กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ 367 คนงามปรากฏตัวพร้อมกัน

Now you are reading กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ Chapter 367 คนงามปรากฏตัวพร้อมกัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ทั้งสองคนพูดคุยกันจนถึงหน้าประตูบ้าน

ทันทีที่ซ่งชูอีเข้ามาก็ได้ยินเสียงหนิงยาตะโกน “ท่านเจ้าคะ เจียนกลับมาแล้ว ครั้งนี้…”

หนิงยาเดินผ่านสวนดอกไม้หนาแน่นก่อนที่จะเห็นอย่างชัดเจนว่าข้างกายซ่งชูอีมีคนอื่น นางหน้าแดงกะทันหัน ค้อมตัวกล่าว “ไม่เห็นว่ามีแขก ทำตัวให้ท่านขบขันแล้ว”

เมื่อก่อนหลงกู่ปู้วั่งไม่คุ้นเคยกับหนิงยาเท่าใดนัก พบหน้ากันน้อยครั้งและเขาก็ไม่เคยตั้งใจจะไปทำความรู้จักกับบ่าวสาวใช้ ยิ่งไปกว่านั้นบัดนั้นหนิงยาเพิ่งจะเป็นสาวน้อยอายุยังไม่สิบขวบดี บัดนี้นางเปลี่ยนไปมากแล้วและไม่มีรูปลักษณ์เยี่ยงตอนเด็กโดยสิ้นเชิง ดังนั้นเขาจึงจำนางไม่ได้

“นี่คือซ่งหนิง เป็นน้องสาวที่ข้ารับเข้ามา” ซ่งชูอีเอ่ย

ในเมื่อเป็นน้องสาวของอาจารย์ หลงกู่ปู้วั่งก็ไม่กล้าละเลย ประสานมือคำนับ “แม่นางซ่ง”

หนิงยารู้สึกเลือนรางว่าหน้าตาของแขกผู้นี้ดูคุ้นตา ทว่านึกไม่ออกชั่วขณะ เพียงค้อมตัวคำนับกลับ

ใบไม้ในตรอกทางเดินสั่นไหวเล็กน้อย เพียงพริบตาเดียวซ่งชูอีก็พบว่าที่นั่นมีคนเพิ่มมาอีกคน เขาสวมเครื่องแต่งกายสีดำ ขาสองข้างที่เรียวยาวทำให้ลำตัวดูสูงตรง ใบหน้าเรียวเล็กทำให้ใบหูที่ลู่ลมคู่นั้นดูใหญ่เทอะทะ

“นายท่าน ท่านแม่ทัพหลงกู่” ซ่งเจียนกำหมัดคารวะทั้งสองคน

“พวกเจ้ารู้จักกันรึ?” ซ่งชูอีเอ่ย

หลงกู่ปู้วั่งเอ่ย “เคยเจอกันที่พระตำหนักชุนเซินจวินสองครั้ง ครั้งนี้เขาเข้ารัฐฉินมาพร้อมกับขบวนราชทูต”

อาจารย์ของซ่งเจียนเป็นสหายกับชุนเซินจวิน ซ่งเจียนเข้ารัฐฉินมาพร้อมกับราชทูตฉู่ก็ไม่แปลก

พวกเขาไปที่ศาลาในสวนด้านหลังเพื่อปรุงสุราและสนทนากัน

จากกันสิบกว่าปี มีเรื่องเล่ามากมายไม่รู้จบ

หลังจากดื่มไปสิบกว่าไหก็ล่วงเลยสู่กลางดึก ซ่งเจียนกับหนิงยาไปคุยกันเป็นการส่วนตัวแล้ว ส่วนซ่งชูอีกับหลงกู่ปู้วั่งยังคงดื่มต่อ

“อาจารย์ไม่ถามข้าว่ามาทำอะไรในรัฐฉินหรือ?” แก้มทั้งสองข้างของหลงกู่ปู้วั่งแดงระเรื่อ แต่ว่าแววตาสดใส

“หากข้าถาม เจ้าจะบอกความจริงรึ?” ซ่งชูอียิ้มถาม

หลงกู่ปู้วั่งเอ่ย “ก็อาจจะบอก”

“โดยทั่วไปข้าไม่เชื่อในคำพูด” ซ่งชูอีรินสุราจอกหนึ่งให้เขา “อีกอย่าง บางเรื่องพูดออกมาแล้วทำร้ายจิตใจ สู้ไม่พูดจะดีกว่า เจ้าว่าไหม?”

หลงกู่ปู้วั่งยิ้มขมขื่น ทุกครั้งที่เขาปีนขึ้นไปอีกขั้นในรัฐฉู่ เขาต้องยอมทิ้ง “ความจริง” ไปบ้าง ทุกครั้งที่บรรลุเป้าหมายความรู้สึกซับซ้อนและชิงชังรอบข้างก็ยิ่งมีมากขึ้น บัดนี้เด็กชายผู้ไร้เดียงสาคนนั้นไม่มีตัวตนอีกแล้ว

ความสัมพันธ์ฉันศิษย์อาจารย์กับซ่งชูอีเป็นความรู้สึกบริสุทธิ์เพียงอย่างเดียวของเขา ดังนั้นเขาจึงหวงแหนมันมาก

อย่างไรก็ตามฉินฉู่ไม่สามารถสงบสุขได้ ในที่สุดพวกเขาก็ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม ทว่าหลงกู่ปู้วั่งก็ยังต้องการคิดวิธีที่จะบรรลุทั้งสองอย่าง

“ข้าไม่ต้องการเป็นศัตรูกับอาจารย์” หลงกู่ปู้วั่งเอ่ย

ซ่งชูอีจิบสุราอุ่นคำหนึ่ง เป่าลมเย็นออกมาอย่างสบายๆ พูดขึ้นเชื่องช้า “เจ้ากลัวรึ?”

“ข้าไม่เคยกลัวความพ่ายแพ้” หลงกู่ปู้วั่งเห็นว่านางเฉยเมยเช่นนี้ หัวใจก็มืดมน “ท่านไม่เคยเก็บความรักระหว่างศิษย์อาจารย์มาใส่ใจเลยรึ?”

“อาจารย์ของข้าเคยตัดนิ้วแทนข้า บัดนี้แค้นได้รับการชำระแล้ว อีกทั้งนิ้วของเขาก็ยังฝังอยู่ในลานแห่งนี้ ข้าไม่สามารถปล่อยวางมันไปได้เลย” ซ่งชูอีพิงอยู่บนราว มือหนึ่งหนุนศีรษะ มองเขาด้วยแววตาที่นิ่งสงบไร้คลื่น “ทว่าหากเขาไม่เคยละทิ้งเรื่องทางโลก วันนี้เวลานี้ข้ากับเขาต่างมีนายเป็นของตัวเอง เจ้าเดาสิว่าข้าจะออมมือรึไม่? เขาจะออมมือรึไม่?”

ไม่อย่างแน่นอน

หลงกู่ปู้วั่งมีคำตอบที่ชัดเจนอยู่ในใจ ทว่าเขาทำไม่ได้ “จะระงับอารมณ์เพื่อทำงานได้อย่างไร?”

ซ่งชูอีวางจอกสุราลงแล้วยกมือขึ้น ตวัดนิ้วเรียกเขา

หลงกู่ปู้วั่งเข้าไปใกล้อีกหน่อย ซ่งชูอีโน้มตัวเข้าหาด้วยสีหน้าลึกลับพร้อมกระซิบเสียงเบา “บัดนี้เจ้าออกจากสำนักแล้ว ไปคิดเอาเอง”

“อายุปูนนี้แล้ว ยังจะทำอะไรเป็นเด็กๆ อยู่ได้!” หลงกู่ปู้วั่งขุ่นเคืองกับทัศนคติของเขา

ซ่งชูอีหัวเราะเสียงดัง

หลงกู่ปู้วั่งเหล่มองนาง จับจ้องใบหน้าที่เรียบเนียนของนาง รู้สึกตกใจเล็กน้อย โน้มตัวเข้ามายื่นมือลูบๆ คางของนาง “เหตุใดอาจารย์จึงไม่มีหนวด?”

ก่อนหน้านี้เขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เป็นแขกเหรื่อที่มัวแต่รำลึกถึงความหลังจนไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้

“คือว่า…” ซ่งชูอีกำลังจะเริ่มพูดเรื่องไร้สาระ ก็รู้สึกเหมือนมีสายลมมืดมนอยู่ข้างหลัง นางหันกลับไปตามสัญชาตญาณก็มองเห็นเจ้าอี่โหลวกับซ่งเจียนยืนอยู่บนเส้นทางที่คดเคี้ยว

หลงกู่ปู้วั่งเงยหน้าขึ้นและสบตากับแววตาดุจดาบที่จ้องมองมาพอดี เปลือกตากระตุกเล็กน้อย จากนั้นจึงพบว่าชายหนุ่มผู้นี้หน้าดีอย่างแท้จริง รูปร่างกำยำแต่ไม่เทอะทะ ใบหน้างดงามทว่าไร้ความเป็นหญิง เมื่อมองไปที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายของเขาเพียงอย่างเดียวก็ไม่พบข้อบกพร่องแม้แต่น้อย เขายืนอยู่ตรงนั้นราวกับแสงอาทิตย์และแสงจันทร์สดใส ทำให้ผู้คนและทิวทัศน์รอบทิศกลายเป็นเพียงพื้นหลังที่ดึงให้เขาสดใสยิ่งขึ้น

“กลับมาแล้วรึ” ทั้งๆ ที่ซ่งชูอีไม่ได้ทำเรื่องเสียหายอะไรเลย แต่กลับเหมือนถูก “จับได้คาหนังคาเขา” มิปาน รู้สึกละอายใจอย่างประหลาด

เจ้าอี่โหลวก้าวขายาวๆ และเดินเข้าไปในศาลา

“นี่คือลูกศิษย์ของข้า หลงกู่ปู้วั่ง บัดนี้เป็นแม่ทัพรัฐฉู่” ซ่งชูอีแนะนำ

“เจ้าอี่โหลว” เจ้าอี่โหลวประสานมือพร้อมกล่าวแนะนำตัวเองสั้นๆ

“ที่แท้ก็แม่ทัพเจ้า ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว” หลงกู่ปู้วั่งไม่ได้กล่าวไปตามมารยาท ตอนนั้นที่เจ้าอี่โหลวเอาชนะปาสู่และถูอู้ลี่ได้ นายพลรัฐฉู่ทุกคนย่อมรู้เรื่องนี้ดี

เจ้าอี่โหลวยังคงไม่ชอบสุงสิงกับคนอื่นนัก แต่รูปลักษณ์และท่าทางของเขาทำให้ผู้คนไม่สามารถเพิกเฉยได้ แม้หลงกู่ปู้วั่งไม่กลัวทว่าก็ยังรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเมื่อคุยกับซ่งชูอี ดังนั้นหลังจากที่ทั้งสองคุยกันสักพัก หลงกู่ปู้วั่งก็หาข้ออ้างจากไป

ทันทีที่หลงกู่ปู้วั่งจากไป เจ้าอี่โหลวก็พูดขึ้น “โรคเก่าของฝ่าบาทกำเริบ”

อาการเจ็บป่วยเรื้อรังของอิ๋งซื่อไม่มีทางรักษาให้หาย ในตอนแรกเว่ยเต้าจื่อเพราะเห็นแก่หน้าจึงช่วยเขารักษา อย่างไรก็ดีรักษาไปรักษามาก็สิบกว่าปีแล้ว เวลาที่อาการป่วยของอิ๋งซื่อกำเริบก็เหมือนถูกมีดทิ่มแทง การหายใจลำบาก แต่บางครั้งเขาก็สามารถเข้าร่วมประชุมราชสำนักช่วงเช้าได้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทำให้เว่ยเต้าจื่อผู้ไม่เคยมองผู้ชายอย่างตรงไปตรงมาอดไม่ได้ที่จะมองสักครั้ง

เว่ยเต้าจื่อรู้สึกว่ากษัตริย์ที่มั่นคงและสามารถควบคุมตัวเองได้เช่นนี้ แน่นอนว่าจะสามารถเป็นเจ้าแห่งใต้หล้าที่น่ายกย่อง ใจก็อดเสียดายไม่ได้หากเขาจะตายก่อนวัย ทุกๆ ปีเขาจึงเดินทางไปทั่วทุกทิศเพื่อรวบรวมยาสมุนไพรที่เขาต้องการและใช้ทักษะทางการแพทย์ตลอดชีวิตเพื่อทำให้เขามีชีวิตต่อไป

“ศิษย์พี่ใหญ่ยังไม่กลับมารึ?” ซ่งชูอีตื่นตระหนกขึ้นมาทันใด

เจ้าอี่โหลวส่ายหน้า “ครึ่งเดือนก่อนเขาส่งสารมาว่าถึงเฝินเฉิงแล้ว ด้วยเหตุผลบางประการไม่พบร่องรอยของเขาที่

ด่านหานกู่เลย”

จดหมายมาถึงเสียนหยางเมื่อครึ่งเดือนก่อน ต่อให้เดินเท้าตอนนี้ก็ควรจะอยู่ใกล้กับด่านหานกู่แล้ว เส้นทางจาก

ด่านหานกู่มาถึงเสียนหยางราบเรียบ เป็นไปไม่ได้ที่เว่ยเต้าจื่อจะทิ้งทางใกล้เพื่อเดินทางไกล และเป็นไปไม่ได้ที่จะละทิ้งเส้นทางหลักและเดินทางข้ามภูเขาสูงชันแทน

หรือว่าจะเกิดอุบัติเหตุ?

“ดูเหมือนว่าจะเกิดศึกระหว่างฉินฉู่แล้ว” ซ่งชูอีขมวดคิ้ว รัฐฉู่ส่งหลงกู่ปู้วั่งมาเป็นราชทูต ไม่มีอะไรมากไปกว่าเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสงคราม เขาเก่งทั้งบู๊บุ๋น ชำนาญด้านการทหาร มองเห็นสิ่งต่างๆ ได้มากกว่าคนทั่วไป

หากรัฐฉู่รู้ว่าอิ๋งซื่อป่วยหนัก จะปล่อยฝูงมังกรที่ไร้จ่าฝูงไปได้อย่างไร?

“ท่านเจ้าคะ!” หนิงยาวิ่งเหยาะๆ เข้ามา “มีคนในวังมาเชิญท่าน บอกว่าท่านอ๋องต้องการพบเจ้าค่ะ”

ซ่งชูอีเหลือบมองเจ้าอี่โหลว ลุกขึ้นทันที

เจ้าอี่โหลวขี่ม้าเข้าวังไปพร้อมนาง เมื่อเห็นว่านางเข้าวังไปแล้วจึงกลับมาตามลำพัง

ซ่งชูอีพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อข่มอารมณ์ของตนเอง โดยมีเด็กในวังนำทางไปจนถึงห้องบรรทมของอิ๋งซื่อ

“กวนเน่ยโหวเชิญ” ขันทีเถาค้อมตัวเชิญนางเข้าไป

ในพระตำหนักเต็มไปด้วยกลิ่นยาหนักหน่วง ด้านนอกพระตำหนักเป็นเหมือนปกติ คนรับใช้ในวังต่างยืนก้มหน้าลง แต่ภายในพระตำหนักว่างเปล่า

ซ่งชูอียืนอยู่หน้าเตียง “ถวายบังคมฝ่าบาท”

มีม่านไม้ไผ่บางๆ กั้นกลาง นางมองไม่เห็นสถานการณ์ข้างใน ได้ยินเพียงเสียงที่อ่อนแออย่างเห็นได้ชัดของอิ๋งซื่อ “เข้ามาใกล้ๆ”

ขันทีเถาเลิกผ้าม่านให้นาง

ซ่งชูอีเดินผ่านม่านเข้าไปก็เห็นอิ๋งซื่อพิงอยู่บนราวเตียง ใบหน้าของเขาซีดขาว สวมชุดผ้าไหมสีดำ ผมหมึกพาดไว้ข้างหลังและมัดด้วยแถบผ้าแพร สายรัดเอวถูกคาดไว้หลวมๆ เสื้อด้านหน้าเผยให้เห็นทรวงอกที่แข็งแรง คิ้วทั้งสองข้างพุ่งเข้าขมับในแนวทแยงเหมือนดาบคม น้ำแข็งที่ไม่มีวันละลายอยู่ในดวงตานกอินทรีคู่นั้น และเพราะว่าซูบเซียว ใบหน้าจึงกลายเป็นเบ้าลึกอย่างเห็นได้ชัด

แสงสลัวช่วยเพิ่มความลึกลับให้กับเขา ริมฝีปากบางๆ ของเขาอ้าออกเล็กน้อย “นั่ง”

ซ่งชูอีนั่งลงบนเก้าอี้กลมหน้าเตียง “ร่างกายของอ๋องข้าดีขึ้นบ้างหรือไม่?”

อิ๋งซื่อกล่าวว่า “อืม” เรียบๆ แล้วเข้าเรื่องทันที “กว่าเหรินอยากได้ยินไท่ฟู่ประเมินองค์รัชทายาทให้ฟัง”

ซ่งชูอีมองเขาอย่างเป็นห่วง ต้องการจะถามว่าร่างกายของเขาเป็นอย่างไรกันแน่ ทว่าเป็นจวินและขุนนางกันมาสิบหกปี นางรู้จักนิสัยของเขาดีเกินไปแล้ว ดังนั้นจึงเอ่ยว่า “องค์รัชทายาทเก่งในศิลปะการต่อสู้และมีความสามารถอย่างมากในกิจการทหาร เป็นเรื่องประเสริฐต่อฉินยิ่ง เพียงแต่ว่าบัดนี้อายุยังน้อย ยังไม่มั่นคงและรอบคอบพอ ความคิดก็ยังไร้เดียงสาเกินไป”

ซ่งชูอีประเมินอย่างตรงไปตรงมา อิ๋งตั้งฝึกอยู่ในกองทัพตั้งแต่อายุแปดขวบแล้ว หากเทียบกับหลงกู่ปู้วั่งในวัยเด็กก็ไม่นับว่าบริสุทธิ์ไร้เดียงสานัก ทว่าเขาต้องเป็นกษัตริย์ในภายภาคหน้า ไม่สามารถวัดได้ด้วยมาตรฐานทั่วไป

ซ่งชูอียากที่จะตรวจจับอารมณ์ใดๆ จากใบหน้าหล่อเหลาที่นิ่งเฉยของอิ๋งซื่อ

ว่ากันตามความรู้สึกแล้ว ซ่งชูอีคิดว่าอิ๋งตั้งต่างจากอิ๋งซื่อมากเกินไป! อิ๋งซื่อเปรียบเสมือนราชาที่เกิดมาเพื่อตอบสนองโชคชะตาของรัฐฉิน สามารถเพิ่มดินแดนของรัฐฉินมากกว่าสองเท่าบนรากฐานความมั่นคงที่เซี่ยวกงได้วางไว้ บัดนี้ต่อให้อีกหกรัฐขี่ม้าไล่ตามก็ตามความแข็งแกร่งของรัฐไม่ทัน หากเขาสามารถครองราชย์ต่ออีกสักห้าสิบปี ก็จะสามารถทำให้รัฐฉินใหญ่ขึ้นเป็นเท่าตัว! หรือแม้กระทั่งคว้าโอกาสอันดี รวมใต้หล้าให้เห็นหนึ่งเดียวก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

“อีกนานแค่ไหนเขาจึงจะสามารถแบกรับรัฐฉินได้?” อิ๋งซื่อกล่าว

ซ่งชูอีทนไม่ไหว ถามกลับ “อ๋องของข้ายังหนุ่มแน่น เหตุใดจู่ๆ จึงถามเยี่ยงนี้?”

ดวงตาดำขลับของอิ๋งซื่อจ้องนางไม่กะพริบ “ตอบกว่าเหริน”

ภายใต้การจ้องมองอย่างแท้จริงของเขา ซ่งชูอีสามารถตอบได้เพียงว่า “กระหม่อมไม่ทราบ การที่คนคนหนึ่งเติบโตและเปลี่ยนแปลงเป็นผู้ใหญ่อาจต้องใช้เวลาตลอดชีวิตหรืออาจใช้เวลาเพียงชั่วอึดใจ”

สำหรับหัวใจและธรรมชาติของมนุษย์นั้น ซ่งชูอีรู้สึกว่าตนมีพลังจากสวรรค์แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถควบคุมทุกอย่างได้ บางคนจะมีความยืดหยุ่นและเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นหลังจากถูกโจมตี บางคนกลับหมดบุญสิ้นหวัง หรือบางคนอาการรุนอาจแรงขึ้นเรื่อยๆ…ผลลัพธ์ต่างๆ นานาที่แตกต่างกัน ใครจะไปคาดเดาได้?

อิ๋งซื่อหลับตาลง ยกมือขึ้นนวดคลึงหว่างคิ้วแผ่วเบา

ซ่งชูอีเห็นว่าอารมณ์ของเขาแย่มาก แต่ก็รู้ว่าเขาจะไม่มีวันหาคนมาระบายด้วย

“อ๋องข้ามีสิ่งใดไม่สบายใจ กระหม่อมอาจจะแบ่งเบาได้พ่ะย่ะค่ะ” ซ่งชูอีโยนหินถามทาง

“ไม่มีอะไร กว่าเหรินแค่เหนื่อย เจ้าออกไปก่อนเถิด” ลมหายใจเยือกเย็นของอิ๋งซื่อเพียงพอที่จะแสดงการต่อต้านของเขา

ซ่งชูอีทำตามที่เขาบอก ลุกขึ้นจากไป

ที่จริงแม้อิ๋งซื่อไม่พูด ซ่งชูอีก็พอที่จะเดาได้บ้าง เป็นไปได้ว่าเขารู้สึกว่าตนป่วยหนัก จึงเตรียมจัดการเรื่องผู้สืบทอด

เมื่ออิ๋งซื่อเริ่มรู้สึกไม่สบาย เขาก็ได้สั่งให้คนสร้างสุสานไว้แล้ว สุสานของเขามีขนาดไม่ใหญ่มากด้วยความยึดมั่นในรูปแบบที่เรียบง่ายของรัฐฉิน ทั้งยังสร้างเสร็จเมื่อห้าปีที่แล้ว นอกจากนี้เขายังทำการปรับเปลี่ยนการเมืองภายในราชสำนักทีละขั้นตอน อาจกล่าวได้ว่าทุกอย่างพร้อมแล้ว หากวันหนึ่งที่เขาจากไป ตราบเท่าที่มีทายาทแบกรับภาระได้ รัฐฉินก็จะสามารถเดินต่อไปได้อย่างมั่นคง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ 367 คนงามปรากฏตัวพร้อมกัน

Now you are reading กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ Chapter 367 คนงามปรากฏตัวพร้อมกัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ทั้งสองคนพูดคุยกันจนถึงหน้าประตูบ้าน

ทันทีที่ซ่งชูอีเข้ามาก็ได้ยินเสียงหนิงยาตะโกน “ท่านเจ้าคะ เจียนกลับมาแล้ว ครั้งนี้…”

หนิงยาเดินผ่านสวนดอกไม้หนาแน่นก่อนที่จะเห็นอย่างชัดเจนว่าข้างกายซ่งชูอีมีคนอื่น นางหน้าแดงกะทันหัน ค้อมตัวกล่าว “ไม่เห็นว่ามีแขก ทำตัวให้ท่านขบขันแล้ว”

เมื่อก่อนหลงกู่ปู้วั่งไม่คุ้นเคยกับหนิงยาเท่าใดนัก พบหน้ากันน้อยครั้งและเขาก็ไม่เคยตั้งใจจะไปทำความรู้จักกับบ่าวสาวใช้ ยิ่งไปกว่านั้นบัดนั้นหนิงยาเพิ่งจะเป็นสาวน้อยอายุยังไม่สิบขวบดี บัดนี้นางเปลี่ยนไปมากแล้วและไม่มีรูปลักษณ์เยี่ยงตอนเด็กโดยสิ้นเชิง ดังนั้นเขาจึงจำนางไม่ได้

“นี่คือซ่งหนิง เป็นน้องสาวที่ข้ารับเข้ามา” ซ่งชูอีเอ่ย

ในเมื่อเป็นน้องสาวของอาจารย์ หลงกู่ปู้วั่งก็ไม่กล้าละเลย ประสานมือคำนับ “แม่นางซ่ง”

หนิงยารู้สึกเลือนรางว่าหน้าตาของแขกผู้นี้ดูคุ้นตา ทว่านึกไม่ออกชั่วขณะ เพียงค้อมตัวคำนับกลับ

ใบไม้ในตรอกทางเดินสั่นไหวเล็กน้อย เพียงพริบตาเดียวซ่งชูอีก็พบว่าที่นั่นมีคนเพิ่มมาอีกคน เขาสวมเครื่องแต่งกายสีดำ ขาสองข้างที่เรียวยาวทำให้ลำตัวดูสูงตรง ใบหน้าเรียวเล็กทำให้ใบหูที่ลู่ลมคู่นั้นดูใหญ่เทอะทะ

“นายท่าน ท่านแม่ทัพหลงกู่” ซ่งเจียนกำหมัดคารวะทั้งสองคน

“พวกเจ้ารู้จักกันรึ?” ซ่งชูอีเอ่ย

หลงกู่ปู้วั่งเอ่ย “เคยเจอกันที่พระตำหนักชุนเซินจวินสองครั้ง ครั้งนี้เขาเข้ารัฐฉินมาพร้อมกับขบวนราชทูต”

อาจารย์ของซ่งเจียนเป็นสหายกับชุนเซินจวิน ซ่งเจียนเข้ารัฐฉินมาพร้อมกับราชทูตฉู่ก็ไม่แปลก

พวกเขาไปที่ศาลาในสวนด้านหลังเพื่อปรุงสุราและสนทนากัน

จากกันสิบกว่าปี มีเรื่องเล่ามากมายไม่รู้จบ

หลังจากดื่มไปสิบกว่าไหก็ล่วงเลยสู่กลางดึก ซ่งเจียนกับหนิงยาไปคุยกันเป็นการส่วนตัวแล้ว ส่วนซ่งชูอีกับหลงกู่ปู้วั่งยังคงดื่มต่อ

“อาจารย์ไม่ถามข้าว่ามาทำอะไรในรัฐฉินหรือ?” แก้มทั้งสองข้างของหลงกู่ปู้วั่งแดงระเรื่อ แต่ว่าแววตาสดใส

“หากข้าถาม เจ้าจะบอกความจริงรึ?” ซ่งชูอียิ้มถาม

หลงกู่ปู้วั่งเอ่ย “ก็อาจจะบอก”

“โดยทั่วไปข้าไม่เชื่อในคำพูด” ซ่งชูอีรินสุราจอกหนึ่งให้เขา “อีกอย่าง บางเรื่องพูดออกมาแล้วทำร้ายจิตใจ สู้ไม่พูดจะดีกว่า เจ้าว่าไหม?”

หลงกู่ปู้วั่งยิ้มขมขื่น ทุกครั้งที่เขาปีนขึ้นไปอีกขั้นในรัฐฉู่ เขาต้องยอมทิ้ง “ความจริง” ไปบ้าง ทุกครั้งที่บรรลุเป้าหมายความรู้สึกซับซ้อนและชิงชังรอบข้างก็ยิ่งมีมากขึ้น บัดนี้เด็กชายผู้ไร้เดียงสาคนนั้นไม่มีตัวตนอีกแล้ว

ความสัมพันธ์ฉันศิษย์อาจารย์กับซ่งชูอีเป็นความรู้สึกบริสุทธิ์เพียงอย่างเดียวของเขา ดังนั้นเขาจึงหวงแหนมันมาก

อย่างไรก็ตามฉินฉู่ไม่สามารถสงบสุขได้ ในที่สุดพวกเขาก็ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม ทว่าหลงกู่ปู้วั่งก็ยังต้องการคิดวิธีที่จะบรรลุทั้งสองอย่าง

“ข้าไม่ต้องการเป็นศัตรูกับอาจารย์” หลงกู่ปู้วั่งเอ่ย

ซ่งชูอีจิบสุราอุ่นคำหนึ่ง เป่าลมเย็นออกมาอย่างสบายๆ พูดขึ้นเชื่องช้า “เจ้ากลัวรึ?”

“ข้าไม่เคยกลัวความพ่ายแพ้” หลงกู่ปู้วั่งเห็นว่านางเฉยเมยเช่นนี้ หัวใจก็มืดมน “ท่านไม่เคยเก็บความรักระหว่างศิษย์อาจารย์มาใส่ใจเลยรึ?”

“อาจารย์ของข้าเคยตัดนิ้วแทนข้า บัดนี้แค้นได้รับการชำระแล้ว อีกทั้งนิ้วของเขาก็ยังฝังอยู่ในลานแห่งนี้ ข้าไม่สามารถปล่อยวางมันไปได้เลย” ซ่งชูอีพิงอยู่บนราว มือหนึ่งหนุนศีรษะ มองเขาด้วยแววตาที่นิ่งสงบไร้คลื่น “ทว่าหากเขาไม่เคยละทิ้งเรื่องทางโลก วันนี้เวลานี้ข้ากับเขาต่างมีนายเป็นของตัวเอง เจ้าเดาสิว่าข้าจะออมมือรึไม่? เขาจะออมมือรึไม่?”

ไม่อย่างแน่นอน

หลงกู่ปู้วั่งมีคำตอบที่ชัดเจนอยู่ในใจ ทว่าเขาทำไม่ได้ “จะระงับอารมณ์เพื่อทำงานได้อย่างไร?”

ซ่งชูอีวางจอกสุราลงแล้วยกมือขึ้น ตวัดนิ้วเรียกเขา

หลงกู่ปู้วั่งเข้าไปใกล้อีกหน่อย ซ่งชูอีโน้มตัวเข้าหาด้วยสีหน้าลึกลับพร้อมกระซิบเสียงเบา “บัดนี้เจ้าออกจากสำนักแล้ว ไปคิดเอาเอง”

“อายุปูนนี้แล้ว ยังจะทำอะไรเป็นเด็กๆ อยู่ได้!” หลงกู่ปู้วั่งขุ่นเคืองกับทัศนคติของเขา

ซ่งชูอีหัวเราะเสียงดัง

หลงกู่ปู้วั่งเหล่มองนาง จับจ้องใบหน้าที่เรียบเนียนของนาง รู้สึกตกใจเล็กน้อย โน้มตัวเข้ามายื่นมือลูบๆ คางของนาง “เหตุใดอาจารย์จึงไม่มีหนวด?”

ก่อนหน้านี้เขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เป็นแขกเหรื่อที่มัวแต่รำลึกถึงความหลังจนไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้

“คือว่า…” ซ่งชูอีกำลังจะเริ่มพูดเรื่องไร้สาระ ก็รู้สึกเหมือนมีสายลมมืดมนอยู่ข้างหลัง นางหันกลับไปตามสัญชาตญาณก็มองเห็นเจ้าอี่โหลวกับซ่งเจียนยืนอยู่บนเส้นทางที่คดเคี้ยว

หลงกู่ปู้วั่งเงยหน้าขึ้นและสบตากับแววตาดุจดาบที่จ้องมองมาพอดี เปลือกตากระตุกเล็กน้อย จากนั้นจึงพบว่าชายหนุ่มผู้นี้หน้าดีอย่างแท้จริง รูปร่างกำยำแต่ไม่เทอะทะ ใบหน้างดงามทว่าไร้ความเป็นหญิง เมื่อมองไปที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายของเขาเพียงอย่างเดียวก็ไม่พบข้อบกพร่องแม้แต่น้อย เขายืนอยู่ตรงนั้นราวกับแสงอาทิตย์และแสงจันทร์สดใส ทำให้ผู้คนและทิวทัศน์รอบทิศกลายเป็นเพียงพื้นหลังที่ดึงให้เขาสดใสยิ่งขึ้น

“กลับมาแล้วรึ” ทั้งๆ ที่ซ่งชูอีไม่ได้ทำเรื่องเสียหายอะไรเลย แต่กลับเหมือนถูก “จับได้คาหนังคาเขา” มิปาน รู้สึกละอายใจอย่างประหลาด

เจ้าอี่โหลวก้าวขายาวๆ และเดินเข้าไปในศาลา

“นี่คือลูกศิษย์ของข้า หลงกู่ปู้วั่ง บัดนี้เป็นแม่ทัพรัฐฉู่” ซ่งชูอีแนะนำ

“เจ้าอี่โหลว” เจ้าอี่โหลวประสานมือพร้อมกล่าวแนะนำตัวเองสั้นๆ

“ที่แท้ก็แม่ทัพเจ้า ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว” หลงกู่ปู้วั่งไม่ได้กล่าวไปตามมารยาท ตอนนั้นที่เจ้าอี่โหลวเอาชนะปาสู่และถูอู้ลี่ได้ นายพลรัฐฉู่ทุกคนย่อมรู้เรื่องนี้ดี

เจ้าอี่โหลวยังคงไม่ชอบสุงสิงกับคนอื่นนัก แต่รูปลักษณ์และท่าทางของเขาทำให้ผู้คนไม่สามารถเพิกเฉยได้ แม้หลงกู่ปู้วั่งไม่กลัวทว่าก็ยังรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเมื่อคุยกับซ่งชูอี ดังนั้นหลังจากที่ทั้งสองคุยกันสักพัก หลงกู่ปู้วั่งก็หาข้ออ้างจากไป

ทันทีที่หลงกู่ปู้วั่งจากไป เจ้าอี่โหลวก็พูดขึ้น “โรคเก่าของฝ่าบาทกำเริบ”

อาการเจ็บป่วยเรื้อรังของอิ๋งซื่อไม่มีทางรักษาให้หาย ในตอนแรกเว่ยเต้าจื่อเพราะเห็นแก่หน้าจึงช่วยเขารักษา อย่างไรก็ดีรักษาไปรักษามาก็สิบกว่าปีแล้ว เวลาที่อาการป่วยของอิ๋งซื่อกำเริบก็เหมือนถูกมีดทิ่มแทง การหายใจลำบาก แต่บางครั้งเขาก็สามารถเข้าร่วมประชุมราชสำนักช่วงเช้าได้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทำให้เว่ยเต้าจื่อผู้ไม่เคยมองผู้ชายอย่างตรงไปตรงมาอดไม่ได้ที่จะมองสักครั้ง

เว่ยเต้าจื่อรู้สึกว่ากษัตริย์ที่มั่นคงและสามารถควบคุมตัวเองได้เช่นนี้ แน่นอนว่าจะสามารถเป็นเจ้าแห่งใต้หล้าที่น่ายกย่อง ใจก็อดเสียดายไม่ได้หากเขาจะตายก่อนวัย ทุกๆ ปีเขาจึงเดินทางไปทั่วทุกทิศเพื่อรวบรวมยาสมุนไพรที่เขาต้องการและใช้ทักษะทางการแพทย์ตลอดชีวิตเพื่อทำให้เขามีชีวิตต่อไป

“ศิษย์พี่ใหญ่ยังไม่กลับมารึ?” ซ่งชูอีตื่นตระหนกขึ้นมาทันใด

เจ้าอี่โหลวส่ายหน้า “ครึ่งเดือนก่อนเขาส่งสารมาว่าถึงเฝินเฉิงแล้ว ด้วยเหตุผลบางประการไม่พบร่องรอยของเขาที่

ด่านหานกู่เลย”

จดหมายมาถึงเสียนหยางเมื่อครึ่งเดือนก่อน ต่อให้เดินเท้าตอนนี้ก็ควรจะอยู่ใกล้กับด่านหานกู่แล้ว เส้นทางจาก

ด่านหานกู่มาถึงเสียนหยางราบเรียบ เป็นไปไม่ได้ที่เว่ยเต้าจื่อจะทิ้งทางใกล้เพื่อเดินทางไกล และเป็นไปไม่ได้ที่จะละทิ้งเส้นทางหลักและเดินทางข้ามภูเขาสูงชันแทน

หรือว่าจะเกิดอุบัติเหตุ?

“ดูเหมือนว่าจะเกิดศึกระหว่างฉินฉู่แล้ว” ซ่งชูอีขมวดคิ้ว รัฐฉู่ส่งหลงกู่ปู้วั่งมาเป็นราชทูต ไม่มีอะไรมากไปกว่าเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสงคราม เขาเก่งทั้งบู๊บุ๋น ชำนาญด้านการทหาร มองเห็นสิ่งต่างๆ ได้มากกว่าคนทั่วไป

หากรัฐฉู่รู้ว่าอิ๋งซื่อป่วยหนัก จะปล่อยฝูงมังกรที่ไร้จ่าฝูงไปได้อย่างไร?

“ท่านเจ้าคะ!” หนิงยาวิ่งเหยาะๆ เข้ามา “มีคนในวังมาเชิญท่าน บอกว่าท่านอ๋องต้องการพบเจ้าค่ะ”

ซ่งชูอีเหลือบมองเจ้าอี่โหลว ลุกขึ้นทันที

เจ้าอี่โหลวขี่ม้าเข้าวังไปพร้อมนาง เมื่อเห็นว่านางเข้าวังไปแล้วจึงกลับมาตามลำพัง

ซ่งชูอีพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อข่มอารมณ์ของตนเอง โดยมีเด็กในวังนำทางไปจนถึงห้องบรรทมของอิ๋งซื่อ

“กวนเน่ยโหวเชิญ” ขันทีเถาค้อมตัวเชิญนางเข้าไป

ในพระตำหนักเต็มไปด้วยกลิ่นยาหนักหน่วง ด้านนอกพระตำหนักเป็นเหมือนปกติ คนรับใช้ในวังต่างยืนก้มหน้าลง แต่ภายในพระตำหนักว่างเปล่า

ซ่งชูอียืนอยู่หน้าเตียง “ถวายบังคมฝ่าบาท”

มีม่านไม้ไผ่บางๆ กั้นกลาง นางมองไม่เห็นสถานการณ์ข้างใน ได้ยินเพียงเสียงที่อ่อนแออย่างเห็นได้ชัดของอิ๋งซื่อ “เข้ามาใกล้ๆ”

ขันทีเถาเลิกผ้าม่านให้นาง

ซ่งชูอีเดินผ่านม่านเข้าไปก็เห็นอิ๋งซื่อพิงอยู่บนราวเตียง ใบหน้าของเขาซีดขาว สวมชุดผ้าไหมสีดำ ผมหมึกพาดไว้ข้างหลังและมัดด้วยแถบผ้าแพร สายรัดเอวถูกคาดไว้หลวมๆ เสื้อด้านหน้าเผยให้เห็นทรวงอกที่แข็งแรง คิ้วทั้งสองข้างพุ่งเข้าขมับในแนวทแยงเหมือนดาบคม น้ำแข็งที่ไม่มีวันละลายอยู่ในดวงตานกอินทรีคู่นั้น และเพราะว่าซูบเซียว ใบหน้าจึงกลายเป็นเบ้าลึกอย่างเห็นได้ชัด

แสงสลัวช่วยเพิ่มความลึกลับให้กับเขา ริมฝีปากบางๆ ของเขาอ้าออกเล็กน้อย “นั่ง”

ซ่งชูอีนั่งลงบนเก้าอี้กลมหน้าเตียง “ร่างกายของอ๋องข้าดีขึ้นบ้างหรือไม่?”

อิ๋งซื่อกล่าวว่า “อืม” เรียบๆ แล้วเข้าเรื่องทันที “กว่าเหรินอยากได้ยินไท่ฟู่ประเมินองค์รัชทายาทให้ฟัง”

ซ่งชูอีมองเขาอย่างเป็นห่วง ต้องการจะถามว่าร่างกายของเขาเป็นอย่างไรกันแน่ ทว่าเป็นจวินและขุนนางกันมาสิบหกปี นางรู้จักนิสัยของเขาดีเกินไปแล้ว ดังนั้นจึงเอ่ยว่า “องค์รัชทายาทเก่งในศิลปะการต่อสู้และมีความสามารถอย่างมากในกิจการทหาร เป็นเรื่องประเสริฐต่อฉินยิ่ง เพียงแต่ว่าบัดนี้อายุยังน้อย ยังไม่มั่นคงและรอบคอบพอ ความคิดก็ยังไร้เดียงสาเกินไป”

ซ่งชูอีประเมินอย่างตรงไปตรงมา อิ๋งตั้งฝึกอยู่ในกองทัพตั้งแต่อายุแปดขวบแล้ว หากเทียบกับหลงกู่ปู้วั่งในวัยเด็กก็ไม่นับว่าบริสุทธิ์ไร้เดียงสานัก ทว่าเขาต้องเป็นกษัตริย์ในภายภาคหน้า ไม่สามารถวัดได้ด้วยมาตรฐานทั่วไป

ซ่งชูอียากที่จะตรวจจับอารมณ์ใดๆ จากใบหน้าหล่อเหลาที่นิ่งเฉยของอิ๋งซื่อ

ว่ากันตามความรู้สึกแล้ว ซ่งชูอีคิดว่าอิ๋งตั้งต่างจากอิ๋งซื่อมากเกินไป! อิ๋งซื่อเปรียบเสมือนราชาที่เกิดมาเพื่อตอบสนองโชคชะตาของรัฐฉิน สามารถเพิ่มดินแดนของรัฐฉินมากกว่าสองเท่าบนรากฐานความมั่นคงที่เซี่ยวกงได้วางไว้ บัดนี้ต่อให้อีกหกรัฐขี่ม้าไล่ตามก็ตามความแข็งแกร่งของรัฐไม่ทัน หากเขาสามารถครองราชย์ต่ออีกสักห้าสิบปี ก็จะสามารถทำให้รัฐฉินใหญ่ขึ้นเป็นเท่าตัว! หรือแม้กระทั่งคว้าโอกาสอันดี รวมใต้หล้าให้เห็นหนึ่งเดียวก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

“อีกนานแค่ไหนเขาจึงจะสามารถแบกรับรัฐฉินได้?” อิ๋งซื่อกล่าว

ซ่งชูอีทนไม่ไหว ถามกลับ “อ๋องของข้ายังหนุ่มแน่น เหตุใดจู่ๆ จึงถามเยี่ยงนี้?”

ดวงตาดำขลับของอิ๋งซื่อจ้องนางไม่กะพริบ “ตอบกว่าเหริน”

ภายใต้การจ้องมองอย่างแท้จริงของเขา ซ่งชูอีสามารถตอบได้เพียงว่า “กระหม่อมไม่ทราบ การที่คนคนหนึ่งเติบโตและเปลี่ยนแปลงเป็นผู้ใหญ่อาจต้องใช้เวลาตลอดชีวิตหรืออาจใช้เวลาเพียงชั่วอึดใจ”

สำหรับหัวใจและธรรมชาติของมนุษย์นั้น ซ่งชูอีรู้สึกว่าตนมีพลังจากสวรรค์แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถควบคุมทุกอย่างได้ บางคนจะมีความยืดหยุ่นและเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นหลังจากถูกโจมตี บางคนกลับหมดบุญสิ้นหวัง หรือบางคนอาการรุนอาจแรงขึ้นเรื่อยๆ…ผลลัพธ์ต่างๆ นานาที่แตกต่างกัน ใครจะไปคาดเดาได้?

อิ๋งซื่อหลับตาลง ยกมือขึ้นนวดคลึงหว่างคิ้วแผ่วเบา

ซ่งชูอีเห็นว่าอารมณ์ของเขาแย่มาก แต่ก็รู้ว่าเขาจะไม่มีวันหาคนมาระบายด้วย

“อ๋องข้ามีสิ่งใดไม่สบายใจ กระหม่อมอาจจะแบ่งเบาได้พ่ะย่ะค่ะ” ซ่งชูอีโยนหินถามทาง

“ไม่มีอะไร กว่าเหรินแค่เหนื่อย เจ้าออกไปก่อนเถิด” ลมหายใจเยือกเย็นของอิ๋งซื่อเพียงพอที่จะแสดงการต่อต้านของเขา

ซ่งชูอีทำตามที่เขาบอก ลุกขึ้นจากไป

ที่จริงแม้อิ๋งซื่อไม่พูด ซ่งชูอีก็พอที่จะเดาได้บ้าง เป็นไปได้ว่าเขารู้สึกว่าตนป่วยหนัก จึงเตรียมจัดการเรื่องผู้สืบทอด

เมื่ออิ๋งซื่อเริ่มรู้สึกไม่สบาย เขาก็ได้สั่งให้คนสร้างสุสานไว้แล้ว สุสานของเขามีขนาดไม่ใหญ่มากด้วยความยึดมั่นในรูปแบบที่เรียบง่ายของรัฐฉิน ทั้งยังสร้างเสร็จเมื่อห้าปีที่แล้ว นอกจากนี้เขายังทำการปรับเปลี่ยนการเมืองภายในราชสำนักทีละขั้นตอน อาจกล่าวได้ว่าทุกอย่างพร้อมแล้ว หากวันหนึ่งที่เขาจากไป ตราบเท่าที่มีทายาทแบกรับภาระได้ รัฐฉินก็จะสามารถเดินต่อไปได้อย่างมั่นคง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+