กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ 358 สงครามขั้นเด็ดขาดในนครจงตู (1)

Now you are reading กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ Chapter 358 สงครามขั้นเด็ดขาดในนครจงตู (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ขณะที่นครหลวงถูกสร้างขึ้นก็จะพิจาณาเรื่องการ “รุดหน้าและถอยกลับ” และเส้นทางลับ ในเมื่อจงตูก็เคยเป็นนครหลวง…

ซ่งชูอีตระหนักได้ในทันใดทว่าก็รู้สึกหมดหนทาง ต่อให้รู้ว่าจงตูมีห้องลับหรือเส้นทางลับแล้วอย่างไรหรือ? นางไม่รู้ว่าเส้นทางลับนั้นตั้งอยู่ที่ใด

ศึกโจมตีนครส่วนใหญ่เป็นการวัดกำลังกันแบบตัวต่อตัว กลยุทธ์พิศดารอย่างอื่นมีไว้เป็นตัวเสริมเท่านั้น

“รายงาน…”

ซ่งชูอีเงยหน้าขึ้น

หัวหน้ากองซือหม่าที่เนื้อตัวสะบักสะบอมเดินเข้ามา พูดพร้อมหายใจหอบ “กั๋วเว่ย กองทัพของเราใช้เครื่องขว้างหินเพื่อโจมตีนครแต่ว่ากองทัพเว่ยวางตาข่ายหน้ากำแพงเมือง หินจึงไม่สามารถทำลายกำแพงเมืองได้ขอรับ!”

กองทัพฉินทะลุแนวป้องกันแรกแล้วแต่กลับประสบความพ่ายแพ้อย่างหนักในแนวรับที่สอง แม่ทัพเห็นว่าขืนเป็นเช่นนี้ต่อไปก็มีแต่จะเสียแรงเปล่าๆ จึงสั่งให้ถอยทัพ ใช้เพียงเครื่องขว้างหินในการโจมตี

ก้อนหินรอบๆ จงตูนั้นหาได้ยาก ทรัพยากรที่มีอยู่มีจำกัด ไม่สามารถโจมตีด้วยวิธีนี้ได้ตลอดไป

หัวหน้ากองซือหม่ากล่าวต่อ “กองทัพเว่ยโรยจี๋หลีอยู่หน้ากำแพงเมือง ทหารม้าและทหารราบยากที่จะก้าวไปข้างหน้า ท่านแม่ทัพต้องการถามกั๋วเว่ยว่ามีวิธีใดในการข้ามแนวป้องกันที่สองบ้างหรือไม่?”

จี๋หลีเป็นพืชชนิดหนึ่ง เปลือกนอกของมันมีหนามแข็ง ระหว่างสงคราม หลังจากที่รวบรวมมันได้แล้วก็โรยไปบนเส้นทางที่ศัตรูต้องเดินทางผ่าน แทงให้เท้าของทหารและม้าบาดเจ็บด้วยหนามแหลมของมัน ต่อมาสำนักม่อก็ใช้เหล็กสร้างหนามจำลองขึ้นมาเลียนแบบจี๋หลีทำให้อนุภาพของมันเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว

สามารถทำให้กองทัพฉินถอยร่นไปได้ เห็นได้ชัดว่ามีจี๋หลีอยู่เป็นจำนวนมาก

“เล่าสถานการณ์มาให้ละเอียด” ซ่งชูอีเอ่ย

“ขอรับ” หัวหน้ากองซือหม่าเอ่ย “สิ่งที่กองทัพเว่ยโรยอยู่หน้านครคือหลีจี๋ตามธรรมชาติและหลีจี๋เหล็กผสมอยู่ด้วยกัน ครอบคลุมทั้งด้านหน้าของประตูฝั่งใต้ มีจำนวนมหาศาล เมื่อครู่ตอนที่ทหารม้าของข้าผ่านไปนั้นล้วนได้รับบาดเจ็บ ทหารที่ถอนกำลังออกไปตอนนี้ไม่มีใครรอด ยิ่งไปกว่านั้นฝ่าเท้าบางคนก็เน่าเสีย บัดนี้ท่านแม่ทัพสั่งให้ใช้หน้าไม้กลโจมตีแล้ว ทว่ากองทัพเว่ยต่อต้านอย่างหนักหน่วง ดังนั้นจึงไม่ใคร่เป็นผลสักเท่าไร”

เครื่องขว้างหินไม่ได้ผล ทหารม้าก็เดินไปข้างหน้าไม่ได้ แม้ว่าจะมีหน้าไม้กลที่สามารถยิงทหารรักษาการณ์ของนครได้ก็ตาม ทว่ากองทัพเว่ยแค่ต้องป้องกันเต็มกำลัง ไม่จำเป็นต้องต่อสู้กลับ ต่อให้มีลูกศรมากกว่านี้ก็ไร้ประโยชน์

การโจมตีพบกับความยากลำบากอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน

“เอาชนะความแข็งแกร่งด้วยความนุ่มนวล พวกเขาเข้าใจคิดจริงๆ! เล่าเรื่องตาข่ายที่ป้องกันก้อนหินให้ข้าฟังที” ซ่งชูอีเอ่ย

“ตาข่ายมีความแข็งแรงและเหนียว ท่านแม่ทัพเดาว่ามันถูกร้อยขึ้นด้วยส่วนผสมของผ้าใยกัญชง หนังวัวและหนังแกะเข้าด้วยกัน ก้อนหินทั้งหมดที่ถูกยิงออกไปล้วนตกลงไปในตาข่าย ท่านแม่ทัพจึงตัดสินใจใช้ไฟโจมตี สั่งให้คนทาน้ำมันหมูหนาๆ ลงบนหิน หลังจากจุดไฟแล้วก็ยิงออกไปขอรับ”

ซ่งชูอีพยักหน้า “เพียงแต่ว่า จงตูมีน้ำตลอดเวลา หากไม่สามารถเผาตาข่ายผ้าได้อย่างรวดเร็ว มันจะถูกน้ำดับในไม่ช้าก็เร็ว เจ้าไปบอกท่านแม่ทัพอวี๋ หลังจากละลายน้ำมันหมูแล้วให้ใส่ถุงหนังแกะบางๆ แล้วมัดไว้กับก้อนหิน ใช้เครื่องขว้างหินเล็งมันไปบนตาข่าย ทันทีที่มันสัมผัสตาข่ายก็สั่งให้มือหน้าไม้ยิงไฟใส่เข้าไป ใช้ทั้งสองวิธีพร้อมกันจะสามารถทำลายตาข่ายได้อย่างรวดเร็ว”

ส่วนจี๋หลีนั้นกระจัดกระจายไปทั่วพื้นหญ้า แม้ว่าหญ้าจะถูกเหยียบลงบนพื้นในระหว่างการต่อสู้ ก็ไม่มีทางที่จะสะสางได้โดยเร็ว ทางเดียวก็คือต้องเก็บขึ้นมาทีละลูกๆ

นางสอดมือไว้ในแขนเสื้อพลางครุ่นคิด “กำจัดจี๋หลีไม่ได้ แต่ว่าสามารถหาสัตว์อย่างเช่นวัวแล้วผูกคราดไว้ที่หาง จุดไฟที่หางของมัน ไล่ต้อนให้มันเข้าไปใต้หอคอย อาจจะกำจัดได้บางส่วน อีกประการหนึ่งคือการทำให้รองเท้าของทหารของเราหนาขึ้น จะดำเนินการอย่างไรให้แม่ทัพอวี๋ตัดสินใจเองเถิด”

“ขอรับ!” หัวหน้ากองซือหม่าดีใจอย่างยิ่ง กำแพงเมืองเกือบจะจมอยู่ในน้ำแล้ว ตราบเท่าที่สามารถเอาตาข่ายออกได้ เหตุใดจะทำลายกำแพงเมืองไม่ได้เล่า!

กองทัพฉินต้องใช้เวลาในการเตรียมการ ดังนั้นการโจมตีครั้งแรกจึงถูกบังคับให้หยุดไว้ชั่วคราว

ในเวลานี้มีข่าวส่งมาจากทิศตะวันตก…แควทั้งหมดตามคูเมืองต่างถูกปิดตายแล้ว!

หลังจากที่ซ่งชูอีได้ตรวจสอบและคำนวณอย่างรอบคอบแล้วก็กำหนดตำแหน่งที่จะสกัดกั้นการไหลของน้ำ การปิดกั้นแควตามคูเมืองตามอำเภอใจไม่ใช่การกระทำของทหารฉินอย่างแน่นอน เช่นนั้นกองทัพเว่ยเป็นคนปิดตายเองหรือ?

ซ่งชูอีนึกถึงภูมิประเทศของจงตู จู่ๆ เหงื่อเย็นก็ผุดออกมาบนหน้าผาก กล่าวด้วยน้ำเสียงแหลมคม “ทหาร!”

“ขอรับ!”

“ถ่ายทอดคำสั่งข้าลงไป แจ้งท่านแม่ทัพไป๋ให้รอคำสั่งที่เมืองตะวันออก ไม่ต้องรีบไปยังทิศใต้ ให้แม่ทัพอวี๋ละทิ้งทางตอนใต้เพื่อไปสมทบกับแม่ทัพไป๋ทางทิศตะวันออก เน้นการโจมตีไปที่ทางทิศตะวันออกของเมือง และบอกพวกเขาว่าทางหนีนั้นพังพินาศแล้ว หากโจมตีจงตูไม่สำเร็จก็ตายสถานเดียว!” ซ่งชูอีพูดจบก็เพิกเฉยต่อความตกตะลึงของอีกฝ่าย นั่งลงหน้าโต๊ะและหยิบเครื่องเขียนขึ้นมาทันที

“ขอรับ!” ผ่านไปครู่หนึ่งหัวหน้ากองซือหม่าก็ตอบรับ

หลังจากซ่งชูอีเขียนเสร็จและเป่าให้แห้งแล้วก็วางสมุดไผ่ลง “กู่ฉิง ให้คนนำไปส่งท่านแม่ทัพใหญ่! เร็วเข้า!”

ซ่งชูอีไม่ได้รู้จักแม่ทัพผู้นำการโจมตีครั้งนี้มากนัก เกรงว่าเขาจะไม่เข้าใจคำสั่งและดึงดันจะทำตามใจ ดังนั้นหลังจากส่งสารออกไปครั้งแรกแล้วก็รีบเขียนจดหมายลับขึ้นอีกม้วนหนึ่ง เพื่ออธิบายเหตุผลที่เปลี่ยนแปลงแผนการ

หากถอยทัพทางตอนใต้ของนครในตอนนี้ก็ยังทัน แต่ว่าทหารม้าหลายหมื่นคนของท่านแม่ทัพไป๋ยังมาไม่ถึงฝั่งตะวันออกของนคร หากทหารเว่ยรอให้กำลังหลักถอยออกไปแล้วปล่อยน้ำขวางทางขังแม่ทัพไป๋เอาไว้ ก็อาจสูญเสียคนนับหมื่นเหล่านั้นในจงตู!

“หมิ่นฉือ!” ดวงตาของซ่งชูอีมืดมน บัดนี้นางมุ่งเน้นไปที่การต่อสู้โดยไม่ได้ตระหนักถึงความสุขและจิตวิญญาณการต่อสู้ของตัวเองเลย

เขายังเป็นหมิ่นฉือคนเดิมจริงๆ! ไม่ใช่คนไร้ยางอายที่วางแผนอยู่เบื้องหลัง แต่เป็นผู้บัญชาการทหารที่มีพรสวรรค์ทางทหารอันยอดเยี่ยม!

รองแม่ทัพที่อยู่ข้างๆ ซ่งชูอีรอให้นางออกคำสั่งชุดใหญ่จนเสร็จก่อนที่จะเอ่ยขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “กั๋วเว่ย เหตุใดจู่ๆ ถึงได้เปลี่ยนกลยุทธ์เล่า?”

“เจ้าเห็นภูมิประเทศของจงตูไหม ฝั่งเหนือสูงฝั่งใต้ต่ำ” ซ่งชูอีหมุนตัวมองแผนที่ที่อยู่ด้านหลัง

รองแม่ทัพพยักหน้า “นี่เป็นปัญหาที่พวกเรากังวลมาโดยตลอด แต่ว่าก่อนหน้านี้ท่านกับท่านแม่ทัพใหญ่ได้ประมาณการแล้วว่าปริมาณน้ำไม่เพียงพอที่จะเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อกองทัพของเราไม่ใช่หรือ?”

“ถูกต้อง หากคำนวณตามสามัญสำนึกแล้ว ปริมาณน้ำในจุดนี้ต่อให้มันลดลง อย่างดีที่สุดก็มิดข้อเท้า และจะไหลต่อไปยังทิศใต้ในไม่ช้า” ซ่งชูอียกมือขึ้นเคาะๆ สาขาลำน้ำสองสามแห่ง “หมิ่นฉืออาศัยตอนที่พวกเราไม่ทันระวังตัวปิดตายลำน้ำเหล่านี้ จุดประสงค์ก็คือรอให้คูเมืองระเบิดและทำให้เราจมน้ำตายไม่ใช่หรือ! เขากำลังดึงน้ำจำนวนมหาศาลเข้าสู่ตัวนคร!”

น้ำท่วมที่เข้ามาในนครจะต้องมาบรรจบกันที่ทางใต้ของนครซึ่งเป็นจุดที่ต่ำที่สุด รอจนปริมาณน้ำสะสมในระดับหนึ่ง เมื่อปล่อยน้ำออกมากะทันหันจะต้องทำให้กองทัพฉินที่กำลังโจมตีนครแตกสลายอย่างแน่นอน!

“แต่ข้าไม่พบแม่น้ำที่ผันน้ำเข้าเมืองทางตอนใต้ของนครเลยนี่นา!” รองแม่ทัพเอ่ย

“ทางลับ”

ในช่วงเวลาสั้นๆ เช่นนี้เป็นการยากที่จะขุดทางน้ำขนาดใหญ่อย่างลับๆ มีทางเดียวที่เป็นไปได้คือมีเส้นทางลับในจงตูเดิมและหมิ่นฉือใช้เส้นทางลับนี้เพื่อเบี่ยงทางน้ำ

หมิ่นฉือทำทีหลอกล่อว่าไปขุดลอกคูเมืองฝั่งตะวันออก ที่จริงแล้วมันเป็นการทำให้คู่ต่อสู้ประมาทเท่านั้น เมื่อคิดดูจากตรรกะปกติแล้ว เนื่องจากเขากำลังรีบขุดลอกแม่น้ำก็แสดงว่ากลัวว่าน้ำจะท่วมจงตู คงไม่มีใครคิดว่าเขาจะขุดคันดินทางทิศตะวันออกแล้วยังปิดกั้นทางระบายน้ำทางทิศตะวันตกทั้งหมดด้วยตัวเอง

“แผนที่นี้ไม่ได้แสดงให้เห็นว่ามีนครเวิ่งเฉิงอยู่ที่ประตูเมืองทางทิศใต้ ข้าเดาว่ากองทัพเว่ยสร้างเส้นทางลับขึ้นมาในภายหลัง” ซ่งชูอีเอ่ย

เวิ่งเฉิงเป็นนครเล็กๆ ที่ถูกสร้างขึ้นนอกประตูเมืองหลัก ภูมิประเทศแคบและเข้าถึงยาก เมื่อทหารศัตรูบุกเข้าไปทำลายประตูของนครเวิ่งเฉิงแล้วฝ่าเข้าไปในนคร แต่กลับพบว่าถูกขังอยู่ในช่องว่างเล็กๆ กำแพงโดยรอบมีความสูง ยังไม่ทันจะถอยออกมาก็ถูกฆ่าเสียก่อน มันจึงถูกเรียกว่า “จับเต่าในไห”

นครจงตูแต่เดิมมีเพียงประตูฝั่งตะวันตกที่มีเวิ่งเฉิง บนแผนที่ไม่ได้แสดงว่าประตูทางทิศใต้ก็มีเช่นกัน อาจเป็นเพราะรัฐเว่ยไม่ได้สร้างมันไว้นอกประตูเมืองหลังจากยึดครองสถานที่แห่งนี้แต่กลับสร้างประตูขึ้นใหม่ข้างใน และเปลี่ยนประตูเมืองก่อนหน้าเป็นประตูนครเวิ่งเฉิง

เมื่อทหารฉินพยายามสืบการกระจายกำลังของทหารเว่ยก็พบว่ากองกำลังทั้งสี่ด้านของประตูเมืองเท่ากัน จึงวางแผนที่จะแสร้งโจมตีทางตะวันออกของนคร แต่เป้าหมายที่แท้จริงคือทางใต้

หมิ่นฉือทำการเคลื่อนไหวนี้ แม้ว่าเขาจะไม่สามารถเอาชนะกองทัพฉินได้ แต่ก็จะสามารถทำให้การต่อสู้ให้เป็นไปในทิศทางที่เขาควบคุมได้

ซ่งชูอีในฐานะทหารกองหนุน เมื่อแนวหน้าไม่เคลื่อนไหวและไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมในการต่อสู้ นางทำได้เพียงยืนนิ่งๆ

โชคดีที่แม่ทัพอวี๋เห็นจดหมายลับของนาง หลังจากพิจารณาหลายรอบก็ตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแผนเดิม

ซ่งชูอีสั่งให้คนเตรียมที่จะย้ายค่ายเพื่อติดตามแม่ทัพอวี๋ที่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำ และเพื่อให้แน่ใจว่ามีการจัดหาเส้นทางถอยทัพและเสบียงอย่างต่อเนื่อง

จุดธูปผ่อนคลาย ซ่งชูอีนั่งอยู่ในกระโจม มองดูภาพรวมอย่างใจเย็น มีคนเข้ามารายงานสถานการณ์ของแนวหน้าเป็นครั้งคราว

“รายงานกั๋วเว่ย แม่ทัพอวี๋ออกเดินทางแล้วขอรับ”

เมื่อธูปถูกจุดจนหมด ซ่งชูอีก็ลุกขึ้น ขี้เถ้าในจานธูปปลิวไปกับสายลมทันที

โครม!

เสียงดังกึกก้องในระยะไกล

แผ่นหลังของซ่งชูอีแน่นตึง หลังจากเกิดเสียงดังสนั่นแล้ว ข้างนอกเกิดเสียงโกลาหล

ท่ามกลางเสียงตะโกนที่วุ่นวาย ซ่งชูอีได้ยินคำว่า “น้ำท่วม” สองคำนี้

ซ่งชูอีก้าวเท้ายาวๆ ออกมาจากกระโจม เห็นประตูทางทิศใต้ของจงตูเปิดกว้าง น้ำพุ่งออกมาราวกับสัตว์ร้ายที่วิ่งออกมาจากกรงของมัน ทะเลสาบขนาดเล็กก่อตัวขึ้นที่ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำในเวลาอันสั้น

กองทัพฉินที่ถอยทัพถูกกวาดล้าง พันกว่าคนถูกซัดกระจัดกระจาย

“ถ่ายทอดคำสั่งข้า เตรียมถอยทัพ!” ซ่งชูอีกล่าวเสียงสูง

“ขอรับ!”

เหล่านายพบรอบข้างตอบเป็นเสียงเดียวกัน

น้ำก้อนใหญ่ที่ไหลจากตัวเมืองพุ่งไปที่ริมคูเมืองอย่างรวดเร็ว มันยิ่งรวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ น้ำในคูเมืองได้เอ่อล้นออกมาแล้ว น้ำในแม่น้ำปริมาณน้อยรั่วไหลออกจากตลิ่ง

ซ่งชูอีได้มีการเตรียมตัวไว้แล้ว ดังนั้นทันทีที่สั่งการ กองหนุนก็ถอนตัวออกจากค่ายภายในระยะเวลาเพียงสองเค่อ ทุกอย่างกำลังดำเนินไปอย่างมีระเบียบ

ซ่งชูอีเหลือบมองกลับไปยังจงตูในขณะที่ขี่อยู่บนหลังม้า

น้ำที่ไหลทะลักค่อยๆ สงบลง น้ำตื้นสีฟ้าอมเทาเรือนลางบรรจบกับท้องฟ้า นครจงตูถูกน้ำล้อมรอบแล้ว ด้านบนของนคร มีคนในเสื้อเกราะสีทองแดงยืนโต้สายลม เสื้อคลุมสีแดงโบกสะบัด ดูสง่างามอย่างมาก

ซ่งชูอีสามารถมองเห็นร่างนั้นเพียงคลุมเครือ อย่างไรก็ตามในใจกลับมั่นใจอย่างประหลาดว่าคนคนนั้นคือหมิ่นฉือ

การต่อสู้กันครั้งแรกนี้ กองทัพฉินไม่มีความสูญเสียมากนัก ทว่าซ่งชูอียอมรับว่าตนเองแพ้แล้ว

การเคลื่อนพลไปทางทิศตะวันออกของนครอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้นั้นคือการต่อสู้อันดุเดือด ซ่งชูอีต้องการต่อสู้กับเขาแบบตัวต่อตัวเสียเหลือเกิน แต่ที่นี่คือสนามรบ กองทัพฉินมีชีวิตนับแสน นางจะต้องได้รับชัยชนะด้วยการเสียสละน้อยที่สุด และหมิ่นฉือก็จะไม่ยอมทิ้งโอกาสในการวางกลยุทธ์อย่างแน่นอน

ตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ พวกเขาล้วนทำสิ่งเดียวกัน ดังนั้นจึงมีอุดมการณ์เดียวกันและจึงจะมีการเริ่มต้น อย่างไรก็ตามแนวคิดที่แตกต่างกันที่ฝังลึกอยู่ในกระดูกถูกกำหนดให้ต้องเดินคนละเส้นทางอีกครั้ง

ในเวลานั้น ซ่งชูอีได้ประนีประนอมมากแล้ว แม้จะสามารถทนต่อความคิดของเขาที่สวนทางกับนางได้ แต่สุดท้ายเมื่อนางถูกทำลายด้วยแนวคิดดังกล่าวก็ไม่มีทางที่จะฟื้นคืนได้ตลอดไป

“ฉะนั้น จื๋อห่วน ต่อให้ชาตินี้ข้ายกโทษให้เจ้า พวกเราไม่มีความแค้นต่อกัน แต่ตราบใดที่เจ้ากับข้ายังคงต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ เจ้ากับข้าก็ถูกกำหนดให้เป็นศัตรูกัน”

ซ่งชูอีเรียกชื่อเขาเป็นครั้งสุดท้าย ไม่ใช่เป็นการให้อภัยแต่เป็นการบอกลา

ศึกครั้งนี้หากเขาไม่ตายก็เป็นนางที่ตาย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ 358 สงครามขั้นเด็ดขาดในนครจงตู (1)

Now you are reading กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ Chapter 358 สงครามขั้นเด็ดขาดในนครจงตู (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ขณะที่นครหลวงถูกสร้างขึ้นก็จะพิจาณาเรื่องการ “รุดหน้าและถอยกลับ” และเส้นทางลับ ในเมื่อจงตูก็เคยเป็นนครหลวง…

ซ่งชูอีตระหนักได้ในทันใดทว่าก็รู้สึกหมดหนทาง ต่อให้รู้ว่าจงตูมีห้องลับหรือเส้นทางลับแล้วอย่างไรหรือ? นางไม่รู้ว่าเส้นทางลับนั้นตั้งอยู่ที่ใด

ศึกโจมตีนครส่วนใหญ่เป็นการวัดกำลังกันแบบตัวต่อตัว กลยุทธ์พิศดารอย่างอื่นมีไว้เป็นตัวเสริมเท่านั้น

“รายงาน…”

ซ่งชูอีเงยหน้าขึ้น

หัวหน้ากองซือหม่าที่เนื้อตัวสะบักสะบอมเดินเข้ามา พูดพร้อมหายใจหอบ “กั๋วเว่ย กองทัพของเราใช้เครื่องขว้างหินเพื่อโจมตีนครแต่ว่ากองทัพเว่ยวางตาข่ายหน้ากำแพงเมือง หินจึงไม่สามารถทำลายกำแพงเมืองได้ขอรับ!”

กองทัพฉินทะลุแนวป้องกันแรกแล้วแต่กลับประสบความพ่ายแพ้อย่างหนักในแนวรับที่สอง แม่ทัพเห็นว่าขืนเป็นเช่นนี้ต่อไปก็มีแต่จะเสียแรงเปล่าๆ จึงสั่งให้ถอยทัพ ใช้เพียงเครื่องขว้างหินในการโจมตี

ก้อนหินรอบๆ จงตูนั้นหาได้ยาก ทรัพยากรที่มีอยู่มีจำกัด ไม่สามารถโจมตีด้วยวิธีนี้ได้ตลอดไป

หัวหน้ากองซือหม่ากล่าวต่อ “กองทัพเว่ยโรยจี๋หลีอยู่หน้ากำแพงเมือง ทหารม้าและทหารราบยากที่จะก้าวไปข้างหน้า ท่านแม่ทัพต้องการถามกั๋วเว่ยว่ามีวิธีใดในการข้ามแนวป้องกันที่สองบ้างหรือไม่?”

จี๋หลีเป็นพืชชนิดหนึ่ง เปลือกนอกของมันมีหนามแข็ง ระหว่างสงคราม หลังจากที่รวบรวมมันได้แล้วก็โรยไปบนเส้นทางที่ศัตรูต้องเดินทางผ่าน แทงให้เท้าของทหารและม้าบาดเจ็บด้วยหนามแหลมของมัน ต่อมาสำนักม่อก็ใช้เหล็กสร้างหนามจำลองขึ้นมาเลียนแบบจี๋หลีทำให้อนุภาพของมันเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว

สามารถทำให้กองทัพฉินถอยร่นไปได้ เห็นได้ชัดว่ามีจี๋หลีอยู่เป็นจำนวนมาก

“เล่าสถานการณ์มาให้ละเอียด” ซ่งชูอีเอ่ย

“ขอรับ” หัวหน้ากองซือหม่าเอ่ย “สิ่งที่กองทัพเว่ยโรยอยู่หน้านครคือหลีจี๋ตามธรรมชาติและหลีจี๋เหล็กผสมอยู่ด้วยกัน ครอบคลุมทั้งด้านหน้าของประตูฝั่งใต้ มีจำนวนมหาศาล เมื่อครู่ตอนที่ทหารม้าของข้าผ่านไปนั้นล้วนได้รับบาดเจ็บ ทหารที่ถอนกำลังออกไปตอนนี้ไม่มีใครรอด ยิ่งไปกว่านั้นฝ่าเท้าบางคนก็เน่าเสีย บัดนี้ท่านแม่ทัพสั่งให้ใช้หน้าไม้กลโจมตีแล้ว ทว่ากองทัพเว่ยต่อต้านอย่างหนักหน่วง ดังนั้นจึงไม่ใคร่เป็นผลสักเท่าไร”

เครื่องขว้างหินไม่ได้ผล ทหารม้าก็เดินไปข้างหน้าไม่ได้ แม้ว่าจะมีหน้าไม้กลที่สามารถยิงทหารรักษาการณ์ของนครได้ก็ตาม ทว่ากองทัพเว่ยแค่ต้องป้องกันเต็มกำลัง ไม่จำเป็นต้องต่อสู้กลับ ต่อให้มีลูกศรมากกว่านี้ก็ไร้ประโยชน์

การโจมตีพบกับความยากลำบากอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน

“เอาชนะความแข็งแกร่งด้วยความนุ่มนวล พวกเขาเข้าใจคิดจริงๆ! เล่าเรื่องตาข่ายที่ป้องกันก้อนหินให้ข้าฟังที” ซ่งชูอีเอ่ย

“ตาข่ายมีความแข็งแรงและเหนียว ท่านแม่ทัพเดาว่ามันถูกร้อยขึ้นด้วยส่วนผสมของผ้าใยกัญชง หนังวัวและหนังแกะเข้าด้วยกัน ก้อนหินทั้งหมดที่ถูกยิงออกไปล้วนตกลงไปในตาข่าย ท่านแม่ทัพจึงตัดสินใจใช้ไฟโจมตี สั่งให้คนทาน้ำมันหมูหนาๆ ลงบนหิน หลังจากจุดไฟแล้วก็ยิงออกไปขอรับ”

ซ่งชูอีพยักหน้า “เพียงแต่ว่า จงตูมีน้ำตลอดเวลา หากไม่สามารถเผาตาข่ายผ้าได้อย่างรวดเร็ว มันจะถูกน้ำดับในไม่ช้าก็เร็ว เจ้าไปบอกท่านแม่ทัพอวี๋ หลังจากละลายน้ำมันหมูแล้วให้ใส่ถุงหนังแกะบางๆ แล้วมัดไว้กับก้อนหิน ใช้เครื่องขว้างหินเล็งมันไปบนตาข่าย ทันทีที่มันสัมผัสตาข่ายก็สั่งให้มือหน้าไม้ยิงไฟใส่เข้าไป ใช้ทั้งสองวิธีพร้อมกันจะสามารถทำลายตาข่ายได้อย่างรวดเร็ว”

ส่วนจี๋หลีนั้นกระจัดกระจายไปทั่วพื้นหญ้า แม้ว่าหญ้าจะถูกเหยียบลงบนพื้นในระหว่างการต่อสู้ ก็ไม่มีทางที่จะสะสางได้โดยเร็ว ทางเดียวก็คือต้องเก็บขึ้นมาทีละลูกๆ

นางสอดมือไว้ในแขนเสื้อพลางครุ่นคิด “กำจัดจี๋หลีไม่ได้ แต่ว่าสามารถหาสัตว์อย่างเช่นวัวแล้วผูกคราดไว้ที่หาง จุดไฟที่หางของมัน ไล่ต้อนให้มันเข้าไปใต้หอคอย อาจจะกำจัดได้บางส่วน อีกประการหนึ่งคือการทำให้รองเท้าของทหารของเราหนาขึ้น จะดำเนินการอย่างไรให้แม่ทัพอวี๋ตัดสินใจเองเถิด”

“ขอรับ!” หัวหน้ากองซือหม่าดีใจอย่างยิ่ง กำแพงเมืองเกือบจะจมอยู่ในน้ำแล้ว ตราบเท่าที่สามารถเอาตาข่ายออกได้ เหตุใดจะทำลายกำแพงเมืองไม่ได้เล่า!

กองทัพฉินต้องใช้เวลาในการเตรียมการ ดังนั้นการโจมตีครั้งแรกจึงถูกบังคับให้หยุดไว้ชั่วคราว

ในเวลานี้มีข่าวส่งมาจากทิศตะวันตก…แควทั้งหมดตามคูเมืองต่างถูกปิดตายแล้ว!

หลังจากที่ซ่งชูอีได้ตรวจสอบและคำนวณอย่างรอบคอบแล้วก็กำหนดตำแหน่งที่จะสกัดกั้นการไหลของน้ำ การปิดกั้นแควตามคูเมืองตามอำเภอใจไม่ใช่การกระทำของทหารฉินอย่างแน่นอน เช่นนั้นกองทัพเว่ยเป็นคนปิดตายเองหรือ?

ซ่งชูอีนึกถึงภูมิประเทศของจงตู จู่ๆ เหงื่อเย็นก็ผุดออกมาบนหน้าผาก กล่าวด้วยน้ำเสียงแหลมคม “ทหาร!”

“ขอรับ!”

“ถ่ายทอดคำสั่งข้าลงไป แจ้งท่านแม่ทัพไป๋ให้รอคำสั่งที่เมืองตะวันออก ไม่ต้องรีบไปยังทิศใต้ ให้แม่ทัพอวี๋ละทิ้งทางตอนใต้เพื่อไปสมทบกับแม่ทัพไป๋ทางทิศตะวันออก เน้นการโจมตีไปที่ทางทิศตะวันออกของเมือง และบอกพวกเขาว่าทางหนีนั้นพังพินาศแล้ว หากโจมตีจงตูไม่สำเร็จก็ตายสถานเดียว!” ซ่งชูอีพูดจบก็เพิกเฉยต่อความตกตะลึงของอีกฝ่าย นั่งลงหน้าโต๊ะและหยิบเครื่องเขียนขึ้นมาทันที

“ขอรับ!” ผ่านไปครู่หนึ่งหัวหน้ากองซือหม่าก็ตอบรับ

หลังจากซ่งชูอีเขียนเสร็จและเป่าให้แห้งแล้วก็วางสมุดไผ่ลง “กู่ฉิง ให้คนนำไปส่งท่านแม่ทัพใหญ่! เร็วเข้า!”

ซ่งชูอีไม่ได้รู้จักแม่ทัพผู้นำการโจมตีครั้งนี้มากนัก เกรงว่าเขาจะไม่เข้าใจคำสั่งและดึงดันจะทำตามใจ ดังนั้นหลังจากส่งสารออกไปครั้งแรกแล้วก็รีบเขียนจดหมายลับขึ้นอีกม้วนหนึ่ง เพื่ออธิบายเหตุผลที่เปลี่ยนแปลงแผนการ

หากถอยทัพทางตอนใต้ของนครในตอนนี้ก็ยังทัน แต่ว่าทหารม้าหลายหมื่นคนของท่านแม่ทัพไป๋ยังมาไม่ถึงฝั่งตะวันออกของนคร หากทหารเว่ยรอให้กำลังหลักถอยออกไปแล้วปล่อยน้ำขวางทางขังแม่ทัพไป๋เอาไว้ ก็อาจสูญเสียคนนับหมื่นเหล่านั้นในจงตู!

“หมิ่นฉือ!” ดวงตาของซ่งชูอีมืดมน บัดนี้นางมุ่งเน้นไปที่การต่อสู้โดยไม่ได้ตระหนักถึงความสุขและจิตวิญญาณการต่อสู้ของตัวเองเลย

เขายังเป็นหมิ่นฉือคนเดิมจริงๆ! ไม่ใช่คนไร้ยางอายที่วางแผนอยู่เบื้องหลัง แต่เป็นผู้บัญชาการทหารที่มีพรสวรรค์ทางทหารอันยอดเยี่ยม!

รองแม่ทัพที่อยู่ข้างๆ ซ่งชูอีรอให้นางออกคำสั่งชุดใหญ่จนเสร็จก่อนที่จะเอ่ยขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “กั๋วเว่ย เหตุใดจู่ๆ ถึงได้เปลี่ยนกลยุทธ์เล่า?”

“เจ้าเห็นภูมิประเทศของจงตูไหม ฝั่งเหนือสูงฝั่งใต้ต่ำ” ซ่งชูอีหมุนตัวมองแผนที่ที่อยู่ด้านหลัง

รองแม่ทัพพยักหน้า “นี่เป็นปัญหาที่พวกเรากังวลมาโดยตลอด แต่ว่าก่อนหน้านี้ท่านกับท่านแม่ทัพใหญ่ได้ประมาณการแล้วว่าปริมาณน้ำไม่เพียงพอที่จะเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อกองทัพของเราไม่ใช่หรือ?”

“ถูกต้อง หากคำนวณตามสามัญสำนึกแล้ว ปริมาณน้ำในจุดนี้ต่อให้มันลดลง อย่างดีที่สุดก็มิดข้อเท้า และจะไหลต่อไปยังทิศใต้ในไม่ช้า” ซ่งชูอียกมือขึ้นเคาะๆ สาขาลำน้ำสองสามแห่ง “หมิ่นฉืออาศัยตอนที่พวกเราไม่ทันระวังตัวปิดตายลำน้ำเหล่านี้ จุดประสงค์ก็คือรอให้คูเมืองระเบิดและทำให้เราจมน้ำตายไม่ใช่หรือ! เขากำลังดึงน้ำจำนวนมหาศาลเข้าสู่ตัวนคร!”

น้ำท่วมที่เข้ามาในนครจะต้องมาบรรจบกันที่ทางใต้ของนครซึ่งเป็นจุดที่ต่ำที่สุด รอจนปริมาณน้ำสะสมในระดับหนึ่ง เมื่อปล่อยน้ำออกมากะทันหันจะต้องทำให้กองทัพฉินที่กำลังโจมตีนครแตกสลายอย่างแน่นอน!

“แต่ข้าไม่พบแม่น้ำที่ผันน้ำเข้าเมืองทางตอนใต้ของนครเลยนี่นา!” รองแม่ทัพเอ่ย

“ทางลับ”

ในช่วงเวลาสั้นๆ เช่นนี้เป็นการยากที่จะขุดทางน้ำขนาดใหญ่อย่างลับๆ มีทางเดียวที่เป็นไปได้คือมีเส้นทางลับในจงตูเดิมและหมิ่นฉือใช้เส้นทางลับนี้เพื่อเบี่ยงทางน้ำ

หมิ่นฉือทำทีหลอกล่อว่าไปขุดลอกคูเมืองฝั่งตะวันออก ที่จริงแล้วมันเป็นการทำให้คู่ต่อสู้ประมาทเท่านั้น เมื่อคิดดูจากตรรกะปกติแล้ว เนื่องจากเขากำลังรีบขุดลอกแม่น้ำก็แสดงว่ากลัวว่าน้ำจะท่วมจงตู คงไม่มีใครคิดว่าเขาจะขุดคันดินทางทิศตะวันออกแล้วยังปิดกั้นทางระบายน้ำทางทิศตะวันตกทั้งหมดด้วยตัวเอง

“แผนที่นี้ไม่ได้แสดงให้เห็นว่ามีนครเวิ่งเฉิงอยู่ที่ประตูเมืองทางทิศใต้ ข้าเดาว่ากองทัพเว่ยสร้างเส้นทางลับขึ้นมาในภายหลัง” ซ่งชูอีเอ่ย

เวิ่งเฉิงเป็นนครเล็กๆ ที่ถูกสร้างขึ้นนอกประตูเมืองหลัก ภูมิประเทศแคบและเข้าถึงยาก เมื่อทหารศัตรูบุกเข้าไปทำลายประตูของนครเวิ่งเฉิงแล้วฝ่าเข้าไปในนคร แต่กลับพบว่าถูกขังอยู่ในช่องว่างเล็กๆ กำแพงโดยรอบมีความสูง ยังไม่ทันจะถอยออกมาก็ถูกฆ่าเสียก่อน มันจึงถูกเรียกว่า “จับเต่าในไห”

นครจงตูแต่เดิมมีเพียงประตูฝั่งตะวันตกที่มีเวิ่งเฉิง บนแผนที่ไม่ได้แสดงว่าประตูทางทิศใต้ก็มีเช่นกัน อาจเป็นเพราะรัฐเว่ยไม่ได้สร้างมันไว้นอกประตูเมืองหลังจากยึดครองสถานที่แห่งนี้แต่กลับสร้างประตูขึ้นใหม่ข้างใน และเปลี่ยนประตูเมืองก่อนหน้าเป็นประตูนครเวิ่งเฉิง

เมื่อทหารฉินพยายามสืบการกระจายกำลังของทหารเว่ยก็พบว่ากองกำลังทั้งสี่ด้านของประตูเมืองเท่ากัน จึงวางแผนที่จะแสร้งโจมตีทางตะวันออกของนคร แต่เป้าหมายที่แท้จริงคือทางใต้

หมิ่นฉือทำการเคลื่อนไหวนี้ แม้ว่าเขาจะไม่สามารถเอาชนะกองทัพฉินได้ แต่ก็จะสามารถทำให้การต่อสู้ให้เป็นไปในทิศทางที่เขาควบคุมได้

ซ่งชูอีในฐานะทหารกองหนุน เมื่อแนวหน้าไม่เคลื่อนไหวและไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมในการต่อสู้ นางทำได้เพียงยืนนิ่งๆ

โชคดีที่แม่ทัพอวี๋เห็นจดหมายลับของนาง หลังจากพิจารณาหลายรอบก็ตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแผนเดิม

ซ่งชูอีสั่งให้คนเตรียมที่จะย้ายค่ายเพื่อติดตามแม่ทัพอวี๋ที่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำ และเพื่อให้แน่ใจว่ามีการจัดหาเส้นทางถอยทัพและเสบียงอย่างต่อเนื่อง

จุดธูปผ่อนคลาย ซ่งชูอีนั่งอยู่ในกระโจม มองดูภาพรวมอย่างใจเย็น มีคนเข้ามารายงานสถานการณ์ของแนวหน้าเป็นครั้งคราว

“รายงานกั๋วเว่ย แม่ทัพอวี๋ออกเดินทางแล้วขอรับ”

เมื่อธูปถูกจุดจนหมด ซ่งชูอีก็ลุกขึ้น ขี้เถ้าในจานธูปปลิวไปกับสายลมทันที

โครม!

เสียงดังกึกก้องในระยะไกล

แผ่นหลังของซ่งชูอีแน่นตึง หลังจากเกิดเสียงดังสนั่นแล้ว ข้างนอกเกิดเสียงโกลาหล

ท่ามกลางเสียงตะโกนที่วุ่นวาย ซ่งชูอีได้ยินคำว่า “น้ำท่วม” สองคำนี้

ซ่งชูอีก้าวเท้ายาวๆ ออกมาจากกระโจม เห็นประตูทางทิศใต้ของจงตูเปิดกว้าง น้ำพุ่งออกมาราวกับสัตว์ร้ายที่วิ่งออกมาจากกรงของมัน ทะเลสาบขนาดเล็กก่อตัวขึ้นที่ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำในเวลาอันสั้น

กองทัพฉินที่ถอยทัพถูกกวาดล้าง พันกว่าคนถูกซัดกระจัดกระจาย

“ถ่ายทอดคำสั่งข้า เตรียมถอยทัพ!” ซ่งชูอีกล่าวเสียงสูง

“ขอรับ!”

เหล่านายพบรอบข้างตอบเป็นเสียงเดียวกัน

น้ำก้อนใหญ่ที่ไหลจากตัวเมืองพุ่งไปที่ริมคูเมืองอย่างรวดเร็ว มันยิ่งรวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ น้ำในคูเมืองได้เอ่อล้นออกมาแล้ว น้ำในแม่น้ำปริมาณน้อยรั่วไหลออกจากตลิ่ง

ซ่งชูอีได้มีการเตรียมตัวไว้แล้ว ดังนั้นทันทีที่สั่งการ กองหนุนก็ถอนตัวออกจากค่ายภายในระยะเวลาเพียงสองเค่อ ทุกอย่างกำลังดำเนินไปอย่างมีระเบียบ

ซ่งชูอีเหลือบมองกลับไปยังจงตูในขณะที่ขี่อยู่บนหลังม้า

น้ำที่ไหลทะลักค่อยๆ สงบลง น้ำตื้นสีฟ้าอมเทาเรือนลางบรรจบกับท้องฟ้า นครจงตูถูกน้ำล้อมรอบแล้ว ด้านบนของนคร มีคนในเสื้อเกราะสีทองแดงยืนโต้สายลม เสื้อคลุมสีแดงโบกสะบัด ดูสง่างามอย่างมาก

ซ่งชูอีสามารถมองเห็นร่างนั้นเพียงคลุมเครือ อย่างไรก็ตามในใจกลับมั่นใจอย่างประหลาดว่าคนคนนั้นคือหมิ่นฉือ

การต่อสู้กันครั้งแรกนี้ กองทัพฉินไม่มีความสูญเสียมากนัก ทว่าซ่งชูอียอมรับว่าตนเองแพ้แล้ว

การเคลื่อนพลไปทางทิศตะวันออกของนครอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้นั้นคือการต่อสู้อันดุเดือด ซ่งชูอีต้องการต่อสู้กับเขาแบบตัวต่อตัวเสียเหลือเกิน แต่ที่นี่คือสนามรบ กองทัพฉินมีชีวิตนับแสน นางจะต้องได้รับชัยชนะด้วยการเสียสละน้อยที่สุด และหมิ่นฉือก็จะไม่ยอมทิ้งโอกาสในการวางกลยุทธ์อย่างแน่นอน

ตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ พวกเขาล้วนทำสิ่งเดียวกัน ดังนั้นจึงมีอุดมการณ์เดียวกันและจึงจะมีการเริ่มต้น อย่างไรก็ตามแนวคิดที่แตกต่างกันที่ฝังลึกอยู่ในกระดูกถูกกำหนดให้ต้องเดินคนละเส้นทางอีกครั้ง

ในเวลานั้น ซ่งชูอีได้ประนีประนอมมากแล้ว แม้จะสามารถทนต่อความคิดของเขาที่สวนทางกับนางได้ แต่สุดท้ายเมื่อนางถูกทำลายด้วยแนวคิดดังกล่าวก็ไม่มีทางที่จะฟื้นคืนได้ตลอดไป

“ฉะนั้น จื๋อห่วน ต่อให้ชาตินี้ข้ายกโทษให้เจ้า พวกเราไม่มีความแค้นต่อกัน แต่ตราบใดที่เจ้ากับข้ายังคงต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ เจ้ากับข้าก็ถูกกำหนดให้เป็นศัตรูกัน”

ซ่งชูอีเรียกชื่อเขาเป็นครั้งสุดท้าย ไม่ใช่เป็นการให้อภัยแต่เป็นการบอกลา

ศึกครั้งนี้หากเขาไม่ตายก็เป็นนางที่ตาย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+