กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ 369 ตอนนี้สนุกได้ก็สนุกเสียเถิด

Now you are reading กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ Chapter 369 ตอนนี้สนุกได้ก็สนุกเสียเถิด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เว่ยเต้าจื่อเหลือบมองนาง “ความชอบของเจ้าไม่ธรรมดาจริงๆ ข้ายังจำเรื่องพวกนั้นไม่ได้เลย ทว่าข้าจำยังจำได้ว่าตอนที่ข้าหกขวบเคยแอบชอบเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่มีไฝขนาดเท่างาสีน้ำตาลข้างหลังใบหู”

“……”

เว่ยเต้าจื่อเอ่ยว่า “ฉะนั้นแล้ว ความทรงจำที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับบางสิ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับความสนใจอย่างมาก!”

“……”

“แค่ก ก็ได้ เจ้าอยากรู้อะไร?” เว่ยเต้าจื่อจำวิธีแก้แค้นคนอื่นของซ่งชูอีได้เป็นอย่างดีจึงรีบกลับมาที่หัวข้อเดิม

“อี่โหลว…ข้ารู้สึกติดค้างเขาอยู่เสมอ” ซ่งชูอีพูดจาคลุมเครือมาก แต่นางรู้ว่าเว่ยเต้าจื่อฟังรู้เรื่อง

เจ้าอี่โหลวติดตามนางมาหลายปีโดยไม่นึกเสียใจเลย และนางไม่เพียงลงแรงเพียงน้อยนิด แม้แต่การให้ทั้งใจก็ไม่สามารถทำได้

“คำถามนี้ข้าก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวแล้ว” เว่ยเต้าจื่อพิงที่เท้าแขนและยกเท้าขึ้น เอ่ยด้วยความเกียจคร้าน “ศิษย์พี่ใหญ่ใฝ่หาที่จะทิ้งใบไม้ไว้ท่ามกลางดงดอกไม้มาตลอดชีวิต เรื่องความรักน่ะหรือ ขอเพียงใฝ่หาคำว่า ‘แท้’ ตราบใดที่มันเป็นรักแท้ จะไปเปรียบเทียบเรื่องหยุมหยิมพวกนั้นไปทำไมกัน!”

“ฟังดูมีเหตุผลทีเดียว เช่นนั้นท่านก็มีรักแท้ให้ผู้หญิงทุกคนหรือ?”

“นั่นมันแน่อยู่แล้ว” เว่ยเต้าจื่อมองนางอย่างดูแคลน “เจ้าช่างไม่ชำนาญทางนี้เอาเสียเลย ไม่เหมือนนักพรตเต๋าเยี่ยงข้าสักนิด ไม่รู้จักทะนุถนอมหนุ่มรูปงามข้างกาย อย่าว่าแต่เรื่องอื่นเลย เจ้าดูฉินอ๋องกับชูหลี่จี๋สิ จุ๊ๆ เอาแต่มองเฉยๆ เช่นนี้ไม่รู้สึกขาดดุลบ้างเลยรึ? แต่แน่นอนว่าข้าน่ะ เจ้าก็อย่าได้คิดเชียว เพราะข้าไม่ชอบเจ้าดอก”

“อย่าได้ดูแคลนสำนักพวกเรา คนทั่วไปไม่ได้เหมือนท่านที่อิสระ…” ซ่งชูอีเห็นว่าเขากำลังจ้องมองก็จิบสุราอย่างไม่รีบไม่ช้าจนเกินไป กล่าวเสริมสองคำอย่างเฉยเมย “เสรี”

เว่ยเต้าจื่อจึงพอใจ “อย่าคิดมาก ข้าเหนื่อยจะแย่! เอาล่ะ ข้าต้องไปพักผ่อน”

ตอนสุดท้ายเขาก็ยังไม่ลืมที่จะหยิบไหสุราไปสองสามขวด หมุนตัวแล้วร้องเพลงเสียงสูง “เนินเขามีต้นรัก ที่ลุ่มมีต้นเกาลัด เข้าเฝ้ากษัตริย์ ชวนเล่นดนตรี มาสนุกกันเถิด ชีวิตผ่านไปเร็วรี่…”

คนออกไปจากห้องแล้ว ทว่าเสียงเพลงกลับยังคงอยู่ในหู

มีป่าหม่อนอยู่บนเนินสูงและมีต้นไม้ชนิดหนึ่งเป็นร่มเงาในที่ลุ่ม เมื่อเห็นคนคนนั้นก็นั่งลงและเป่าขลุ่ยด้วยความยินดี ตอนนี้สนุกได้ก็สนุกเสียเถิด เพียงพริบตาเดียวก็แก่ลงดินแล้ว

นี่คือบทกวีของฉินเฟิงที่ชักชวนให้ผู้คนสนุกสนานเมื่อยังมีเวลา ซึ่งเป็นเรื่องที่ปกติยิ่ง ทว่าเมื่อมันออกมาจากปากของเว่ยเต้าจื่อ ไม่ว่าซ่งชูอีฟังอย่างไรก็รู้สึกน่าสมเพศพิกล

ต้นหม่อนบนเนินสูง ร่มเงาของต้นไม้ในที่ลุ่ม…ล้วนเป็นสถานที่ที่เขาทำเรื่องพรรค์นี้ไม่ใช่หรือ!

“ท่านเจ้าคะ ข้างนอกมีเด็กหนุ่มคนหนึ่ง กล่าวว่าเป็นบุตรของท่านแม่ทัพหลงกู่ บ่าวเชิญให้เขานั่งรอในห้องรับรองแล้ว” หนิงยาเอ่ย

“เชิญเขาเข้ามา” ซ่งชูอีเอ่ย

“เจ้าค่ะ”

หลังจากหนิงยาจากไปสักพัก ก็พาเด็กหนุ่มในชุดสีดำเข้ามา เมื่อยิ่งเข้ามาใกล้ ซ่งชูอีหรี่ตาก็สามารถมองเห็นใบหน้าของเขาได้อย่างคลุมเครือ ใบหน้าเรียวยาว หน้าตาเหมือนหลงกู่ปู้วั่งตอนที่เขายังเด็กเสียเก้าส่วน! สิ่งที่ต่างกันคือหลงกู่ปู้วั่งเต็มไปด้วยความแข็งแกร่งและพลังที่ไม่มีที่สิ้นสุด ทว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ดูสงบเสงี่ยมกว่า

เมื่อเด็กชายเข้าไปในบ้านก็พบว่ามีเพียงคนหนุ่มหน้าขาวคนหนนึ่ง จึงมองหนิงยาด้วยความสงสัย

หนิงยาป้องปากหัวเราะเอ่ย “เมื่อครู่ยังเรียกหาซือจุนๆ อยู่เลย เหตุใดบัดนี้เจอแล้วจึงไม่คำนับเล่า?”

ใบหน้าของเด็กหนุ่มไม่สามารถซ่อนความประหลาดใจไว้ได้ ตกตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนที่จะรีบสะบัดแขนเสื้อคำนับ “ซั่งอู่คารวะซือจุน”

“ตามสบาย นั่งเถิด” ซ่งชูอีเห็นหน้าของเขาแล้วรู้สึกชิดเชื้อเล็กน้อย

“ขอบคุณซือจุน” หลังจากที่หลงกู่ซั่งอู่นั่งลงแล้วก็ยังคงไม่สามารถซ่อนความประหลาดใจไว้ได้ ซ่งชูอีไม่เคยมีหนวดเครา ใบหน้าของเขานุ่มนวลกว่าผู้ชายทั่วไป ดูเหมือนว่าอายุเพียงยี่สิบต้นๆ เท่านั้น

“ที่จริงควรมาคารวะซือจุนตั้งแต่หลายวันก่อนแล้ว ต้องโทษที่ซั่งอู่ดื้อรั้นจนทำให้เอวเคล็ดจึงมาล่าช้า ได้โปรดซือจุนให้อภัยด้วย” หลงกู่ซั่งอู่เอ่ย

ซ่งชูอีเอ่ย “เรื่องนี้ข้ารู้แล้ว บาดแผลเป็นอย่างไรบ้าง?”

“ขอบคุณซือจุนที่เป็นห่วง ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว” หลงกู่ซั่งอู่ตอบ

ซ่งชูอีพยักหน้า “บาดแผลเช่นนี้จะประมาทไม่ได้”

“ขอรับ ข้าได้ยินท่านพ่อกล่าวว่าซือจุนสุขภาพไม่ดี ข้าตั้งใจนำยาบำรุงมาจำนวนหนึ่งด้วย ของไม่แพงมากทว่าเป็นสิ่งที่ข้าล่ามาด้วยตัวเองทั้งสิ้น” หลงกู่ซั่งอู่เอ่ย

ช่างเป็นคนที่ใส่ใจในรายละเอียดจริงๆ! ซ่งชูอีถอนหายใจเอ่ย “ช่างกตัญญูว่านอนสอนง่ายจริงๆ ไม่เหมือนพ่อของเจ้าเลย! เข้ามาใกล้ๆ หน่อย ให้ข้าได้เห็นชัดๆ”

หลงกู่ซั่งอู่เขยิบเข้าไปใกล้ ซ่งชูอีสามารถมองเห็นการแสดงออกอันละเอียดอ่อนของเขา อดที่จะยิ้มเอ่ยไม่ได้ “มีอะไรก็ว่ามา เก็บไว้ในคอเกรงว่าจะทำให้ตัวเองจุกตายเปล่าๆ”

หลงกู่ซั่งอู่มองเขาด้วยความประหลาดใจ “ซั่งอู่ขอบังอาจ ซือจุนท่าน…เหมือนอายุจะไม่มาก”

การแสดงออกของเด็กคนนี้นับตั้งแต่ที่เข้าห้องมาหากไม่สับสนก็ประหลาดใจ ราวกับลูกกวางขี้ตกใจตัวหนึ่ง ซ่งชูอีรู้สึกขบขันกับการแสดงออกของเขา หัวเราะเอ่ยเสียงดัง “ข้าเป็นชาวเต๋า มีวิชารักษาความอ่อนเยาว์ก็เท่านั้น”

หลงกู่ซั่งอู่รู้สึกสนใจ “ซั่งอู่เคยอ่านผลงานของลัทธิเต๋าหลายชิ้น ไม่ยักรู้ว่ายังมีวิชาลึกลับเช่นนี้ด้วย เป็นวิชาลับที่สำนักเต๋าไม่เผยแพร่เช่นนั้นหรือ?”

ซ่งชูอีเอ่ยส่งเดช “ก็ไม่เชิง โอกาสล้วนถูกรวบรวมอยู่ในคัมภีร์เต๋าแล้ว เจ้าจะตระหนักได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับโชคชะตาของเจ้า”

“หรือจะเป็น ‘จวงจื่อ – ความเรียงใน’?” หลงกู่ซั่งอู่ขอคำแนะนำอย่างนอบน้อม

ซ่งชูอีเลิกคิ้ว “เหตุใดจึงไม่ทายว่าเป็น ‘เหล่าจื่อ’?”

“ข้าได้ยินท่านพ่อกล่าวว่า ซือจุนเคารพรักอาจารย์จวงจื่อมาก ครุ่นคิดดูแล้ว คิดว่าถ้อยคำของ ‘ความเรียงใน’ กล่าวเรื่องการดูแลตัวเอง สอนว่าจิตใจผู้คนแปรเปลี่ยนฉับพลัน หากสามารถตระหนักรู้ได้ก็จะสามารถยืดอายุได้อย่างแน่นอน” หลงกู่ซั่งอู่พูดเสริมด้วยความเขินอาย “ข้าน้อยเพียงเดาส่งเดช”

“เยี่ยมนัก” แม้ว่าเมื่อครู่ซ่งชูอีจะกล่าวส่งๆ แต่ก็ใช่ว่าไม่ได้ผ่านการตรึกตรองมาก่อน หลงกู่ซั่งอู่สามารถคาดเดาความคิดของนางได้ซึ่งทำให้นางมีความสุขมาก

ภายใต้ความดีใจนั้น ซ่งชูอีก็เล่าหลักการให้เขาฟัง

ไม่ว่าซ่งชูอีจะพูดไปถึงไหน หลงกู่ซั่งอู่ก็สามารถพูดได้เพียงไม่กี่คำ บางครั้งก็เข้าใจอย่างถูกต้อง แต่อย่างน้อยก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าเขาอ่านหนังสือมามาก ไม่น่าแปลกใจที่น้ำเสียงของหลงกู่ปู้วั่งดูค่อนข้างภาคภูมิใจเมื่อพูดถึงลูกชายของตน

หลงกู่ซั่งอู่ไม่ใช่คนมีพรสวรรค์ เพียงแค่ขยันและมีแรงจูงใจ ซ่งชูอีไม่รู้ว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะ “ทฤษฎีอัจฉริยะ” ของนางในตอนนั้นหรือเปล่า หลงกู่ปู้วั่งคิดว่าคำพูดของนางสมเหตุสมผล ดังนั้นเขาจึงปลูกฝังแนวคิดนี้ให้กับลูกชายของเขาตั้งแต่เขายังเด็ก เรียนอย่างหนักในที่ที่คนอื่นมองไม่เห็นและเล่นอย่างหนักในที่ที่คนอื่นมองเห็น

ซ่งชูอีชอบความขยันของหลงกู่ซั่งอู่มาก ตอนค่ำก็พักรับประทานอาหารเย็นและค้างคืน ทั้งยังเขียนความคิดเห็นที่ตัวเองเข้าใจให้นางม้วนหนึ่ง

ขณะที่นางกำลังสอนรัชทายาทในวันต่อมา ก็ยังพาหลงกู่ซั่งอู่มาด้วย การกระทำเช่นนี้ไม่ใช่เพียงเพราะชื่นชอบหลงกู่ซั่งอู่แต่ก็เพื่อให้องค์รัชทายาทได้เห็นช่องว่างในแง่ของความรู้จากคนที่อายุใกล้เคียงกัน

ในแง่ของการปกครอง แน่นอนว่าหลงกู่ซั่งอู่สู้อิ๋งตั้งไม่ได้ แต่ซ่งชูอีสามารถหลีกเลี่ยงเรื่องการเมืองได้อย่างชาญฉลาด

อิ๋งซื่อได้พบกับหลงกู่ปู้วั่งแล้ว เขาไม่สามารถอยู่ในรัฐฉินได้เป็นเวลานาน และหลงกู่ซั่งอู่ก็ต้องติดตามเขากลับไปเป็นธรรมดา

อาการป่วยของอิ๋งซื่อร้ายแรง ไม่สามารถปกปิดหลงกู่ปู้วั่งได้ ดังนั้นทันทีที่ราชทูตฉู่จากไป รัฐฉินก็เข้าสู่ภาวะเตรียมสงคราม

อย่างไรก็ดีหลังจากผ่านไปสามเดือน รัฐฉู่ก็ยังคงไม่มีการเคลื่อนไหว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ 369 ตอนนี้สนุกได้ก็สนุกเสียเถิด

Now you are reading กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ Chapter 369 ตอนนี้สนุกได้ก็สนุกเสียเถิด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เว่ยเต้าจื่อเหลือบมองนาง “ความชอบของเจ้าไม่ธรรมดาจริงๆ ข้ายังจำเรื่องพวกนั้นไม่ได้เลย ทว่าข้าจำยังจำได้ว่าตอนที่ข้าหกขวบเคยแอบชอบเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่มีไฝขนาดเท่างาสีน้ำตาลข้างหลังใบหู”

“……”

เว่ยเต้าจื่อเอ่ยว่า “ฉะนั้นแล้ว ความทรงจำที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับบางสิ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับความสนใจอย่างมาก!”

“……”

“แค่ก ก็ได้ เจ้าอยากรู้อะไร?” เว่ยเต้าจื่อจำวิธีแก้แค้นคนอื่นของซ่งชูอีได้เป็นอย่างดีจึงรีบกลับมาที่หัวข้อเดิม

“อี่โหลว…ข้ารู้สึกติดค้างเขาอยู่เสมอ” ซ่งชูอีพูดจาคลุมเครือมาก แต่นางรู้ว่าเว่ยเต้าจื่อฟังรู้เรื่อง

เจ้าอี่โหลวติดตามนางมาหลายปีโดยไม่นึกเสียใจเลย และนางไม่เพียงลงแรงเพียงน้อยนิด แม้แต่การให้ทั้งใจก็ไม่สามารถทำได้

“คำถามนี้ข้าก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวแล้ว” เว่ยเต้าจื่อพิงที่เท้าแขนและยกเท้าขึ้น เอ่ยด้วยความเกียจคร้าน “ศิษย์พี่ใหญ่ใฝ่หาที่จะทิ้งใบไม้ไว้ท่ามกลางดงดอกไม้มาตลอดชีวิต เรื่องความรักน่ะหรือ ขอเพียงใฝ่หาคำว่า ‘แท้’ ตราบใดที่มันเป็นรักแท้ จะไปเปรียบเทียบเรื่องหยุมหยิมพวกนั้นไปทำไมกัน!”

“ฟังดูมีเหตุผลทีเดียว เช่นนั้นท่านก็มีรักแท้ให้ผู้หญิงทุกคนหรือ?”

“นั่นมันแน่อยู่แล้ว” เว่ยเต้าจื่อมองนางอย่างดูแคลน “เจ้าช่างไม่ชำนาญทางนี้เอาเสียเลย ไม่เหมือนนักพรตเต๋าเยี่ยงข้าสักนิด ไม่รู้จักทะนุถนอมหนุ่มรูปงามข้างกาย อย่าว่าแต่เรื่องอื่นเลย เจ้าดูฉินอ๋องกับชูหลี่จี๋สิ จุ๊ๆ เอาแต่มองเฉยๆ เช่นนี้ไม่รู้สึกขาดดุลบ้างเลยรึ? แต่แน่นอนว่าข้าน่ะ เจ้าก็อย่าได้คิดเชียว เพราะข้าไม่ชอบเจ้าดอก”

“อย่าได้ดูแคลนสำนักพวกเรา คนทั่วไปไม่ได้เหมือนท่านที่อิสระ…” ซ่งชูอีเห็นว่าเขากำลังจ้องมองก็จิบสุราอย่างไม่รีบไม่ช้าจนเกินไป กล่าวเสริมสองคำอย่างเฉยเมย “เสรี”

เว่ยเต้าจื่อจึงพอใจ “อย่าคิดมาก ข้าเหนื่อยจะแย่! เอาล่ะ ข้าต้องไปพักผ่อน”

ตอนสุดท้ายเขาก็ยังไม่ลืมที่จะหยิบไหสุราไปสองสามขวด หมุนตัวแล้วร้องเพลงเสียงสูง “เนินเขามีต้นรัก ที่ลุ่มมีต้นเกาลัด เข้าเฝ้ากษัตริย์ ชวนเล่นดนตรี มาสนุกกันเถิด ชีวิตผ่านไปเร็วรี่…”

คนออกไปจากห้องแล้ว ทว่าเสียงเพลงกลับยังคงอยู่ในหู

มีป่าหม่อนอยู่บนเนินสูงและมีต้นไม้ชนิดหนึ่งเป็นร่มเงาในที่ลุ่ม เมื่อเห็นคนคนนั้นก็นั่งลงและเป่าขลุ่ยด้วยความยินดี ตอนนี้สนุกได้ก็สนุกเสียเถิด เพียงพริบตาเดียวก็แก่ลงดินแล้ว

นี่คือบทกวีของฉินเฟิงที่ชักชวนให้ผู้คนสนุกสนานเมื่อยังมีเวลา ซึ่งเป็นเรื่องที่ปกติยิ่ง ทว่าเมื่อมันออกมาจากปากของเว่ยเต้าจื่อ ไม่ว่าซ่งชูอีฟังอย่างไรก็รู้สึกน่าสมเพศพิกล

ต้นหม่อนบนเนินสูง ร่มเงาของต้นไม้ในที่ลุ่ม…ล้วนเป็นสถานที่ที่เขาทำเรื่องพรรค์นี้ไม่ใช่หรือ!

“ท่านเจ้าคะ ข้างนอกมีเด็กหนุ่มคนหนึ่ง กล่าวว่าเป็นบุตรของท่านแม่ทัพหลงกู่ บ่าวเชิญให้เขานั่งรอในห้องรับรองแล้ว” หนิงยาเอ่ย

“เชิญเขาเข้ามา” ซ่งชูอีเอ่ย

“เจ้าค่ะ”

หลังจากหนิงยาจากไปสักพัก ก็พาเด็กหนุ่มในชุดสีดำเข้ามา เมื่อยิ่งเข้ามาใกล้ ซ่งชูอีหรี่ตาก็สามารถมองเห็นใบหน้าของเขาได้อย่างคลุมเครือ ใบหน้าเรียวยาว หน้าตาเหมือนหลงกู่ปู้วั่งตอนที่เขายังเด็กเสียเก้าส่วน! สิ่งที่ต่างกันคือหลงกู่ปู้วั่งเต็มไปด้วยความแข็งแกร่งและพลังที่ไม่มีที่สิ้นสุด ทว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ดูสงบเสงี่ยมกว่า

เมื่อเด็กชายเข้าไปในบ้านก็พบว่ามีเพียงคนหนุ่มหน้าขาวคนหนนึ่ง จึงมองหนิงยาด้วยความสงสัย

หนิงยาป้องปากหัวเราะเอ่ย “เมื่อครู่ยังเรียกหาซือจุนๆ อยู่เลย เหตุใดบัดนี้เจอแล้วจึงไม่คำนับเล่า?”

ใบหน้าของเด็กหนุ่มไม่สามารถซ่อนความประหลาดใจไว้ได้ ตกตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนที่จะรีบสะบัดแขนเสื้อคำนับ “ซั่งอู่คารวะซือจุน”

“ตามสบาย นั่งเถิด” ซ่งชูอีเห็นหน้าของเขาแล้วรู้สึกชิดเชื้อเล็กน้อย

“ขอบคุณซือจุน” หลังจากที่หลงกู่ซั่งอู่นั่งลงแล้วก็ยังคงไม่สามารถซ่อนความประหลาดใจไว้ได้ ซ่งชูอีไม่เคยมีหนวดเครา ใบหน้าของเขานุ่มนวลกว่าผู้ชายทั่วไป ดูเหมือนว่าอายุเพียงยี่สิบต้นๆ เท่านั้น

“ที่จริงควรมาคารวะซือจุนตั้งแต่หลายวันก่อนแล้ว ต้องโทษที่ซั่งอู่ดื้อรั้นจนทำให้เอวเคล็ดจึงมาล่าช้า ได้โปรดซือจุนให้อภัยด้วย” หลงกู่ซั่งอู่เอ่ย

ซ่งชูอีเอ่ย “เรื่องนี้ข้ารู้แล้ว บาดแผลเป็นอย่างไรบ้าง?”

“ขอบคุณซือจุนที่เป็นห่วง ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว” หลงกู่ซั่งอู่ตอบ

ซ่งชูอีพยักหน้า “บาดแผลเช่นนี้จะประมาทไม่ได้”

“ขอรับ ข้าได้ยินท่านพ่อกล่าวว่าซือจุนสุขภาพไม่ดี ข้าตั้งใจนำยาบำรุงมาจำนวนหนึ่งด้วย ของไม่แพงมากทว่าเป็นสิ่งที่ข้าล่ามาด้วยตัวเองทั้งสิ้น” หลงกู่ซั่งอู่เอ่ย

ช่างเป็นคนที่ใส่ใจในรายละเอียดจริงๆ! ซ่งชูอีถอนหายใจเอ่ย “ช่างกตัญญูว่านอนสอนง่ายจริงๆ ไม่เหมือนพ่อของเจ้าเลย! เข้ามาใกล้ๆ หน่อย ให้ข้าได้เห็นชัดๆ”

หลงกู่ซั่งอู่เขยิบเข้าไปใกล้ ซ่งชูอีสามารถมองเห็นการแสดงออกอันละเอียดอ่อนของเขา อดที่จะยิ้มเอ่ยไม่ได้ “มีอะไรก็ว่ามา เก็บไว้ในคอเกรงว่าจะทำให้ตัวเองจุกตายเปล่าๆ”

หลงกู่ซั่งอู่มองเขาด้วยความประหลาดใจ “ซั่งอู่ขอบังอาจ ซือจุนท่าน…เหมือนอายุจะไม่มาก”

การแสดงออกของเด็กคนนี้นับตั้งแต่ที่เข้าห้องมาหากไม่สับสนก็ประหลาดใจ ราวกับลูกกวางขี้ตกใจตัวหนึ่ง ซ่งชูอีรู้สึกขบขันกับการแสดงออกของเขา หัวเราะเอ่ยเสียงดัง “ข้าเป็นชาวเต๋า มีวิชารักษาความอ่อนเยาว์ก็เท่านั้น”

หลงกู่ซั่งอู่รู้สึกสนใจ “ซั่งอู่เคยอ่านผลงานของลัทธิเต๋าหลายชิ้น ไม่ยักรู้ว่ายังมีวิชาลึกลับเช่นนี้ด้วย เป็นวิชาลับที่สำนักเต๋าไม่เผยแพร่เช่นนั้นหรือ?”

ซ่งชูอีเอ่ยส่งเดช “ก็ไม่เชิง โอกาสล้วนถูกรวบรวมอยู่ในคัมภีร์เต๋าแล้ว เจ้าจะตระหนักได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับโชคชะตาของเจ้า”

“หรือจะเป็น ‘จวงจื่อ – ความเรียงใน’?” หลงกู่ซั่งอู่ขอคำแนะนำอย่างนอบน้อม

ซ่งชูอีเลิกคิ้ว “เหตุใดจึงไม่ทายว่าเป็น ‘เหล่าจื่อ’?”

“ข้าได้ยินท่านพ่อกล่าวว่า ซือจุนเคารพรักอาจารย์จวงจื่อมาก ครุ่นคิดดูแล้ว คิดว่าถ้อยคำของ ‘ความเรียงใน’ กล่าวเรื่องการดูแลตัวเอง สอนว่าจิตใจผู้คนแปรเปลี่ยนฉับพลัน หากสามารถตระหนักรู้ได้ก็จะสามารถยืดอายุได้อย่างแน่นอน” หลงกู่ซั่งอู่พูดเสริมด้วยความเขินอาย “ข้าน้อยเพียงเดาส่งเดช”

“เยี่ยมนัก” แม้ว่าเมื่อครู่ซ่งชูอีจะกล่าวส่งๆ แต่ก็ใช่ว่าไม่ได้ผ่านการตรึกตรองมาก่อน หลงกู่ซั่งอู่สามารถคาดเดาความคิดของนางได้ซึ่งทำให้นางมีความสุขมาก

ภายใต้ความดีใจนั้น ซ่งชูอีก็เล่าหลักการให้เขาฟัง

ไม่ว่าซ่งชูอีจะพูดไปถึงไหน หลงกู่ซั่งอู่ก็สามารถพูดได้เพียงไม่กี่คำ บางครั้งก็เข้าใจอย่างถูกต้อง แต่อย่างน้อยก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าเขาอ่านหนังสือมามาก ไม่น่าแปลกใจที่น้ำเสียงของหลงกู่ปู้วั่งดูค่อนข้างภาคภูมิใจเมื่อพูดถึงลูกชายของตน

หลงกู่ซั่งอู่ไม่ใช่คนมีพรสวรรค์ เพียงแค่ขยันและมีแรงจูงใจ ซ่งชูอีไม่รู้ว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะ “ทฤษฎีอัจฉริยะ” ของนางในตอนนั้นหรือเปล่า หลงกู่ปู้วั่งคิดว่าคำพูดของนางสมเหตุสมผล ดังนั้นเขาจึงปลูกฝังแนวคิดนี้ให้กับลูกชายของเขาตั้งแต่เขายังเด็ก เรียนอย่างหนักในที่ที่คนอื่นมองไม่เห็นและเล่นอย่างหนักในที่ที่คนอื่นมองเห็น

ซ่งชูอีชอบความขยันของหลงกู่ซั่งอู่มาก ตอนค่ำก็พักรับประทานอาหารเย็นและค้างคืน ทั้งยังเขียนความคิดเห็นที่ตัวเองเข้าใจให้นางม้วนหนึ่ง

ขณะที่นางกำลังสอนรัชทายาทในวันต่อมา ก็ยังพาหลงกู่ซั่งอู่มาด้วย การกระทำเช่นนี้ไม่ใช่เพียงเพราะชื่นชอบหลงกู่ซั่งอู่แต่ก็เพื่อให้องค์รัชทายาทได้เห็นช่องว่างในแง่ของความรู้จากคนที่อายุใกล้เคียงกัน

ในแง่ของการปกครอง แน่นอนว่าหลงกู่ซั่งอู่สู้อิ๋งตั้งไม่ได้ แต่ซ่งชูอีสามารถหลีกเลี่ยงเรื่องการเมืองได้อย่างชาญฉลาด

อิ๋งซื่อได้พบกับหลงกู่ปู้วั่งแล้ว เขาไม่สามารถอยู่ในรัฐฉินได้เป็นเวลานาน และหลงกู่ซั่งอู่ก็ต้องติดตามเขากลับไปเป็นธรรมดา

อาการป่วยของอิ๋งซื่อร้ายแรง ไม่สามารถปกปิดหลงกู่ปู้วั่งได้ ดังนั้นทันทีที่ราชทูตฉู่จากไป รัฐฉินก็เข้าสู่ภาวะเตรียมสงคราม

อย่างไรก็ดีหลังจากผ่านไปสามเดือน รัฐฉู่ก็ยังคงไม่มีการเคลื่อนไหว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+