กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ 319 พบกับฉู่เจาเสี่ยน

Now you are reading กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ Chapter 319 พบกับฉู่เจาเสี่ยน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เช่นนั้นสิ่งนี้คือ…” กู่หานไม่เข้าใจ ตอนที่ซื้อสุราก็เห็นได้ชัดว่าพวกเขาขนขึ้นรถด้วยกัน

ซ่งชูอีสอดมือไว้ในแขนเสื้อ หันตัวมาเล็กน้อยพร้อมเอ่ยเสียงเบา “ข้าให้เถ้าแก่ผสมน้ำ ฮ่า ขนออกไปครึ่งหนึ่งเถิด”

“ขอรับ” ทุกคนรับคำสั่งแล้วเริ่มขนไหสุราลงมา

“ท่านขอรับ การที่พวกเราทำเช่นนี้จะไม่ทำให้ผู้ไม่ประสงค์ดีเจอเบาะแสหรือ? ตั้งแต่ออกมาจากนครเสียนหยางก็ดูเหมือนมีคนสะกดรอยตาม” กู่หานกล่าวด้วยความเป็นกังวล ชาวฉินไม่เคยแอบอ้างในการค้าขายเลย การผสมน้ำลงในสุราเช่นนี้ดึงดูดความสนใจได้ง่ายมาก

ซ่งชูอียิ้มน้อยๆ ก็เพราะว่านางต้องการให้ช่องโหว่ถูกเปิดโปง มิเช่นนั้นจะจับสายสืบได้อย่างไร? ไม่ว่าจะเป็นคำสั่งของใครก็ตาม ผู้ที่กล้าจับตาดูนางนั้นก็อย่าโทษว่านางใจร้ายก็แล้วกัน

“ไปเถิด” ซ่งชูอีโอบกระชับคอเสื้อ และเดินนำออกไปจากพงหญ้าก่อน

ในรถเหลือไหสุราเพียงครึ่งหนึ่ง การเดินทางจึงรวดเร็วขึ้นมาก

เมื่อถึงจุดเริ่มต้นของรุ่งอรุณ คณะเดินทางก็มาถึงสาขาของสำนักม่อที่กล่าวถึงในจดหมาย

มันตั้งอยู่ในเทือกเขาที่อยู่ไม่ไกลจากจุดพักม้าในดินแดนของรัฐเว่ย รอบด้านเป็นทุ่งหญ้าสีเขียวขจี ไม่มีวี่แววของผู้คน และมองไม่เห็นสิ่งปลูกสร้างใดๆ เลย

“ผู้มาเยือนคือใคร?” ไม่รู้ว่าเสียงคำถามนั้นดังขึ้นมาจากทิศทางไหนในทุ่งหญ้ารอบด้าน

มือของผู้อารักขาลับกดอยู่ที่ด้ามดาบแน่น

“เจ้าเป็นผู้ใด?” ซ่งชูอีถามกลับ

ทางนั้นเงียบงันไร้สุ้มเสียง เห็นได้ชัดว่าไม่คิดที่จะตอบ ซ่งชูอีครุ่นคิด บัดนี้นางไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร การรีบเปิดเผยสถานะของตัวเองไม่ใช่การกระทำที่ชาญฉลาดนัก ดังนั้นจึงเปล่งเสียงสูง “รักทุกคน ไม่โจมตีผู้อื่น ชื่นชมนักปราชญ์ คิดเยี่ยงผู้บริสุทธิ์ สวรรค์คือผู้ปกครองสูงสุด แยกแยะผีและเทพเจ้า ปฏิเสธโชคชะตา ปฏิเสธความอู้ฟู่ ปรนนิบัติตัวเอง ไม่กล้าขอความปรารถนา ข้ามาเพื่อช่วยใต้หล้า”

“ข้ารอท่านนานแล้ว” เสียงชัดเจนดังขึ้น มันคมชัดราวกับถ้ำที่น้ำลดระดับ

ทันใดนั้นคบไฟนับร้อยก็สว่างขึ้นในระยะสิบจั้งเบื้องหน้า มันกระจายตัวเป็นรูปครึ่งพัดคล้ายกำลังจะเข้ามาโอบล้อม หญิงสาวในวัยยี่สิบกว่าที่สวมชุดสีดำปกคอสีขาวคนหนึ่งเดินออกมาจากฝูงชนนั้น ผมดกดำถูกรวบขึ้นอย่างง่ายๆ ดูสะอาดสะอ้าน ใบหน้ามีขนาดเพียงหนึ่งฝ่ามือ คิ้วตาสดใส ดูตรงไปตรงมาไม่เหมือนเด็กสาวที่พบเห็นธรรมดาทั่วไป

ผู้หญิงคนนั้นประสานมือน้อยๆ ให้ซ่งชูอี “ท่านแขกเชิญตามข้ามา”

ซ่งชูอีประสานมือ ตามนางไปในตรอกลับเล็กๆ

“ข้ามีนามว่าม่ออวี้ อาจารย์อาบาดเจ็บที่ขา พวกข้าพยายามอย่างเต็มที่เพื่อห้ามไม่ให้นางมาพบท่าน อาจารย์อาท่านอื่นล้วนอายุมากแล้ว ไม่สะดวกเดินทางไกลจึงมิได้มาด้วย มีเพียงผู้น้อยเยี่ยงข้ามาต้อนรับ ได้โปรดท่านอย่าถือสา” เด็กสาวกล่าวพลางคำนับขอโทษซ่งชูอี

“ไม่ต้องมากพิธี ดูตามความเหมาะสมเถิด อีกอย่างข้าก็ไม่ใช่คนที่ใส่ใจเรื่องพิธีรีตองนัก” ซ่งชูอียกมือประคองนางลุกขึ้น

เด็กสาวนำสาวซ่งชูอีผ่านเส้นทางคดเคี้ยว หลังจากผ่านลำธารจากภูเขาแล้วก็เห็นแสงสว่างด้านหน้าทันใด ที่แท้ภูมิศาสตร์แห่งนี้เป็นรูปน้ำเต้า เทือกเขาด้านหน้ามีขนาดค่อนข้างใหญ่ และหลังจากผ่านเส้นทางสั้นๆ ไปก็จะเข้าสู่หุบเขาที่มีขนาดเล็กกว่า

แสงยามรุ่งอรุณส่องสลัว ในหุบเขานั้นเต็มไปด้วยหมอก มองไม่เห็นถนนโดยสิ้นเชิง ม่ออวี้นำทางซ่งชูอีไปยังที่พักบนภูเขาอย่างชำนาญ ซ่งชูอีเข้าไปทว่าผู้อารักขาลับกลับถูกกันอยู่นอกลาน

“นายท่าน!” กู่หานเอ่ยด้วยความตื่นตระหนก

ซ่งชูอีหันกลับมา “พวกเจ้ารออยู่ด้านนอก สำนักม่อแยกแยะถูกผิดชัดเจน ข้ามิใช่ผู้ก่อความวุ่นวายจะทำอะไรข้าได้? วางใจเถิด”

“วาจาของท่านช่างประเสริฐนัก” รอยยิ้มของม่ออวี้สดใส ตั้งแต่เข้ามาในลาน นางก็ไม่ได้ดูจริงจังเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว ในเวลานี้ทั้งคำพูดและพฤติกรรมดูห้าวหาญ “เชิญท่าน”

ซ่งชูอียิ้มพลางพยักหน้า ตามนางเข้าประตูรองไป จากนั้นก็ขึ้นบันไดอีกครั้งเพื่อไปยังศาลาไม้ไผ่ครึ่งทางบนภูเขา

กอไผ่ในสายหมอกบางดูโดดเดี่ยว สายธารภูเขาไหลคดเคี้ยวมาจากข้างศาลา ซ่งชูอีเห็นแผ่นหลังของผู้หญิงที่สวมชุดสีขาวปกคอสีดำพิงตัวอยู่ที่ราวในศาลา ผมดกดำถูกม้วนขึ้นครึ่งหนึ่งด้วยปิ่นไม้ไผ่ มีเตาอันหนึ่งวางอยู่ข้างมือ ไอน้ำภายในหม้อม้วนตัวขึ้นรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวกับสายหมอกนั้น

สายลมพัดผ่านดงไผ่ส่งเสียงกรอบแกรบ

ม่ออวี้ยกกำปั้นคำนับอยู่ใต้บันไดหิน “อาจารย์อา ท่านซ่งมาแล้ว”

หญิงสาวหันมายิ้มอย่างขอโทษ “ขาของข้าบาดเจ็บสาหัส ไม่สามารถยืนต้อนรับท่านซ่งได้ จึงได้เตรียมชาถ้วยหนึ่งเป็นการชดเชย หวังว่าท่านจะใจกว้างให้อภัย”

ซ่งชูอีสามารถมองเห็นหน้าของผู้หญิงคนนั้นอย่างชัดเจน นางรู้ว่าผู้นี้คือฉู่เจาเสี่ยน เสียนจื่อแห่งสำนักม่อผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือในหลายรัฐ รูปหน้าดุจไข่ห่าน ผิวพรรณขาวผ่อง คิ้วโค้งได้รูป หน้าผากอวบอิ่ม ดวงตาดุจดอกท้อดูเหมือนมีรอยยิ้มอยู่เสมอ หน้าตามีเสน่ห์ของผู้หญิงที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ก็มีความสดใสบริสุทธิ์ดุจสาววัยรุ่น ทั้งๆ ที่เป็นหญิงในวัยสี่สิบกว่าแล้วแต่ยังดูเหมือนอายุเพียงสามสิบกว่าปี

สิ่งที่ทำให้ซ่งชูอีคาดไม่ถึงก็คือ เสียนจื่อดูอ่อนโยนเหลือเกินแต่ก็ดูเหมือนผู้หญิงอารมณ์อ่อนไหว

ความคิดวูบผ่านไป ซ่งชูอีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นก็ต้องดูว่าชาของเสียนจื่อต้มได้ดีหรือไม่”

นางพูดพลางยกชายเสื้อก้าวขึ้นบันไดแล้วค้อมตัวเข้าศาลา สายตาจับจ้องอยู่ที่ขาของฉู่เจาเสี่ยน เอ่ยด้วยความประหลาดใจ “ขาของเสียนจื่อเป็นอะไรรึ?”

ดูแล้วก็ไม่เหมือนบาดเจ็บแต่ก็ไม่รู้สึกเหมือนมันอยู่บนที่นั่งด้วยซ้ำ แสดงว่าอาการร้ายแรงมาก

ฉู่เจาเสี่ยนกล่าวด้วยจิตใจสงบนิ่ง “สำนักข้าก่อเรื่องสกปรก ทำให้เกียรติยศแปดเปื้อน อย่ากล่าวถึงมันเลย เชิญนั่ง”

คำพูดนี้ก็พอที่จะทำให้ซ่งชูอีเดาภาพรวมได้ เกรงว่าเพราะสำนักของชวีกู้ตั้งใจจะควบคุมฉู่เจาเสี่ยนจึงใช้วิธีต่ำช้า ในเมื่อนางไม่เต็มใจที่จะกล่าวถึงมัน ซ่งชูอีก็จะไม่ขุดคุ้ย

“ท่านลองชิมชานี้ดูเถิด” ฉู่เจาเสี่ยนยื่นน้ำชาให้นางถ้วยหนึ่ง

หลังจากที่ซ่งชูอีรับมาก็ดมกลิ่นแล้วจิบคำหนึ่ง อดที่จะเอ่ยอุทานมิได้ “ที่นี่เงียบสงบและสง่างาม ชานี้ทั้งเบาและหวาน ช่างชวนให้รื่มรมย์จริงๆ”

ฉู่เจาเสี่ยนประสานมือเอ่ย “ทำให้ท่านต้องเดินทางไกล ลำบากแล้ว”

“เสียนจื่อเกรงใจแล้ว” ซ่งชูอีวางถ้วยชาลงเอ่ยว่า “ข้ากับเจ้าอี่โหลวเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตาย เมื่อเขาเป็นกังวล ข้าจะนิ่งดูดายได้อย่างไร? อย่างไรก็ดีแม้ว่าครั้งนี้จะมาเพื่อช่วยเหลือทว่าก็มีเรื่องจะขอร้องเช่นกัน”

“ท่านว่ามา” ฉู่เจาเสี่ยนกลับไม่ประหลาดใจเลย ต้องการจะช่วยเหลือสำนักม่อนั้นไม่ง่าย ซ่งชูอีเป็นนักวางกลยุทธ์ เป็นกุนซือ มิใช่ผู้กล้าหาญรักความยุติธรรม ดังนั้นการขอสิ่งตอบแทนจึงเป็นเรื่องที่อยู่ในความคาดหมายอยู่แล้ว

“ข้าต้องการทักษะเครื่องกลไลที่เหมือนกับสำนักม่อ” ซ่งชูอีเห็นว่าฉู่เจาเสี่ยนมีสีหน้าจริงจังจึงไม่อ้อมค้อมอีก หยิบแผนภาพออกมาจากแขนเสื้อโดยตรง “นี่เป็นสิ่งที่ข้าปะติดปะต่อมาจากซากธนูหน้าไม้ในขณะที่ข้าไปทัศนศึกษาที่นครหนึ่งในรัฐหลี่ว์ ข้าไม่เชี่ยวชาญเรื่องกลไล อย่างไรก็ตามหลังจากทุ่มเทค้นคว้าเป็นเวลาหลายปี ในที่สุดก็เขียนแผนภาพจนเสร็จสมบูรณ์”

ฉู่เจาเสี่ยนรับม้วนหนังแกะมา เมื่อเห็นแผนภาพหน้าไม้ที่วาดอยู่ด้านบนแล้ว สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากความสงบเป็นประหลาดใจ “ท่านไม่เชี่ยวชาญด้านกลไล แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีวิธีการแก้ปัญหาที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ ช่างน่าชื่นชมโดยแท้!”

ซ่งชูอีเลิกคิ้ว

ฉู่เจาเสี่ยนเห็นว่านางสงสัยจึงอธิบายว่า “แน่นอนว่ามีแผนภาพต้นฉบับ เพียงแต่มันไม่ละเอียดเท่าการออกแบบของท่าน”

ซากที่นางได้มาจากชาติก่อนเป็นเพียงรูปร่างโดยรวมเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ซ่งชูอีจึงอยู่ที่นั่นเป็นเวลาครึ่งปีเพื่อค้นหาซากอื่นๆ ผู้ที่มีฝีมือไม่สู้ผู้ที่มีความตั้งใจ แม้ว่านางจะปะติดปะต่อออกมาได้ทว่าก็ยังมีบางส่วนที่ขาดหายไป สิ่งนี้จึงกลายเป็นเพียงของตกแต่งเท่านั้น นางไม่เชี่ยวชาญด้านกลไก ทว่าในฐานะผู้ที่เข้าใจการทหาร อาวุธทางทหารจึงมิใช่เรื่องแปลกใหม่ หน้าไม้นี้มีขนาดเล็กและเบากว่าปกติมาก โครงสร้างก็ดูเหมือนละเอียดอ่อนยิ่ง ดังนั้นนางจึงลองผิดลองถูกเป็นเวลานานกว่าสี่ปีก่อนที่จะสามารถใช้งานมันได้ วันนี้ถึงได้รู้ว่าที่แท้มันละเอียดกว่าตัวต้นฉบับด้วยซ้ำ

“ในเมื่อมีธนูหน้าไม้แล้ว ท่านยังต้องการอะไรอีก?” สีหน้าของฉู่เจาเสี่ยนดีกว่าเมื่อครู่มาก ดวงตาก็สดใสดขึ้น เห็นได้ชัดว่ามีความคลั่งไคล้ต่อเครื่องกลไกมาก

“ข้าต้องการประดิษฐ์หน้าไม้กลจากโครงสร้างนี้” ซ่งชูอีเอ่ย

“เรื่องนี้…” คิ้วของฉู่เจาเสี่ยนผูกกัน “หน้าไม้แข็งนี้เป็นหน้าไม้ที่ดีที่สุดในตอนนั้นแล้ว หากหัวลูกศรมีประสิทธิภาพ ก็สามารถยิงทะลุเสื้อเกราะธรรมดาได้ในระยะแปดร้อยก้าว บัดนี้พลังของมันเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวจากการดัดแปลงของท่าน แม้แต่หน้าไม้แข็งของรัฐฉินซึ่งบัดนี้เรียกได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดก็ยังด้อยกว่าด้วยซ้ำ ท่านยังต้องการจะประดิษฐ์หน้าไม้กลอีก มันไม่โลภไปหน่อยหรือ?”

ซ่งชูอีกลับไม่สนใจคำพูดขวานผ่าซากเช่นนี้ “หากไม่โลภ จะมีโลกอย่างปัจจุบันได้อย่างไร?”

“ข้าจำได้ ว่าเคยเห็นแผนภาพซากเครื่องยิงธนูในมือของคนในสำนักชวีกู่ คิดว่าท่านคงจะเป็นคนวาดกระมัง?” ในเวลานี้ฉู่เจาเสี่ยนทั้งชื่นชมทั้งรังเกียจซ่งชูอี ชื่นชมที่นางสามารถปะติดปะต่อโครงสร้างของอาวุธทั้งสองจากซากปรักหักพังได้ รังเกียจที่นางละโมบโลภมากไม่มีที่สิ้นสุด เริ่มจากการจงใจใช้ประโยชน์จากการเชื่อมโยงโดยตรงของรัฐฉินและชวีกู่เพื่อหลอกเอาแผนภาพของเครื่องยิงธนู บัดนี้ก็ยังจะอยากสร้างหน้าไม้กลน้ำหนักเบาอีก!

“สำนักม่อต้องการขจัดความรุนแรงและระงับความโกลาหล ทุกคนใต้หล้าต่างรู้ดี” ซ่งชูอียิ้มอย่างคลุมเครือ “ทว่าที่ใดก็ตามที่มีคนอยู่ก็ไม่สามารถกำจัดความปรารถนาได้และข้อพิพาทก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้แต่ภายในสำนักม่อของพวกท่านเองก็ค่อยๆ แบ่งออกเป็นหลายสำนัก นับประสาอะไรกับรัฐต่างๆ ใต้หล้าเล่า? สำนักม่อกล่าวถึงการรักทุกคน ไม่โจมตีผู้อื่น พยายามอย่างเต็มที่เพื่อแสวงหาสันติสุข อย่างไรก็ดีบัดนี้เสียนจื่อไม่รู้สึกว่าสันติสุขแห่งใต้หล้านั้นพร่ามัวยิ่งขึ้นทุกทีหรือ?”

การรักทุกคนนั้นหมายถึงภราดรภาพ ปฏิบัติต่อคนแปลกหน้าคนอื่นๆ เช่นเดียวกันที่ปฏิบัติต่อคนรัก; ไม่โจมตีผู้อื่นหมายถึงการต่อต้านสงครามแห่งการรุกราน

บัดนี้ประเพณีทางสังคมได้พังทลายลงอย่างสมบูรณ์ ใต้หล้าตกอยู่ในความวุ่นวาย ผู้คนขับเคลื่อนด้วยผลกำไร จะมีใครมาเชื่อฟังเรื่องภราดรภาพหรือสันติภาพเล่า?

ฉู่เจาเสี่ยนเงียบไปครู่หนึ่ง นี่เป็นความจริงที่โหดร้าย สำนักม่อก็เกิดการแบ่งแยกภายในเพราะสาเหตุนี้

“ใต้หล้าวุ่นวายตั้งแต่แรกเริ่ม แบ่งแยกออกเป็นเก้าโจว มีสงครามทั่วทุกแห่ง จนกระทั่งช่วงอินซาง ราชวงศ์โจวถูกกดขี่ข่มเหงมาหลายชั่วอายุคน โจวก็แตกออกรัฐจูโหวกว่าร้อยรัฐ ในระยะเวลาแห่งความวุ่นวายนี้เจ็ดวีรบุรุษก็ลุกขึ้น เสียนจื่อไม่อยากเห็นใต้หล้ากลับมาเป็นหนึ่งเดียวหรือ? เส้นทางแห่งสวรรค์นั้นวนเวียนเป็นวงกลม! สำนักม่อก็กล่าวว่าสวรรค์เป็นผู้ปกครองสูงสุด นี่มิใช่ลิขิตสวรรค์หรอกหรือ?” ซ่งชูอีถาม

ลิขิตสวรรค์สำหรับสำนักของเสียนจื่อคือกฎแห่งธรรมชาติ แต่สำหรับสำนักชวีกู่กลับตีความว่าบุตรชายแห่งสวรรค์คือผู้ปกครองใต้หล้า

ฉู่เจาเสี่ยนกำลังจมอยู่ในความคิด ทว่าซ่งชูอีกลับไม่ให้เวลานางได้พิจารณานานนัก “ข้ามิได้มาเพื่อเส้นทางแห่งคุณธรรม เสียนจื่อจะเห็นด้วยก็ดี คัดค้านก็ช่าง ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องรักษาอำนาจที่อยู่ในมือจึงจะสามารถสืบทอดสำนักม่อต่อไปได้มิใช่หรือ?”

“ท่านกล่าวได้ถูกต้อง” ฉู่เจาเสี่ยนได้ตัดสินใจในช่วงเวลาสั้นๆ นางสามารถประดิษฐ์หน้าไม้กลได้ นอกจากนี้ยังสามารถสร้างอาวุธทางทหารที่ทัดเทียมกับหน้าไม้กลได้ เพียงแต่ว่าสงครามนั้นอันตรายกว่า “ข้าต้องการเวลาหลายวัน”

ทว่าหน้าไม้กลโดยทั่วไปนั้น แม้จะเล็กเพียงใดก็ยังมีน้ำหนักอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หน้าไม้กลที่มีน้ำหนักเบานั้นไม่มี ฉู่เจาเสี่ยนจำต้องออกแบบใหม่ทั้งหมด

ซ่งชูอีพยักหน้า จากนั้นก็พูดคุยเรื่องที่จะช่วยเหลือสำนักม่อ “บัดนี้เสียนจื่อต้องการที่จะหลีกเลี่ยงการต่อสู้ วิธีที่ดีที่สุดก็คือละทิ้งทุกสาขาย่อย ตั้งสำนักต่างหาก”

“ใช่ว่าข้าไม่เคยคิดถึงข้อนี้ สำนักม่อของเราไม่ได้พึ่งพาเงินในการทำมาหากิน ทว่าหากเราสูญเสียฐานที่มั่นในนครใหญ่ๆ ก็จะกลายเป็นคนหูหนวกตาบอด ต่อให้ชวีกู่ไม่ฉวยโอกาสนี้เพื่อกดดันก็เกรงว่าจะต้องใช้เวลาหลายปีในการฟื้นตัว”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ 319 พบกับฉู่เจาเสี่ยน

Now you are reading กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ Chapter 319 พบกับฉู่เจาเสี่ยน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เช่นนั้นสิ่งนี้คือ…” กู่หานไม่เข้าใจ ตอนที่ซื้อสุราก็เห็นได้ชัดว่าพวกเขาขนขึ้นรถด้วยกัน

ซ่งชูอีสอดมือไว้ในแขนเสื้อ หันตัวมาเล็กน้อยพร้อมเอ่ยเสียงเบา “ข้าให้เถ้าแก่ผสมน้ำ ฮ่า ขนออกไปครึ่งหนึ่งเถิด”

“ขอรับ” ทุกคนรับคำสั่งแล้วเริ่มขนไหสุราลงมา

“ท่านขอรับ การที่พวกเราทำเช่นนี้จะไม่ทำให้ผู้ไม่ประสงค์ดีเจอเบาะแสหรือ? ตั้งแต่ออกมาจากนครเสียนหยางก็ดูเหมือนมีคนสะกดรอยตาม” กู่หานกล่าวด้วยความเป็นกังวล ชาวฉินไม่เคยแอบอ้างในการค้าขายเลย การผสมน้ำลงในสุราเช่นนี้ดึงดูดความสนใจได้ง่ายมาก

ซ่งชูอียิ้มน้อยๆ ก็เพราะว่านางต้องการให้ช่องโหว่ถูกเปิดโปง มิเช่นนั้นจะจับสายสืบได้อย่างไร? ไม่ว่าจะเป็นคำสั่งของใครก็ตาม ผู้ที่กล้าจับตาดูนางนั้นก็อย่าโทษว่านางใจร้ายก็แล้วกัน

“ไปเถิด” ซ่งชูอีโอบกระชับคอเสื้อ และเดินนำออกไปจากพงหญ้าก่อน

ในรถเหลือไหสุราเพียงครึ่งหนึ่ง การเดินทางจึงรวดเร็วขึ้นมาก

เมื่อถึงจุดเริ่มต้นของรุ่งอรุณ คณะเดินทางก็มาถึงสาขาของสำนักม่อที่กล่าวถึงในจดหมาย

มันตั้งอยู่ในเทือกเขาที่อยู่ไม่ไกลจากจุดพักม้าในดินแดนของรัฐเว่ย รอบด้านเป็นทุ่งหญ้าสีเขียวขจี ไม่มีวี่แววของผู้คน และมองไม่เห็นสิ่งปลูกสร้างใดๆ เลย

“ผู้มาเยือนคือใคร?” ไม่รู้ว่าเสียงคำถามนั้นดังขึ้นมาจากทิศทางไหนในทุ่งหญ้ารอบด้าน

มือของผู้อารักขาลับกดอยู่ที่ด้ามดาบแน่น

“เจ้าเป็นผู้ใด?” ซ่งชูอีถามกลับ

ทางนั้นเงียบงันไร้สุ้มเสียง เห็นได้ชัดว่าไม่คิดที่จะตอบ ซ่งชูอีครุ่นคิด บัดนี้นางไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร การรีบเปิดเผยสถานะของตัวเองไม่ใช่การกระทำที่ชาญฉลาดนัก ดังนั้นจึงเปล่งเสียงสูง “รักทุกคน ไม่โจมตีผู้อื่น ชื่นชมนักปราชญ์ คิดเยี่ยงผู้บริสุทธิ์ สวรรค์คือผู้ปกครองสูงสุด แยกแยะผีและเทพเจ้า ปฏิเสธโชคชะตา ปฏิเสธความอู้ฟู่ ปรนนิบัติตัวเอง ไม่กล้าขอความปรารถนา ข้ามาเพื่อช่วยใต้หล้า”

“ข้ารอท่านนานแล้ว” เสียงชัดเจนดังขึ้น มันคมชัดราวกับถ้ำที่น้ำลดระดับ

ทันใดนั้นคบไฟนับร้อยก็สว่างขึ้นในระยะสิบจั้งเบื้องหน้า มันกระจายตัวเป็นรูปครึ่งพัดคล้ายกำลังจะเข้ามาโอบล้อม หญิงสาวในวัยยี่สิบกว่าที่สวมชุดสีดำปกคอสีขาวคนหนึ่งเดินออกมาจากฝูงชนนั้น ผมดกดำถูกรวบขึ้นอย่างง่ายๆ ดูสะอาดสะอ้าน ใบหน้ามีขนาดเพียงหนึ่งฝ่ามือ คิ้วตาสดใส ดูตรงไปตรงมาไม่เหมือนเด็กสาวที่พบเห็นธรรมดาทั่วไป

ผู้หญิงคนนั้นประสานมือน้อยๆ ให้ซ่งชูอี “ท่านแขกเชิญตามข้ามา”

ซ่งชูอีประสานมือ ตามนางไปในตรอกลับเล็กๆ

“ข้ามีนามว่าม่ออวี้ อาจารย์อาบาดเจ็บที่ขา พวกข้าพยายามอย่างเต็มที่เพื่อห้ามไม่ให้นางมาพบท่าน อาจารย์อาท่านอื่นล้วนอายุมากแล้ว ไม่สะดวกเดินทางไกลจึงมิได้มาด้วย มีเพียงผู้น้อยเยี่ยงข้ามาต้อนรับ ได้โปรดท่านอย่าถือสา” เด็กสาวกล่าวพลางคำนับขอโทษซ่งชูอี

“ไม่ต้องมากพิธี ดูตามความเหมาะสมเถิด อีกอย่างข้าก็ไม่ใช่คนที่ใส่ใจเรื่องพิธีรีตองนัก” ซ่งชูอียกมือประคองนางลุกขึ้น

เด็กสาวนำสาวซ่งชูอีผ่านเส้นทางคดเคี้ยว หลังจากผ่านลำธารจากภูเขาแล้วก็เห็นแสงสว่างด้านหน้าทันใด ที่แท้ภูมิศาสตร์แห่งนี้เป็นรูปน้ำเต้า เทือกเขาด้านหน้ามีขนาดค่อนข้างใหญ่ และหลังจากผ่านเส้นทางสั้นๆ ไปก็จะเข้าสู่หุบเขาที่มีขนาดเล็กกว่า

แสงยามรุ่งอรุณส่องสลัว ในหุบเขานั้นเต็มไปด้วยหมอก มองไม่เห็นถนนโดยสิ้นเชิง ม่ออวี้นำทางซ่งชูอีไปยังที่พักบนภูเขาอย่างชำนาญ ซ่งชูอีเข้าไปทว่าผู้อารักขาลับกลับถูกกันอยู่นอกลาน

“นายท่าน!” กู่หานเอ่ยด้วยความตื่นตระหนก

ซ่งชูอีหันกลับมา “พวกเจ้ารออยู่ด้านนอก สำนักม่อแยกแยะถูกผิดชัดเจน ข้ามิใช่ผู้ก่อความวุ่นวายจะทำอะไรข้าได้? วางใจเถิด”

“วาจาของท่านช่างประเสริฐนัก” รอยยิ้มของม่ออวี้สดใส ตั้งแต่เข้ามาในลาน นางก็ไม่ได้ดูจริงจังเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว ในเวลานี้ทั้งคำพูดและพฤติกรรมดูห้าวหาญ “เชิญท่าน”

ซ่งชูอียิ้มพลางพยักหน้า ตามนางเข้าประตูรองไป จากนั้นก็ขึ้นบันไดอีกครั้งเพื่อไปยังศาลาไม้ไผ่ครึ่งทางบนภูเขา

กอไผ่ในสายหมอกบางดูโดดเดี่ยว สายธารภูเขาไหลคดเคี้ยวมาจากข้างศาลา ซ่งชูอีเห็นแผ่นหลังของผู้หญิงที่สวมชุดสีขาวปกคอสีดำพิงตัวอยู่ที่ราวในศาลา ผมดกดำถูกม้วนขึ้นครึ่งหนึ่งด้วยปิ่นไม้ไผ่ มีเตาอันหนึ่งวางอยู่ข้างมือ ไอน้ำภายในหม้อม้วนตัวขึ้นรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวกับสายหมอกนั้น

สายลมพัดผ่านดงไผ่ส่งเสียงกรอบแกรบ

ม่ออวี้ยกกำปั้นคำนับอยู่ใต้บันไดหิน “อาจารย์อา ท่านซ่งมาแล้ว”

หญิงสาวหันมายิ้มอย่างขอโทษ “ขาของข้าบาดเจ็บสาหัส ไม่สามารถยืนต้อนรับท่านซ่งได้ จึงได้เตรียมชาถ้วยหนึ่งเป็นการชดเชย หวังว่าท่านจะใจกว้างให้อภัย”

ซ่งชูอีสามารถมองเห็นหน้าของผู้หญิงคนนั้นอย่างชัดเจน นางรู้ว่าผู้นี้คือฉู่เจาเสี่ยน เสียนจื่อแห่งสำนักม่อผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือในหลายรัฐ รูปหน้าดุจไข่ห่าน ผิวพรรณขาวผ่อง คิ้วโค้งได้รูป หน้าผากอวบอิ่ม ดวงตาดุจดอกท้อดูเหมือนมีรอยยิ้มอยู่เสมอ หน้าตามีเสน่ห์ของผู้หญิงที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ก็มีความสดใสบริสุทธิ์ดุจสาววัยรุ่น ทั้งๆ ที่เป็นหญิงในวัยสี่สิบกว่าแล้วแต่ยังดูเหมือนอายุเพียงสามสิบกว่าปี

สิ่งที่ทำให้ซ่งชูอีคาดไม่ถึงก็คือ เสียนจื่อดูอ่อนโยนเหลือเกินแต่ก็ดูเหมือนผู้หญิงอารมณ์อ่อนไหว

ความคิดวูบผ่านไป ซ่งชูอีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นก็ต้องดูว่าชาของเสียนจื่อต้มได้ดีหรือไม่”

นางพูดพลางยกชายเสื้อก้าวขึ้นบันไดแล้วค้อมตัวเข้าศาลา สายตาจับจ้องอยู่ที่ขาของฉู่เจาเสี่ยน เอ่ยด้วยความประหลาดใจ “ขาของเสียนจื่อเป็นอะไรรึ?”

ดูแล้วก็ไม่เหมือนบาดเจ็บแต่ก็ไม่รู้สึกเหมือนมันอยู่บนที่นั่งด้วยซ้ำ แสดงว่าอาการร้ายแรงมาก

ฉู่เจาเสี่ยนกล่าวด้วยจิตใจสงบนิ่ง “สำนักข้าก่อเรื่องสกปรก ทำให้เกียรติยศแปดเปื้อน อย่ากล่าวถึงมันเลย เชิญนั่ง”

คำพูดนี้ก็พอที่จะทำให้ซ่งชูอีเดาภาพรวมได้ เกรงว่าเพราะสำนักของชวีกู้ตั้งใจจะควบคุมฉู่เจาเสี่ยนจึงใช้วิธีต่ำช้า ในเมื่อนางไม่เต็มใจที่จะกล่าวถึงมัน ซ่งชูอีก็จะไม่ขุดคุ้ย

“ท่านลองชิมชานี้ดูเถิด” ฉู่เจาเสี่ยนยื่นน้ำชาให้นางถ้วยหนึ่ง

หลังจากที่ซ่งชูอีรับมาก็ดมกลิ่นแล้วจิบคำหนึ่ง อดที่จะเอ่ยอุทานมิได้ “ที่นี่เงียบสงบและสง่างาม ชานี้ทั้งเบาและหวาน ช่างชวนให้รื่มรมย์จริงๆ”

ฉู่เจาเสี่ยนประสานมือเอ่ย “ทำให้ท่านต้องเดินทางไกล ลำบากแล้ว”

“เสียนจื่อเกรงใจแล้ว” ซ่งชูอีวางถ้วยชาลงเอ่ยว่า “ข้ากับเจ้าอี่โหลวเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตาย เมื่อเขาเป็นกังวล ข้าจะนิ่งดูดายได้อย่างไร? อย่างไรก็ดีแม้ว่าครั้งนี้จะมาเพื่อช่วยเหลือทว่าก็มีเรื่องจะขอร้องเช่นกัน”

“ท่านว่ามา” ฉู่เจาเสี่ยนกลับไม่ประหลาดใจเลย ต้องการจะช่วยเหลือสำนักม่อนั้นไม่ง่าย ซ่งชูอีเป็นนักวางกลยุทธ์ เป็นกุนซือ มิใช่ผู้กล้าหาญรักความยุติธรรม ดังนั้นการขอสิ่งตอบแทนจึงเป็นเรื่องที่อยู่ในความคาดหมายอยู่แล้ว

“ข้าต้องการทักษะเครื่องกลไลที่เหมือนกับสำนักม่อ” ซ่งชูอีเห็นว่าฉู่เจาเสี่ยนมีสีหน้าจริงจังจึงไม่อ้อมค้อมอีก หยิบแผนภาพออกมาจากแขนเสื้อโดยตรง “นี่เป็นสิ่งที่ข้าปะติดปะต่อมาจากซากธนูหน้าไม้ในขณะที่ข้าไปทัศนศึกษาที่นครหนึ่งในรัฐหลี่ว์ ข้าไม่เชี่ยวชาญเรื่องกลไล อย่างไรก็ตามหลังจากทุ่มเทค้นคว้าเป็นเวลาหลายปี ในที่สุดก็เขียนแผนภาพจนเสร็จสมบูรณ์”

ฉู่เจาเสี่ยนรับม้วนหนังแกะมา เมื่อเห็นแผนภาพหน้าไม้ที่วาดอยู่ด้านบนแล้ว สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากความสงบเป็นประหลาดใจ “ท่านไม่เชี่ยวชาญด้านกลไล แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีวิธีการแก้ปัญหาที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ ช่างน่าชื่นชมโดยแท้!”

ซ่งชูอีเลิกคิ้ว

ฉู่เจาเสี่ยนเห็นว่านางสงสัยจึงอธิบายว่า “แน่นอนว่ามีแผนภาพต้นฉบับ เพียงแต่มันไม่ละเอียดเท่าการออกแบบของท่าน”

ซากที่นางได้มาจากชาติก่อนเป็นเพียงรูปร่างโดยรวมเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ซ่งชูอีจึงอยู่ที่นั่นเป็นเวลาครึ่งปีเพื่อค้นหาซากอื่นๆ ผู้ที่มีฝีมือไม่สู้ผู้ที่มีความตั้งใจ แม้ว่านางจะปะติดปะต่อออกมาได้ทว่าก็ยังมีบางส่วนที่ขาดหายไป สิ่งนี้จึงกลายเป็นเพียงของตกแต่งเท่านั้น นางไม่เชี่ยวชาญด้านกลไก ทว่าในฐานะผู้ที่เข้าใจการทหาร อาวุธทางทหารจึงมิใช่เรื่องแปลกใหม่ หน้าไม้นี้มีขนาดเล็กและเบากว่าปกติมาก โครงสร้างก็ดูเหมือนละเอียดอ่อนยิ่ง ดังนั้นนางจึงลองผิดลองถูกเป็นเวลานานกว่าสี่ปีก่อนที่จะสามารถใช้งานมันได้ วันนี้ถึงได้รู้ว่าที่แท้มันละเอียดกว่าตัวต้นฉบับด้วยซ้ำ

“ในเมื่อมีธนูหน้าไม้แล้ว ท่านยังต้องการอะไรอีก?” สีหน้าของฉู่เจาเสี่ยนดีกว่าเมื่อครู่มาก ดวงตาก็สดใสดขึ้น เห็นได้ชัดว่ามีความคลั่งไคล้ต่อเครื่องกลไกมาก

“ข้าต้องการประดิษฐ์หน้าไม้กลจากโครงสร้างนี้” ซ่งชูอีเอ่ย

“เรื่องนี้…” คิ้วของฉู่เจาเสี่ยนผูกกัน “หน้าไม้แข็งนี้เป็นหน้าไม้ที่ดีที่สุดในตอนนั้นแล้ว หากหัวลูกศรมีประสิทธิภาพ ก็สามารถยิงทะลุเสื้อเกราะธรรมดาได้ในระยะแปดร้อยก้าว บัดนี้พลังของมันเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวจากการดัดแปลงของท่าน แม้แต่หน้าไม้แข็งของรัฐฉินซึ่งบัดนี้เรียกได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดก็ยังด้อยกว่าด้วยซ้ำ ท่านยังต้องการจะประดิษฐ์หน้าไม้กลอีก มันไม่โลภไปหน่อยหรือ?”

ซ่งชูอีกลับไม่สนใจคำพูดขวานผ่าซากเช่นนี้ “หากไม่โลภ จะมีโลกอย่างปัจจุบันได้อย่างไร?”

“ข้าจำได้ ว่าเคยเห็นแผนภาพซากเครื่องยิงธนูในมือของคนในสำนักชวีกู่ คิดว่าท่านคงจะเป็นคนวาดกระมัง?” ในเวลานี้ฉู่เจาเสี่ยนทั้งชื่นชมทั้งรังเกียจซ่งชูอี ชื่นชมที่นางสามารถปะติดปะต่อโครงสร้างของอาวุธทั้งสองจากซากปรักหักพังได้ รังเกียจที่นางละโมบโลภมากไม่มีที่สิ้นสุด เริ่มจากการจงใจใช้ประโยชน์จากการเชื่อมโยงโดยตรงของรัฐฉินและชวีกู่เพื่อหลอกเอาแผนภาพของเครื่องยิงธนู บัดนี้ก็ยังจะอยากสร้างหน้าไม้กลน้ำหนักเบาอีก!

“สำนักม่อต้องการขจัดความรุนแรงและระงับความโกลาหล ทุกคนใต้หล้าต่างรู้ดี” ซ่งชูอียิ้มอย่างคลุมเครือ “ทว่าที่ใดก็ตามที่มีคนอยู่ก็ไม่สามารถกำจัดความปรารถนาได้และข้อพิพาทก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้แต่ภายในสำนักม่อของพวกท่านเองก็ค่อยๆ แบ่งออกเป็นหลายสำนัก นับประสาอะไรกับรัฐต่างๆ ใต้หล้าเล่า? สำนักม่อกล่าวถึงการรักทุกคน ไม่โจมตีผู้อื่น พยายามอย่างเต็มที่เพื่อแสวงหาสันติสุข อย่างไรก็ดีบัดนี้เสียนจื่อไม่รู้สึกว่าสันติสุขแห่งใต้หล้านั้นพร่ามัวยิ่งขึ้นทุกทีหรือ?”

การรักทุกคนนั้นหมายถึงภราดรภาพ ปฏิบัติต่อคนแปลกหน้าคนอื่นๆ เช่นเดียวกันที่ปฏิบัติต่อคนรัก; ไม่โจมตีผู้อื่นหมายถึงการต่อต้านสงครามแห่งการรุกราน

บัดนี้ประเพณีทางสังคมได้พังทลายลงอย่างสมบูรณ์ ใต้หล้าตกอยู่ในความวุ่นวาย ผู้คนขับเคลื่อนด้วยผลกำไร จะมีใครมาเชื่อฟังเรื่องภราดรภาพหรือสันติภาพเล่า?

ฉู่เจาเสี่ยนเงียบไปครู่หนึ่ง นี่เป็นความจริงที่โหดร้าย สำนักม่อก็เกิดการแบ่งแยกภายในเพราะสาเหตุนี้

“ใต้หล้าวุ่นวายตั้งแต่แรกเริ่ม แบ่งแยกออกเป็นเก้าโจว มีสงครามทั่วทุกแห่ง จนกระทั่งช่วงอินซาง ราชวงศ์โจวถูกกดขี่ข่มเหงมาหลายชั่วอายุคน โจวก็แตกออกรัฐจูโหวกว่าร้อยรัฐ ในระยะเวลาแห่งความวุ่นวายนี้เจ็ดวีรบุรุษก็ลุกขึ้น เสียนจื่อไม่อยากเห็นใต้หล้ากลับมาเป็นหนึ่งเดียวหรือ? เส้นทางแห่งสวรรค์นั้นวนเวียนเป็นวงกลม! สำนักม่อก็กล่าวว่าสวรรค์เป็นผู้ปกครองสูงสุด นี่มิใช่ลิขิตสวรรค์หรอกหรือ?” ซ่งชูอีถาม

ลิขิตสวรรค์สำหรับสำนักของเสียนจื่อคือกฎแห่งธรรมชาติ แต่สำหรับสำนักชวีกู่กลับตีความว่าบุตรชายแห่งสวรรค์คือผู้ปกครองใต้หล้า

ฉู่เจาเสี่ยนกำลังจมอยู่ในความคิด ทว่าซ่งชูอีกลับไม่ให้เวลานางได้พิจารณานานนัก “ข้ามิได้มาเพื่อเส้นทางแห่งคุณธรรม เสียนจื่อจะเห็นด้วยก็ดี คัดค้านก็ช่าง ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องรักษาอำนาจที่อยู่ในมือจึงจะสามารถสืบทอดสำนักม่อต่อไปได้มิใช่หรือ?”

“ท่านกล่าวได้ถูกต้อง” ฉู่เจาเสี่ยนได้ตัดสินใจในช่วงเวลาสั้นๆ นางสามารถประดิษฐ์หน้าไม้กลได้ นอกจากนี้ยังสามารถสร้างอาวุธทางทหารที่ทัดเทียมกับหน้าไม้กลได้ เพียงแต่ว่าสงครามนั้นอันตรายกว่า “ข้าต้องการเวลาหลายวัน”

ทว่าหน้าไม้กลโดยทั่วไปนั้น แม้จะเล็กเพียงใดก็ยังมีน้ำหนักอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หน้าไม้กลที่มีน้ำหนักเบานั้นไม่มี ฉู่เจาเสี่ยนจำต้องออกแบบใหม่ทั้งหมด

ซ่งชูอีพยักหน้า จากนั้นก็พูดคุยเรื่องที่จะช่วยเหลือสำนักม่อ “บัดนี้เสียนจื่อต้องการที่จะหลีกเลี่ยงการต่อสู้ วิธีที่ดีที่สุดก็คือละทิ้งทุกสาขาย่อย ตั้งสำนักต่างหาก”

“ใช่ว่าข้าไม่เคยคิดถึงข้อนี้ สำนักม่อของเราไม่ได้พึ่งพาเงินในการทำมาหากิน ทว่าหากเราสูญเสียฐานที่มั่นในนครใหญ่ๆ ก็จะกลายเป็นคนหูหนวกตาบอด ต่อให้ชวีกู่ไม่ฉวยโอกาสนี้เพื่อกดดันก็เกรงว่าจะต้องใช้เวลาหลายปีในการฟื้นตัว”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ 319 พบกับฉู่เจาเสี่ยน

Now you are reading กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ Chapter 319 พบกับฉู่เจาเสี่ยน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เช่นนั้นสิ่งนี้คือ…” กู่หานไม่เข้าใจ ตอนที่ซื้อสุราก็เห็นได้ชัดว่าพวกเขาขนขึ้นรถด้วยกัน

ซ่งชูอีสอดมือไว้ในแขนเสื้อ หันตัวมาเล็กน้อยพร้อมเอ่ยเสียงเบา “ข้าให้เถ้าแก่ผสมน้ำ ฮ่า ขนออกไปครึ่งหนึ่งเถิด”

“ขอรับ” ทุกคนรับคำสั่งแล้วเริ่มขนไหสุราลงมา

“ท่านขอรับ การที่พวกเราทำเช่นนี้จะไม่ทำให้ผู้ไม่ประสงค์ดีเจอเบาะแสหรือ? ตั้งแต่ออกมาจากนครเสียนหยางก็ดูเหมือนมีคนสะกดรอยตาม” กู่หานกล่าวด้วยความเป็นกังวล ชาวฉินไม่เคยแอบอ้างในการค้าขายเลย การผสมน้ำลงในสุราเช่นนี้ดึงดูดความสนใจได้ง่ายมาก

ซ่งชูอียิ้มน้อยๆ ก็เพราะว่านางต้องการให้ช่องโหว่ถูกเปิดโปง มิเช่นนั้นจะจับสายสืบได้อย่างไร? ไม่ว่าจะเป็นคำสั่งของใครก็ตาม ผู้ที่กล้าจับตาดูนางนั้นก็อย่าโทษว่านางใจร้ายก็แล้วกัน

“ไปเถิด” ซ่งชูอีโอบกระชับคอเสื้อ และเดินนำออกไปจากพงหญ้าก่อน

ในรถเหลือไหสุราเพียงครึ่งหนึ่ง การเดินทางจึงรวดเร็วขึ้นมาก

เมื่อถึงจุดเริ่มต้นของรุ่งอรุณ คณะเดินทางก็มาถึงสาขาของสำนักม่อที่กล่าวถึงในจดหมาย

มันตั้งอยู่ในเทือกเขาที่อยู่ไม่ไกลจากจุดพักม้าในดินแดนของรัฐเว่ย รอบด้านเป็นทุ่งหญ้าสีเขียวขจี ไม่มีวี่แววของผู้คน และมองไม่เห็นสิ่งปลูกสร้างใดๆ เลย

“ผู้มาเยือนคือใคร?” ไม่รู้ว่าเสียงคำถามนั้นดังขึ้นมาจากทิศทางไหนในทุ่งหญ้ารอบด้าน

มือของผู้อารักขาลับกดอยู่ที่ด้ามดาบแน่น

“เจ้าเป็นผู้ใด?” ซ่งชูอีถามกลับ

ทางนั้นเงียบงันไร้สุ้มเสียง เห็นได้ชัดว่าไม่คิดที่จะตอบ ซ่งชูอีครุ่นคิด บัดนี้นางไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร การรีบเปิดเผยสถานะของตัวเองไม่ใช่การกระทำที่ชาญฉลาดนัก ดังนั้นจึงเปล่งเสียงสูง “รักทุกคน ไม่โจมตีผู้อื่น ชื่นชมนักปราชญ์ คิดเยี่ยงผู้บริสุทธิ์ สวรรค์คือผู้ปกครองสูงสุด แยกแยะผีและเทพเจ้า ปฏิเสธโชคชะตา ปฏิเสธความอู้ฟู่ ปรนนิบัติตัวเอง ไม่กล้าขอความปรารถนา ข้ามาเพื่อช่วยใต้หล้า”

“ข้ารอท่านนานแล้ว” เสียงชัดเจนดังขึ้น มันคมชัดราวกับถ้ำที่น้ำลดระดับ

ทันใดนั้นคบไฟนับร้อยก็สว่างขึ้นในระยะสิบจั้งเบื้องหน้า มันกระจายตัวเป็นรูปครึ่งพัดคล้ายกำลังจะเข้ามาโอบล้อม หญิงสาวในวัยยี่สิบกว่าที่สวมชุดสีดำปกคอสีขาวคนหนึ่งเดินออกมาจากฝูงชนนั้น ผมดกดำถูกรวบขึ้นอย่างง่ายๆ ดูสะอาดสะอ้าน ใบหน้ามีขนาดเพียงหนึ่งฝ่ามือ คิ้วตาสดใส ดูตรงไปตรงมาไม่เหมือนเด็กสาวที่พบเห็นธรรมดาทั่วไป

ผู้หญิงคนนั้นประสานมือน้อยๆ ให้ซ่งชูอี “ท่านแขกเชิญตามข้ามา”

ซ่งชูอีประสานมือ ตามนางไปในตรอกลับเล็กๆ

“ข้ามีนามว่าม่ออวี้ อาจารย์อาบาดเจ็บที่ขา พวกข้าพยายามอย่างเต็มที่เพื่อห้ามไม่ให้นางมาพบท่าน อาจารย์อาท่านอื่นล้วนอายุมากแล้ว ไม่สะดวกเดินทางไกลจึงมิได้มาด้วย มีเพียงผู้น้อยเยี่ยงข้ามาต้อนรับ ได้โปรดท่านอย่าถือสา” เด็กสาวกล่าวพลางคำนับขอโทษซ่งชูอี

“ไม่ต้องมากพิธี ดูตามความเหมาะสมเถิด อีกอย่างข้าก็ไม่ใช่คนที่ใส่ใจเรื่องพิธีรีตองนัก” ซ่งชูอียกมือประคองนางลุกขึ้น

เด็กสาวนำสาวซ่งชูอีผ่านเส้นทางคดเคี้ยว หลังจากผ่านลำธารจากภูเขาแล้วก็เห็นแสงสว่างด้านหน้าทันใด ที่แท้ภูมิศาสตร์แห่งนี้เป็นรูปน้ำเต้า เทือกเขาด้านหน้ามีขนาดค่อนข้างใหญ่ และหลังจากผ่านเส้นทางสั้นๆ ไปก็จะเข้าสู่หุบเขาที่มีขนาดเล็กกว่า

แสงยามรุ่งอรุณส่องสลัว ในหุบเขานั้นเต็มไปด้วยหมอก มองไม่เห็นถนนโดยสิ้นเชิง ม่ออวี้นำทางซ่งชูอีไปยังที่พักบนภูเขาอย่างชำนาญ ซ่งชูอีเข้าไปทว่าผู้อารักขาลับกลับถูกกันอยู่นอกลาน

“นายท่าน!” กู่หานเอ่ยด้วยความตื่นตระหนก

ซ่งชูอีหันกลับมา “พวกเจ้ารออยู่ด้านนอก สำนักม่อแยกแยะถูกผิดชัดเจน ข้ามิใช่ผู้ก่อความวุ่นวายจะทำอะไรข้าได้? วางใจเถิด”

“วาจาของท่านช่างประเสริฐนัก” รอยยิ้มของม่ออวี้สดใส ตั้งแต่เข้ามาในลาน นางก็ไม่ได้ดูจริงจังเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว ในเวลานี้ทั้งคำพูดและพฤติกรรมดูห้าวหาญ “เชิญท่าน”

ซ่งชูอียิ้มพลางพยักหน้า ตามนางเข้าประตูรองไป จากนั้นก็ขึ้นบันไดอีกครั้งเพื่อไปยังศาลาไม้ไผ่ครึ่งทางบนภูเขา

กอไผ่ในสายหมอกบางดูโดดเดี่ยว สายธารภูเขาไหลคดเคี้ยวมาจากข้างศาลา ซ่งชูอีเห็นแผ่นหลังของผู้หญิงที่สวมชุดสีขาวปกคอสีดำพิงตัวอยู่ที่ราวในศาลา ผมดกดำถูกม้วนขึ้นครึ่งหนึ่งด้วยปิ่นไม้ไผ่ มีเตาอันหนึ่งวางอยู่ข้างมือ ไอน้ำภายในหม้อม้วนตัวขึ้นรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวกับสายหมอกนั้น

สายลมพัดผ่านดงไผ่ส่งเสียงกรอบแกรบ

ม่ออวี้ยกกำปั้นคำนับอยู่ใต้บันไดหิน “อาจารย์อา ท่านซ่งมาแล้ว”

หญิงสาวหันมายิ้มอย่างขอโทษ “ขาของข้าบาดเจ็บสาหัส ไม่สามารถยืนต้อนรับท่านซ่งได้ จึงได้เตรียมชาถ้วยหนึ่งเป็นการชดเชย หวังว่าท่านจะใจกว้างให้อภัย”

ซ่งชูอีสามารถมองเห็นหน้าของผู้หญิงคนนั้นอย่างชัดเจน นางรู้ว่าผู้นี้คือฉู่เจาเสี่ยน เสียนจื่อแห่งสำนักม่อผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือในหลายรัฐ รูปหน้าดุจไข่ห่าน ผิวพรรณขาวผ่อง คิ้วโค้งได้รูป หน้าผากอวบอิ่ม ดวงตาดุจดอกท้อดูเหมือนมีรอยยิ้มอยู่เสมอ หน้าตามีเสน่ห์ของผู้หญิงที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ก็มีความสดใสบริสุทธิ์ดุจสาววัยรุ่น ทั้งๆ ที่เป็นหญิงในวัยสี่สิบกว่าแล้วแต่ยังดูเหมือนอายุเพียงสามสิบกว่าปี

สิ่งที่ทำให้ซ่งชูอีคาดไม่ถึงก็คือ เสียนจื่อดูอ่อนโยนเหลือเกินแต่ก็ดูเหมือนผู้หญิงอารมณ์อ่อนไหว

ความคิดวูบผ่านไป ซ่งชูอีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นก็ต้องดูว่าชาของเสียนจื่อต้มได้ดีหรือไม่”

นางพูดพลางยกชายเสื้อก้าวขึ้นบันไดแล้วค้อมตัวเข้าศาลา สายตาจับจ้องอยู่ที่ขาของฉู่เจาเสี่ยน เอ่ยด้วยความประหลาดใจ “ขาของเสียนจื่อเป็นอะไรรึ?”

ดูแล้วก็ไม่เหมือนบาดเจ็บแต่ก็ไม่รู้สึกเหมือนมันอยู่บนที่นั่งด้วยซ้ำ แสดงว่าอาการร้ายแรงมาก

ฉู่เจาเสี่ยนกล่าวด้วยจิตใจสงบนิ่ง “สำนักข้าก่อเรื่องสกปรก ทำให้เกียรติยศแปดเปื้อน อย่ากล่าวถึงมันเลย เชิญนั่ง”

คำพูดนี้ก็พอที่จะทำให้ซ่งชูอีเดาภาพรวมได้ เกรงว่าเพราะสำนักของชวีกู้ตั้งใจจะควบคุมฉู่เจาเสี่ยนจึงใช้วิธีต่ำช้า ในเมื่อนางไม่เต็มใจที่จะกล่าวถึงมัน ซ่งชูอีก็จะไม่ขุดคุ้ย

“ท่านลองชิมชานี้ดูเถิด” ฉู่เจาเสี่ยนยื่นน้ำชาให้นางถ้วยหนึ่ง

หลังจากที่ซ่งชูอีรับมาก็ดมกลิ่นแล้วจิบคำหนึ่ง อดที่จะเอ่ยอุทานมิได้ “ที่นี่เงียบสงบและสง่างาม ชานี้ทั้งเบาและหวาน ช่างชวนให้รื่มรมย์จริงๆ”

ฉู่เจาเสี่ยนประสานมือเอ่ย “ทำให้ท่านต้องเดินทางไกล ลำบากแล้ว”

“เสียนจื่อเกรงใจแล้ว” ซ่งชูอีวางถ้วยชาลงเอ่ยว่า “ข้ากับเจ้าอี่โหลวเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตาย เมื่อเขาเป็นกังวล ข้าจะนิ่งดูดายได้อย่างไร? อย่างไรก็ดีแม้ว่าครั้งนี้จะมาเพื่อช่วยเหลือทว่าก็มีเรื่องจะขอร้องเช่นกัน”

“ท่านว่ามา” ฉู่เจาเสี่ยนกลับไม่ประหลาดใจเลย ต้องการจะช่วยเหลือสำนักม่อนั้นไม่ง่าย ซ่งชูอีเป็นนักวางกลยุทธ์ เป็นกุนซือ มิใช่ผู้กล้าหาญรักความยุติธรรม ดังนั้นการขอสิ่งตอบแทนจึงเป็นเรื่องที่อยู่ในความคาดหมายอยู่แล้ว

“ข้าต้องการทักษะเครื่องกลไลที่เหมือนกับสำนักม่อ” ซ่งชูอีเห็นว่าฉู่เจาเสี่ยนมีสีหน้าจริงจังจึงไม่อ้อมค้อมอีก หยิบแผนภาพออกมาจากแขนเสื้อโดยตรง “นี่เป็นสิ่งที่ข้าปะติดปะต่อมาจากซากธนูหน้าไม้ในขณะที่ข้าไปทัศนศึกษาที่นครหนึ่งในรัฐหลี่ว์ ข้าไม่เชี่ยวชาญเรื่องกลไล อย่างไรก็ตามหลังจากทุ่มเทค้นคว้าเป็นเวลาหลายปี ในที่สุดก็เขียนแผนภาพจนเสร็จสมบูรณ์”

ฉู่เจาเสี่ยนรับม้วนหนังแกะมา เมื่อเห็นแผนภาพหน้าไม้ที่วาดอยู่ด้านบนแล้ว สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากความสงบเป็นประหลาดใจ “ท่านไม่เชี่ยวชาญด้านกลไล แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีวิธีการแก้ปัญหาที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ ช่างน่าชื่นชมโดยแท้!”

ซ่งชูอีเลิกคิ้ว

ฉู่เจาเสี่ยนเห็นว่านางสงสัยจึงอธิบายว่า “แน่นอนว่ามีแผนภาพต้นฉบับ เพียงแต่มันไม่ละเอียดเท่าการออกแบบของท่าน”

ซากที่นางได้มาจากชาติก่อนเป็นเพียงรูปร่างโดยรวมเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ซ่งชูอีจึงอยู่ที่นั่นเป็นเวลาครึ่งปีเพื่อค้นหาซากอื่นๆ ผู้ที่มีฝีมือไม่สู้ผู้ที่มีความตั้งใจ แม้ว่านางจะปะติดปะต่อออกมาได้ทว่าก็ยังมีบางส่วนที่ขาดหายไป สิ่งนี้จึงกลายเป็นเพียงของตกแต่งเท่านั้น นางไม่เชี่ยวชาญด้านกลไก ทว่าในฐานะผู้ที่เข้าใจการทหาร อาวุธทางทหารจึงมิใช่เรื่องแปลกใหม่ หน้าไม้นี้มีขนาดเล็กและเบากว่าปกติมาก โครงสร้างก็ดูเหมือนละเอียดอ่อนยิ่ง ดังนั้นนางจึงลองผิดลองถูกเป็นเวลานานกว่าสี่ปีก่อนที่จะสามารถใช้งานมันได้ วันนี้ถึงได้รู้ว่าที่แท้มันละเอียดกว่าตัวต้นฉบับด้วยซ้ำ

“ในเมื่อมีธนูหน้าไม้แล้ว ท่านยังต้องการอะไรอีก?” สีหน้าของฉู่เจาเสี่ยนดีกว่าเมื่อครู่มาก ดวงตาก็สดใสดขึ้น เห็นได้ชัดว่ามีความคลั่งไคล้ต่อเครื่องกลไกมาก

“ข้าต้องการประดิษฐ์หน้าไม้กลจากโครงสร้างนี้” ซ่งชูอีเอ่ย

“เรื่องนี้…” คิ้วของฉู่เจาเสี่ยนผูกกัน “หน้าไม้แข็งนี้เป็นหน้าไม้ที่ดีที่สุดในตอนนั้นแล้ว หากหัวลูกศรมีประสิทธิภาพ ก็สามารถยิงทะลุเสื้อเกราะธรรมดาได้ในระยะแปดร้อยก้าว บัดนี้พลังของมันเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวจากการดัดแปลงของท่าน แม้แต่หน้าไม้แข็งของรัฐฉินซึ่งบัดนี้เรียกได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดก็ยังด้อยกว่าด้วยซ้ำ ท่านยังต้องการจะประดิษฐ์หน้าไม้กลอีก มันไม่โลภไปหน่อยหรือ?”

ซ่งชูอีกลับไม่สนใจคำพูดขวานผ่าซากเช่นนี้ “หากไม่โลภ จะมีโลกอย่างปัจจุบันได้อย่างไร?”

“ข้าจำได้ ว่าเคยเห็นแผนภาพซากเครื่องยิงธนูในมือของคนในสำนักชวีกู่ คิดว่าท่านคงจะเป็นคนวาดกระมัง?” ในเวลานี้ฉู่เจาเสี่ยนทั้งชื่นชมทั้งรังเกียจซ่งชูอี ชื่นชมที่นางสามารถปะติดปะต่อโครงสร้างของอาวุธทั้งสองจากซากปรักหักพังได้ รังเกียจที่นางละโมบโลภมากไม่มีที่สิ้นสุด เริ่มจากการจงใจใช้ประโยชน์จากการเชื่อมโยงโดยตรงของรัฐฉินและชวีกู่เพื่อหลอกเอาแผนภาพของเครื่องยิงธนู บัดนี้ก็ยังจะอยากสร้างหน้าไม้กลน้ำหนักเบาอีก!

“สำนักม่อต้องการขจัดความรุนแรงและระงับความโกลาหล ทุกคนใต้หล้าต่างรู้ดี” ซ่งชูอียิ้มอย่างคลุมเครือ “ทว่าที่ใดก็ตามที่มีคนอยู่ก็ไม่สามารถกำจัดความปรารถนาได้และข้อพิพาทก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้แต่ภายในสำนักม่อของพวกท่านเองก็ค่อยๆ แบ่งออกเป็นหลายสำนัก นับประสาอะไรกับรัฐต่างๆ ใต้หล้าเล่า? สำนักม่อกล่าวถึงการรักทุกคน ไม่โจมตีผู้อื่น พยายามอย่างเต็มที่เพื่อแสวงหาสันติสุข อย่างไรก็ดีบัดนี้เสียนจื่อไม่รู้สึกว่าสันติสุขแห่งใต้หล้านั้นพร่ามัวยิ่งขึ้นทุกทีหรือ?”

การรักทุกคนนั้นหมายถึงภราดรภาพ ปฏิบัติต่อคนแปลกหน้าคนอื่นๆ เช่นเดียวกันที่ปฏิบัติต่อคนรัก; ไม่โจมตีผู้อื่นหมายถึงการต่อต้านสงครามแห่งการรุกราน

บัดนี้ประเพณีทางสังคมได้พังทลายลงอย่างสมบูรณ์ ใต้หล้าตกอยู่ในความวุ่นวาย ผู้คนขับเคลื่อนด้วยผลกำไร จะมีใครมาเชื่อฟังเรื่องภราดรภาพหรือสันติภาพเล่า?

ฉู่เจาเสี่ยนเงียบไปครู่หนึ่ง นี่เป็นความจริงที่โหดร้าย สำนักม่อก็เกิดการแบ่งแยกภายในเพราะสาเหตุนี้

“ใต้หล้าวุ่นวายตั้งแต่แรกเริ่ม แบ่งแยกออกเป็นเก้าโจว มีสงครามทั่วทุกแห่ง จนกระทั่งช่วงอินซาง ราชวงศ์โจวถูกกดขี่ข่มเหงมาหลายชั่วอายุคน โจวก็แตกออกรัฐจูโหวกว่าร้อยรัฐ ในระยะเวลาแห่งความวุ่นวายนี้เจ็ดวีรบุรุษก็ลุกขึ้น เสียนจื่อไม่อยากเห็นใต้หล้ากลับมาเป็นหนึ่งเดียวหรือ? เส้นทางแห่งสวรรค์นั้นวนเวียนเป็นวงกลม! สำนักม่อก็กล่าวว่าสวรรค์เป็นผู้ปกครองสูงสุด นี่มิใช่ลิขิตสวรรค์หรอกหรือ?” ซ่งชูอีถาม

ลิขิตสวรรค์สำหรับสำนักของเสียนจื่อคือกฎแห่งธรรมชาติ แต่สำหรับสำนักชวีกู่กลับตีความว่าบุตรชายแห่งสวรรค์คือผู้ปกครองใต้หล้า

ฉู่เจาเสี่ยนกำลังจมอยู่ในความคิด ทว่าซ่งชูอีกลับไม่ให้เวลานางได้พิจารณานานนัก “ข้ามิได้มาเพื่อเส้นทางแห่งคุณธรรม เสียนจื่อจะเห็นด้วยก็ดี คัดค้านก็ช่าง ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องรักษาอำนาจที่อยู่ในมือจึงจะสามารถสืบทอดสำนักม่อต่อไปได้มิใช่หรือ?”

“ท่านกล่าวได้ถูกต้อง” ฉู่เจาเสี่ยนได้ตัดสินใจในช่วงเวลาสั้นๆ นางสามารถประดิษฐ์หน้าไม้กลได้ นอกจากนี้ยังสามารถสร้างอาวุธทางทหารที่ทัดเทียมกับหน้าไม้กลได้ เพียงแต่ว่าสงครามนั้นอันตรายกว่า “ข้าต้องการเวลาหลายวัน”

ทว่าหน้าไม้กลโดยทั่วไปนั้น แม้จะเล็กเพียงใดก็ยังมีน้ำหนักอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หน้าไม้กลที่มีน้ำหนักเบานั้นไม่มี ฉู่เจาเสี่ยนจำต้องออกแบบใหม่ทั้งหมด

ซ่งชูอีพยักหน้า จากนั้นก็พูดคุยเรื่องที่จะช่วยเหลือสำนักม่อ “บัดนี้เสียนจื่อต้องการที่จะหลีกเลี่ยงการต่อสู้ วิธีที่ดีที่สุดก็คือละทิ้งทุกสาขาย่อย ตั้งสำนักต่างหาก”

“ใช่ว่าข้าไม่เคยคิดถึงข้อนี้ สำนักม่อของเราไม่ได้พึ่งพาเงินในการทำมาหากิน ทว่าหากเราสูญเสียฐานที่มั่นในนครใหญ่ๆ ก็จะกลายเป็นคนหูหนวกตาบอด ต่อให้ชวีกู่ไม่ฉวยโอกาสนี้เพื่อกดดันก็เกรงว่าจะต้องใช้เวลาหลายปีในการฟื้นตัว”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ 319 พบกับฉู่เจาเสี่ยน

Now you are reading กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ Chapter 319 พบกับฉู่เจาเสี่ยน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เช่นนั้นสิ่งนี้คือ…” กู่หานไม่เข้าใจ ตอนที่ซื้อสุราก็เห็นได้ชัดว่าพวกเขาขนขึ้นรถด้วยกัน

ซ่งชูอีสอดมือไว้ในแขนเสื้อ หันตัวมาเล็กน้อยพร้อมเอ่ยเสียงเบา “ข้าให้เถ้าแก่ผสมน้ำ ฮ่า ขนออกไปครึ่งหนึ่งเถิด”

“ขอรับ” ทุกคนรับคำสั่งแล้วเริ่มขนไหสุราลงมา

“ท่านขอรับ การที่พวกเราทำเช่นนี้จะไม่ทำให้ผู้ไม่ประสงค์ดีเจอเบาะแสหรือ? ตั้งแต่ออกมาจากนครเสียนหยางก็ดูเหมือนมีคนสะกดรอยตาม” กู่หานกล่าวด้วยความเป็นกังวล ชาวฉินไม่เคยแอบอ้างในการค้าขายเลย การผสมน้ำลงในสุราเช่นนี้ดึงดูดความสนใจได้ง่ายมาก

ซ่งชูอียิ้มน้อยๆ ก็เพราะว่านางต้องการให้ช่องโหว่ถูกเปิดโปง มิเช่นนั้นจะจับสายสืบได้อย่างไร? ไม่ว่าจะเป็นคำสั่งของใครก็ตาม ผู้ที่กล้าจับตาดูนางนั้นก็อย่าโทษว่านางใจร้ายก็แล้วกัน

“ไปเถิด” ซ่งชูอีโอบกระชับคอเสื้อ และเดินนำออกไปจากพงหญ้าก่อน

ในรถเหลือไหสุราเพียงครึ่งหนึ่ง การเดินทางจึงรวดเร็วขึ้นมาก

เมื่อถึงจุดเริ่มต้นของรุ่งอรุณ คณะเดินทางก็มาถึงสาขาของสำนักม่อที่กล่าวถึงในจดหมาย

มันตั้งอยู่ในเทือกเขาที่อยู่ไม่ไกลจากจุดพักม้าในดินแดนของรัฐเว่ย รอบด้านเป็นทุ่งหญ้าสีเขียวขจี ไม่มีวี่แววของผู้คน และมองไม่เห็นสิ่งปลูกสร้างใดๆ เลย

“ผู้มาเยือนคือใคร?” ไม่รู้ว่าเสียงคำถามนั้นดังขึ้นมาจากทิศทางไหนในทุ่งหญ้ารอบด้าน

มือของผู้อารักขาลับกดอยู่ที่ด้ามดาบแน่น

“เจ้าเป็นผู้ใด?” ซ่งชูอีถามกลับ

ทางนั้นเงียบงันไร้สุ้มเสียง เห็นได้ชัดว่าไม่คิดที่จะตอบ ซ่งชูอีครุ่นคิด บัดนี้นางไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร การรีบเปิดเผยสถานะของตัวเองไม่ใช่การกระทำที่ชาญฉลาดนัก ดังนั้นจึงเปล่งเสียงสูง “รักทุกคน ไม่โจมตีผู้อื่น ชื่นชมนักปราชญ์ คิดเยี่ยงผู้บริสุทธิ์ สวรรค์คือผู้ปกครองสูงสุด แยกแยะผีและเทพเจ้า ปฏิเสธโชคชะตา ปฏิเสธความอู้ฟู่ ปรนนิบัติตัวเอง ไม่กล้าขอความปรารถนา ข้ามาเพื่อช่วยใต้หล้า”

“ข้ารอท่านนานแล้ว” เสียงชัดเจนดังขึ้น มันคมชัดราวกับถ้ำที่น้ำลดระดับ

ทันใดนั้นคบไฟนับร้อยก็สว่างขึ้นในระยะสิบจั้งเบื้องหน้า มันกระจายตัวเป็นรูปครึ่งพัดคล้ายกำลังจะเข้ามาโอบล้อม หญิงสาวในวัยยี่สิบกว่าที่สวมชุดสีดำปกคอสีขาวคนหนึ่งเดินออกมาจากฝูงชนนั้น ผมดกดำถูกรวบขึ้นอย่างง่ายๆ ดูสะอาดสะอ้าน ใบหน้ามีขนาดเพียงหนึ่งฝ่ามือ คิ้วตาสดใส ดูตรงไปตรงมาไม่เหมือนเด็กสาวที่พบเห็นธรรมดาทั่วไป

ผู้หญิงคนนั้นประสานมือน้อยๆ ให้ซ่งชูอี “ท่านแขกเชิญตามข้ามา”

ซ่งชูอีประสานมือ ตามนางไปในตรอกลับเล็กๆ

“ข้ามีนามว่าม่ออวี้ อาจารย์อาบาดเจ็บที่ขา พวกข้าพยายามอย่างเต็มที่เพื่อห้ามไม่ให้นางมาพบท่าน อาจารย์อาท่านอื่นล้วนอายุมากแล้ว ไม่สะดวกเดินทางไกลจึงมิได้มาด้วย มีเพียงผู้น้อยเยี่ยงข้ามาต้อนรับ ได้โปรดท่านอย่าถือสา” เด็กสาวกล่าวพลางคำนับขอโทษซ่งชูอี

“ไม่ต้องมากพิธี ดูตามความเหมาะสมเถิด อีกอย่างข้าก็ไม่ใช่คนที่ใส่ใจเรื่องพิธีรีตองนัก” ซ่งชูอียกมือประคองนางลุกขึ้น

เด็กสาวนำสาวซ่งชูอีผ่านเส้นทางคดเคี้ยว หลังจากผ่านลำธารจากภูเขาแล้วก็เห็นแสงสว่างด้านหน้าทันใด ที่แท้ภูมิศาสตร์แห่งนี้เป็นรูปน้ำเต้า เทือกเขาด้านหน้ามีขนาดค่อนข้างใหญ่ และหลังจากผ่านเส้นทางสั้นๆ ไปก็จะเข้าสู่หุบเขาที่มีขนาดเล็กกว่า

แสงยามรุ่งอรุณส่องสลัว ในหุบเขานั้นเต็มไปด้วยหมอก มองไม่เห็นถนนโดยสิ้นเชิง ม่ออวี้นำทางซ่งชูอีไปยังที่พักบนภูเขาอย่างชำนาญ ซ่งชูอีเข้าไปทว่าผู้อารักขาลับกลับถูกกันอยู่นอกลาน

“นายท่าน!” กู่หานเอ่ยด้วยความตื่นตระหนก

ซ่งชูอีหันกลับมา “พวกเจ้ารออยู่ด้านนอก สำนักม่อแยกแยะถูกผิดชัดเจน ข้ามิใช่ผู้ก่อความวุ่นวายจะทำอะไรข้าได้? วางใจเถิด”

“วาจาของท่านช่างประเสริฐนัก” รอยยิ้มของม่ออวี้สดใส ตั้งแต่เข้ามาในลาน นางก็ไม่ได้ดูจริงจังเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว ในเวลานี้ทั้งคำพูดและพฤติกรรมดูห้าวหาญ “เชิญท่าน”

ซ่งชูอียิ้มพลางพยักหน้า ตามนางเข้าประตูรองไป จากนั้นก็ขึ้นบันไดอีกครั้งเพื่อไปยังศาลาไม้ไผ่ครึ่งทางบนภูเขา

กอไผ่ในสายหมอกบางดูโดดเดี่ยว สายธารภูเขาไหลคดเคี้ยวมาจากข้างศาลา ซ่งชูอีเห็นแผ่นหลังของผู้หญิงที่สวมชุดสีขาวปกคอสีดำพิงตัวอยู่ที่ราวในศาลา ผมดกดำถูกม้วนขึ้นครึ่งหนึ่งด้วยปิ่นไม้ไผ่ มีเตาอันหนึ่งวางอยู่ข้างมือ ไอน้ำภายในหม้อม้วนตัวขึ้นรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวกับสายหมอกนั้น

สายลมพัดผ่านดงไผ่ส่งเสียงกรอบแกรบ

ม่ออวี้ยกกำปั้นคำนับอยู่ใต้บันไดหิน “อาจารย์อา ท่านซ่งมาแล้ว”

หญิงสาวหันมายิ้มอย่างขอโทษ “ขาของข้าบาดเจ็บสาหัส ไม่สามารถยืนต้อนรับท่านซ่งได้ จึงได้เตรียมชาถ้วยหนึ่งเป็นการชดเชย หวังว่าท่านจะใจกว้างให้อภัย”

ซ่งชูอีสามารถมองเห็นหน้าของผู้หญิงคนนั้นอย่างชัดเจน นางรู้ว่าผู้นี้คือฉู่เจาเสี่ยน เสียนจื่อแห่งสำนักม่อผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือในหลายรัฐ รูปหน้าดุจไข่ห่าน ผิวพรรณขาวผ่อง คิ้วโค้งได้รูป หน้าผากอวบอิ่ม ดวงตาดุจดอกท้อดูเหมือนมีรอยยิ้มอยู่เสมอ หน้าตามีเสน่ห์ของผู้หญิงที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ก็มีความสดใสบริสุทธิ์ดุจสาววัยรุ่น ทั้งๆ ที่เป็นหญิงในวัยสี่สิบกว่าแล้วแต่ยังดูเหมือนอายุเพียงสามสิบกว่าปี

สิ่งที่ทำให้ซ่งชูอีคาดไม่ถึงก็คือ เสียนจื่อดูอ่อนโยนเหลือเกินแต่ก็ดูเหมือนผู้หญิงอารมณ์อ่อนไหว

ความคิดวูบผ่านไป ซ่งชูอีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นก็ต้องดูว่าชาของเสียนจื่อต้มได้ดีหรือไม่”

นางพูดพลางยกชายเสื้อก้าวขึ้นบันไดแล้วค้อมตัวเข้าศาลา สายตาจับจ้องอยู่ที่ขาของฉู่เจาเสี่ยน เอ่ยด้วยความประหลาดใจ “ขาของเสียนจื่อเป็นอะไรรึ?”

ดูแล้วก็ไม่เหมือนบาดเจ็บแต่ก็ไม่รู้สึกเหมือนมันอยู่บนที่นั่งด้วยซ้ำ แสดงว่าอาการร้ายแรงมาก

ฉู่เจาเสี่ยนกล่าวด้วยจิตใจสงบนิ่ง “สำนักข้าก่อเรื่องสกปรก ทำให้เกียรติยศแปดเปื้อน อย่ากล่าวถึงมันเลย เชิญนั่ง”

คำพูดนี้ก็พอที่จะทำให้ซ่งชูอีเดาภาพรวมได้ เกรงว่าเพราะสำนักของชวีกู้ตั้งใจจะควบคุมฉู่เจาเสี่ยนจึงใช้วิธีต่ำช้า ในเมื่อนางไม่เต็มใจที่จะกล่าวถึงมัน ซ่งชูอีก็จะไม่ขุดคุ้ย

“ท่านลองชิมชานี้ดูเถิด” ฉู่เจาเสี่ยนยื่นน้ำชาให้นางถ้วยหนึ่ง

หลังจากที่ซ่งชูอีรับมาก็ดมกลิ่นแล้วจิบคำหนึ่ง อดที่จะเอ่ยอุทานมิได้ “ที่นี่เงียบสงบและสง่างาม ชานี้ทั้งเบาและหวาน ช่างชวนให้รื่มรมย์จริงๆ”

ฉู่เจาเสี่ยนประสานมือเอ่ย “ทำให้ท่านต้องเดินทางไกล ลำบากแล้ว”

“เสียนจื่อเกรงใจแล้ว” ซ่งชูอีวางถ้วยชาลงเอ่ยว่า “ข้ากับเจ้าอี่โหลวเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตาย เมื่อเขาเป็นกังวล ข้าจะนิ่งดูดายได้อย่างไร? อย่างไรก็ดีแม้ว่าครั้งนี้จะมาเพื่อช่วยเหลือทว่าก็มีเรื่องจะขอร้องเช่นกัน”

“ท่านว่ามา” ฉู่เจาเสี่ยนกลับไม่ประหลาดใจเลย ต้องการจะช่วยเหลือสำนักม่อนั้นไม่ง่าย ซ่งชูอีเป็นนักวางกลยุทธ์ เป็นกุนซือ มิใช่ผู้กล้าหาญรักความยุติธรรม ดังนั้นการขอสิ่งตอบแทนจึงเป็นเรื่องที่อยู่ในความคาดหมายอยู่แล้ว

“ข้าต้องการทักษะเครื่องกลไลที่เหมือนกับสำนักม่อ” ซ่งชูอีเห็นว่าฉู่เจาเสี่ยนมีสีหน้าจริงจังจึงไม่อ้อมค้อมอีก หยิบแผนภาพออกมาจากแขนเสื้อโดยตรง “นี่เป็นสิ่งที่ข้าปะติดปะต่อมาจากซากธนูหน้าไม้ในขณะที่ข้าไปทัศนศึกษาที่นครหนึ่งในรัฐหลี่ว์ ข้าไม่เชี่ยวชาญเรื่องกลไล อย่างไรก็ตามหลังจากทุ่มเทค้นคว้าเป็นเวลาหลายปี ในที่สุดก็เขียนแผนภาพจนเสร็จสมบูรณ์”

ฉู่เจาเสี่ยนรับม้วนหนังแกะมา เมื่อเห็นแผนภาพหน้าไม้ที่วาดอยู่ด้านบนแล้ว สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากความสงบเป็นประหลาดใจ “ท่านไม่เชี่ยวชาญด้านกลไล แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีวิธีการแก้ปัญหาที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ ช่างน่าชื่นชมโดยแท้!”

ซ่งชูอีเลิกคิ้ว

ฉู่เจาเสี่ยนเห็นว่านางสงสัยจึงอธิบายว่า “แน่นอนว่ามีแผนภาพต้นฉบับ เพียงแต่มันไม่ละเอียดเท่าการออกแบบของท่าน”

ซากที่นางได้มาจากชาติก่อนเป็นเพียงรูปร่างโดยรวมเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ซ่งชูอีจึงอยู่ที่นั่นเป็นเวลาครึ่งปีเพื่อค้นหาซากอื่นๆ ผู้ที่มีฝีมือไม่สู้ผู้ที่มีความตั้งใจ แม้ว่านางจะปะติดปะต่อออกมาได้ทว่าก็ยังมีบางส่วนที่ขาดหายไป สิ่งนี้จึงกลายเป็นเพียงของตกแต่งเท่านั้น นางไม่เชี่ยวชาญด้านกลไก ทว่าในฐานะผู้ที่เข้าใจการทหาร อาวุธทางทหารจึงมิใช่เรื่องแปลกใหม่ หน้าไม้นี้มีขนาดเล็กและเบากว่าปกติมาก โครงสร้างก็ดูเหมือนละเอียดอ่อนยิ่ง ดังนั้นนางจึงลองผิดลองถูกเป็นเวลานานกว่าสี่ปีก่อนที่จะสามารถใช้งานมันได้ วันนี้ถึงได้รู้ว่าที่แท้มันละเอียดกว่าตัวต้นฉบับด้วยซ้ำ

“ในเมื่อมีธนูหน้าไม้แล้ว ท่านยังต้องการอะไรอีก?” สีหน้าของฉู่เจาเสี่ยนดีกว่าเมื่อครู่มาก ดวงตาก็สดใสดขึ้น เห็นได้ชัดว่ามีความคลั่งไคล้ต่อเครื่องกลไกมาก

“ข้าต้องการประดิษฐ์หน้าไม้กลจากโครงสร้างนี้” ซ่งชูอีเอ่ย

“เรื่องนี้…” คิ้วของฉู่เจาเสี่ยนผูกกัน “หน้าไม้แข็งนี้เป็นหน้าไม้ที่ดีที่สุดในตอนนั้นแล้ว หากหัวลูกศรมีประสิทธิภาพ ก็สามารถยิงทะลุเสื้อเกราะธรรมดาได้ในระยะแปดร้อยก้าว บัดนี้พลังของมันเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวจากการดัดแปลงของท่าน แม้แต่หน้าไม้แข็งของรัฐฉินซึ่งบัดนี้เรียกได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดก็ยังด้อยกว่าด้วยซ้ำ ท่านยังต้องการจะประดิษฐ์หน้าไม้กลอีก มันไม่โลภไปหน่อยหรือ?”

ซ่งชูอีกลับไม่สนใจคำพูดขวานผ่าซากเช่นนี้ “หากไม่โลภ จะมีโลกอย่างปัจจุบันได้อย่างไร?”

“ข้าจำได้ ว่าเคยเห็นแผนภาพซากเครื่องยิงธนูในมือของคนในสำนักชวีกู่ คิดว่าท่านคงจะเป็นคนวาดกระมัง?” ในเวลานี้ฉู่เจาเสี่ยนทั้งชื่นชมทั้งรังเกียจซ่งชูอี ชื่นชมที่นางสามารถปะติดปะต่อโครงสร้างของอาวุธทั้งสองจากซากปรักหักพังได้ รังเกียจที่นางละโมบโลภมากไม่มีที่สิ้นสุด เริ่มจากการจงใจใช้ประโยชน์จากการเชื่อมโยงโดยตรงของรัฐฉินและชวีกู่เพื่อหลอกเอาแผนภาพของเครื่องยิงธนู บัดนี้ก็ยังจะอยากสร้างหน้าไม้กลน้ำหนักเบาอีก!

“สำนักม่อต้องการขจัดความรุนแรงและระงับความโกลาหล ทุกคนใต้หล้าต่างรู้ดี” ซ่งชูอียิ้มอย่างคลุมเครือ “ทว่าที่ใดก็ตามที่มีคนอยู่ก็ไม่สามารถกำจัดความปรารถนาได้และข้อพิพาทก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้แต่ภายในสำนักม่อของพวกท่านเองก็ค่อยๆ แบ่งออกเป็นหลายสำนัก นับประสาอะไรกับรัฐต่างๆ ใต้หล้าเล่า? สำนักม่อกล่าวถึงการรักทุกคน ไม่โจมตีผู้อื่น พยายามอย่างเต็มที่เพื่อแสวงหาสันติสุข อย่างไรก็ดีบัดนี้เสียนจื่อไม่รู้สึกว่าสันติสุขแห่งใต้หล้านั้นพร่ามัวยิ่งขึ้นทุกทีหรือ?”

การรักทุกคนนั้นหมายถึงภราดรภาพ ปฏิบัติต่อคนแปลกหน้าคนอื่นๆ เช่นเดียวกันที่ปฏิบัติต่อคนรัก; ไม่โจมตีผู้อื่นหมายถึงการต่อต้านสงครามแห่งการรุกราน

บัดนี้ประเพณีทางสังคมได้พังทลายลงอย่างสมบูรณ์ ใต้หล้าตกอยู่ในความวุ่นวาย ผู้คนขับเคลื่อนด้วยผลกำไร จะมีใครมาเชื่อฟังเรื่องภราดรภาพหรือสันติภาพเล่า?

ฉู่เจาเสี่ยนเงียบไปครู่หนึ่ง นี่เป็นความจริงที่โหดร้าย สำนักม่อก็เกิดการแบ่งแยกภายในเพราะสาเหตุนี้

“ใต้หล้าวุ่นวายตั้งแต่แรกเริ่ม แบ่งแยกออกเป็นเก้าโจว มีสงครามทั่วทุกแห่ง จนกระทั่งช่วงอินซาง ราชวงศ์โจวถูกกดขี่ข่มเหงมาหลายชั่วอายุคน โจวก็แตกออกรัฐจูโหวกว่าร้อยรัฐ ในระยะเวลาแห่งความวุ่นวายนี้เจ็ดวีรบุรุษก็ลุกขึ้น เสียนจื่อไม่อยากเห็นใต้หล้ากลับมาเป็นหนึ่งเดียวหรือ? เส้นทางแห่งสวรรค์นั้นวนเวียนเป็นวงกลม! สำนักม่อก็กล่าวว่าสวรรค์เป็นผู้ปกครองสูงสุด นี่มิใช่ลิขิตสวรรค์หรอกหรือ?” ซ่งชูอีถาม

ลิขิตสวรรค์สำหรับสำนักของเสียนจื่อคือกฎแห่งธรรมชาติ แต่สำหรับสำนักชวีกู่กลับตีความว่าบุตรชายแห่งสวรรค์คือผู้ปกครองใต้หล้า

ฉู่เจาเสี่ยนกำลังจมอยู่ในความคิด ทว่าซ่งชูอีกลับไม่ให้เวลานางได้พิจารณานานนัก “ข้ามิได้มาเพื่อเส้นทางแห่งคุณธรรม เสียนจื่อจะเห็นด้วยก็ดี คัดค้านก็ช่าง ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องรักษาอำนาจที่อยู่ในมือจึงจะสามารถสืบทอดสำนักม่อต่อไปได้มิใช่หรือ?”

“ท่านกล่าวได้ถูกต้อง” ฉู่เจาเสี่ยนได้ตัดสินใจในช่วงเวลาสั้นๆ นางสามารถประดิษฐ์หน้าไม้กลได้ นอกจากนี้ยังสามารถสร้างอาวุธทางทหารที่ทัดเทียมกับหน้าไม้กลได้ เพียงแต่ว่าสงครามนั้นอันตรายกว่า “ข้าต้องการเวลาหลายวัน”

ทว่าหน้าไม้กลโดยทั่วไปนั้น แม้จะเล็กเพียงใดก็ยังมีน้ำหนักอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หน้าไม้กลที่มีน้ำหนักเบานั้นไม่มี ฉู่เจาเสี่ยนจำต้องออกแบบใหม่ทั้งหมด

ซ่งชูอีพยักหน้า จากนั้นก็พูดคุยเรื่องที่จะช่วยเหลือสำนักม่อ “บัดนี้เสียนจื่อต้องการที่จะหลีกเลี่ยงการต่อสู้ วิธีที่ดีที่สุดก็คือละทิ้งทุกสาขาย่อย ตั้งสำนักต่างหาก”

“ใช่ว่าข้าไม่เคยคิดถึงข้อนี้ สำนักม่อของเราไม่ได้พึ่งพาเงินในการทำมาหากิน ทว่าหากเราสูญเสียฐานที่มั่นในนครใหญ่ๆ ก็จะกลายเป็นคนหูหนวกตาบอด ต่อให้ชวีกู่ไม่ฉวยโอกาสนี้เพื่อกดดันก็เกรงว่าจะต้องใช้เวลาหลายปีในการฟื้นตัว”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+