช่นนี้ ทว่าบัดนี้เขาก็ยังอยู่อย่างสุขสบายดี

“จริงสิ เหตุใดกองทัพจึงมีการแจ้งเตือนฉุกเฉินด้วยเล่า?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม

จางอี๋เหลือบตาขึ้นมองนางอย่างเกียจคร้าน แล้วไม่สนใจนางอีก

สองมือซ่งชูอีกำหมัด หัวเราะฮี่ๆ “น้องชายต้องขอโทษท่านแล้ว พี่ใหญ่อย่าได้ลดตัวลงมาหาน้องชายเลย”

พูดเช่นนี้ทว่าในใจนางกลับคิดว่า ครั้งหน้าจะต้องถามธุระให้เสร็จก่อนทำให้เขาโมโห

“ช่างเถอะ อย่ามาเล่นลูกไม้นี้ รวบรวมกองทัพยังจะสามารถทำอะไรได้ ก็ไปรบไงเล่า!” จางอี๋กล่าวหัวเราะหึหึ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+