กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ 328 ท่ามกลางความสิ้นหวัง (2)

Now you are reading กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ Chapter 328 ท่ามกลางความสิ้นหวัง (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ซ่งชูอีลูบคลำหน้าท้องส่วนล่าง จู่ๆ ก็รู้สึกว่าท้องนี้มิได้ผอมลงสักเท่าไร

เมื่อหิวถึงระดับหนึ่ง ก็ควรจะผอมแห้งติดกระดูกไม่ใช่หรือ?

ท่ามกลางความเงียบงัน นางเม้มปากเล็กน้อย ละมือออกมาจากท้องน้อยนั้นแล้ววางลงบนข้อมือ

นางนึกได้ว่ายาระงับความเป็นผู้หญิงที่ตนกินนั้นไม่มีผลตั้งแต่เมื่อเมื่อปีกลายแล้ว หลังจากนั้นเป็นต้นมาทรวงอกของนางก็เริ่มมีหลุมฝังศพเล็กๆ ปูดขึ้น และยังมีประจำเดือนอีกด้วย

หลังจากที่ชูหลี่จี๋จับชีพจรให้นางก็บอกว่าร่างกายของนางไม่แข็งแรง การตั้งครรภ์จะเป็นเรื่องที่ลำบากยิ่ง หากกินยาคุมกำเนิดอีกก็จะยิ่งเป็นผลเสียต่อร่างกาย และเมื่อกินเข้าไปเป็นเวลานานก็อาจไม่สามารถคลอดบุตรได้อีก

ซ่งชูอีไม่เคยคิดเรื่องการทำหมันจึงหยุดยา นางแอบวางแผนไว้แล้วว่าหากบังเอิญตั้งครรภ์ก็จะจัดฉากว่าป่วยและให้กำเนิดบุตร เพียงแต่ประจำเดือนของนางมาไม่สม่ำเสมอ ทั้งปีนี้มาทั้งหมดสี่ถึงห้าครั้งเท่านั้นและไม่เคยตั้งครรภ์ด้วย

ใครจะไปรู้…

ในเวลานี้นางคลำไม่เจอว่ากี่เดือนแล้วและไม่สามารถวินิจฉัยอย่างอื่นได้เลย ทว่าดูจากสภาพของจังหวะชีพจรและท้องก็ยืนยันได้แล้วว่าตนตั้งครรภ์อย่างแน่นอน

ซ่งชูอีทอดถอนใจ ลูกของข้า เจ้าจะได้ร่วมสนุกด้วยเป็นแน่!

เมื่อความประหลาดใจผ่านพ้นไป ซ่งชูอีก็วางแผนการให้ตัวเอง เดิมทีนางตั้งใจที่จะหลบอยู่ที่นี่ จากนั้นค่อยฉวยโอกาสกลับไปที่ห้องโถงใหญ่เพื่อหาทางออกอีกครั้ง บัดนี้แม้ว่านางจะสามารถอดทนได้ด้วยความตั้งใจอันแรงกล้าก็ตาม แต่เกรงว่าเด็กจะทนไม่ไหว นางจะต้องหาทางออกโดยเร็วที่สุด

ภายในห้องสุสานจะต้องมีสิ่งของที่ถูกฝังไปพร้อมกับผู้ตาย ตอนที่เซี่ยวกงยังหนุ่มก็เป็นแม่ทัพกล้าคนหนึ่ง สิ่งของเหล่านั้นจะต้องไม่ขาดจำพวกง้วงดาบเป็นแน่หรืออาจมีแม้กระทั่งหน้าไม้ เพราะซ่งชูอีนึกถึงจุดนี้ขึ้นมาได้นางจึงเข้ามา

นางลุกขึ้น มือหนึ่งกุมส่วนท้องไว้ อีกมือหนึ่งขูดกำแพงเบาๆ ด้วยเล็บพร้อมเดินไปข้างหน้า

เมื่อเดินออกมาได้ประมาณสิบจั้ง เล็บก็ว่างเปล่า หัวใจของซ่งชูอีบบีบแน่น จากนั้นก็ตามมาด้วยความยินดีที่กลั้นไว้ไม่อยู่ นางยื่นเท้าออกไปสำรวจ มันคือประตูหลุมฝังศพจริงๆ

โลงศพไม่น่าจะถูกวางบริเวณใกล้กับห้องสุสาน โดยมากน่าจะเป็นสถานที่สำหรับข้าวของที่ฝังไปพร้อมกับศพ

เมื่อไม่รู้สิ่งที่อยู่เบื้องหน้า หัวใจย่อมหวาดกลัวอย่างไม่ต้องสงสัย ยิ่งคนที่เชื่อในเรื่องผีและเทพเจ้าอย่างซ่งชูอีก็ไม่มีข้อยกเว้น นางกัดฟัน ห่อมือด้วยแขนเสื้อคลุมและคลำทางไปช้าๆ

เอี๊ยด!

ครั้นประตูลานพับคลายตัว เสียงของเพลาประตูที่ดังขึ้นฉับพลันนั้นชัดเจนเป็นพิเศษในความเงียบสงัด ทันใดนั้นหัวใจของซ่งชูอีก็เต้นรัว

นางบังคับตัวเองให้หายใจช้าลง ยืนอยู่หน้าประตูครู่หนึ่งก่อนที่จะเข้าไปในช่องว่างของประตูที่เปิดอยู่

ภายในห้องสุสานยังคงมิดสนิท แม้เพียงแสงไฟอันน้อยนิดจากหิ่งห้อยก็ไม่มี เสียงเดียวที่ดังขึ้นที่นี่คือเสียงการเคลื่อนไหวของนาง

ซ่งชูอีก็รู้สึกว่าเสียงเหล่านี้ก้องกังวานเล็กน้อยซึ่งแสดงให้เห็นว่าพื้นที่นี้ใหญ่มาก และเป็นไปได้มากว่ามันคือท้องพระโรงแห่งหนึ่ง นางไม่กล้าเดินไปทั่วเพราะว่าจะหาประตูไม่เจอตอนกลับมา ดังนั้นนางจึงขูดเล็บไปตามผนังพร้อมกับเดินไปข้างหน้าเหมือนก่อนหน้านี้

ที่นี่ห่างจากห้องโถงพระราชวังด้านหลังไกลมาก น่าจะเพียงเอาไว้เก็บสิ่งของที่ฝังไปพร้อมกับศพทั่วไป ไม่ได้มีกลไกอะไร

เดินไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ ข้างหน้าก็มีบางอย่างกีดขวางเส้นทาง

ซ่งชูอียังคงห่อมือด้วยแขนเสื้อแล้วลูบคลำเช่นเคย สัมผัสเย็นเยียบทะลุผ่านเสื้อผ้า เห็นได้ชัดว่าเป็นชิ้นเล็บ อวัยวะชัดเจน ตัวสูงกว่าซ่งชูอีประมาณครึ่งศีรษะ

นี่คือมนุษย์ชัดๆ!

ซ่งชูอีไม่ได้รู้สึกประหลาดใจจนเกินไป นางรู้ว่าหลังจากรัฐฉินมีการปฏิรูปกฎหมายแล้วก็สั่งห้ามมิให้ฝังคนเป็นไปพร้อมกับศพอีก ทว่าบรรดาผู้สูงศักดิ์กลัวว่าจะไม่มีใครปรนนิบัติในปรโลก จึงหาวิธี…แกะสลักและหล่อรูปคล้ายมนุษย์แทน

ซ่งชูอีลูบไล้ไปตามแขนของรูปปั้นแกะสลัก พบว่ามันถือง้าวยาวเล่มหนึ่งและง้าวนี้ยังทำมาจากวัสดุเดียวกันกับรูปปั้น สามารถหมุนได้แต่ไม่สามารถถอดออกได้เลย

นางหมุนไปมาอยู่ครู่หนึ่งก็ทำได้เพียงยอมแพ้ อ้อมรูปปั้นแกะสลักเพื่อเดินต่อ เพิ่งจะเดินได้เพียงไม่กี่ก้าวก็มีเสียงพรึ่บดังขึ้นด้านหลัง

นางตื่นตกใจ หมอบลงอย่างรวดเร็ว

ผ่านไปสักพักก็ไม่มีกลไกใด ซ่งชูอีเงยหน้าขึ้น พบว่าในท้องพระโรงมีแสงสลัว นางอดที่จะหันกลับไปมองมิได้ ที่แท้สิ่งที่รูปปั้นทหารสองตัวหน้าประตูถืออยู่ในมือมิใช่ง้าวยาวทว่าเป็นตะเกียงและตะเกียงนั้นก็เป็นกลไกที่ถูกนางหมุนไปมาหลายรอบ เปลวไฟสีน้ำเงินจางๆ จึงจุดขึ้นโดยอัตโนมัติซึ่งเป็นสีเดียวกันกับตะเกียงไฟอมตะสองดวงหน้าประตูไม่มีผิดเพี้ยน

แสงไฟนี้ไม่สามารถส่องสว่างได้ทั่วทั้งท้องพระโรง ซ่งชูอีรออยู่ครู่หนึ่งก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ นางจึงลุกขึ้นและเดินกลับไปที่รูปปั้นทหารอีกตัว หมุนตะเกียงในมือของมัน ไม่นานไฟก็สว่างขึ้นมาจริงๆ

ในพระราชวังก็มีไฟประเภทนี้เช่นกัน เพียงแต่เชื้อจุดไฟจะถูกเก็บอยู่ในด้ามจับไฟ เมื่อบิดหมุนมันขึ้นมาจนด้านบนสัมผัสกับไส้ตะเกียง ไส้ตะเกียงก็จะสว่างขึ้น แต่โดยทั่วไปแล้วไฟประเภทนี้ไม่สว่างมากนัก เนื่องจากเชื้อจุดไฟถูกวางไว้เหนือไส้ตะเกียง ตัวหมุนก็น่าจะอยู่เหนือไส้ตะเกียงด้วย สิ่งมหัศจรรย์ของตะเกียงนี้ก็คือ แม้จะหมุนด้ามจับไฟที่อยู่ด้านล่างก็จะทำให้ไฟด้านบนสว่างขึ้นเช่นกัน!

ไฟสองดวงส่องสว่างสิ่งต่างๆ ภายในรัศมีสามถึงสี่จั้ง

ท้องพระโรงมีเสาแปดต้น มีม่านไม้ไผ่ห้อยลงมาระหว่างเสา สามารถมองเห็น “เงาของคน” ภายในที่กำลังก้มด้วยความเคารพเลือนราง

ซ่งชูอีเลิกผ้าม่านที่อยู่ใกล้พระที่นั่งหลักออกแล้วมองไปยังท้องพระโรง

คนรับใช้หินแกะสลักไม่กี่คนยืนอยู่สองข้างทาง พวกเขาเหมือนคนที่มีชีวิต ใบหน้าเหมือนจริง สองมือกุมหน้าท้องพร้อมถือตะเกียง

ซ่งชูอีผิดหวังเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าท้องพระโรงเช่นนี้ไม่ใช่สถานที่จัดแสดงอาวุธที่ถูกฝังไปพร้อมกับศพ นางเดินไปรอบๆ อย่างระมัดระวังครู่หนึ่งก็ไม่พบดาบสักเล่ม

นางเห็นว่ามีเอกสารไผ่อยู่บนโต๊ะ ก็หยิบม้วนที่บางหน่อยขึ้นมา ออกแรงฉีกชายเสื้อของตัวเอง เอาไขมันปลาฉลามมาจากตะเกียงของคนรับใช้แล้วจุดไฟ

ทันทีที่ไฟถูกจุดสว่าง หางตาของนางก็เหลือบไปเห็นแถบดำทะมึนหลังผนังแกะสลัก จึงถือไฟเดินเข้าไปใกล้

ข้างในเป็นห้องเล็กๆ มีโต๊ะหินและชั้นหนังสือสองสามหลัง ซ่งชูอีจำได้ว่ามันคือท้องพระโรงหลัง ในพระราชวังในเสียนหยางก็มี นอกจากอิ๋งซื่อจะไปมุมหอคอยแล้วก็ยังมักจะงีบที่นี่หรืออ่านทวนบันทึกฉินเป็นประจำ เมื่อนึกถึงตรงนี้ ความหวาดกลัวในใจของนางจึงลดลงไปไม่น้อย

นางจำได้ว่าด้านตะวันออกของห้องนี้เป็นบานประตูแกะสลัก เมื่อเปิดประตูออกไปก็จะเป็นศาลากลางน้ำที่แผ่ขยายไปถึงกลางทะเลสาบ ด้านตะวันตกก็มีประตูเช่นกันซึ่งทะลุกับทางเดินที่นำไปสู่วังหลัง นางเข้าใกล้กำแพงฝั่งตะวันออกตามความทรงจำ รู้สึกยินดียิ่งเมื่อเห็นว่ามันคือประตูแกะสลักจริงๆ

ประตูไม่มีกลอน เมื่อผลักเบาๆ มันก็เปิดออกแล้ว ข้างนอกมีศาลากลางน้ำตามคาดทว่าไม่มีทะเลสาบอะไรนั่น! ราวกับโดยรอบถูกปิดทับด้วยผ้าม่าน ซ่งชูอีรู้สึกผิดหวังอย่างยิ่ง เอื้อมมือเลิกผ้าม่านด้านข้างออกเป็นช่องว่าง

แสงสีฟ้าจางๆ เล็ดลอดเข้ามาและตกกระทบอยู่บนพื้น

ซ่งชูอีตกตะลึง ก้าวเท้าเดินผ่านสถานที่กลวงๆ อย่างรวดเร็ว นางมองออกไปข้างนอก สามารถมองเห็นท้องพระโรงจากที่สูงได้อย่างแท้จริง!

ซ่งชูอีเข้าใจในทันทีว่าที่แห่งนี้แตกต่างจากพระราชวังเสียนหยางเล็กน้อย เมื่อเดินอ้อมไปก็สามารถเชื่อมท้องพระโรงเล็กกับท้องพระโรงหลักเข้าไว้ด้วยกัน และนี่คือพระที่นั่งหลักของท้องพระโรงใหญ่อย่างแท้จริง

นางคลำหากลอนประตู สำรวจมันอยู่ครู่หนึ่ง คิดไม่ถึงว่ามันสามารถเปิดออกไปได้…

ซ่งชูอีดีใจจนแทบคลั่ง ทว่าในไม่ช้าก็สงบลง พวกเขามีคนมาก ต่อให้หนีออกไปตอนนี้ก็ยังเหมือนแพะวิ่งเข้าปากเสือ

เนื่องจากตู้เหิงไม่มีแผนที่ส่วนหลังและไม่ได้เข้ามาจับนางถึงที่นี่ แสดงว่าเขาไม่รู้เส้นทางนี้

นางต้องใช้การล่าถอยนี้เพื่อหลอกล่อให้พวกเขาเข้าไปในอุโมงค์ กำจัดไปสักคนสองคนจึงจะมีความหวังในการหนีรอด

ครั้นมีความหวัง ทั้งร่างกายของซ่งชูอีก็เปี่ยมด้วยกำลังวังชา ยกมือขึ้นลูกคลำท้อง รีบกลับไปยังท้องพระโรงเล็ก ดับไฟในมือของรูปปั้นทหารแกะสลักของดวงนั้นแล้วกลับไปในอุโมงค์

อุโมงค์เส้นนี้มีความยาวประมาณสี่สิบกว่าจั้ง ห้องโถงเล็กก่อนหน้านี้กินพื้นที่ไปมาก ส่วนห้องอื่นๆ อยู่ใกล้กันมาก ข้างในจะมีพวกข้าวของเครื่องใช้ในสมัยที่เซี่ยวกงยังมีชีวิตอยู่ นางเดินกลับไปกลับมาในทางเดินของสุสานหลายครั้งเพื่อตรวจสอบสุสานทั้งหมดอย่างรอบคอบ นอกเหนือจากเครื่องใช้ในการดำรงชีวิตอื่นๆ เช่น เครื่องทองสัมฤทธิ์ เครื่องปั้นดินเผา และเครื่องไม้แล้วก็ไม่มีสมบัติทองและเงินใดๆ อีกทั้งไม่มีหน้าไม้ดาบง้าวอย่างที่ซ่งชูอีต้องการ

ทว่านางก็ยังเจอเสื้อผ้าจำนวนมาก หนึ่งในนั้นมีแม้กระทั่งขนหมาป่าตัวหนึ่ง!

ซ่งชูอีลังเลครู่หนึ่งทว่าก็ยังสวมเสื้อขนหมาป่าตัวนั้นเพื่อปกป้องส่วนท้อง เมื่อขนหมาป่าถูกนำออกมา ซ่งชูอีก็เห็นแส้หนังอยู่ใต้กล่อง จึงหยิบมันขึ้นมาด้วย

ซ่งชูอีกำลังจะกลับ กลับเห็นอะไรบางอย่างไม่ไกลภายใต้แสงไฟสลัว นางเดินไปข้างหน้าไปอีกหน่อยก็พบว่าได้มาถึงจุดสิ้นสุดอุโมงค์แล้ว ด้านหน้าเป็นประตูบานพับหิน มีรูปสัตว์ป่าแกะสลักขนาดมหึมาอยู่ด้านบน ปากของมันที่อ้าอยู่เผยให้เห็นเขี้ยวคมกริบ สิ่งที่ทำให้ซ่งชูอีประหลาดใจก็คือมีดาบทองสัมฤทธิ์อยู่ในปากของมัน

ผู้คนมีความเชื่อว่ารูปแบบของสุสานบรรพบุรุษจะส่งผลต่อคนรุ่นหลัง ดังนั้นซ่งชูอีจึงใช้มุมมองทางการเมืองค้นหาความนึกคิดของฉินเซี่ยวกง นางเชื่อว่าเซี่ยวกงเป็นองค์จวินที่เผด็จการและมีความทะเยอทะยานคนหนึ่ง เขาเข้าใจว่าหากรัฐแข็งแกร่งก็จะไม่มีสงคราม ดังนั้นเขาจึงทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจเพื่อเสริมสร้างบ้านเมืองให้เข้มแข็ง กำลังทหารคือสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ สำหรับผู้ปกครองใต้หล้าในอนาคต! หากเขาต้องการปกป้องต้าฉินให้แข็งแกร่งแม้หลังความตาย เช่นนั้นเหล่าอาวุธดาบทั้งหมดควรอยู่ในที่ที่ใกล้กับโลงศพมากที่สุด

เช่นนั้นเบื้องหลังประตูหินแกะสลักอันยิ่งใหญ่นี้จะต้องเป็นห้องเก็บอาวุธและหีบศพแน่ เป็นสถานที่ที่ไม่สามารถละเมิดได้ที่สุดในสุสานทั้งหมด!

ซ่งชูอีไม่มีความคิดที่จะเข้าไปข้างหน้าอีก รู้สึกว่ามีดาบทองสัมฤทธิ์ก็เพียงพอแล้ว ทว่าการที่ดาบเล่มนี้วางอยู่ตรงนี้คงไม่ได้เป็นเพียงเครื่องตกแต่งกระมัง?

หลังจากมองไปรอบๆ นางก็ลองหยิบดาบขึ้นมาอย่างระมัดระวัง

อย่างไรก็ดีทันทีที่ดาบทองสัมฤทธิ์น้ำหนักมากถูกขยับ จู่ๆ ก็มีเสียงแครกๆ รอบด้าน ซ่งชูอีตกใจรีบวางดาบกลับไปที่เดิม

เสียงนั้นหยุดลงทันที

ซ่งชูอีถอนหายใจ อย่างไรเสียก็อย่าโลภจะดีกว่า! ประตูบานนี้ปกป้องรากฐานของต้าฉิน จะต้องไม่มีทางราบรื่นเหมือนก่อนหน้านี้แน่ นางมีขนสัตว์ ทั้งยังมีเครื่องทองสัมฤทธิ์และเครื่องปั้นดินเผาที่สามารถใช้งานได้ เท่านี้เซี่ยวกงก็เมตตามากแล้ว!

ซ่งชูอีกำแส้แน่น หมุนตัวกลับมา

“ซ่งหวยจิน!”

ในขณะที่กำลังจะถึงท้องพระโรงเล็ก เสียงของตู้เหิงก็ดังมาจากทางเข้าอุโมงค์

ซ่งชูอีหยุดเดิน

ตู้เหิงเอ่ยเสียงดัง “บัดนี้ข้าได้สั่งให้คนปิดช่องระบายอากาศหมดแล้ว ไม่มีทางเข้าออก หากตอนนี้เจ้ายอมออกมาวาดแผนภูมิหน้าไม้และบอกตำแหน่งของตราทหารละก็ ข้าก็จะปล่อยเจ้าออกไป!”

เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ข้าจะรอเจ้าแค่ครึ่งชั่วยาม หลังครึ่งชั่วยาม ข้าจะปิดตายทางออก”

ซ่งชูอีขมวดคิ้วเล็กน้อย

นางไม่สงสัยเลยว่าตู้เหิงกำลังล้อเล่น หากนางไม่ออกไป ไม่แน่ว่าเขาอาจจะปิดตายทางออกจริงๆ ทว่าตู้เหิงก็ไม่มีทางปล่อยนางอย่างแน่นอน

ในเมื่อไม่ว่าเลือกทางใดก็ตาย ก็ลองสู้เสียหน่อยดีกว่า ตู้เหิงสั่งให้คนตรวจชีพจรนางหลายรอบ จะต้องรู้ว่านางตั้งครรภ์แน่ เกรงว่ากำลังรอที่จะใช้เรื่องนี้โจมตีนางอยู่กระมัง!

“เจ้า…” ซ่งชูอีเดาว่าประเดี๋ยวเขาก็จะใช้เรื่องตั้งครรภ์มาข่มขู่ นางจึงชิงลงมือก่อน

เมื่อตัดสินใจแล้ว นางก็จงใจทำให้เสียงของตัวเองอ่อนแอลง “เจ้าให้คนเข้ามาแบกข้าออกไปที ข้าปวดท้องเหลือเกิน หากเจ้าปกป้องลูกของข้า ข้าจะบอกเจ้าทุกอย่าง ข้าอยู่หน้าประตูหลุมฝังศพห้องที่ห้าทางขวามือ”

ตู้เหิงไร้สุ้มเสียง

ซ่งชูอีรู้ว่าเขากำลังลังเล จึงไม่ได้สนใจเขาอีก กลับไปยังหน้าประตูสุสานที่ห้า เปิดประตูแล้วเข้าไปในช่องว่าง พาตัวเองเข้าไปในห้องตรงข้ามที่มีเครื่องทองสัมฤทธิ์และเครื่องปั้นดินเผาเมื่อครู่ หยิบชิ้นส่วนขึ้นมาสองสามชิ้นใส่กระเป๋า จากนั้นก็หาเครื่องทองสัมฤทธิ์สองสามชิ้นที่มีขนาดเหมาะสมวางไว้หลังประตู หยิบขาตั้งทองแดงสามขาขนาดเล็กออกมาจากในนั้น ขณะที่กำลังจะกลับไปยังอุโมงค์ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา

ไอ้สารเลว ช่างตัดสินใจได้เร็วเหลือเกิน!

นางลอบด่าในใจ รีบเข้าไปใกล้ประตู ดับคบเพลิงที่อยู่ในมือ

เสียงฝีเท้านั้นใกล้เข้ามาทุกที ซ่งชูอีสามารถมองเห็นแสงไฟวูบไหวผ่านช่องว่างของประตู นางกลั้นหายใจ สามารถแยกแยะเสียงฝีเท้าได้อย่างชัดเจนว่ามีกันสองคน

เมื่อทั้งสองคนเห็นว่าประตูสุสานห้องหนึ่งแง้มเปิดอยู่ก็ชะงักฝีเท้าตามคาด เอาไฟส่องดูรอยเท้าบนพื้น

ห้องสุสานตัดขาดจากทางโลก เดิมทีก็มีฝุ่นไม่มาก อีกทั้งห้องนี้ก็ยังถูกซ่งชูอีเดินกลับไปกลับมาหลายรอบ ไม่สามารถแยกแยะร่องรอยได้เลย

“ซ่งหวยจิน!” ผู้หญิงคนหนึ่งส่งเสียงเรียก

ไม่มีใครขานรับ

สองคนนั้นโลเลครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินตามกันเข้าไป

ซ่งชูอีเห็นเงาชัดเจนว่าเป็นชายและหญิง ไม่มีทางที่ตู้เหิงจะเข้ามาด้วยตัวเอง เช่นนั้นจะต้องเป็นทหารคุ้มกันกับหนึ่งในสาวใช้เป็นแน่

ห้องสุสานตรงข้ามนั้นใหญ่มาก ซ่งชูอีเห็นว่าแสงไฟนั้นยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ก็ปลดเศษผ้าที่ใช้ทำเป็นคบเพลิงในตอนแรกแล้วคลำหาเพลาประตู

ไขมันปลาฉลามนั้นมหัศจรรย์ยิ่ง เมื่อห่อด้วยผ้าก็สามารถติดไฟได้ แต่ไม่ทำให้ผ้าไหม้เลย

นางเปิดประตูแผ่วเบา วิ่งไปที่ประตูสุสานฝั่งตรงข้ามอย่างรวดเร็วพร้อมอุ้มเครื่องทองสัมฤทธิ์ในมือ

ทั้งสองคนค้นหาอยู่ในห้องสุสานครู่ใหญ่ พบเพียงรอยเท้าจางๆ จึงหมุนตัวเดินกลับออกมา

ซ่งชูอีเห็นว่าแสงไฟที่ส่องอยู่บนพื้นใกล้เข้ามาทุกทีก็ยกเครื่องทองสัมฤทธิ์ขึ้นช้าๆ บังคับลมหายใจให้ช้าลง

สาวใช้เป็นคนออกมาก่อน ซ่งชูอีชูเครื่องทองสัมฤทธิ์ขึ้นแล้วฟาดไปที่ศีรษะของนางโดยไม่ยั้งคิด

ผู้หญิงคนนั้นส่งเสียงอู้อี้ มือหนึ่งค้ำวงกบประตูไว้

จากนั้นซ่งชูอีก็ฟาดขาตั้งทองแดงสามขาลงไปอย่างแรง หากครั้งนี้ฟาดโดน สาวใช้คนนั้นก็จะตายอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าน่าเสียดายที่ทันทีที่ทหารคุ้มกันคนนั้นสะบัดมือ ขาตั้งสามขาก็ปลิวลอยไปแล้ว

อย่างไรก็ดีในมือของเขาถือเพียงตะเกียงน้ำมันธรรมดาเท่านั้น ด้วยการเคลื่อนไหวนี้ไฟจึงดับลงกะทันหัน

ซ่งชูอีเบี่ยงตัวหลบเข้าไปในห้องสุสานเดิม อุ้มเครื่องทองสัมฤทธิ์ที่ตนวางไว้ก่อนหน้านี้ขึ้นมา

เสียงฝีเท้าหยุดอยู่หน้าประตู ประตูถูกผลักเปิดเบาๆ

ซ่งชูอีไม่ได้ยินเสียงฝีเท้า มีความเป็นไปได้มากว่าเขาใช้ดาบเปิดประตู ซ่งชูอีกระตุกมุมปากยิ้ม ขว้างเครื่องทองสัมฤทธิ์ในมือออกไป จากนั้นก็นั่งยองๆ อย่างรวดเร็วแล้วหยิบอีกอันขึ้นมา

หลังจากได้ยินเสียงฝีเท้า ก็ฟาดลงไปอีกครั้ง

ทหารคุ้มกันคนนั้นส่งเสียงอู้อี้ หูของซ่งชูอีจับเสียงได้อย่างแม่นยำ นางดึงแส้ออกมาแล้วสะบัดออกไป

เสียงแหลมคมที่แหวกว่ายผ่านอากาศดังขึ้นในความมืด ทหารคุ้มกันผู้นั้นไม่รู้ว่ามันคืออะไร เบี่ยงตัวหลบอัตโนมัติ

นางฟาดสองอยู่สามครั้ง จนทหารผู้คุ้มกันคนนั้นไม่รู้ว่าจะต้องหลบไปทางไหนดี

ซ่งชูอีไม่ปล่อยให้เขาได้มีเวลาตอบสนอง เบี่ยงตัวหลบออกไปแล้วปิดประตูตาม

ท่ามกลางความมืดเช่นนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากเป็นคนตาบอด หากไม่เข้าใจโครงสร้างภายในของที่แห่งนี้ก็ต้องต่อสู้กันสักพักจึงจะสามารถออกไปได้ นับประสาอะไรกับเขาคนนั้นที่เพิ่งถูกซ่งชูอีฟาดด้วยก้อนหินเมื่อไม่นานมานี้ คราวนี้ก็ยังโดนฟาดด้วยแส้อีก

ฟิ้ว!

นางเพิ่งจะก้าวออกมาจากประตู ลูกธนูก็เฉี่ยวแก้มของนางไป กระแสความร้อนพุ่งออกมาจากจุดที่ปวดแสบปวดร้อนนั้น

สาวใช้คนนั้นยังไม่ตาย ทั้งยังมีธนูอยู่ในมือด้วย!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ 328 ท่ามกลางความสิ้นหวัง (2)

Now you are reading กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ Chapter 328 ท่ามกลางความสิ้นหวัง (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ซ่งชูอีลูบคลำหน้าท้องส่วนล่าง จู่ๆ ก็รู้สึกว่าท้องนี้มิได้ผอมลงสักเท่าไร

เมื่อหิวถึงระดับหนึ่ง ก็ควรจะผอมแห้งติดกระดูกไม่ใช่หรือ?

ท่ามกลางความเงียบงัน นางเม้มปากเล็กน้อย ละมือออกมาจากท้องน้อยนั้นแล้ววางลงบนข้อมือ

นางนึกได้ว่ายาระงับความเป็นผู้หญิงที่ตนกินนั้นไม่มีผลตั้งแต่เมื่อเมื่อปีกลายแล้ว หลังจากนั้นเป็นต้นมาทรวงอกของนางก็เริ่มมีหลุมฝังศพเล็กๆ ปูดขึ้น และยังมีประจำเดือนอีกด้วย

หลังจากที่ชูหลี่จี๋จับชีพจรให้นางก็บอกว่าร่างกายของนางไม่แข็งแรง การตั้งครรภ์จะเป็นเรื่องที่ลำบากยิ่ง หากกินยาคุมกำเนิดอีกก็จะยิ่งเป็นผลเสียต่อร่างกาย และเมื่อกินเข้าไปเป็นเวลานานก็อาจไม่สามารถคลอดบุตรได้อีก

ซ่งชูอีไม่เคยคิดเรื่องการทำหมันจึงหยุดยา นางแอบวางแผนไว้แล้วว่าหากบังเอิญตั้งครรภ์ก็จะจัดฉากว่าป่วยและให้กำเนิดบุตร เพียงแต่ประจำเดือนของนางมาไม่สม่ำเสมอ ทั้งปีนี้มาทั้งหมดสี่ถึงห้าครั้งเท่านั้นและไม่เคยตั้งครรภ์ด้วย

ใครจะไปรู้…

ในเวลานี้นางคลำไม่เจอว่ากี่เดือนแล้วและไม่สามารถวินิจฉัยอย่างอื่นได้เลย ทว่าดูจากสภาพของจังหวะชีพจรและท้องก็ยืนยันได้แล้วว่าตนตั้งครรภ์อย่างแน่นอน

ซ่งชูอีทอดถอนใจ ลูกของข้า เจ้าจะได้ร่วมสนุกด้วยเป็นแน่!

เมื่อความประหลาดใจผ่านพ้นไป ซ่งชูอีก็วางแผนการให้ตัวเอง เดิมทีนางตั้งใจที่จะหลบอยู่ที่นี่ จากนั้นค่อยฉวยโอกาสกลับไปที่ห้องโถงใหญ่เพื่อหาทางออกอีกครั้ง บัดนี้แม้ว่านางจะสามารถอดทนได้ด้วยความตั้งใจอันแรงกล้าก็ตาม แต่เกรงว่าเด็กจะทนไม่ไหว นางจะต้องหาทางออกโดยเร็วที่สุด

ภายในห้องสุสานจะต้องมีสิ่งของที่ถูกฝังไปพร้อมกับผู้ตาย ตอนที่เซี่ยวกงยังหนุ่มก็เป็นแม่ทัพกล้าคนหนึ่ง สิ่งของเหล่านั้นจะต้องไม่ขาดจำพวกง้วงดาบเป็นแน่หรืออาจมีแม้กระทั่งหน้าไม้ เพราะซ่งชูอีนึกถึงจุดนี้ขึ้นมาได้นางจึงเข้ามา

นางลุกขึ้น มือหนึ่งกุมส่วนท้องไว้ อีกมือหนึ่งขูดกำแพงเบาๆ ด้วยเล็บพร้อมเดินไปข้างหน้า

เมื่อเดินออกมาได้ประมาณสิบจั้ง เล็บก็ว่างเปล่า หัวใจของซ่งชูอีบบีบแน่น จากนั้นก็ตามมาด้วยความยินดีที่กลั้นไว้ไม่อยู่ นางยื่นเท้าออกไปสำรวจ มันคือประตูหลุมฝังศพจริงๆ

โลงศพไม่น่าจะถูกวางบริเวณใกล้กับห้องสุสาน โดยมากน่าจะเป็นสถานที่สำหรับข้าวของที่ฝังไปพร้อมกับศพ

เมื่อไม่รู้สิ่งที่อยู่เบื้องหน้า หัวใจย่อมหวาดกลัวอย่างไม่ต้องสงสัย ยิ่งคนที่เชื่อในเรื่องผีและเทพเจ้าอย่างซ่งชูอีก็ไม่มีข้อยกเว้น นางกัดฟัน ห่อมือด้วยแขนเสื้อคลุมและคลำทางไปช้าๆ

เอี๊ยด!

ครั้นประตูลานพับคลายตัว เสียงของเพลาประตูที่ดังขึ้นฉับพลันนั้นชัดเจนเป็นพิเศษในความเงียบสงัด ทันใดนั้นหัวใจของซ่งชูอีก็เต้นรัว

นางบังคับตัวเองให้หายใจช้าลง ยืนอยู่หน้าประตูครู่หนึ่งก่อนที่จะเข้าไปในช่องว่างของประตูที่เปิดอยู่

ภายในห้องสุสานยังคงมิดสนิท แม้เพียงแสงไฟอันน้อยนิดจากหิ่งห้อยก็ไม่มี เสียงเดียวที่ดังขึ้นที่นี่คือเสียงการเคลื่อนไหวของนาง

ซ่งชูอีก็รู้สึกว่าเสียงเหล่านี้ก้องกังวานเล็กน้อยซึ่งแสดงให้เห็นว่าพื้นที่นี้ใหญ่มาก และเป็นไปได้มากว่ามันคือท้องพระโรงแห่งหนึ่ง นางไม่กล้าเดินไปทั่วเพราะว่าจะหาประตูไม่เจอตอนกลับมา ดังนั้นนางจึงขูดเล็บไปตามผนังพร้อมกับเดินไปข้างหน้าเหมือนก่อนหน้านี้

ที่นี่ห่างจากห้องโถงพระราชวังด้านหลังไกลมาก น่าจะเพียงเอาไว้เก็บสิ่งของที่ฝังไปพร้อมกับศพทั่วไป ไม่ได้มีกลไกอะไร

เดินไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ ข้างหน้าก็มีบางอย่างกีดขวางเส้นทาง

ซ่งชูอียังคงห่อมือด้วยแขนเสื้อแล้วลูบคลำเช่นเคย สัมผัสเย็นเยียบทะลุผ่านเสื้อผ้า เห็นได้ชัดว่าเป็นชิ้นเล็บ อวัยวะชัดเจน ตัวสูงกว่าซ่งชูอีประมาณครึ่งศีรษะ

นี่คือมนุษย์ชัดๆ!

ซ่งชูอีไม่ได้รู้สึกประหลาดใจจนเกินไป นางรู้ว่าหลังจากรัฐฉินมีการปฏิรูปกฎหมายแล้วก็สั่งห้ามมิให้ฝังคนเป็นไปพร้อมกับศพอีก ทว่าบรรดาผู้สูงศักดิ์กลัวว่าจะไม่มีใครปรนนิบัติในปรโลก จึงหาวิธี…แกะสลักและหล่อรูปคล้ายมนุษย์แทน

ซ่งชูอีลูบไล้ไปตามแขนของรูปปั้นแกะสลัก พบว่ามันถือง้าวยาวเล่มหนึ่งและง้าวนี้ยังทำมาจากวัสดุเดียวกันกับรูปปั้น สามารถหมุนได้แต่ไม่สามารถถอดออกได้เลย

นางหมุนไปมาอยู่ครู่หนึ่งก็ทำได้เพียงยอมแพ้ อ้อมรูปปั้นแกะสลักเพื่อเดินต่อ เพิ่งจะเดินได้เพียงไม่กี่ก้าวก็มีเสียงพรึ่บดังขึ้นด้านหลัง

นางตื่นตกใจ หมอบลงอย่างรวดเร็ว

ผ่านไปสักพักก็ไม่มีกลไกใด ซ่งชูอีเงยหน้าขึ้น พบว่าในท้องพระโรงมีแสงสลัว นางอดที่จะหันกลับไปมองมิได้ ที่แท้สิ่งที่รูปปั้นทหารสองตัวหน้าประตูถืออยู่ในมือมิใช่ง้าวยาวทว่าเป็นตะเกียงและตะเกียงนั้นก็เป็นกลไกที่ถูกนางหมุนไปมาหลายรอบ เปลวไฟสีน้ำเงินจางๆ จึงจุดขึ้นโดยอัตโนมัติซึ่งเป็นสีเดียวกันกับตะเกียงไฟอมตะสองดวงหน้าประตูไม่มีผิดเพี้ยน

แสงไฟนี้ไม่สามารถส่องสว่างได้ทั่วทั้งท้องพระโรง ซ่งชูอีรออยู่ครู่หนึ่งก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ นางจึงลุกขึ้นและเดินกลับไปที่รูปปั้นทหารอีกตัว หมุนตะเกียงในมือของมัน ไม่นานไฟก็สว่างขึ้นมาจริงๆ

ในพระราชวังก็มีไฟประเภทนี้เช่นกัน เพียงแต่เชื้อจุดไฟจะถูกเก็บอยู่ในด้ามจับไฟ เมื่อบิดหมุนมันขึ้นมาจนด้านบนสัมผัสกับไส้ตะเกียง ไส้ตะเกียงก็จะสว่างขึ้น แต่โดยทั่วไปแล้วไฟประเภทนี้ไม่สว่างมากนัก เนื่องจากเชื้อจุดไฟถูกวางไว้เหนือไส้ตะเกียง ตัวหมุนก็น่าจะอยู่เหนือไส้ตะเกียงด้วย สิ่งมหัศจรรย์ของตะเกียงนี้ก็คือ แม้จะหมุนด้ามจับไฟที่อยู่ด้านล่างก็จะทำให้ไฟด้านบนสว่างขึ้นเช่นกัน!

ไฟสองดวงส่องสว่างสิ่งต่างๆ ภายในรัศมีสามถึงสี่จั้ง

ท้องพระโรงมีเสาแปดต้น มีม่านไม้ไผ่ห้อยลงมาระหว่างเสา สามารถมองเห็น “เงาของคน” ภายในที่กำลังก้มด้วยความเคารพเลือนราง

ซ่งชูอีเลิกผ้าม่านที่อยู่ใกล้พระที่นั่งหลักออกแล้วมองไปยังท้องพระโรง

คนรับใช้หินแกะสลักไม่กี่คนยืนอยู่สองข้างทาง พวกเขาเหมือนคนที่มีชีวิต ใบหน้าเหมือนจริง สองมือกุมหน้าท้องพร้อมถือตะเกียง

ซ่งชูอีผิดหวังเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าท้องพระโรงเช่นนี้ไม่ใช่สถานที่จัดแสดงอาวุธที่ถูกฝังไปพร้อมกับศพ นางเดินไปรอบๆ อย่างระมัดระวังครู่หนึ่งก็ไม่พบดาบสักเล่ม

นางเห็นว่ามีเอกสารไผ่อยู่บนโต๊ะ ก็หยิบม้วนที่บางหน่อยขึ้นมา ออกแรงฉีกชายเสื้อของตัวเอง เอาไขมันปลาฉลามมาจากตะเกียงของคนรับใช้แล้วจุดไฟ

ทันทีที่ไฟถูกจุดสว่าง หางตาของนางก็เหลือบไปเห็นแถบดำทะมึนหลังผนังแกะสลัก จึงถือไฟเดินเข้าไปใกล้

ข้างในเป็นห้องเล็กๆ มีโต๊ะหินและชั้นหนังสือสองสามหลัง ซ่งชูอีจำได้ว่ามันคือท้องพระโรงหลัง ในพระราชวังในเสียนหยางก็มี นอกจากอิ๋งซื่อจะไปมุมหอคอยแล้วก็ยังมักจะงีบที่นี่หรืออ่านทวนบันทึกฉินเป็นประจำ เมื่อนึกถึงตรงนี้ ความหวาดกลัวในใจของนางจึงลดลงไปไม่น้อย

นางจำได้ว่าด้านตะวันออกของห้องนี้เป็นบานประตูแกะสลัก เมื่อเปิดประตูออกไปก็จะเป็นศาลากลางน้ำที่แผ่ขยายไปถึงกลางทะเลสาบ ด้านตะวันตกก็มีประตูเช่นกันซึ่งทะลุกับทางเดินที่นำไปสู่วังหลัง นางเข้าใกล้กำแพงฝั่งตะวันออกตามความทรงจำ รู้สึกยินดียิ่งเมื่อเห็นว่ามันคือประตูแกะสลักจริงๆ

ประตูไม่มีกลอน เมื่อผลักเบาๆ มันก็เปิดออกแล้ว ข้างนอกมีศาลากลางน้ำตามคาดทว่าไม่มีทะเลสาบอะไรนั่น! ราวกับโดยรอบถูกปิดทับด้วยผ้าม่าน ซ่งชูอีรู้สึกผิดหวังอย่างยิ่ง เอื้อมมือเลิกผ้าม่านด้านข้างออกเป็นช่องว่าง

แสงสีฟ้าจางๆ เล็ดลอดเข้ามาและตกกระทบอยู่บนพื้น

ซ่งชูอีตกตะลึง ก้าวเท้าเดินผ่านสถานที่กลวงๆ อย่างรวดเร็ว นางมองออกไปข้างนอก สามารถมองเห็นท้องพระโรงจากที่สูงได้อย่างแท้จริง!

ซ่งชูอีเข้าใจในทันทีว่าที่แห่งนี้แตกต่างจากพระราชวังเสียนหยางเล็กน้อย เมื่อเดินอ้อมไปก็สามารถเชื่อมท้องพระโรงเล็กกับท้องพระโรงหลักเข้าไว้ด้วยกัน และนี่คือพระที่นั่งหลักของท้องพระโรงใหญ่อย่างแท้จริง

นางคลำหากลอนประตู สำรวจมันอยู่ครู่หนึ่ง คิดไม่ถึงว่ามันสามารถเปิดออกไปได้…

ซ่งชูอีดีใจจนแทบคลั่ง ทว่าในไม่ช้าก็สงบลง พวกเขามีคนมาก ต่อให้หนีออกไปตอนนี้ก็ยังเหมือนแพะวิ่งเข้าปากเสือ

เนื่องจากตู้เหิงไม่มีแผนที่ส่วนหลังและไม่ได้เข้ามาจับนางถึงที่นี่ แสดงว่าเขาไม่รู้เส้นทางนี้

นางต้องใช้การล่าถอยนี้เพื่อหลอกล่อให้พวกเขาเข้าไปในอุโมงค์ กำจัดไปสักคนสองคนจึงจะมีความหวังในการหนีรอด

ครั้นมีความหวัง ทั้งร่างกายของซ่งชูอีก็เปี่ยมด้วยกำลังวังชา ยกมือขึ้นลูกคลำท้อง รีบกลับไปยังท้องพระโรงเล็ก ดับไฟในมือของรูปปั้นทหารแกะสลักของดวงนั้นแล้วกลับไปในอุโมงค์

อุโมงค์เส้นนี้มีความยาวประมาณสี่สิบกว่าจั้ง ห้องโถงเล็กก่อนหน้านี้กินพื้นที่ไปมาก ส่วนห้องอื่นๆ อยู่ใกล้กันมาก ข้างในจะมีพวกข้าวของเครื่องใช้ในสมัยที่เซี่ยวกงยังมีชีวิตอยู่ นางเดินกลับไปกลับมาในทางเดินของสุสานหลายครั้งเพื่อตรวจสอบสุสานทั้งหมดอย่างรอบคอบ นอกเหนือจากเครื่องใช้ในการดำรงชีวิตอื่นๆ เช่น เครื่องทองสัมฤทธิ์ เครื่องปั้นดินเผา และเครื่องไม้แล้วก็ไม่มีสมบัติทองและเงินใดๆ อีกทั้งไม่มีหน้าไม้ดาบง้าวอย่างที่ซ่งชูอีต้องการ

ทว่านางก็ยังเจอเสื้อผ้าจำนวนมาก หนึ่งในนั้นมีแม้กระทั่งขนหมาป่าตัวหนึ่ง!

ซ่งชูอีลังเลครู่หนึ่งทว่าก็ยังสวมเสื้อขนหมาป่าตัวนั้นเพื่อปกป้องส่วนท้อง เมื่อขนหมาป่าถูกนำออกมา ซ่งชูอีก็เห็นแส้หนังอยู่ใต้กล่อง จึงหยิบมันขึ้นมาด้วย

ซ่งชูอีกำลังจะกลับ กลับเห็นอะไรบางอย่างไม่ไกลภายใต้แสงไฟสลัว นางเดินไปข้างหน้าไปอีกหน่อยก็พบว่าได้มาถึงจุดสิ้นสุดอุโมงค์แล้ว ด้านหน้าเป็นประตูบานพับหิน มีรูปสัตว์ป่าแกะสลักขนาดมหึมาอยู่ด้านบน ปากของมันที่อ้าอยู่เผยให้เห็นเขี้ยวคมกริบ สิ่งที่ทำให้ซ่งชูอีประหลาดใจก็คือมีดาบทองสัมฤทธิ์อยู่ในปากของมัน

ผู้คนมีความเชื่อว่ารูปแบบของสุสานบรรพบุรุษจะส่งผลต่อคนรุ่นหลัง ดังนั้นซ่งชูอีจึงใช้มุมมองทางการเมืองค้นหาความนึกคิดของฉินเซี่ยวกง นางเชื่อว่าเซี่ยวกงเป็นองค์จวินที่เผด็จการและมีความทะเยอทะยานคนหนึ่ง เขาเข้าใจว่าหากรัฐแข็งแกร่งก็จะไม่มีสงคราม ดังนั้นเขาจึงทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจเพื่อเสริมสร้างบ้านเมืองให้เข้มแข็ง กำลังทหารคือสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ สำหรับผู้ปกครองใต้หล้าในอนาคต! หากเขาต้องการปกป้องต้าฉินให้แข็งแกร่งแม้หลังความตาย เช่นนั้นเหล่าอาวุธดาบทั้งหมดควรอยู่ในที่ที่ใกล้กับโลงศพมากที่สุด

เช่นนั้นเบื้องหลังประตูหินแกะสลักอันยิ่งใหญ่นี้จะต้องเป็นห้องเก็บอาวุธและหีบศพแน่ เป็นสถานที่ที่ไม่สามารถละเมิดได้ที่สุดในสุสานทั้งหมด!

ซ่งชูอีไม่มีความคิดที่จะเข้าไปข้างหน้าอีก รู้สึกว่ามีดาบทองสัมฤทธิ์ก็เพียงพอแล้ว ทว่าการที่ดาบเล่มนี้วางอยู่ตรงนี้คงไม่ได้เป็นเพียงเครื่องตกแต่งกระมัง?

หลังจากมองไปรอบๆ นางก็ลองหยิบดาบขึ้นมาอย่างระมัดระวัง

อย่างไรก็ดีทันทีที่ดาบทองสัมฤทธิ์น้ำหนักมากถูกขยับ จู่ๆ ก็มีเสียงแครกๆ รอบด้าน ซ่งชูอีตกใจรีบวางดาบกลับไปที่เดิม

เสียงนั้นหยุดลงทันที

ซ่งชูอีถอนหายใจ อย่างไรเสียก็อย่าโลภจะดีกว่า! ประตูบานนี้ปกป้องรากฐานของต้าฉิน จะต้องไม่มีทางราบรื่นเหมือนก่อนหน้านี้แน่ นางมีขนสัตว์ ทั้งยังมีเครื่องทองสัมฤทธิ์และเครื่องปั้นดินเผาที่สามารถใช้งานได้ เท่านี้เซี่ยวกงก็เมตตามากแล้ว!

ซ่งชูอีกำแส้แน่น หมุนตัวกลับมา

“ซ่งหวยจิน!”

ในขณะที่กำลังจะถึงท้องพระโรงเล็ก เสียงของตู้เหิงก็ดังมาจากทางเข้าอุโมงค์

ซ่งชูอีหยุดเดิน

ตู้เหิงเอ่ยเสียงดัง “บัดนี้ข้าได้สั่งให้คนปิดช่องระบายอากาศหมดแล้ว ไม่มีทางเข้าออก หากตอนนี้เจ้ายอมออกมาวาดแผนภูมิหน้าไม้และบอกตำแหน่งของตราทหารละก็ ข้าก็จะปล่อยเจ้าออกไป!”

เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ข้าจะรอเจ้าแค่ครึ่งชั่วยาม หลังครึ่งชั่วยาม ข้าจะปิดตายทางออก”

ซ่งชูอีขมวดคิ้วเล็กน้อย

นางไม่สงสัยเลยว่าตู้เหิงกำลังล้อเล่น หากนางไม่ออกไป ไม่แน่ว่าเขาอาจจะปิดตายทางออกจริงๆ ทว่าตู้เหิงก็ไม่มีทางปล่อยนางอย่างแน่นอน

ในเมื่อไม่ว่าเลือกทางใดก็ตาย ก็ลองสู้เสียหน่อยดีกว่า ตู้เหิงสั่งให้คนตรวจชีพจรนางหลายรอบ จะต้องรู้ว่านางตั้งครรภ์แน่ เกรงว่ากำลังรอที่จะใช้เรื่องนี้โจมตีนางอยู่กระมัง!

“เจ้า…” ซ่งชูอีเดาว่าประเดี๋ยวเขาก็จะใช้เรื่องตั้งครรภ์มาข่มขู่ นางจึงชิงลงมือก่อน

เมื่อตัดสินใจแล้ว นางก็จงใจทำให้เสียงของตัวเองอ่อนแอลง “เจ้าให้คนเข้ามาแบกข้าออกไปที ข้าปวดท้องเหลือเกิน หากเจ้าปกป้องลูกของข้า ข้าจะบอกเจ้าทุกอย่าง ข้าอยู่หน้าประตูหลุมฝังศพห้องที่ห้าทางขวามือ”

ตู้เหิงไร้สุ้มเสียง

ซ่งชูอีรู้ว่าเขากำลังลังเล จึงไม่ได้สนใจเขาอีก กลับไปยังหน้าประตูสุสานที่ห้า เปิดประตูแล้วเข้าไปในช่องว่าง พาตัวเองเข้าไปในห้องตรงข้ามที่มีเครื่องทองสัมฤทธิ์และเครื่องปั้นดินเผาเมื่อครู่ หยิบชิ้นส่วนขึ้นมาสองสามชิ้นใส่กระเป๋า จากนั้นก็หาเครื่องทองสัมฤทธิ์สองสามชิ้นที่มีขนาดเหมาะสมวางไว้หลังประตู หยิบขาตั้งทองแดงสามขาขนาดเล็กออกมาจากในนั้น ขณะที่กำลังจะกลับไปยังอุโมงค์ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา

ไอ้สารเลว ช่างตัดสินใจได้เร็วเหลือเกิน!

นางลอบด่าในใจ รีบเข้าไปใกล้ประตู ดับคบเพลิงที่อยู่ในมือ

เสียงฝีเท้านั้นใกล้เข้ามาทุกที ซ่งชูอีสามารถมองเห็นแสงไฟวูบไหวผ่านช่องว่างของประตู นางกลั้นหายใจ สามารถแยกแยะเสียงฝีเท้าได้อย่างชัดเจนว่ามีกันสองคน

เมื่อทั้งสองคนเห็นว่าประตูสุสานห้องหนึ่งแง้มเปิดอยู่ก็ชะงักฝีเท้าตามคาด เอาไฟส่องดูรอยเท้าบนพื้น

ห้องสุสานตัดขาดจากทางโลก เดิมทีก็มีฝุ่นไม่มาก อีกทั้งห้องนี้ก็ยังถูกซ่งชูอีเดินกลับไปกลับมาหลายรอบ ไม่สามารถแยกแยะร่องรอยได้เลย

“ซ่งหวยจิน!” ผู้หญิงคนหนึ่งส่งเสียงเรียก

ไม่มีใครขานรับ

สองคนนั้นโลเลครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินตามกันเข้าไป

ซ่งชูอีเห็นเงาชัดเจนว่าเป็นชายและหญิง ไม่มีทางที่ตู้เหิงจะเข้ามาด้วยตัวเอง เช่นนั้นจะต้องเป็นทหารคุ้มกันกับหนึ่งในสาวใช้เป็นแน่

ห้องสุสานตรงข้ามนั้นใหญ่มาก ซ่งชูอีเห็นว่าแสงไฟนั้นยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ก็ปลดเศษผ้าที่ใช้ทำเป็นคบเพลิงในตอนแรกแล้วคลำหาเพลาประตู

ไขมันปลาฉลามนั้นมหัศจรรย์ยิ่ง เมื่อห่อด้วยผ้าก็สามารถติดไฟได้ แต่ไม่ทำให้ผ้าไหม้เลย

นางเปิดประตูแผ่วเบา วิ่งไปที่ประตูสุสานฝั่งตรงข้ามอย่างรวดเร็วพร้อมอุ้มเครื่องทองสัมฤทธิ์ในมือ

ทั้งสองคนค้นหาอยู่ในห้องสุสานครู่ใหญ่ พบเพียงรอยเท้าจางๆ จึงหมุนตัวเดินกลับออกมา

ซ่งชูอีเห็นว่าแสงไฟที่ส่องอยู่บนพื้นใกล้เข้ามาทุกทีก็ยกเครื่องทองสัมฤทธิ์ขึ้นช้าๆ บังคับลมหายใจให้ช้าลง

สาวใช้เป็นคนออกมาก่อน ซ่งชูอีชูเครื่องทองสัมฤทธิ์ขึ้นแล้วฟาดไปที่ศีรษะของนางโดยไม่ยั้งคิด

ผู้หญิงคนนั้นส่งเสียงอู้อี้ มือหนึ่งค้ำวงกบประตูไว้

จากนั้นซ่งชูอีก็ฟาดขาตั้งทองแดงสามขาลงไปอย่างแรง หากครั้งนี้ฟาดโดน สาวใช้คนนั้นก็จะตายอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าน่าเสียดายที่ทันทีที่ทหารคุ้มกันคนนั้นสะบัดมือ ขาตั้งสามขาก็ปลิวลอยไปแล้ว

อย่างไรก็ดีในมือของเขาถือเพียงตะเกียงน้ำมันธรรมดาเท่านั้น ด้วยการเคลื่อนไหวนี้ไฟจึงดับลงกะทันหัน

ซ่งชูอีเบี่ยงตัวหลบเข้าไปในห้องสุสานเดิม อุ้มเครื่องทองสัมฤทธิ์ที่ตนวางไว้ก่อนหน้านี้ขึ้นมา

เสียงฝีเท้าหยุดอยู่หน้าประตู ประตูถูกผลักเปิดเบาๆ

ซ่งชูอีไม่ได้ยินเสียงฝีเท้า มีความเป็นไปได้มากว่าเขาใช้ดาบเปิดประตู ซ่งชูอีกระตุกมุมปากยิ้ม ขว้างเครื่องทองสัมฤทธิ์ในมือออกไป จากนั้นก็นั่งยองๆ อย่างรวดเร็วแล้วหยิบอีกอันขึ้นมา

หลังจากได้ยินเสียงฝีเท้า ก็ฟาดลงไปอีกครั้ง

ทหารคุ้มกันคนนั้นส่งเสียงอู้อี้ หูของซ่งชูอีจับเสียงได้อย่างแม่นยำ นางดึงแส้ออกมาแล้วสะบัดออกไป

เสียงแหลมคมที่แหวกว่ายผ่านอากาศดังขึ้นในความมืด ทหารคุ้มกันผู้นั้นไม่รู้ว่ามันคืออะไร เบี่ยงตัวหลบอัตโนมัติ

นางฟาดสองอยู่สามครั้ง จนทหารผู้คุ้มกันคนนั้นไม่รู้ว่าจะต้องหลบไปทางไหนดี

ซ่งชูอีไม่ปล่อยให้เขาได้มีเวลาตอบสนอง เบี่ยงตัวหลบออกไปแล้วปิดประตูตาม

ท่ามกลางความมืดเช่นนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากเป็นคนตาบอด หากไม่เข้าใจโครงสร้างภายในของที่แห่งนี้ก็ต้องต่อสู้กันสักพักจึงจะสามารถออกไปได้ นับประสาอะไรกับเขาคนนั้นที่เพิ่งถูกซ่งชูอีฟาดด้วยก้อนหินเมื่อไม่นานมานี้ คราวนี้ก็ยังโดนฟาดด้วยแส้อีก

ฟิ้ว!

นางเพิ่งจะก้าวออกมาจากประตู ลูกธนูก็เฉี่ยวแก้มของนางไป กระแสความร้อนพุ่งออกมาจากจุดที่ปวดแสบปวดร้อนนั้น

สาวใช้คนนั้นยังไม่ตาย ทั้งยังมีธนูอยู่ในมือด้วย!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ 328 ท่ามกลางความสิ้นหวัง (2)

Now you are reading กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ Chapter 328 ท่ามกลางความสิ้นหวัง (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ซ่งชูอีลูบคลำหน้าท้องส่วนล่าง จู่ๆ ก็รู้สึกว่าท้องนี้มิได้ผอมลงสักเท่าไร

เมื่อหิวถึงระดับหนึ่ง ก็ควรจะผอมแห้งติดกระดูกไม่ใช่หรือ?

ท่ามกลางความเงียบงัน นางเม้มปากเล็กน้อย ละมือออกมาจากท้องน้อยนั้นแล้ววางลงบนข้อมือ

นางนึกได้ว่ายาระงับความเป็นผู้หญิงที่ตนกินนั้นไม่มีผลตั้งแต่เมื่อเมื่อปีกลายแล้ว หลังจากนั้นเป็นต้นมาทรวงอกของนางก็เริ่มมีหลุมฝังศพเล็กๆ ปูดขึ้น และยังมีประจำเดือนอีกด้วย

หลังจากที่ชูหลี่จี๋จับชีพจรให้นางก็บอกว่าร่างกายของนางไม่แข็งแรง การตั้งครรภ์จะเป็นเรื่องที่ลำบากยิ่ง หากกินยาคุมกำเนิดอีกก็จะยิ่งเป็นผลเสียต่อร่างกาย และเมื่อกินเข้าไปเป็นเวลานานก็อาจไม่สามารถคลอดบุตรได้อีก

ซ่งชูอีไม่เคยคิดเรื่องการทำหมันจึงหยุดยา นางแอบวางแผนไว้แล้วว่าหากบังเอิญตั้งครรภ์ก็จะจัดฉากว่าป่วยและให้กำเนิดบุตร เพียงแต่ประจำเดือนของนางมาไม่สม่ำเสมอ ทั้งปีนี้มาทั้งหมดสี่ถึงห้าครั้งเท่านั้นและไม่เคยตั้งครรภ์ด้วย

ใครจะไปรู้…

ในเวลานี้นางคลำไม่เจอว่ากี่เดือนแล้วและไม่สามารถวินิจฉัยอย่างอื่นได้เลย ทว่าดูจากสภาพของจังหวะชีพจรและท้องก็ยืนยันได้แล้วว่าตนตั้งครรภ์อย่างแน่นอน

ซ่งชูอีทอดถอนใจ ลูกของข้า เจ้าจะได้ร่วมสนุกด้วยเป็นแน่!

เมื่อความประหลาดใจผ่านพ้นไป ซ่งชูอีก็วางแผนการให้ตัวเอง เดิมทีนางตั้งใจที่จะหลบอยู่ที่นี่ จากนั้นค่อยฉวยโอกาสกลับไปที่ห้องโถงใหญ่เพื่อหาทางออกอีกครั้ง บัดนี้แม้ว่านางจะสามารถอดทนได้ด้วยความตั้งใจอันแรงกล้าก็ตาม แต่เกรงว่าเด็กจะทนไม่ไหว นางจะต้องหาทางออกโดยเร็วที่สุด

ภายในห้องสุสานจะต้องมีสิ่งของที่ถูกฝังไปพร้อมกับผู้ตาย ตอนที่เซี่ยวกงยังหนุ่มก็เป็นแม่ทัพกล้าคนหนึ่ง สิ่งของเหล่านั้นจะต้องไม่ขาดจำพวกง้วงดาบเป็นแน่หรืออาจมีแม้กระทั่งหน้าไม้ เพราะซ่งชูอีนึกถึงจุดนี้ขึ้นมาได้นางจึงเข้ามา

นางลุกขึ้น มือหนึ่งกุมส่วนท้องไว้ อีกมือหนึ่งขูดกำแพงเบาๆ ด้วยเล็บพร้อมเดินไปข้างหน้า

เมื่อเดินออกมาได้ประมาณสิบจั้ง เล็บก็ว่างเปล่า หัวใจของซ่งชูอีบบีบแน่น จากนั้นก็ตามมาด้วยความยินดีที่กลั้นไว้ไม่อยู่ นางยื่นเท้าออกไปสำรวจ มันคือประตูหลุมฝังศพจริงๆ

โลงศพไม่น่าจะถูกวางบริเวณใกล้กับห้องสุสาน โดยมากน่าจะเป็นสถานที่สำหรับข้าวของที่ฝังไปพร้อมกับศพ

เมื่อไม่รู้สิ่งที่อยู่เบื้องหน้า หัวใจย่อมหวาดกลัวอย่างไม่ต้องสงสัย ยิ่งคนที่เชื่อในเรื่องผีและเทพเจ้าอย่างซ่งชูอีก็ไม่มีข้อยกเว้น นางกัดฟัน ห่อมือด้วยแขนเสื้อคลุมและคลำทางไปช้าๆ

เอี๊ยด!

ครั้นประตูลานพับคลายตัว เสียงของเพลาประตูที่ดังขึ้นฉับพลันนั้นชัดเจนเป็นพิเศษในความเงียบสงัด ทันใดนั้นหัวใจของซ่งชูอีก็เต้นรัว

นางบังคับตัวเองให้หายใจช้าลง ยืนอยู่หน้าประตูครู่หนึ่งก่อนที่จะเข้าไปในช่องว่างของประตูที่เปิดอยู่

ภายในห้องสุสานยังคงมิดสนิท แม้เพียงแสงไฟอันน้อยนิดจากหิ่งห้อยก็ไม่มี เสียงเดียวที่ดังขึ้นที่นี่คือเสียงการเคลื่อนไหวของนาง

ซ่งชูอีก็รู้สึกว่าเสียงเหล่านี้ก้องกังวานเล็กน้อยซึ่งแสดงให้เห็นว่าพื้นที่นี้ใหญ่มาก และเป็นไปได้มากว่ามันคือท้องพระโรงแห่งหนึ่ง นางไม่กล้าเดินไปทั่วเพราะว่าจะหาประตูไม่เจอตอนกลับมา ดังนั้นนางจึงขูดเล็บไปตามผนังพร้อมกับเดินไปข้างหน้าเหมือนก่อนหน้านี้

ที่นี่ห่างจากห้องโถงพระราชวังด้านหลังไกลมาก น่าจะเพียงเอาไว้เก็บสิ่งของที่ฝังไปพร้อมกับศพทั่วไป ไม่ได้มีกลไกอะไร

เดินไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ ข้างหน้าก็มีบางอย่างกีดขวางเส้นทาง

ซ่งชูอียังคงห่อมือด้วยแขนเสื้อแล้วลูบคลำเช่นเคย สัมผัสเย็นเยียบทะลุผ่านเสื้อผ้า เห็นได้ชัดว่าเป็นชิ้นเล็บ อวัยวะชัดเจน ตัวสูงกว่าซ่งชูอีประมาณครึ่งศีรษะ

นี่คือมนุษย์ชัดๆ!

ซ่งชูอีไม่ได้รู้สึกประหลาดใจจนเกินไป นางรู้ว่าหลังจากรัฐฉินมีการปฏิรูปกฎหมายแล้วก็สั่งห้ามมิให้ฝังคนเป็นไปพร้อมกับศพอีก ทว่าบรรดาผู้สูงศักดิ์กลัวว่าจะไม่มีใครปรนนิบัติในปรโลก จึงหาวิธี…แกะสลักและหล่อรูปคล้ายมนุษย์แทน

ซ่งชูอีลูบไล้ไปตามแขนของรูปปั้นแกะสลัก พบว่ามันถือง้าวยาวเล่มหนึ่งและง้าวนี้ยังทำมาจากวัสดุเดียวกันกับรูปปั้น สามารถหมุนได้แต่ไม่สามารถถอดออกได้เลย

นางหมุนไปมาอยู่ครู่หนึ่งก็ทำได้เพียงยอมแพ้ อ้อมรูปปั้นแกะสลักเพื่อเดินต่อ เพิ่งจะเดินได้เพียงไม่กี่ก้าวก็มีเสียงพรึ่บดังขึ้นด้านหลัง

นางตื่นตกใจ หมอบลงอย่างรวดเร็ว

ผ่านไปสักพักก็ไม่มีกลไกใด ซ่งชูอีเงยหน้าขึ้น พบว่าในท้องพระโรงมีแสงสลัว นางอดที่จะหันกลับไปมองมิได้ ที่แท้สิ่งที่รูปปั้นทหารสองตัวหน้าประตูถืออยู่ในมือมิใช่ง้าวยาวทว่าเป็นตะเกียงและตะเกียงนั้นก็เป็นกลไกที่ถูกนางหมุนไปมาหลายรอบ เปลวไฟสีน้ำเงินจางๆ จึงจุดขึ้นโดยอัตโนมัติซึ่งเป็นสีเดียวกันกับตะเกียงไฟอมตะสองดวงหน้าประตูไม่มีผิดเพี้ยน

แสงไฟนี้ไม่สามารถส่องสว่างได้ทั่วทั้งท้องพระโรง ซ่งชูอีรออยู่ครู่หนึ่งก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ นางจึงลุกขึ้นและเดินกลับไปที่รูปปั้นทหารอีกตัว หมุนตะเกียงในมือของมัน ไม่นานไฟก็สว่างขึ้นมาจริงๆ

ในพระราชวังก็มีไฟประเภทนี้เช่นกัน เพียงแต่เชื้อจุดไฟจะถูกเก็บอยู่ในด้ามจับไฟ เมื่อบิดหมุนมันขึ้นมาจนด้านบนสัมผัสกับไส้ตะเกียง ไส้ตะเกียงก็จะสว่างขึ้น แต่โดยทั่วไปแล้วไฟประเภทนี้ไม่สว่างมากนัก เนื่องจากเชื้อจุดไฟถูกวางไว้เหนือไส้ตะเกียง ตัวหมุนก็น่าจะอยู่เหนือไส้ตะเกียงด้วย สิ่งมหัศจรรย์ของตะเกียงนี้ก็คือ แม้จะหมุนด้ามจับไฟที่อยู่ด้านล่างก็จะทำให้ไฟด้านบนสว่างขึ้นเช่นกัน!

ไฟสองดวงส่องสว่างสิ่งต่างๆ ภายในรัศมีสามถึงสี่จั้ง

ท้องพระโรงมีเสาแปดต้น มีม่านไม้ไผ่ห้อยลงมาระหว่างเสา สามารถมองเห็น “เงาของคน” ภายในที่กำลังก้มด้วยความเคารพเลือนราง

ซ่งชูอีเลิกผ้าม่านที่อยู่ใกล้พระที่นั่งหลักออกแล้วมองไปยังท้องพระโรง

คนรับใช้หินแกะสลักไม่กี่คนยืนอยู่สองข้างทาง พวกเขาเหมือนคนที่มีชีวิต ใบหน้าเหมือนจริง สองมือกุมหน้าท้องพร้อมถือตะเกียง

ซ่งชูอีผิดหวังเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าท้องพระโรงเช่นนี้ไม่ใช่สถานที่จัดแสดงอาวุธที่ถูกฝังไปพร้อมกับศพ นางเดินไปรอบๆ อย่างระมัดระวังครู่หนึ่งก็ไม่พบดาบสักเล่ม

นางเห็นว่ามีเอกสารไผ่อยู่บนโต๊ะ ก็หยิบม้วนที่บางหน่อยขึ้นมา ออกแรงฉีกชายเสื้อของตัวเอง เอาไขมันปลาฉลามมาจากตะเกียงของคนรับใช้แล้วจุดไฟ

ทันทีที่ไฟถูกจุดสว่าง หางตาของนางก็เหลือบไปเห็นแถบดำทะมึนหลังผนังแกะสลัก จึงถือไฟเดินเข้าไปใกล้

ข้างในเป็นห้องเล็กๆ มีโต๊ะหินและชั้นหนังสือสองสามหลัง ซ่งชูอีจำได้ว่ามันคือท้องพระโรงหลัง ในพระราชวังในเสียนหยางก็มี นอกจากอิ๋งซื่อจะไปมุมหอคอยแล้วก็ยังมักจะงีบที่นี่หรืออ่านทวนบันทึกฉินเป็นประจำ เมื่อนึกถึงตรงนี้ ความหวาดกลัวในใจของนางจึงลดลงไปไม่น้อย

นางจำได้ว่าด้านตะวันออกของห้องนี้เป็นบานประตูแกะสลัก เมื่อเปิดประตูออกไปก็จะเป็นศาลากลางน้ำที่แผ่ขยายไปถึงกลางทะเลสาบ ด้านตะวันตกก็มีประตูเช่นกันซึ่งทะลุกับทางเดินที่นำไปสู่วังหลัง นางเข้าใกล้กำแพงฝั่งตะวันออกตามความทรงจำ รู้สึกยินดียิ่งเมื่อเห็นว่ามันคือประตูแกะสลักจริงๆ

ประตูไม่มีกลอน เมื่อผลักเบาๆ มันก็เปิดออกแล้ว ข้างนอกมีศาลากลางน้ำตามคาดทว่าไม่มีทะเลสาบอะไรนั่น! ราวกับโดยรอบถูกปิดทับด้วยผ้าม่าน ซ่งชูอีรู้สึกผิดหวังอย่างยิ่ง เอื้อมมือเลิกผ้าม่านด้านข้างออกเป็นช่องว่าง

แสงสีฟ้าจางๆ เล็ดลอดเข้ามาและตกกระทบอยู่บนพื้น

ซ่งชูอีตกตะลึง ก้าวเท้าเดินผ่านสถานที่กลวงๆ อย่างรวดเร็ว นางมองออกไปข้างนอก สามารถมองเห็นท้องพระโรงจากที่สูงได้อย่างแท้จริง!

ซ่งชูอีเข้าใจในทันทีว่าที่แห่งนี้แตกต่างจากพระราชวังเสียนหยางเล็กน้อย เมื่อเดินอ้อมไปก็สามารถเชื่อมท้องพระโรงเล็กกับท้องพระโรงหลักเข้าไว้ด้วยกัน และนี่คือพระที่นั่งหลักของท้องพระโรงใหญ่อย่างแท้จริง

นางคลำหากลอนประตู สำรวจมันอยู่ครู่หนึ่ง คิดไม่ถึงว่ามันสามารถเปิดออกไปได้…

ซ่งชูอีดีใจจนแทบคลั่ง ทว่าในไม่ช้าก็สงบลง พวกเขามีคนมาก ต่อให้หนีออกไปตอนนี้ก็ยังเหมือนแพะวิ่งเข้าปากเสือ

เนื่องจากตู้เหิงไม่มีแผนที่ส่วนหลังและไม่ได้เข้ามาจับนางถึงที่นี่ แสดงว่าเขาไม่รู้เส้นทางนี้

นางต้องใช้การล่าถอยนี้เพื่อหลอกล่อให้พวกเขาเข้าไปในอุโมงค์ กำจัดไปสักคนสองคนจึงจะมีความหวังในการหนีรอด

ครั้นมีความหวัง ทั้งร่างกายของซ่งชูอีก็เปี่ยมด้วยกำลังวังชา ยกมือขึ้นลูกคลำท้อง รีบกลับไปยังท้องพระโรงเล็ก ดับไฟในมือของรูปปั้นทหารแกะสลักของดวงนั้นแล้วกลับไปในอุโมงค์

อุโมงค์เส้นนี้มีความยาวประมาณสี่สิบกว่าจั้ง ห้องโถงเล็กก่อนหน้านี้กินพื้นที่ไปมาก ส่วนห้องอื่นๆ อยู่ใกล้กันมาก ข้างในจะมีพวกข้าวของเครื่องใช้ในสมัยที่เซี่ยวกงยังมีชีวิตอยู่ นางเดินกลับไปกลับมาในทางเดินของสุสานหลายครั้งเพื่อตรวจสอบสุสานทั้งหมดอย่างรอบคอบ นอกเหนือจากเครื่องใช้ในการดำรงชีวิตอื่นๆ เช่น เครื่องทองสัมฤทธิ์ เครื่องปั้นดินเผา และเครื่องไม้แล้วก็ไม่มีสมบัติทองและเงินใดๆ อีกทั้งไม่มีหน้าไม้ดาบง้าวอย่างที่ซ่งชูอีต้องการ

ทว่านางก็ยังเจอเสื้อผ้าจำนวนมาก หนึ่งในนั้นมีแม้กระทั่งขนหมาป่าตัวหนึ่ง!

ซ่งชูอีลังเลครู่หนึ่งทว่าก็ยังสวมเสื้อขนหมาป่าตัวนั้นเพื่อปกป้องส่วนท้อง เมื่อขนหมาป่าถูกนำออกมา ซ่งชูอีก็เห็นแส้หนังอยู่ใต้กล่อง จึงหยิบมันขึ้นมาด้วย

ซ่งชูอีกำลังจะกลับ กลับเห็นอะไรบางอย่างไม่ไกลภายใต้แสงไฟสลัว นางเดินไปข้างหน้าไปอีกหน่อยก็พบว่าได้มาถึงจุดสิ้นสุดอุโมงค์แล้ว ด้านหน้าเป็นประตูบานพับหิน มีรูปสัตว์ป่าแกะสลักขนาดมหึมาอยู่ด้านบน ปากของมันที่อ้าอยู่เผยให้เห็นเขี้ยวคมกริบ สิ่งที่ทำให้ซ่งชูอีประหลาดใจก็คือมีดาบทองสัมฤทธิ์อยู่ในปากของมัน

ผู้คนมีความเชื่อว่ารูปแบบของสุสานบรรพบุรุษจะส่งผลต่อคนรุ่นหลัง ดังนั้นซ่งชูอีจึงใช้มุมมองทางการเมืองค้นหาความนึกคิดของฉินเซี่ยวกง นางเชื่อว่าเซี่ยวกงเป็นองค์จวินที่เผด็จการและมีความทะเยอทะยานคนหนึ่ง เขาเข้าใจว่าหากรัฐแข็งแกร่งก็จะไม่มีสงคราม ดังนั้นเขาจึงทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจเพื่อเสริมสร้างบ้านเมืองให้เข้มแข็ง กำลังทหารคือสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ สำหรับผู้ปกครองใต้หล้าในอนาคต! หากเขาต้องการปกป้องต้าฉินให้แข็งแกร่งแม้หลังความตาย เช่นนั้นเหล่าอาวุธดาบทั้งหมดควรอยู่ในที่ที่ใกล้กับโลงศพมากที่สุด

เช่นนั้นเบื้องหลังประตูหินแกะสลักอันยิ่งใหญ่นี้จะต้องเป็นห้องเก็บอาวุธและหีบศพแน่ เป็นสถานที่ที่ไม่สามารถละเมิดได้ที่สุดในสุสานทั้งหมด!

ซ่งชูอีไม่มีความคิดที่จะเข้าไปข้างหน้าอีก รู้สึกว่ามีดาบทองสัมฤทธิ์ก็เพียงพอแล้ว ทว่าการที่ดาบเล่มนี้วางอยู่ตรงนี้คงไม่ได้เป็นเพียงเครื่องตกแต่งกระมัง?

หลังจากมองไปรอบๆ นางก็ลองหยิบดาบขึ้นมาอย่างระมัดระวัง

อย่างไรก็ดีทันทีที่ดาบทองสัมฤทธิ์น้ำหนักมากถูกขยับ จู่ๆ ก็มีเสียงแครกๆ รอบด้าน ซ่งชูอีตกใจรีบวางดาบกลับไปที่เดิม

เสียงนั้นหยุดลงทันที

ซ่งชูอีถอนหายใจ อย่างไรเสียก็อย่าโลภจะดีกว่า! ประตูบานนี้ปกป้องรากฐานของต้าฉิน จะต้องไม่มีทางราบรื่นเหมือนก่อนหน้านี้แน่ นางมีขนสัตว์ ทั้งยังมีเครื่องทองสัมฤทธิ์และเครื่องปั้นดินเผาที่สามารถใช้งานได้ เท่านี้เซี่ยวกงก็เมตตามากแล้ว!

ซ่งชูอีกำแส้แน่น หมุนตัวกลับมา

“ซ่งหวยจิน!”

ในขณะที่กำลังจะถึงท้องพระโรงเล็ก เสียงของตู้เหิงก็ดังมาจากทางเข้าอุโมงค์

ซ่งชูอีหยุดเดิน

ตู้เหิงเอ่ยเสียงดัง “บัดนี้ข้าได้สั่งให้คนปิดช่องระบายอากาศหมดแล้ว ไม่มีทางเข้าออก หากตอนนี้เจ้ายอมออกมาวาดแผนภูมิหน้าไม้และบอกตำแหน่งของตราทหารละก็ ข้าก็จะปล่อยเจ้าออกไป!”

เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ข้าจะรอเจ้าแค่ครึ่งชั่วยาม หลังครึ่งชั่วยาม ข้าจะปิดตายทางออก”

ซ่งชูอีขมวดคิ้วเล็กน้อย

นางไม่สงสัยเลยว่าตู้เหิงกำลังล้อเล่น หากนางไม่ออกไป ไม่แน่ว่าเขาอาจจะปิดตายทางออกจริงๆ ทว่าตู้เหิงก็ไม่มีทางปล่อยนางอย่างแน่นอน

ในเมื่อไม่ว่าเลือกทางใดก็ตาย ก็ลองสู้เสียหน่อยดีกว่า ตู้เหิงสั่งให้คนตรวจชีพจรนางหลายรอบ จะต้องรู้ว่านางตั้งครรภ์แน่ เกรงว่ากำลังรอที่จะใช้เรื่องนี้โจมตีนางอยู่กระมัง!

“เจ้า…” ซ่งชูอีเดาว่าประเดี๋ยวเขาก็จะใช้เรื่องตั้งครรภ์มาข่มขู่ นางจึงชิงลงมือก่อน

เมื่อตัดสินใจแล้ว นางก็จงใจทำให้เสียงของตัวเองอ่อนแอลง “เจ้าให้คนเข้ามาแบกข้าออกไปที ข้าปวดท้องเหลือเกิน หากเจ้าปกป้องลูกของข้า ข้าจะบอกเจ้าทุกอย่าง ข้าอยู่หน้าประตูหลุมฝังศพห้องที่ห้าทางขวามือ”

ตู้เหิงไร้สุ้มเสียง

ซ่งชูอีรู้ว่าเขากำลังลังเล จึงไม่ได้สนใจเขาอีก กลับไปยังหน้าประตูสุสานที่ห้า เปิดประตูแล้วเข้าไปในช่องว่าง พาตัวเองเข้าไปในห้องตรงข้ามที่มีเครื่องทองสัมฤทธิ์และเครื่องปั้นดินเผาเมื่อครู่ หยิบชิ้นส่วนขึ้นมาสองสามชิ้นใส่กระเป๋า จากนั้นก็หาเครื่องทองสัมฤทธิ์สองสามชิ้นที่มีขนาดเหมาะสมวางไว้หลังประตู หยิบขาตั้งทองแดงสามขาขนาดเล็กออกมาจากในนั้น ขณะที่กำลังจะกลับไปยังอุโมงค์ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา

ไอ้สารเลว ช่างตัดสินใจได้เร็วเหลือเกิน!

นางลอบด่าในใจ รีบเข้าไปใกล้ประตู ดับคบเพลิงที่อยู่ในมือ

เสียงฝีเท้านั้นใกล้เข้ามาทุกที ซ่งชูอีสามารถมองเห็นแสงไฟวูบไหวผ่านช่องว่างของประตู นางกลั้นหายใจ สามารถแยกแยะเสียงฝีเท้าได้อย่างชัดเจนว่ามีกันสองคน

เมื่อทั้งสองคนเห็นว่าประตูสุสานห้องหนึ่งแง้มเปิดอยู่ก็ชะงักฝีเท้าตามคาด เอาไฟส่องดูรอยเท้าบนพื้น

ห้องสุสานตัดขาดจากทางโลก เดิมทีก็มีฝุ่นไม่มาก อีกทั้งห้องนี้ก็ยังถูกซ่งชูอีเดินกลับไปกลับมาหลายรอบ ไม่สามารถแยกแยะร่องรอยได้เลย

“ซ่งหวยจิน!” ผู้หญิงคนหนึ่งส่งเสียงเรียก

ไม่มีใครขานรับ

สองคนนั้นโลเลครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินตามกันเข้าไป

ซ่งชูอีเห็นเงาชัดเจนว่าเป็นชายและหญิง ไม่มีทางที่ตู้เหิงจะเข้ามาด้วยตัวเอง เช่นนั้นจะต้องเป็นทหารคุ้มกันกับหนึ่งในสาวใช้เป็นแน่

ห้องสุสานตรงข้ามนั้นใหญ่มาก ซ่งชูอีเห็นว่าแสงไฟนั้นยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ก็ปลดเศษผ้าที่ใช้ทำเป็นคบเพลิงในตอนแรกแล้วคลำหาเพลาประตู

ไขมันปลาฉลามนั้นมหัศจรรย์ยิ่ง เมื่อห่อด้วยผ้าก็สามารถติดไฟได้ แต่ไม่ทำให้ผ้าไหม้เลย

นางเปิดประตูแผ่วเบา วิ่งไปที่ประตูสุสานฝั่งตรงข้ามอย่างรวดเร็วพร้อมอุ้มเครื่องทองสัมฤทธิ์ในมือ

ทั้งสองคนค้นหาอยู่ในห้องสุสานครู่ใหญ่ พบเพียงรอยเท้าจางๆ จึงหมุนตัวเดินกลับออกมา

ซ่งชูอีเห็นว่าแสงไฟที่ส่องอยู่บนพื้นใกล้เข้ามาทุกทีก็ยกเครื่องทองสัมฤทธิ์ขึ้นช้าๆ บังคับลมหายใจให้ช้าลง

สาวใช้เป็นคนออกมาก่อน ซ่งชูอีชูเครื่องทองสัมฤทธิ์ขึ้นแล้วฟาดไปที่ศีรษะของนางโดยไม่ยั้งคิด

ผู้หญิงคนนั้นส่งเสียงอู้อี้ มือหนึ่งค้ำวงกบประตูไว้

จากนั้นซ่งชูอีก็ฟาดขาตั้งทองแดงสามขาลงไปอย่างแรง หากครั้งนี้ฟาดโดน สาวใช้คนนั้นก็จะตายอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าน่าเสียดายที่ทันทีที่ทหารคุ้มกันคนนั้นสะบัดมือ ขาตั้งสามขาก็ปลิวลอยไปแล้ว

อย่างไรก็ดีในมือของเขาถือเพียงตะเกียงน้ำมันธรรมดาเท่านั้น ด้วยการเคลื่อนไหวนี้ไฟจึงดับลงกะทันหัน

ซ่งชูอีเบี่ยงตัวหลบเข้าไปในห้องสุสานเดิม อุ้มเครื่องทองสัมฤทธิ์ที่ตนวางไว้ก่อนหน้านี้ขึ้นมา

เสียงฝีเท้าหยุดอยู่หน้าประตู ประตูถูกผลักเปิดเบาๆ

ซ่งชูอีไม่ได้ยินเสียงฝีเท้า มีความเป็นไปได้มากว่าเขาใช้ดาบเปิดประตู ซ่งชูอีกระตุกมุมปากยิ้ม ขว้างเครื่องทองสัมฤทธิ์ในมือออกไป จากนั้นก็นั่งยองๆ อย่างรวดเร็วแล้วหยิบอีกอันขึ้นมา

หลังจากได้ยินเสียงฝีเท้า ก็ฟาดลงไปอีกครั้ง

ทหารคุ้มกันคนนั้นส่งเสียงอู้อี้ หูของซ่งชูอีจับเสียงได้อย่างแม่นยำ นางดึงแส้ออกมาแล้วสะบัดออกไป

เสียงแหลมคมที่แหวกว่ายผ่านอากาศดังขึ้นในความมืด ทหารคุ้มกันผู้นั้นไม่รู้ว่ามันคืออะไร เบี่ยงตัวหลบอัตโนมัติ

นางฟาดสองอยู่สามครั้ง จนทหารผู้คุ้มกันคนนั้นไม่รู้ว่าจะต้องหลบไปทางไหนดี

ซ่งชูอีไม่ปล่อยให้เขาได้มีเวลาตอบสนอง เบี่ยงตัวหลบออกไปแล้วปิดประตูตาม

ท่ามกลางความมืดเช่นนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากเป็นคนตาบอด หากไม่เข้าใจโครงสร้างภายในของที่แห่งนี้ก็ต้องต่อสู้กันสักพักจึงจะสามารถออกไปได้ นับประสาอะไรกับเขาคนนั้นที่เพิ่งถูกซ่งชูอีฟาดด้วยก้อนหินเมื่อไม่นานมานี้ คราวนี้ก็ยังโดนฟาดด้วยแส้อีก

ฟิ้ว!

นางเพิ่งจะก้าวออกมาจากประตู ลูกธนูก็เฉี่ยวแก้มของนางไป กระแสความร้อนพุ่งออกมาจากจุดที่ปวดแสบปวดร้อนนั้น

สาวใช้คนนั้นยังไม่ตาย ทั้งยังมีธนูอยู่ในมือด้วย!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ 328 ท่ามกลางความสิ้นหวัง (2)

Now you are reading กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ Chapter 328 ท่ามกลางความสิ้นหวัง (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ซ่งชูอีลูบคลำหน้าท้องส่วนล่าง จู่ๆ ก็รู้สึกว่าท้องนี้มิได้ผอมลงสักเท่าไร

เมื่อหิวถึงระดับหนึ่ง ก็ควรจะผอมแห้งติดกระดูกไม่ใช่หรือ?

ท่ามกลางความเงียบงัน นางเม้มปากเล็กน้อย ละมือออกมาจากท้องน้อยนั้นแล้ววางลงบนข้อมือ

นางนึกได้ว่ายาระงับความเป็นผู้หญิงที่ตนกินนั้นไม่มีผลตั้งแต่เมื่อเมื่อปีกลายแล้ว หลังจากนั้นเป็นต้นมาทรวงอกของนางก็เริ่มมีหลุมฝังศพเล็กๆ ปูดขึ้น และยังมีประจำเดือนอีกด้วย

หลังจากที่ชูหลี่จี๋จับชีพจรให้นางก็บอกว่าร่างกายของนางไม่แข็งแรง การตั้งครรภ์จะเป็นเรื่องที่ลำบากยิ่ง หากกินยาคุมกำเนิดอีกก็จะยิ่งเป็นผลเสียต่อร่างกาย และเมื่อกินเข้าไปเป็นเวลานานก็อาจไม่สามารถคลอดบุตรได้อีก

ซ่งชูอีไม่เคยคิดเรื่องการทำหมันจึงหยุดยา นางแอบวางแผนไว้แล้วว่าหากบังเอิญตั้งครรภ์ก็จะจัดฉากว่าป่วยและให้กำเนิดบุตร เพียงแต่ประจำเดือนของนางมาไม่สม่ำเสมอ ทั้งปีนี้มาทั้งหมดสี่ถึงห้าครั้งเท่านั้นและไม่เคยตั้งครรภ์ด้วย

ใครจะไปรู้…

ในเวลานี้นางคลำไม่เจอว่ากี่เดือนแล้วและไม่สามารถวินิจฉัยอย่างอื่นได้เลย ทว่าดูจากสภาพของจังหวะชีพจรและท้องก็ยืนยันได้แล้วว่าตนตั้งครรภ์อย่างแน่นอน

ซ่งชูอีทอดถอนใจ ลูกของข้า เจ้าจะได้ร่วมสนุกด้วยเป็นแน่!

เมื่อความประหลาดใจผ่านพ้นไป ซ่งชูอีก็วางแผนการให้ตัวเอง เดิมทีนางตั้งใจที่จะหลบอยู่ที่นี่ จากนั้นค่อยฉวยโอกาสกลับไปที่ห้องโถงใหญ่เพื่อหาทางออกอีกครั้ง บัดนี้แม้ว่านางจะสามารถอดทนได้ด้วยความตั้งใจอันแรงกล้าก็ตาม แต่เกรงว่าเด็กจะทนไม่ไหว นางจะต้องหาทางออกโดยเร็วที่สุด

ภายในห้องสุสานจะต้องมีสิ่งของที่ถูกฝังไปพร้อมกับผู้ตาย ตอนที่เซี่ยวกงยังหนุ่มก็เป็นแม่ทัพกล้าคนหนึ่ง สิ่งของเหล่านั้นจะต้องไม่ขาดจำพวกง้วงดาบเป็นแน่หรืออาจมีแม้กระทั่งหน้าไม้ เพราะซ่งชูอีนึกถึงจุดนี้ขึ้นมาได้นางจึงเข้ามา

นางลุกขึ้น มือหนึ่งกุมส่วนท้องไว้ อีกมือหนึ่งขูดกำแพงเบาๆ ด้วยเล็บพร้อมเดินไปข้างหน้า

เมื่อเดินออกมาได้ประมาณสิบจั้ง เล็บก็ว่างเปล่า หัวใจของซ่งชูอีบบีบแน่น จากนั้นก็ตามมาด้วยความยินดีที่กลั้นไว้ไม่อยู่ นางยื่นเท้าออกไปสำรวจ มันคือประตูหลุมฝังศพจริงๆ

โลงศพไม่น่าจะถูกวางบริเวณใกล้กับห้องสุสาน โดยมากน่าจะเป็นสถานที่สำหรับข้าวของที่ฝังไปพร้อมกับศพ

เมื่อไม่รู้สิ่งที่อยู่เบื้องหน้า หัวใจย่อมหวาดกลัวอย่างไม่ต้องสงสัย ยิ่งคนที่เชื่อในเรื่องผีและเทพเจ้าอย่างซ่งชูอีก็ไม่มีข้อยกเว้น นางกัดฟัน ห่อมือด้วยแขนเสื้อคลุมและคลำทางไปช้าๆ

เอี๊ยด!

ครั้นประตูลานพับคลายตัว เสียงของเพลาประตูที่ดังขึ้นฉับพลันนั้นชัดเจนเป็นพิเศษในความเงียบสงัด ทันใดนั้นหัวใจของซ่งชูอีก็เต้นรัว

นางบังคับตัวเองให้หายใจช้าลง ยืนอยู่หน้าประตูครู่หนึ่งก่อนที่จะเข้าไปในช่องว่างของประตูที่เปิดอยู่

ภายในห้องสุสานยังคงมิดสนิท แม้เพียงแสงไฟอันน้อยนิดจากหิ่งห้อยก็ไม่มี เสียงเดียวที่ดังขึ้นที่นี่คือเสียงการเคลื่อนไหวของนาง

ซ่งชูอีก็รู้สึกว่าเสียงเหล่านี้ก้องกังวานเล็กน้อยซึ่งแสดงให้เห็นว่าพื้นที่นี้ใหญ่มาก และเป็นไปได้มากว่ามันคือท้องพระโรงแห่งหนึ่ง นางไม่กล้าเดินไปทั่วเพราะว่าจะหาประตูไม่เจอตอนกลับมา ดังนั้นนางจึงขูดเล็บไปตามผนังพร้อมกับเดินไปข้างหน้าเหมือนก่อนหน้านี้

ที่นี่ห่างจากห้องโถงพระราชวังด้านหลังไกลมาก น่าจะเพียงเอาไว้เก็บสิ่งของที่ฝังไปพร้อมกับศพทั่วไป ไม่ได้มีกลไกอะไร

เดินไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ ข้างหน้าก็มีบางอย่างกีดขวางเส้นทาง

ซ่งชูอียังคงห่อมือด้วยแขนเสื้อแล้วลูบคลำเช่นเคย สัมผัสเย็นเยียบทะลุผ่านเสื้อผ้า เห็นได้ชัดว่าเป็นชิ้นเล็บ อวัยวะชัดเจน ตัวสูงกว่าซ่งชูอีประมาณครึ่งศีรษะ

นี่คือมนุษย์ชัดๆ!

ซ่งชูอีไม่ได้รู้สึกประหลาดใจจนเกินไป นางรู้ว่าหลังจากรัฐฉินมีการปฏิรูปกฎหมายแล้วก็สั่งห้ามมิให้ฝังคนเป็นไปพร้อมกับศพอีก ทว่าบรรดาผู้สูงศักดิ์กลัวว่าจะไม่มีใครปรนนิบัติในปรโลก จึงหาวิธี…แกะสลักและหล่อรูปคล้ายมนุษย์แทน

ซ่งชูอีลูบไล้ไปตามแขนของรูปปั้นแกะสลัก พบว่ามันถือง้าวยาวเล่มหนึ่งและง้าวนี้ยังทำมาจากวัสดุเดียวกันกับรูปปั้น สามารถหมุนได้แต่ไม่สามารถถอดออกได้เลย

นางหมุนไปมาอยู่ครู่หนึ่งก็ทำได้เพียงยอมแพ้ อ้อมรูปปั้นแกะสลักเพื่อเดินต่อ เพิ่งจะเดินได้เพียงไม่กี่ก้าวก็มีเสียงพรึ่บดังขึ้นด้านหลัง

นางตื่นตกใจ หมอบลงอย่างรวดเร็ว

ผ่านไปสักพักก็ไม่มีกลไกใด ซ่งชูอีเงยหน้าขึ้น พบว่าในท้องพระโรงมีแสงสลัว นางอดที่จะหันกลับไปมองมิได้ ที่แท้สิ่งที่รูปปั้นทหารสองตัวหน้าประตูถืออยู่ในมือมิใช่ง้าวยาวทว่าเป็นตะเกียงและตะเกียงนั้นก็เป็นกลไกที่ถูกนางหมุนไปมาหลายรอบ เปลวไฟสีน้ำเงินจางๆ จึงจุดขึ้นโดยอัตโนมัติซึ่งเป็นสีเดียวกันกับตะเกียงไฟอมตะสองดวงหน้าประตูไม่มีผิดเพี้ยน

แสงไฟนี้ไม่สามารถส่องสว่างได้ทั่วทั้งท้องพระโรง ซ่งชูอีรออยู่ครู่หนึ่งก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ นางจึงลุกขึ้นและเดินกลับไปที่รูปปั้นทหารอีกตัว หมุนตะเกียงในมือของมัน ไม่นานไฟก็สว่างขึ้นมาจริงๆ

ในพระราชวังก็มีไฟประเภทนี้เช่นกัน เพียงแต่เชื้อจุดไฟจะถูกเก็บอยู่ในด้ามจับไฟ เมื่อบิดหมุนมันขึ้นมาจนด้านบนสัมผัสกับไส้ตะเกียง ไส้ตะเกียงก็จะสว่างขึ้น แต่โดยทั่วไปแล้วไฟประเภทนี้ไม่สว่างมากนัก เนื่องจากเชื้อจุดไฟถูกวางไว้เหนือไส้ตะเกียง ตัวหมุนก็น่าจะอยู่เหนือไส้ตะเกียงด้วย สิ่งมหัศจรรย์ของตะเกียงนี้ก็คือ แม้จะหมุนด้ามจับไฟที่อยู่ด้านล่างก็จะทำให้ไฟด้านบนสว่างขึ้นเช่นกัน!

ไฟสองดวงส่องสว่างสิ่งต่างๆ ภายในรัศมีสามถึงสี่จั้ง

ท้องพระโรงมีเสาแปดต้น มีม่านไม้ไผ่ห้อยลงมาระหว่างเสา สามารถมองเห็น “เงาของคน” ภายในที่กำลังก้มด้วยความเคารพเลือนราง

ซ่งชูอีเลิกผ้าม่านที่อยู่ใกล้พระที่นั่งหลักออกแล้วมองไปยังท้องพระโรง

คนรับใช้หินแกะสลักไม่กี่คนยืนอยู่สองข้างทาง พวกเขาเหมือนคนที่มีชีวิต ใบหน้าเหมือนจริง สองมือกุมหน้าท้องพร้อมถือตะเกียง

ซ่งชูอีผิดหวังเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าท้องพระโรงเช่นนี้ไม่ใช่สถานที่จัดแสดงอาวุธที่ถูกฝังไปพร้อมกับศพ นางเดินไปรอบๆ อย่างระมัดระวังครู่หนึ่งก็ไม่พบดาบสักเล่ม

นางเห็นว่ามีเอกสารไผ่อยู่บนโต๊ะ ก็หยิบม้วนที่บางหน่อยขึ้นมา ออกแรงฉีกชายเสื้อของตัวเอง เอาไขมันปลาฉลามมาจากตะเกียงของคนรับใช้แล้วจุดไฟ

ทันทีที่ไฟถูกจุดสว่าง หางตาของนางก็เหลือบไปเห็นแถบดำทะมึนหลังผนังแกะสลัก จึงถือไฟเดินเข้าไปใกล้

ข้างในเป็นห้องเล็กๆ มีโต๊ะหินและชั้นหนังสือสองสามหลัง ซ่งชูอีจำได้ว่ามันคือท้องพระโรงหลัง ในพระราชวังในเสียนหยางก็มี นอกจากอิ๋งซื่อจะไปมุมหอคอยแล้วก็ยังมักจะงีบที่นี่หรืออ่านทวนบันทึกฉินเป็นประจำ เมื่อนึกถึงตรงนี้ ความหวาดกลัวในใจของนางจึงลดลงไปไม่น้อย

นางจำได้ว่าด้านตะวันออกของห้องนี้เป็นบานประตูแกะสลัก เมื่อเปิดประตูออกไปก็จะเป็นศาลากลางน้ำที่แผ่ขยายไปถึงกลางทะเลสาบ ด้านตะวันตกก็มีประตูเช่นกันซึ่งทะลุกับทางเดินที่นำไปสู่วังหลัง นางเข้าใกล้กำแพงฝั่งตะวันออกตามความทรงจำ รู้สึกยินดียิ่งเมื่อเห็นว่ามันคือประตูแกะสลักจริงๆ

ประตูไม่มีกลอน เมื่อผลักเบาๆ มันก็เปิดออกแล้ว ข้างนอกมีศาลากลางน้ำตามคาดทว่าไม่มีทะเลสาบอะไรนั่น! ราวกับโดยรอบถูกปิดทับด้วยผ้าม่าน ซ่งชูอีรู้สึกผิดหวังอย่างยิ่ง เอื้อมมือเลิกผ้าม่านด้านข้างออกเป็นช่องว่าง

แสงสีฟ้าจางๆ เล็ดลอดเข้ามาและตกกระทบอยู่บนพื้น

ซ่งชูอีตกตะลึง ก้าวเท้าเดินผ่านสถานที่กลวงๆ อย่างรวดเร็ว นางมองออกไปข้างนอก สามารถมองเห็นท้องพระโรงจากที่สูงได้อย่างแท้จริง!

ซ่งชูอีเข้าใจในทันทีว่าที่แห่งนี้แตกต่างจากพระราชวังเสียนหยางเล็กน้อย เมื่อเดินอ้อมไปก็สามารถเชื่อมท้องพระโรงเล็กกับท้องพระโรงหลักเข้าไว้ด้วยกัน และนี่คือพระที่นั่งหลักของท้องพระโรงใหญ่อย่างแท้จริง

นางคลำหากลอนประตู สำรวจมันอยู่ครู่หนึ่ง คิดไม่ถึงว่ามันสามารถเปิดออกไปได้…

ซ่งชูอีดีใจจนแทบคลั่ง ทว่าในไม่ช้าก็สงบลง พวกเขามีคนมาก ต่อให้หนีออกไปตอนนี้ก็ยังเหมือนแพะวิ่งเข้าปากเสือ

เนื่องจากตู้เหิงไม่มีแผนที่ส่วนหลังและไม่ได้เข้ามาจับนางถึงที่นี่ แสดงว่าเขาไม่รู้เส้นทางนี้

นางต้องใช้การล่าถอยนี้เพื่อหลอกล่อให้พวกเขาเข้าไปในอุโมงค์ กำจัดไปสักคนสองคนจึงจะมีความหวังในการหนีรอด

ครั้นมีความหวัง ทั้งร่างกายของซ่งชูอีก็เปี่ยมด้วยกำลังวังชา ยกมือขึ้นลูกคลำท้อง รีบกลับไปยังท้องพระโรงเล็ก ดับไฟในมือของรูปปั้นทหารแกะสลักของดวงนั้นแล้วกลับไปในอุโมงค์

อุโมงค์เส้นนี้มีความยาวประมาณสี่สิบกว่าจั้ง ห้องโถงเล็กก่อนหน้านี้กินพื้นที่ไปมาก ส่วนห้องอื่นๆ อยู่ใกล้กันมาก ข้างในจะมีพวกข้าวของเครื่องใช้ในสมัยที่เซี่ยวกงยังมีชีวิตอยู่ นางเดินกลับไปกลับมาในทางเดินของสุสานหลายครั้งเพื่อตรวจสอบสุสานทั้งหมดอย่างรอบคอบ นอกเหนือจากเครื่องใช้ในการดำรงชีวิตอื่นๆ เช่น เครื่องทองสัมฤทธิ์ เครื่องปั้นดินเผา และเครื่องไม้แล้วก็ไม่มีสมบัติทองและเงินใดๆ อีกทั้งไม่มีหน้าไม้ดาบง้าวอย่างที่ซ่งชูอีต้องการ

ทว่านางก็ยังเจอเสื้อผ้าจำนวนมาก หนึ่งในนั้นมีแม้กระทั่งขนหมาป่าตัวหนึ่ง!

ซ่งชูอีลังเลครู่หนึ่งทว่าก็ยังสวมเสื้อขนหมาป่าตัวนั้นเพื่อปกป้องส่วนท้อง เมื่อขนหมาป่าถูกนำออกมา ซ่งชูอีก็เห็นแส้หนังอยู่ใต้กล่อง จึงหยิบมันขึ้นมาด้วย

ซ่งชูอีกำลังจะกลับ กลับเห็นอะไรบางอย่างไม่ไกลภายใต้แสงไฟสลัว นางเดินไปข้างหน้าไปอีกหน่อยก็พบว่าได้มาถึงจุดสิ้นสุดอุโมงค์แล้ว ด้านหน้าเป็นประตูบานพับหิน มีรูปสัตว์ป่าแกะสลักขนาดมหึมาอยู่ด้านบน ปากของมันที่อ้าอยู่เผยให้เห็นเขี้ยวคมกริบ สิ่งที่ทำให้ซ่งชูอีประหลาดใจก็คือมีดาบทองสัมฤทธิ์อยู่ในปากของมัน

ผู้คนมีความเชื่อว่ารูปแบบของสุสานบรรพบุรุษจะส่งผลต่อคนรุ่นหลัง ดังนั้นซ่งชูอีจึงใช้มุมมองทางการเมืองค้นหาความนึกคิดของฉินเซี่ยวกง นางเชื่อว่าเซี่ยวกงเป็นองค์จวินที่เผด็จการและมีความทะเยอทะยานคนหนึ่ง เขาเข้าใจว่าหากรัฐแข็งแกร่งก็จะไม่มีสงคราม ดังนั้นเขาจึงทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจเพื่อเสริมสร้างบ้านเมืองให้เข้มแข็ง กำลังทหารคือสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ สำหรับผู้ปกครองใต้หล้าในอนาคต! หากเขาต้องการปกป้องต้าฉินให้แข็งแกร่งแม้หลังความตาย เช่นนั้นเหล่าอาวุธดาบทั้งหมดควรอยู่ในที่ที่ใกล้กับโลงศพมากที่สุด

เช่นนั้นเบื้องหลังประตูหินแกะสลักอันยิ่งใหญ่นี้จะต้องเป็นห้องเก็บอาวุธและหีบศพแน่ เป็นสถานที่ที่ไม่สามารถละเมิดได้ที่สุดในสุสานทั้งหมด!

ซ่งชูอีไม่มีความคิดที่จะเข้าไปข้างหน้าอีก รู้สึกว่ามีดาบทองสัมฤทธิ์ก็เพียงพอแล้ว ทว่าการที่ดาบเล่มนี้วางอยู่ตรงนี้คงไม่ได้เป็นเพียงเครื่องตกแต่งกระมัง?

หลังจากมองไปรอบๆ นางก็ลองหยิบดาบขึ้นมาอย่างระมัดระวัง

อย่างไรก็ดีทันทีที่ดาบทองสัมฤทธิ์น้ำหนักมากถูกขยับ จู่ๆ ก็มีเสียงแครกๆ รอบด้าน ซ่งชูอีตกใจรีบวางดาบกลับไปที่เดิม

เสียงนั้นหยุดลงทันที

ซ่งชูอีถอนหายใจ อย่างไรเสียก็อย่าโลภจะดีกว่า! ประตูบานนี้ปกป้องรากฐานของต้าฉิน จะต้องไม่มีทางราบรื่นเหมือนก่อนหน้านี้แน่ นางมีขนสัตว์ ทั้งยังมีเครื่องทองสัมฤทธิ์และเครื่องปั้นดินเผาที่สามารถใช้งานได้ เท่านี้เซี่ยวกงก็เมตตามากแล้ว!

ซ่งชูอีกำแส้แน่น หมุนตัวกลับมา

“ซ่งหวยจิน!”

ในขณะที่กำลังจะถึงท้องพระโรงเล็ก เสียงของตู้เหิงก็ดังมาจากทางเข้าอุโมงค์

ซ่งชูอีหยุดเดิน

ตู้เหิงเอ่ยเสียงดัง “บัดนี้ข้าได้สั่งให้คนปิดช่องระบายอากาศหมดแล้ว ไม่มีทางเข้าออก หากตอนนี้เจ้ายอมออกมาวาดแผนภูมิหน้าไม้และบอกตำแหน่งของตราทหารละก็ ข้าก็จะปล่อยเจ้าออกไป!”

เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ข้าจะรอเจ้าแค่ครึ่งชั่วยาม หลังครึ่งชั่วยาม ข้าจะปิดตายทางออก”

ซ่งชูอีขมวดคิ้วเล็กน้อย

นางไม่สงสัยเลยว่าตู้เหิงกำลังล้อเล่น หากนางไม่ออกไป ไม่แน่ว่าเขาอาจจะปิดตายทางออกจริงๆ ทว่าตู้เหิงก็ไม่มีทางปล่อยนางอย่างแน่นอน

ในเมื่อไม่ว่าเลือกทางใดก็ตาย ก็ลองสู้เสียหน่อยดีกว่า ตู้เหิงสั่งให้คนตรวจชีพจรนางหลายรอบ จะต้องรู้ว่านางตั้งครรภ์แน่ เกรงว่ากำลังรอที่จะใช้เรื่องนี้โจมตีนางอยู่กระมัง!

“เจ้า…” ซ่งชูอีเดาว่าประเดี๋ยวเขาก็จะใช้เรื่องตั้งครรภ์มาข่มขู่ นางจึงชิงลงมือก่อน

เมื่อตัดสินใจแล้ว นางก็จงใจทำให้เสียงของตัวเองอ่อนแอลง “เจ้าให้คนเข้ามาแบกข้าออกไปที ข้าปวดท้องเหลือเกิน หากเจ้าปกป้องลูกของข้า ข้าจะบอกเจ้าทุกอย่าง ข้าอยู่หน้าประตูหลุมฝังศพห้องที่ห้าทางขวามือ”

ตู้เหิงไร้สุ้มเสียง

ซ่งชูอีรู้ว่าเขากำลังลังเล จึงไม่ได้สนใจเขาอีก กลับไปยังหน้าประตูสุสานที่ห้า เปิดประตูแล้วเข้าไปในช่องว่าง พาตัวเองเข้าไปในห้องตรงข้ามที่มีเครื่องทองสัมฤทธิ์และเครื่องปั้นดินเผาเมื่อครู่ หยิบชิ้นส่วนขึ้นมาสองสามชิ้นใส่กระเป๋า จากนั้นก็หาเครื่องทองสัมฤทธิ์สองสามชิ้นที่มีขนาดเหมาะสมวางไว้หลังประตู หยิบขาตั้งทองแดงสามขาขนาดเล็กออกมาจากในนั้น ขณะที่กำลังจะกลับไปยังอุโมงค์ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา

ไอ้สารเลว ช่างตัดสินใจได้เร็วเหลือเกิน!

นางลอบด่าในใจ รีบเข้าไปใกล้ประตู ดับคบเพลิงที่อยู่ในมือ

เสียงฝีเท้านั้นใกล้เข้ามาทุกที ซ่งชูอีสามารถมองเห็นแสงไฟวูบไหวผ่านช่องว่างของประตู นางกลั้นหายใจ สามารถแยกแยะเสียงฝีเท้าได้อย่างชัดเจนว่ามีกันสองคน

เมื่อทั้งสองคนเห็นว่าประตูสุสานห้องหนึ่งแง้มเปิดอยู่ก็ชะงักฝีเท้าตามคาด เอาไฟส่องดูรอยเท้าบนพื้น

ห้องสุสานตัดขาดจากทางโลก เดิมทีก็มีฝุ่นไม่มาก อีกทั้งห้องนี้ก็ยังถูกซ่งชูอีเดินกลับไปกลับมาหลายรอบ ไม่สามารถแยกแยะร่องรอยได้เลย

“ซ่งหวยจิน!” ผู้หญิงคนหนึ่งส่งเสียงเรียก

ไม่มีใครขานรับ

สองคนนั้นโลเลครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินตามกันเข้าไป

ซ่งชูอีเห็นเงาชัดเจนว่าเป็นชายและหญิง ไม่มีทางที่ตู้เหิงจะเข้ามาด้วยตัวเอง เช่นนั้นจะต้องเป็นทหารคุ้มกันกับหนึ่งในสาวใช้เป็นแน่

ห้องสุสานตรงข้ามนั้นใหญ่มาก ซ่งชูอีเห็นว่าแสงไฟนั้นยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ก็ปลดเศษผ้าที่ใช้ทำเป็นคบเพลิงในตอนแรกแล้วคลำหาเพลาประตู

ไขมันปลาฉลามนั้นมหัศจรรย์ยิ่ง เมื่อห่อด้วยผ้าก็สามารถติดไฟได้ แต่ไม่ทำให้ผ้าไหม้เลย

นางเปิดประตูแผ่วเบา วิ่งไปที่ประตูสุสานฝั่งตรงข้ามอย่างรวดเร็วพร้อมอุ้มเครื่องทองสัมฤทธิ์ในมือ

ทั้งสองคนค้นหาอยู่ในห้องสุสานครู่ใหญ่ พบเพียงรอยเท้าจางๆ จึงหมุนตัวเดินกลับออกมา

ซ่งชูอีเห็นว่าแสงไฟที่ส่องอยู่บนพื้นใกล้เข้ามาทุกทีก็ยกเครื่องทองสัมฤทธิ์ขึ้นช้าๆ บังคับลมหายใจให้ช้าลง

สาวใช้เป็นคนออกมาก่อน ซ่งชูอีชูเครื่องทองสัมฤทธิ์ขึ้นแล้วฟาดไปที่ศีรษะของนางโดยไม่ยั้งคิด

ผู้หญิงคนนั้นส่งเสียงอู้อี้ มือหนึ่งค้ำวงกบประตูไว้

จากนั้นซ่งชูอีก็ฟาดขาตั้งทองแดงสามขาลงไปอย่างแรง หากครั้งนี้ฟาดโดน สาวใช้คนนั้นก็จะตายอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าน่าเสียดายที่ทันทีที่ทหารคุ้มกันคนนั้นสะบัดมือ ขาตั้งสามขาก็ปลิวลอยไปแล้ว

อย่างไรก็ดีในมือของเขาถือเพียงตะเกียงน้ำมันธรรมดาเท่านั้น ด้วยการเคลื่อนไหวนี้ไฟจึงดับลงกะทันหัน

ซ่งชูอีเบี่ยงตัวหลบเข้าไปในห้องสุสานเดิม อุ้มเครื่องทองสัมฤทธิ์ที่ตนวางไว้ก่อนหน้านี้ขึ้นมา

เสียงฝีเท้าหยุดอยู่หน้าประตู ประตูถูกผลักเปิดเบาๆ

ซ่งชูอีไม่ได้ยินเสียงฝีเท้า มีความเป็นไปได้มากว่าเขาใช้ดาบเปิดประตู ซ่งชูอีกระตุกมุมปากยิ้ม ขว้างเครื่องทองสัมฤทธิ์ในมือออกไป จากนั้นก็นั่งยองๆ อย่างรวดเร็วแล้วหยิบอีกอันขึ้นมา

หลังจากได้ยินเสียงฝีเท้า ก็ฟาดลงไปอีกครั้ง

ทหารคุ้มกันคนนั้นส่งเสียงอู้อี้ หูของซ่งชูอีจับเสียงได้อย่างแม่นยำ นางดึงแส้ออกมาแล้วสะบัดออกไป

เสียงแหลมคมที่แหวกว่ายผ่านอากาศดังขึ้นในความมืด ทหารคุ้มกันผู้นั้นไม่รู้ว่ามันคืออะไร เบี่ยงตัวหลบอัตโนมัติ

นางฟาดสองอยู่สามครั้ง จนทหารผู้คุ้มกันคนนั้นไม่รู้ว่าจะต้องหลบไปทางไหนดี

ซ่งชูอีไม่ปล่อยให้เขาได้มีเวลาตอบสนอง เบี่ยงตัวหลบออกไปแล้วปิดประตูตาม

ท่ามกลางความมืดเช่นนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากเป็นคนตาบอด หากไม่เข้าใจโครงสร้างภายในของที่แห่งนี้ก็ต้องต่อสู้กันสักพักจึงจะสามารถออกไปได้ นับประสาอะไรกับเขาคนนั้นที่เพิ่งถูกซ่งชูอีฟาดด้วยก้อนหินเมื่อไม่นานมานี้ คราวนี้ก็ยังโดนฟาดด้วยแส้อีก

ฟิ้ว!

นางเพิ่งจะก้าวออกมาจากประตู ลูกธนูก็เฉี่ยวแก้มของนางไป กระแสความร้อนพุ่งออกมาจากจุดที่ปวดแสบปวดร้อนนั้น

สาวใช้คนนั้นยังไม่ตาย ทั้งยังมีธนูอยู่ในมือด้วย!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+