กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ 335 องค์ชายอิ๋งตั้งแห่งฉิน

Now you are reading กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ Chapter 335 องค์ชายอิ๋งตั้งแห่งฉิน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“บรรดาขุนนาง?” น้ำเสียงของอิ๋งซื่อเบามาก มันเจือปนความแหบแห้งเล็กน้อยทว่ากลับมีพลังข่มขู่ผู้คน “ผู้หญิงของข้าอิ๋งซื่อให้คนอื่นมาบงการตั้งแต่เมื่อใดกัน? ทำไม ท่านมหาเสนาบดีฝ่ายขวาก็สนับสนุนการปลดหวังโฮ่วเช่นนั้นรึ?”

ชูหลี่จี๋ค้อมตัวเล็กน้อย เอ่ยว่า “จะปลดหรือไม่ปลดหวังโฮ่วนั้นไม่ได้ส่งกระทบต่อการปกครอง กระหม่อมเพียงรู้สึกว่าควรทูลเรื่องนี้ให้ฝ่าบาทรับทราบ”

ท้ายที่สุดนี่ไม่ใช่สิ่งที่ชูหลี่จี๋จะสามารถจัดการได้เป็นการส่วนตัว อีกทั้งการที่ชาวเว่ยขุดสุสานของจวินองค์ก่อน นั่นมิได้เป็นเพียงบิดาของอิ๋งซื่อเพียงผู้เดียวแต่ยังเป็นบิดาของชูหลี่จี๋อีกด้วย เหตุผลที่เขารายงานเรื่องนี้ต่อหน้าอิ๋งซื่อก็เป็นเพราะว่ารู้สึกต่อต้านชาวเว่ยเป็นอย่างมาก

“เหตุผล” อิ๋งซื่อเอ่ย

ชูหลี่จี๋เอ่ยว่า “ชาวเว่ยทำผิดต่อสุสานจวินองค์ก่อน องค์หญิงเว่ยเป็นหวังโฮ่วของต้าฉินเราเท่ากับเป็นการดูหมิ่น

จวินองค์ก่อน”

“หรือว่าคิดที่จะฆ่าองค์รัชทายาทเหมือนกัน?” อิ๋งซื่อดูเหมือนจะจริงจังในการขอความเห็นจากเขาเป็นอย่างมาก

ทว่าคนที่นั่งอยู่สามคนต่างรู้ว่าบัดนี้เขาโมโหมาก

อย่างไรก็ดีทั้งจางอี๋และซ่งชูอีล้วนไม่ใช่ชาวฉิน ไม่มีจุดยืนที่จะวิพากษ์วิจารณ์กิจการครอบครัวของกษัตริย์

“กระหม่อมโง่เขลา ท่านอ๋องได้โปรดอธิบาย” ชูหลี่จี๋แสร้งทำเป็นโง่ ถึงอย่างไรเขาไม่มีท่าทีเห็นด้วยหรือต่อต้านการปลดหวังโฮ่วอยู่แล้ว

อิ๋งซื่อละสายตากลับมา เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “จะสู่ขอหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับพวกเขา ทว่าในเมื่อเว่ยหว่านแต่งเข้ามาอยู่ในรัฐฉินแล้วก็เท่ากับเป็นผู้หญิงของรัฐฉิน และก็เป็นผู้หญิงของข้าอิ๋งซื่อ ไม่ใช่องค์หญิงเว่ยอะไรนั่น! หากพวกเขาเอาความพยายามในการทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งลำบากใจไปลงกับการเมือง ใยจะต้องกังวลว่ารัฐฉินอ่อนแอ? ใยจะต้องกังวลว่าแค้นนี้จะไม่ได้รับการชำระ!”

อิ๋งซื่อไม่เคยโหยหาความรัก การแต่งงานครั้งนี้ล้วนเป็นเหตุผลทางการเมืองทั้งสิ้น อย่างไรก็ดีตอนที่ช่วยเว่ยหว่านขึ้นมาจากหิมะ นางทั้งตกใจและทำอะไรไม่ถูก แต่กลับสงบสติอารมณ์ได้และพูดว่า “ได้โปรดช่วยน้องสาวข้า” ไม่หยุด ความเมตตาและการได้รับการปลูกฝังเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้คู่ควรกับตำแหน่งกั๋วโฮ่ว สามารถติดตามเขาไปชั่วชีวิต

พูดได้ว่าในขณะนั้นเองเขาก็เคยมีความหวังริบหรี่ในการแต่งงานทางการเมืองครั้งนี้

ต่อมาเว่ยหว่านค่อยๆ สูญเสียการแยกแยะ และยิ่งเสียความสง่างามขึ้นไปทุกที เขาอยู่ข้างนอกดังนั้นจึงสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงในความรู้สึกของนางได้อย่างชัดเจน แม้ว่านางจะทำสิ่งต่างๆ มากมายเกินกว่าที่เขาจะอนุญาตแต่เขาก็ไม่เคยสืบสาวมันอย่างลึกซึ้ง

ด้วยนิสัยของอิ๋งซื่อ ตราบใดที่เว่ยหว่านไม่ได้ก่อเรื่องเกินกว่าที่เขาจะสามารถยอมรับได้ ตำแหน่งหวังโฮ่วของนางก็จะยังมั่นคง

ทั้งหมดนี้เพียงเพราะนางเป็นผู้หญิงที่เขาเคยเชื่ออย่างหนักแน่นและเป็นพระชายาของเขา

ในฐานะองค์จวินของบ้านเมือง เขาจำเป็นต้องเสียสละเรื่องส่วนตัวเพื่อส่วนรวมของรัฐแต่เขาจะไม่สูญเสียความรับผิดชอบที่ผู้ชายควรมี ในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง หากไม่มีความสามารถแม้กระทั่งปกป้องภรรยาของตัวเองได้ จะพูดเรื่องอุดมคติและความทะเยอทะยานได้อย่างไร?

ชูหลี่จี๋ก็ค่อยๆ เข้าใจอุปนิสัยของเขาทีละน้อย ในฐานะผู้หญิงของเขา ขอเพียงไม่หาเรื่องใส่ตัว เขาก็จะไม่อนุญาตให้ผู้อื่นทำร้ายนางแม้แต่ปลายผม

ผลลัพธ์นี้อยู่ในความคาดหมายอยู่แล้ว ชูหลี่จี๋ไม่ยินดียินร้าย “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเข้าใจแล้ว”

ในเมื่อบัดนี้อิ๋งซื่อเอ่ยปากออกมาแล้ว เขาก็ต้องยับยั้งเรื่องนี้ มิฉะนั้นเขาก็ไร้ความสามารถในฐานะมหาเสนาบดีฝ่ายขวาเช่นกัน

“ทว่า” ชูหลี่จี๋เปิดการสนทนา “ฝูงชนตื่นตระหนก หากไม่ให้คำอธิบายเกรงว่าจะยากที่จะปลอบโยนประชาชนได้ จะปลดหวังโฮ่วหรือไม่นั้นเป็นเรื่องรอง ทว่าองค์รัชทายาทเป็นอนาคตของต้าฉินเรา นี่คือต้นตอของความกังวลของเหล่าขุนนาง”

ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไม่อาจเปลี่ยนความจริงที่ว่าเว่ยหว่านเป็นองค์หญิงแห่งรัฐเว่ยได้! ทว่าหวังโฮ่วเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ว่าชาวฉินทนผู้หญิงคนหนึ่งไม่ได้ ทว่าการปล่อยให้หญิงชาวเว่ยอบรมสั่งสอนองค์รัชทายาทต่างหากที่ทำให้พวกเขาทนไม่ได้! องค์รัชทายาทเป็นผู้สูงศักดิ์ ไม่สามารถปล่อยให้ผู้หญิงต่ำต้อยคนหนึ่งเลี้ยงดูได้ ดังนั้นเหล่าเหล่าขุนนางจึงคิดที่จะปลดหวังโฮ่ว

อาศัยตอนที่องค์รัชทายาทยังเด็ก แยกบุตรและมารดาออกจากกันคือวิธีที่ดีที่สุดแล้ว

“นับตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป กว่าเหรินจะสอนองค์ชายตั้งด้วยตัวเอง”

อิ๋งซื่อตั้งความหวังไว้กับลูกชายคนแรกสูงมาก หวังว่าจะสามารถสืบทอดความทะเยอทะยานของเขาได้ ดังนั้นจึงตั้งชื่อว่าตั้ง ซึ่งมีความหมายในการทำให้จงหยวนสงบลง

ซ่งชูอีขมวดคิ้ว กลับเอ่ยว่า “ฝ่าบาททรงหนักเพื่อกิจการของรัฐ จะแบ่งใจไปดูแลองค์ชายที่อยู่ในวัยเยาว์ได้อย่างไร? ฝ่าบาทได้โปรดพิจารณา”

“กั๋วเว่ยกล่าวได้ถูกต้อง” จางอี๋เอ่ย

“ทำเช่นนี้ไปก่อนเถิด” เดิมทีอิ๋งซื่อตั้งใจที่จะสอนองค์ชายตั้งด้วยตัวเอง บัดนี้การเลี้ยงดูเด็กน้อยวัยสามขวบด้วยตัวเองนั้นเป็นเรื่องยาก ทว่าโชคดีที่มีแม่นม ไม่จำเป็นต้องอยู่ข้างกายเขาตลอดเวลา

“ฝ่าบาท หวังโฮ่วสั่งให้แม่นมพาองค์ชายมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเถากล่าวอยู่หน้าประตู

ไม่กี่คนที่อยู่ในห้องมีความคิดที่แตกต่างกัน อิ๋งซื่อคิดว่าเว่ยหว่านจัดการเรื่องนี้ได้น่าพอใจยิ่ง นางมิได้ร้องไห้และเถียงกับเขา ในทางตรงข้ามกลับหาเวลาส่งโอรสเข้ามาเอง การทำเช่นนี้มีความเป็นกั๋วโฮ่วมาก

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คนอื่นก็ไม่อาจกล่าวอะไรได้อีก ทำได้เพียงระงับเรื่องนี้ไว้ก่อน

“พอดีเลย พวกเจ้าจะได้พบกับองค์ชายด้วย” อิ๋งซื่อพูดจบก็เปล่งเสียงดัง “เข้ามา”

เสียงแอ๊ดดังขึ้น ประตูบานพับเปิดออก สาวใช้อายุประมาณยี่สิบอุ้มเด็กน้อยคนหนึ่งเข้ามา

ซ่งชูอีถูกเด็กคนนั้นดึงดูดสายตาทันที ตัวเขาถูกห่อด้วยขนจิ้งจอกหนาราวกับลูกสุนัขจิ้งจอกตัวนุ่มนิ่ม มีเพียงใบหน้าขาวนวลโผล่ออกมาให้เห็นเท่านั้น ดวงตากลมโตที่เหมือนองุ่นม่วงนั้นดูไม่เหมือนอิ๋งซื่อเลย ระหว่างจมูกและปากคล้ายผู้เป็นบิดาเล็กน้อย ทว่าเจ้าตัวเล็กที่นุ่มนวลเช่นนี้ทำให้ยากที่จะเชื่อมโยงกับการอิ๋งซื่อผู้แข็งกร้าวและเยือกเย็น

เขาก็ไม่กลัวคนแปลกหน้า ดวงตาดำขลับนั้นหมุนไปรอบห้องแล้วหยุดอยู่ที่อิ๋งซื่อ จากนั้นก็เรียกออกมาด้วยความไร้เดียงสา “เสด็จพ่อ”

“วางเขาลง” อิ๋งซื่อเอ่ย

แม่นมอาศัยอยู่ในวังหลังตลอดเวลา ไม่เคยพบกับขุนนางใหญ่มาก่อน หลังจากได้ยินคำสั่งแล้วก็นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนที่จะวางหนูน้อยลงบนพื้นด้วยความตื่นตระหนก

ซ่งชูอีเห็นว่าทันทีที่เด็กน้อยคนนั้นเท้าแตะพื้นก็คว่ำขาสั้นๆ สองข้างแล้วรีบวิ่งไปหาอิ๋งซื่อ ร่างกายที่ถูกขนสุนัขจิ้งจอกพันจนกลมดิ๊กก็เหมือนกับลูกหิมะ น่ารักเป็นที่สุด

ฉากนี้ทำให้นางรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเจ็บปวดฉับพลัน แม้กระทั่งหายใจไม่ออก

อิ๋งซื่อยืนมือออกไปโอบเขา วางลงบนตักแล้วเอ่ยกับเขาว่า “มา พ่อจะแนะนำคนให้เจ้ารู้จัก”

อิ๋งตั้งเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ มองไปยังทุกคนตามมือของอิ๋งซื่อ “นี่คือมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายจางอี๋ นั่นคือมหาเสนาบดีของเจ้าชูหลี่จี๋และเป็นเสด็จอาของเจ้าด้วย ท่านนี้คือกั๋วเว่ยซ่งหวยจิน จำได้รึไม่?”

อิ๋งตั้งพยักหน้า

“ไปความเคารพสิ” อิ๋งซื่อวางเขาลง

เขาเดินโงนเงนไปยังจางอี๋ ยื่นมืออ้วนกลมออกมา กำหมัดเป็นลูกหมั่นโถวน้อยๆ เอ่ยด้วยคำพูดที่ไม่ชัดถ้อยชัดคำ “ตั้งเอ๋อร์คำนับท่านเสนาบดีฝ่ายซ้าย”

“องค์ชายทรงพระปรีชานัก!” จางอี๋เห็นว่าอิ๋งตั้งยังไม่ครบสามขวบดีก็รู้จักมารยาทแล้ว คำนับกลับด้วยความประหลาดใจ รีบลุกขึ้นประคองเขาขึ้นมาด้วยสองมือ

หลังจากอิ๋งตั้งคำนับแล้ว ก็หันมาทางชูลี่จี๋ “ตั้งเอ๋อร์คำนับเสด็จอาเสนาบดีฝ่ายขวา”

“ฮ่าๆๆ!”

คำพูดของเด็กน้อยทำให้ทุกคนหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง

ชูหลี่จี๋คำนับกลับก่อนที่จะยื่นมือประคองเขา

อิ๋งตั้งเห็นว่าทุกคนหัวเราะก็ยิ้มกว้างอย่างมีความสุข เมื่อหมุนตัวเท้าก็เหยียบเสื้อคลุมขนของตัวเอง ล้มลงบนกับพื้นเสียงดังโครมคราม

เขาสวมชุดหนามากจึงไม่เจ็บเลย ทว่าเพราะสวมเสื้อหนาเกินไปจึงกลิ้งอยู่บนพื้นหลายรอบ ลุกขึ้นมาไม่ได้เสียที

อิ๋งซื่อไม่มีคำสั่ง แม่นมก็ไม่กล้าขยับ อิ๋งตั้งเม้มริมฝีปากน้อยๆ ร้องฮึดฮัดอยู่เป็นเวลานาน จนกระทั่งเมื่อเขากำลังจะแหกปากร้องไห้ มือคู่หนึ่งก็ดึงเขาขึ้นมาจากพื้น

อิ๋งตั้งเงยหน้าขึ้นก็พบกับสายตาที่สงบนิ่งและอ่อนโยนคู่หนึ่ง สูดหายใจฟึดฟัด ดึงแขนเสื้อของนางและร้องไห้เสียงดัง

ซ่งชูอีหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตาให้เขา ช่วยเขาจัดผมเผ้าและเสื้อผ้าให้เรียบร้อย กุมมือที่นุ่มนิ่มของเขา แววตาเจือปนรอยยิ้มจางๆ มีสั่นเครือเล็กน้อยในน้ำเสียงจนแทบไม่สังเกตเห็น “กั๋วเว่ยซ่งหวยจิน คำนับองค์ชาย”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ 335 องค์ชายอิ๋งตั้งแห่งฉิน

Now you are reading กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ Chapter 335 องค์ชายอิ๋งตั้งแห่งฉิน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“บรรดาขุนนาง?” น้ำเสียงของอิ๋งซื่อเบามาก มันเจือปนความแหบแห้งเล็กน้อยทว่ากลับมีพลังข่มขู่ผู้คน “ผู้หญิงของข้าอิ๋งซื่อให้คนอื่นมาบงการตั้งแต่เมื่อใดกัน? ทำไม ท่านมหาเสนาบดีฝ่ายขวาก็สนับสนุนการปลดหวังโฮ่วเช่นนั้นรึ?”

ชูหลี่จี๋ค้อมตัวเล็กน้อย เอ่ยว่า “จะปลดหรือไม่ปลดหวังโฮ่วนั้นไม่ได้ส่งกระทบต่อการปกครอง กระหม่อมเพียงรู้สึกว่าควรทูลเรื่องนี้ให้ฝ่าบาทรับทราบ”

ท้ายที่สุดนี่ไม่ใช่สิ่งที่ชูหลี่จี๋จะสามารถจัดการได้เป็นการส่วนตัว อีกทั้งการที่ชาวเว่ยขุดสุสานของจวินองค์ก่อน นั่นมิได้เป็นเพียงบิดาของอิ๋งซื่อเพียงผู้เดียวแต่ยังเป็นบิดาของชูหลี่จี๋อีกด้วย เหตุผลที่เขารายงานเรื่องนี้ต่อหน้าอิ๋งซื่อก็เป็นเพราะว่ารู้สึกต่อต้านชาวเว่ยเป็นอย่างมาก

“เหตุผล” อิ๋งซื่อเอ่ย

ชูหลี่จี๋เอ่ยว่า “ชาวเว่ยทำผิดต่อสุสานจวินองค์ก่อน องค์หญิงเว่ยเป็นหวังโฮ่วของต้าฉินเราเท่ากับเป็นการดูหมิ่น

จวินองค์ก่อน”

“หรือว่าคิดที่จะฆ่าองค์รัชทายาทเหมือนกัน?” อิ๋งซื่อดูเหมือนจะจริงจังในการขอความเห็นจากเขาเป็นอย่างมาก

ทว่าคนที่นั่งอยู่สามคนต่างรู้ว่าบัดนี้เขาโมโหมาก

อย่างไรก็ดีทั้งจางอี๋และซ่งชูอีล้วนไม่ใช่ชาวฉิน ไม่มีจุดยืนที่จะวิพากษ์วิจารณ์กิจการครอบครัวของกษัตริย์

“กระหม่อมโง่เขลา ท่านอ๋องได้โปรดอธิบาย” ชูหลี่จี๋แสร้งทำเป็นโง่ ถึงอย่างไรเขาไม่มีท่าทีเห็นด้วยหรือต่อต้านการปลดหวังโฮ่วอยู่แล้ว

อิ๋งซื่อละสายตากลับมา เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “จะสู่ขอหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับพวกเขา ทว่าในเมื่อเว่ยหว่านแต่งเข้ามาอยู่ในรัฐฉินแล้วก็เท่ากับเป็นผู้หญิงของรัฐฉิน และก็เป็นผู้หญิงของข้าอิ๋งซื่อ ไม่ใช่องค์หญิงเว่ยอะไรนั่น! หากพวกเขาเอาความพยายามในการทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งลำบากใจไปลงกับการเมือง ใยจะต้องกังวลว่ารัฐฉินอ่อนแอ? ใยจะต้องกังวลว่าแค้นนี้จะไม่ได้รับการชำระ!”

อิ๋งซื่อไม่เคยโหยหาความรัก การแต่งงานครั้งนี้ล้วนเป็นเหตุผลทางการเมืองทั้งสิ้น อย่างไรก็ดีตอนที่ช่วยเว่ยหว่านขึ้นมาจากหิมะ นางทั้งตกใจและทำอะไรไม่ถูก แต่กลับสงบสติอารมณ์ได้และพูดว่า “ได้โปรดช่วยน้องสาวข้า” ไม่หยุด ความเมตตาและการได้รับการปลูกฝังเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้คู่ควรกับตำแหน่งกั๋วโฮ่ว สามารถติดตามเขาไปชั่วชีวิต

พูดได้ว่าในขณะนั้นเองเขาก็เคยมีความหวังริบหรี่ในการแต่งงานทางการเมืองครั้งนี้

ต่อมาเว่ยหว่านค่อยๆ สูญเสียการแยกแยะ และยิ่งเสียความสง่างามขึ้นไปทุกที เขาอยู่ข้างนอกดังนั้นจึงสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงในความรู้สึกของนางได้อย่างชัดเจน แม้ว่านางจะทำสิ่งต่างๆ มากมายเกินกว่าที่เขาจะอนุญาตแต่เขาก็ไม่เคยสืบสาวมันอย่างลึกซึ้ง

ด้วยนิสัยของอิ๋งซื่อ ตราบใดที่เว่ยหว่านไม่ได้ก่อเรื่องเกินกว่าที่เขาจะสามารถยอมรับได้ ตำแหน่งหวังโฮ่วของนางก็จะยังมั่นคง

ทั้งหมดนี้เพียงเพราะนางเป็นผู้หญิงที่เขาเคยเชื่ออย่างหนักแน่นและเป็นพระชายาของเขา

ในฐานะองค์จวินของบ้านเมือง เขาจำเป็นต้องเสียสละเรื่องส่วนตัวเพื่อส่วนรวมของรัฐแต่เขาจะไม่สูญเสียความรับผิดชอบที่ผู้ชายควรมี ในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง หากไม่มีความสามารถแม้กระทั่งปกป้องภรรยาของตัวเองได้ จะพูดเรื่องอุดมคติและความทะเยอทะยานได้อย่างไร?

ชูหลี่จี๋ก็ค่อยๆ เข้าใจอุปนิสัยของเขาทีละน้อย ในฐานะผู้หญิงของเขา ขอเพียงไม่หาเรื่องใส่ตัว เขาก็จะไม่อนุญาตให้ผู้อื่นทำร้ายนางแม้แต่ปลายผม

ผลลัพธ์นี้อยู่ในความคาดหมายอยู่แล้ว ชูหลี่จี๋ไม่ยินดียินร้าย “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเข้าใจแล้ว”

ในเมื่อบัดนี้อิ๋งซื่อเอ่ยปากออกมาแล้ว เขาก็ต้องยับยั้งเรื่องนี้ มิฉะนั้นเขาก็ไร้ความสามารถในฐานะมหาเสนาบดีฝ่ายขวาเช่นกัน

“ทว่า” ชูหลี่จี๋เปิดการสนทนา “ฝูงชนตื่นตระหนก หากไม่ให้คำอธิบายเกรงว่าจะยากที่จะปลอบโยนประชาชนได้ จะปลดหวังโฮ่วหรือไม่นั้นเป็นเรื่องรอง ทว่าองค์รัชทายาทเป็นอนาคตของต้าฉินเรา นี่คือต้นตอของความกังวลของเหล่าขุนนาง”

ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไม่อาจเปลี่ยนความจริงที่ว่าเว่ยหว่านเป็นองค์หญิงแห่งรัฐเว่ยได้! ทว่าหวังโฮ่วเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ว่าชาวฉินทนผู้หญิงคนหนึ่งไม่ได้ ทว่าการปล่อยให้หญิงชาวเว่ยอบรมสั่งสอนองค์รัชทายาทต่างหากที่ทำให้พวกเขาทนไม่ได้! องค์รัชทายาทเป็นผู้สูงศักดิ์ ไม่สามารถปล่อยให้ผู้หญิงต่ำต้อยคนหนึ่งเลี้ยงดูได้ ดังนั้นเหล่าเหล่าขุนนางจึงคิดที่จะปลดหวังโฮ่ว

อาศัยตอนที่องค์รัชทายาทยังเด็ก แยกบุตรและมารดาออกจากกันคือวิธีที่ดีที่สุดแล้ว

“นับตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป กว่าเหรินจะสอนองค์ชายตั้งด้วยตัวเอง”

อิ๋งซื่อตั้งความหวังไว้กับลูกชายคนแรกสูงมาก หวังว่าจะสามารถสืบทอดความทะเยอทะยานของเขาได้ ดังนั้นจึงตั้งชื่อว่าตั้ง ซึ่งมีความหมายในการทำให้จงหยวนสงบลง

ซ่งชูอีขมวดคิ้ว กลับเอ่ยว่า “ฝ่าบาททรงหนักเพื่อกิจการของรัฐ จะแบ่งใจไปดูแลองค์ชายที่อยู่ในวัยเยาว์ได้อย่างไร? ฝ่าบาทได้โปรดพิจารณา”

“กั๋วเว่ยกล่าวได้ถูกต้อง” จางอี๋เอ่ย

“ทำเช่นนี้ไปก่อนเถิด” เดิมทีอิ๋งซื่อตั้งใจที่จะสอนองค์ชายตั้งด้วยตัวเอง บัดนี้การเลี้ยงดูเด็กน้อยวัยสามขวบด้วยตัวเองนั้นเป็นเรื่องยาก ทว่าโชคดีที่มีแม่นม ไม่จำเป็นต้องอยู่ข้างกายเขาตลอดเวลา

“ฝ่าบาท หวังโฮ่วสั่งให้แม่นมพาองค์ชายมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเถากล่าวอยู่หน้าประตู

ไม่กี่คนที่อยู่ในห้องมีความคิดที่แตกต่างกัน อิ๋งซื่อคิดว่าเว่ยหว่านจัดการเรื่องนี้ได้น่าพอใจยิ่ง นางมิได้ร้องไห้และเถียงกับเขา ในทางตรงข้ามกลับหาเวลาส่งโอรสเข้ามาเอง การทำเช่นนี้มีความเป็นกั๋วโฮ่วมาก

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คนอื่นก็ไม่อาจกล่าวอะไรได้อีก ทำได้เพียงระงับเรื่องนี้ไว้ก่อน

“พอดีเลย พวกเจ้าจะได้พบกับองค์ชายด้วย” อิ๋งซื่อพูดจบก็เปล่งเสียงดัง “เข้ามา”

เสียงแอ๊ดดังขึ้น ประตูบานพับเปิดออก สาวใช้อายุประมาณยี่สิบอุ้มเด็กน้อยคนหนึ่งเข้ามา

ซ่งชูอีถูกเด็กคนนั้นดึงดูดสายตาทันที ตัวเขาถูกห่อด้วยขนจิ้งจอกหนาราวกับลูกสุนัขจิ้งจอกตัวนุ่มนิ่ม มีเพียงใบหน้าขาวนวลโผล่ออกมาให้เห็นเท่านั้น ดวงตากลมโตที่เหมือนองุ่นม่วงนั้นดูไม่เหมือนอิ๋งซื่อเลย ระหว่างจมูกและปากคล้ายผู้เป็นบิดาเล็กน้อย ทว่าเจ้าตัวเล็กที่นุ่มนวลเช่นนี้ทำให้ยากที่จะเชื่อมโยงกับการอิ๋งซื่อผู้แข็งกร้าวและเยือกเย็น

เขาก็ไม่กลัวคนแปลกหน้า ดวงตาดำขลับนั้นหมุนไปรอบห้องแล้วหยุดอยู่ที่อิ๋งซื่อ จากนั้นก็เรียกออกมาด้วยความไร้เดียงสา “เสด็จพ่อ”

“วางเขาลง” อิ๋งซื่อเอ่ย

แม่นมอาศัยอยู่ในวังหลังตลอดเวลา ไม่เคยพบกับขุนนางใหญ่มาก่อน หลังจากได้ยินคำสั่งแล้วก็นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนที่จะวางหนูน้อยลงบนพื้นด้วยความตื่นตระหนก

ซ่งชูอีเห็นว่าทันทีที่เด็กน้อยคนนั้นเท้าแตะพื้นก็คว่ำขาสั้นๆ สองข้างแล้วรีบวิ่งไปหาอิ๋งซื่อ ร่างกายที่ถูกขนสุนัขจิ้งจอกพันจนกลมดิ๊กก็เหมือนกับลูกหิมะ น่ารักเป็นที่สุด

ฉากนี้ทำให้นางรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเจ็บปวดฉับพลัน แม้กระทั่งหายใจไม่ออก

อิ๋งซื่อยืนมือออกไปโอบเขา วางลงบนตักแล้วเอ่ยกับเขาว่า “มา พ่อจะแนะนำคนให้เจ้ารู้จัก”

อิ๋งตั้งเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ มองไปยังทุกคนตามมือของอิ๋งซื่อ “นี่คือมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายจางอี๋ นั่นคือมหาเสนาบดีของเจ้าชูหลี่จี๋และเป็นเสด็จอาของเจ้าด้วย ท่านนี้คือกั๋วเว่ยซ่งหวยจิน จำได้รึไม่?”

อิ๋งตั้งพยักหน้า

“ไปความเคารพสิ” อิ๋งซื่อวางเขาลง

เขาเดินโงนเงนไปยังจางอี๋ ยื่นมืออ้วนกลมออกมา กำหมัดเป็นลูกหมั่นโถวน้อยๆ เอ่ยด้วยคำพูดที่ไม่ชัดถ้อยชัดคำ “ตั้งเอ๋อร์คำนับท่านเสนาบดีฝ่ายซ้าย”

“องค์ชายทรงพระปรีชานัก!” จางอี๋เห็นว่าอิ๋งตั้งยังไม่ครบสามขวบดีก็รู้จักมารยาทแล้ว คำนับกลับด้วยความประหลาดใจ รีบลุกขึ้นประคองเขาขึ้นมาด้วยสองมือ

หลังจากอิ๋งตั้งคำนับแล้ว ก็หันมาทางชูลี่จี๋ “ตั้งเอ๋อร์คำนับเสด็จอาเสนาบดีฝ่ายขวา”

“ฮ่าๆๆ!”

คำพูดของเด็กน้อยทำให้ทุกคนหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง

ชูหลี่จี๋คำนับกลับก่อนที่จะยื่นมือประคองเขา

อิ๋งตั้งเห็นว่าทุกคนหัวเราะก็ยิ้มกว้างอย่างมีความสุข เมื่อหมุนตัวเท้าก็เหยียบเสื้อคลุมขนของตัวเอง ล้มลงบนกับพื้นเสียงดังโครมคราม

เขาสวมชุดหนามากจึงไม่เจ็บเลย ทว่าเพราะสวมเสื้อหนาเกินไปจึงกลิ้งอยู่บนพื้นหลายรอบ ลุกขึ้นมาไม่ได้เสียที

อิ๋งซื่อไม่มีคำสั่ง แม่นมก็ไม่กล้าขยับ อิ๋งตั้งเม้มริมฝีปากน้อยๆ ร้องฮึดฮัดอยู่เป็นเวลานาน จนกระทั่งเมื่อเขากำลังจะแหกปากร้องไห้ มือคู่หนึ่งก็ดึงเขาขึ้นมาจากพื้น

อิ๋งตั้งเงยหน้าขึ้นก็พบกับสายตาที่สงบนิ่งและอ่อนโยนคู่หนึ่ง สูดหายใจฟึดฟัด ดึงแขนเสื้อของนางและร้องไห้เสียงดัง

ซ่งชูอีหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตาให้เขา ช่วยเขาจัดผมเผ้าและเสื้อผ้าให้เรียบร้อย กุมมือที่นุ่มนิ่มของเขา แววตาเจือปนรอยยิ้มจางๆ มีสั่นเครือเล็กน้อยในน้ำเสียงจนแทบไม่สังเกตเห็น “กั๋วเว่ยซ่งหวยจิน คำนับองค์ชาย”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ 335 องค์ชายอิ๋งตั้งแห่งฉิน

Now you are reading กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ Chapter 335 องค์ชายอิ๋งตั้งแห่งฉิน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“บรรดาขุนนาง?” น้ำเสียงของอิ๋งซื่อเบามาก มันเจือปนความแหบแห้งเล็กน้อยทว่ากลับมีพลังข่มขู่ผู้คน “ผู้หญิงของข้าอิ๋งซื่อให้คนอื่นมาบงการตั้งแต่เมื่อใดกัน? ทำไม ท่านมหาเสนาบดีฝ่ายขวาก็สนับสนุนการปลดหวังโฮ่วเช่นนั้นรึ?”

ชูหลี่จี๋ค้อมตัวเล็กน้อย เอ่ยว่า “จะปลดหรือไม่ปลดหวังโฮ่วนั้นไม่ได้ส่งกระทบต่อการปกครอง กระหม่อมเพียงรู้สึกว่าควรทูลเรื่องนี้ให้ฝ่าบาทรับทราบ”

ท้ายที่สุดนี่ไม่ใช่สิ่งที่ชูหลี่จี๋จะสามารถจัดการได้เป็นการส่วนตัว อีกทั้งการที่ชาวเว่ยขุดสุสานของจวินองค์ก่อน นั่นมิได้เป็นเพียงบิดาของอิ๋งซื่อเพียงผู้เดียวแต่ยังเป็นบิดาของชูหลี่จี๋อีกด้วย เหตุผลที่เขารายงานเรื่องนี้ต่อหน้าอิ๋งซื่อก็เป็นเพราะว่ารู้สึกต่อต้านชาวเว่ยเป็นอย่างมาก

“เหตุผล” อิ๋งซื่อเอ่ย

ชูหลี่จี๋เอ่ยว่า “ชาวเว่ยทำผิดต่อสุสานจวินองค์ก่อน องค์หญิงเว่ยเป็นหวังโฮ่วของต้าฉินเราเท่ากับเป็นการดูหมิ่น

จวินองค์ก่อน”

“หรือว่าคิดที่จะฆ่าองค์รัชทายาทเหมือนกัน?” อิ๋งซื่อดูเหมือนจะจริงจังในการขอความเห็นจากเขาเป็นอย่างมาก

ทว่าคนที่นั่งอยู่สามคนต่างรู้ว่าบัดนี้เขาโมโหมาก

อย่างไรก็ดีทั้งจางอี๋และซ่งชูอีล้วนไม่ใช่ชาวฉิน ไม่มีจุดยืนที่จะวิพากษ์วิจารณ์กิจการครอบครัวของกษัตริย์

“กระหม่อมโง่เขลา ท่านอ๋องได้โปรดอธิบาย” ชูหลี่จี๋แสร้งทำเป็นโง่ ถึงอย่างไรเขาไม่มีท่าทีเห็นด้วยหรือต่อต้านการปลดหวังโฮ่วอยู่แล้ว

อิ๋งซื่อละสายตากลับมา เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “จะสู่ขอหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับพวกเขา ทว่าในเมื่อเว่ยหว่านแต่งเข้ามาอยู่ในรัฐฉินแล้วก็เท่ากับเป็นผู้หญิงของรัฐฉิน และก็เป็นผู้หญิงของข้าอิ๋งซื่อ ไม่ใช่องค์หญิงเว่ยอะไรนั่น! หากพวกเขาเอาความพยายามในการทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งลำบากใจไปลงกับการเมือง ใยจะต้องกังวลว่ารัฐฉินอ่อนแอ? ใยจะต้องกังวลว่าแค้นนี้จะไม่ได้รับการชำระ!”

อิ๋งซื่อไม่เคยโหยหาความรัก การแต่งงานครั้งนี้ล้วนเป็นเหตุผลทางการเมืองทั้งสิ้น อย่างไรก็ดีตอนที่ช่วยเว่ยหว่านขึ้นมาจากหิมะ นางทั้งตกใจและทำอะไรไม่ถูก แต่กลับสงบสติอารมณ์ได้และพูดว่า “ได้โปรดช่วยน้องสาวข้า” ไม่หยุด ความเมตตาและการได้รับการปลูกฝังเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้คู่ควรกับตำแหน่งกั๋วโฮ่ว สามารถติดตามเขาไปชั่วชีวิต

พูดได้ว่าในขณะนั้นเองเขาก็เคยมีความหวังริบหรี่ในการแต่งงานทางการเมืองครั้งนี้

ต่อมาเว่ยหว่านค่อยๆ สูญเสียการแยกแยะ และยิ่งเสียความสง่างามขึ้นไปทุกที เขาอยู่ข้างนอกดังนั้นจึงสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงในความรู้สึกของนางได้อย่างชัดเจน แม้ว่านางจะทำสิ่งต่างๆ มากมายเกินกว่าที่เขาจะอนุญาตแต่เขาก็ไม่เคยสืบสาวมันอย่างลึกซึ้ง

ด้วยนิสัยของอิ๋งซื่อ ตราบใดที่เว่ยหว่านไม่ได้ก่อเรื่องเกินกว่าที่เขาจะสามารถยอมรับได้ ตำแหน่งหวังโฮ่วของนางก็จะยังมั่นคง

ทั้งหมดนี้เพียงเพราะนางเป็นผู้หญิงที่เขาเคยเชื่ออย่างหนักแน่นและเป็นพระชายาของเขา

ในฐานะองค์จวินของบ้านเมือง เขาจำเป็นต้องเสียสละเรื่องส่วนตัวเพื่อส่วนรวมของรัฐแต่เขาจะไม่สูญเสียความรับผิดชอบที่ผู้ชายควรมี ในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง หากไม่มีความสามารถแม้กระทั่งปกป้องภรรยาของตัวเองได้ จะพูดเรื่องอุดมคติและความทะเยอทะยานได้อย่างไร?

ชูหลี่จี๋ก็ค่อยๆ เข้าใจอุปนิสัยของเขาทีละน้อย ในฐานะผู้หญิงของเขา ขอเพียงไม่หาเรื่องใส่ตัว เขาก็จะไม่อนุญาตให้ผู้อื่นทำร้ายนางแม้แต่ปลายผม

ผลลัพธ์นี้อยู่ในความคาดหมายอยู่แล้ว ชูหลี่จี๋ไม่ยินดียินร้าย “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเข้าใจแล้ว”

ในเมื่อบัดนี้อิ๋งซื่อเอ่ยปากออกมาแล้ว เขาก็ต้องยับยั้งเรื่องนี้ มิฉะนั้นเขาก็ไร้ความสามารถในฐานะมหาเสนาบดีฝ่ายขวาเช่นกัน

“ทว่า” ชูหลี่จี๋เปิดการสนทนา “ฝูงชนตื่นตระหนก หากไม่ให้คำอธิบายเกรงว่าจะยากที่จะปลอบโยนประชาชนได้ จะปลดหวังโฮ่วหรือไม่นั้นเป็นเรื่องรอง ทว่าองค์รัชทายาทเป็นอนาคตของต้าฉินเรา นี่คือต้นตอของความกังวลของเหล่าขุนนาง”

ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไม่อาจเปลี่ยนความจริงที่ว่าเว่ยหว่านเป็นองค์หญิงแห่งรัฐเว่ยได้! ทว่าหวังโฮ่วเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ว่าชาวฉินทนผู้หญิงคนหนึ่งไม่ได้ ทว่าการปล่อยให้หญิงชาวเว่ยอบรมสั่งสอนองค์รัชทายาทต่างหากที่ทำให้พวกเขาทนไม่ได้! องค์รัชทายาทเป็นผู้สูงศักดิ์ ไม่สามารถปล่อยให้ผู้หญิงต่ำต้อยคนหนึ่งเลี้ยงดูได้ ดังนั้นเหล่าเหล่าขุนนางจึงคิดที่จะปลดหวังโฮ่ว

อาศัยตอนที่องค์รัชทายาทยังเด็ก แยกบุตรและมารดาออกจากกันคือวิธีที่ดีที่สุดแล้ว

“นับตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป กว่าเหรินจะสอนองค์ชายตั้งด้วยตัวเอง”

อิ๋งซื่อตั้งความหวังไว้กับลูกชายคนแรกสูงมาก หวังว่าจะสามารถสืบทอดความทะเยอทะยานของเขาได้ ดังนั้นจึงตั้งชื่อว่าตั้ง ซึ่งมีความหมายในการทำให้จงหยวนสงบลง

ซ่งชูอีขมวดคิ้ว กลับเอ่ยว่า “ฝ่าบาททรงหนักเพื่อกิจการของรัฐ จะแบ่งใจไปดูแลองค์ชายที่อยู่ในวัยเยาว์ได้อย่างไร? ฝ่าบาทได้โปรดพิจารณา”

“กั๋วเว่ยกล่าวได้ถูกต้อง” จางอี๋เอ่ย

“ทำเช่นนี้ไปก่อนเถิด” เดิมทีอิ๋งซื่อตั้งใจที่จะสอนองค์ชายตั้งด้วยตัวเอง บัดนี้การเลี้ยงดูเด็กน้อยวัยสามขวบด้วยตัวเองนั้นเป็นเรื่องยาก ทว่าโชคดีที่มีแม่นม ไม่จำเป็นต้องอยู่ข้างกายเขาตลอดเวลา

“ฝ่าบาท หวังโฮ่วสั่งให้แม่นมพาองค์ชายมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเถากล่าวอยู่หน้าประตู

ไม่กี่คนที่อยู่ในห้องมีความคิดที่แตกต่างกัน อิ๋งซื่อคิดว่าเว่ยหว่านจัดการเรื่องนี้ได้น่าพอใจยิ่ง นางมิได้ร้องไห้และเถียงกับเขา ในทางตรงข้ามกลับหาเวลาส่งโอรสเข้ามาเอง การทำเช่นนี้มีความเป็นกั๋วโฮ่วมาก

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คนอื่นก็ไม่อาจกล่าวอะไรได้อีก ทำได้เพียงระงับเรื่องนี้ไว้ก่อน

“พอดีเลย พวกเจ้าจะได้พบกับองค์ชายด้วย” อิ๋งซื่อพูดจบก็เปล่งเสียงดัง “เข้ามา”

เสียงแอ๊ดดังขึ้น ประตูบานพับเปิดออก สาวใช้อายุประมาณยี่สิบอุ้มเด็กน้อยคนหนึ่งเข้ามา

ซ่งชูอีถูกเด็กคนนั้นดึงดูดสายตาทันที ตัวเขาถูกห่อด้วยขนจิ้งจอกหนาราวกับลูกสุนัขจิ้งจอกตัวนุ่มนิ่ม มีเพียงใบหน้าขาวนวลโผล่ออกมาให้เห็นเท่านั้น ดวงตากลมโตที่เหมือนองุ่นม่วงนั้นดูไม่เหมือนอิ๋งซื่อเลย ระหว่างจมูกและปากคล้ายผู้เป็นบิดาเล็กน้อย ทว่าเจ้าตัวเล็กที่นุ่มนวลเช่นนี้ทำให้ยากที่จะเชื่อมโยงกับการอิ๋งซื่อผู้แข็งกร้าวและเยือกเย็น

เขาก็ไม่กลัวคนแปลกหน้า ดวงตาดำขลับนั้นหมุนไปรอบห้องแล้วหยุดอยู่ที่อิ๋งซื่อ จากนั้นก็เรียกออกมาด้วยความไร้เดียงสา “เสด็จพ่อ”

“วางเขาลง” อิ๋งซื่อเอ่ย

แม่นมอาศัยอยู่ในวังหลังตลอดเวลา ไม่เคยพบกับขุนนางใหญ่มาก่อน หลังจากได้ยินคำสั่งแล้วก็นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนที่จะวางหนูน้อยลงบนพื้นด้วยความตื่นตระหนก

ซ่งชูอีเห็นว่าทันทีที่เด็กน้อยคนนั้นเท้าแตะพื้นก็คว่ำขาสั้นๆ สองข้างแล้วรีบวิ่งไปหาอิ๋งซื่อ ร่างกายที่ถูกขนสุนัขจิ้งจอกพันจนกลมดิ๊กก็เหมือนกับลูกหิมะ น่ารักเป็นที่สุด

ฉากนี้ทำให้นางรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเจ็บปวดฉับพลัน แม้กระทั่งหายใจไม่ออก

อิ๋งซื่อยืนมือออกไปโอบเขา วางลงบนตักแล้วเอ่ยกับเขาว่า “มา พ่อจะแนะนำคนให้เจ้ารู้จัก”

อิ๋งตั้งเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ มองไปยังทุกคนตามมือของอิ๋งซื่อ “นี่คือมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายจางอี๋ นั่นคือมหาเสนาบดีของเจ้าชูหลี่จี๋และเป็นเสด็จอาของเจ้าด้วย ท่านนี้คือกั๋วเว่ยซ่งหวยจิน จำได้รึไม่?”

อิ๋งตั้งพยักหน้า

“ไปความเคารพสิ” อิ๋งซื่อวางเขาลง

เขาเดินโงนเงนไปยังจางอี๋ ยื่นมืออ้วนกลมออกมา กำหมัดเป็นลูกหมั่นโถวน้อยๆ เอ่ยด้วยคำพูดที่ไม่ชัดถ้อยชัดคำ “ตั้งเอ๋อร์คำนับท่านเสนาบดีฝ่ายซ้าย”

“องค์ชายทรงพระปรีชานัก!” จางอี๋เห็นว่าอิ๋งตั้งยังไม่ครบสามขวบดีก็รู้จักมารยาทแล้ว คำนับกลับด้วยความประหลาดใจ รีบลุกขึ้นประคองเขาขึ้นมาด้วยสองมือ

หลังจากอิ๋งตั้งคำนับแล้ว ก็หันมาทางชูลี่จี๋ “ตั้งเอ๋อร์คำนับเสด็จอาเสนาบดีฝ่ายขวา”

“ฮ่าๆๆ!”

คำพูดของเด็กน้อยทำให้ทุกคนหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง

ชูหลี่จี๋คำนับกลับก่อนที่จะยื่นมือประคองเขา

อิ๋งตั้งเห็นว่าทุกคนหัวเราะก็ยิ้มกว้างอย่างมีความสุข เมื่อหมุนตัวเท้าก็เหยียบเสื้อคลุมขนของตัวเอง ล้มลงบนกับพื้นเสียงดังโครมคราม

เขาสวมชุดหนามากจึงไม่เจ็บเลย ทว่าเพราะสวมเสื้อหนาเกินไปจึงกลิ้งอยู่บนพื้นหลายรอบ ลุกขึ้นมาไม่ได้เสียที

อิ๋งซื่อไม่มีคำสั่ง แม่นมก็ไม่กล้าขยับ อิ๋งตั้งเม้มริมฝีปากน้อยๆ ร้องฮึดฮัดอยู่เป็นเวลานาน จนกระทั่งเมื่อเขากำลังจะแหกปากร้องไห้ มือคู่หนึ่งก็ดึงเขาขึ้นมาจากพื้น

อิ๋งตั้งเงยหน้าขึ้นก็พบกับสายตาที่สงบนิ่งและอ่อนโยนคู่หนึ่ง สูดหายใจฟึดฟัด ดึงแขนเสื้อของนางและร้องไห้เสียงดัง

ซ่งชูอีหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตาให้เขา ช่วยเขาจัดผมเผ้าและเสื้อผ้าให้เรียบร้อย กุมมือที่นุ่มนิ่มของเขา แววตาเจือปนรอยยิ้มจางๆ มีสั่นเครือเล็กน้อยในน้ำเสียงจนแทบไม่สังเกตเห็น “กั๋วเว่ยซ่งหวยจิน คำนับองค์ชาย”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+