กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ 368 จะลืมได้อย่างไร

Now you are reading กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ Chapter 368 จะลืมได้อย่างไร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลังจากที่ซ่งชูอีกลับไปที่จวนแล้ว ก็พลิกตัวไปมานอนไม่หลับ ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าต้องรีบจัดการ…

“อี่โหลว” ซ่งชูอีเรียกเสียงเบา

เจ้าอี่โหลวลืมตา กระซิบเสียงต่ำ “เหตุใดถึงยังไม่นอน?”

“พวกเราไปจากเสียนหยางเถิด” ซ่งชูอีเอ่ย

เจ้าอี่โหลวตกตะลึง ผ่านไปเนิ่นนานจึงได้สติกลับมา “เหตุใดจึงตัดสินใจจะไปกะทันหัน”

เมื่อก่อนเขาต้องการจากไปพร้อมกับซ่งชูอีมากเพื่อปลีกวิเวก แต่อันที่จริงหลังจากปกป้องนางมานานหลายปีก็ปลงตกแล้ว ไม่สามารถเป็นสามีภรรยาแล้วอย่างไร? สามารถปกป้องกันและกันได้เช่นนี้ก็ดีมากแล้ว

“ข้าว่าฝ่าบาทตอนนี้ดูเหมือน…” ซ่งชูอีถอนหายใจ “ฝ่าบาททนได้คนอื่นทนไม่ได้ ก็เหมือนที่อาการของเขากำเริบกลางราชสำนักคราวก่อน ข้าอยู่ใกล้เขาเพียงนี้ยังไม่เคยสังเกตเห็นความแตกต่างเลย วันนี้ได้เห็นสภาพของเขาก็รู้สึกตกใจมากจริงๆ”

นอกเหนือจากตอนที่โรคเก่าของอิ๋งซื่อกำเริบขณะที่กำลังประชุมในหอคอยเมื่อหลายปีก่อน ซ่งชูอีก็ไม่เคยเห็นเขาแสดงอาการอ่อนเพลียหรือเจ็บป่วยหนักอีก นอกจากชูหลี่จี๋กับซ่งชูอีแล้ว เหล่าขุนนางทั่วทั้งราชสำนักแค่รู้สึกเพียงว่าท้องของเขาไม่ดีและไม่ได้ป่วยเป็นโรคร้ายแรง

หากเว่ยเต้าจื่อไม่ได้บอกเรื่องเหล่านั้นกับนาง เกรงว่านางก็คงตาบอดต่อไป

“ฝ่าบาทเตรียมเรื่องผู้สืบทอดตลอดเวลา ทว่าไม่เคยรีบร้อนเท่าครั้งนี้” ทันทีที่ซ่งชูอีกล่าวเช่นนี้ก็เริ่มมั่นใจในการคาดเดาของตัวเองมากขึ้น

หากสามารถล่าถอยออกมาได้ แน่นอนว่าเจ้าอี่โหลวยินดียิ่ง เพียงแต่ไม่เข้าใจเล็กน้อย “ในเมื่อเขาไม่ไหวแล้ว พวกเราก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องจากไปนี่นา?”

“ถูกต้อง หากองค์รัชทายาทมีความน่าเกรงขามได้สักครึ่งของท่านอ๋อง แน่นอนว่าพวกเราย่อมปลอดภัย ทว่าด้วยกำลังขององค์รัชทายาท ไม่มีความสามารถในการควบคุมขุนนางที่ฝ่าบาททิ้งไว้ให้แน่” ซ่งชูอีเอ่ย

คนที่อยู่ภายใต้อิ๋งซื่อเหล่านี้ มีใครบ้างที่ไม่เจ้าเล่ห์โดยธรรมชาติ? เมื่อยังเยาว์ก็ต้องมีความคิดนับหมื่นเป็นอย่างน้อย บัดนี้เมื่อหลังจากผ่านร้อนผ่านหนาวแล้ว แต่ละคนก็สามารถรับผิดชอบงานของตัวเองได้อย่างอิสระ! แม้แต่เว่ยฮุ่ยหวังที่โอ้อวดว่าตนเป็นกษัตริย์ผู้ชาญฉลาดก็ยังทอดถอนใจกับความสามารถในการควบคุมคนของอิ๋งซื่อ เขามีชีวิตอยู่ ขุนนางเหล่านี้ก็เป็นนายทหารที่มีความสามารถ เมื่อเขาตาย ไม่มีคนที่ควบคุมพวกเขาได้แล้วก็ไม่ยุ่งเหยิงหรอกหรือ?

“ทุกคนในราชสำนักล้วนมีหัวใจที่จงรักภักดีต่อต้าฉิน!” เจ้าอี่โหลวรู้สึกว่าอิ๋งซื่อไม่ใช่คนขี้สงสัย

เจ้าอี่โหลวกุมมือของเขา “เจ้าน่ะก็เถรตรงเกินไป! ผู้ฉลาดมีความคิดทะเยอทะยาน ทุกคนมีความปรารถนาที่จะครองอนาคตของต้าฉิน เพราะฝ่าบาทสามารถปราบปรามได้และสามารถทำให้ทุกคนทำตามแนวทางที่เขาสั่ง ถ้ากษัตริย์ในอนาคตไม่มีความเข้มแข็งนี้ เจ้าคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น?”

เมื่อขุนนางหลักสูญเสียทิศทางก็สูญเสียความควบคุม และเพื่อแสดงความทะเยอทะยานพวกเขาจะยึดติดกับความคิดของตนเอง

แสงนั้นสลัว ซ่งชูอีและมองไม่เห็นการแสดงออกของเจ้าอี่โหลว และไม่รู้ว่าเขาเข้าใจหรือไม่ จากนั้นก็ยังคงอุปมาง่ายๆ “หากม้าพันลี้สี่ตัวลากจูงขบวนรถและวิ่งไปในทิศทางเดียวกันก็จะสามารถเดินทางได้หลายพันลี้ต่อวัน ทว่าหากวิ่งไปคนละทิศทาง ขบวนรถก็จะแตก”

ไม่ว่าม้าพันลี้จะมีบทบาทอย่างไรก็ยังต้องพึ่งความสามารถและความเต็มใจของผู้ขี่ม้าด้วย เช่นเดียวกัน บ้านเมืองจะพัฒนาไปในทิศทางที่ดีได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่าสุดท้ายแล้วจะมีกษัตริย์ที่ดีหรือไม่

“ข้าเข้าใจแล้ว” เจ้าอี่โหลวเอ่ย

หากพวกเขาสามารถเข้าใจได้ กษัตริย์อย่างอิ๋งซื่อจะไม่เข้าใจได้อย่างไร? ความแข็งแกร่งที่เขาหลงเหลืออยู่นั้นแข็งแกร่งเกินกว่าที่ทายาทจะควบคุมได้และวิธีเดียวคือต้องทำลายส่วนหนึ่งด้วยตัวเอง

เจ้าอี่โหลวถามต่อ “อิ๋งซื่อไม่เชื่อใจเจ้ารึ?”

“เชื่อใจหรือ?” ในน้ำเสียงของซ่งชูอีเจือปนรอยยิ้ม “สำหรับฝ่าบาทแล้ว ไม่ใช่อยู่ที่เชื่อใจหรือไม่ แต่อยู่ที่ทำได้หรือไม่!”

ยกตัวอย่างเช่น อิ๋งซื่อจะไม่เคยพูดว่า “ข้าเชื่อว่าเจ้าทำได้” เขาจะพูดเพียงว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร” เขาไม่เคยตั้งคำถามถึงความสามารถของผู้ใต้บังคับบัญชาและไม่เคยสงสัยในความภักดีของพวกเขา แต่ไม่เคยเชื่อว่าหัวใจของผู้คนจะยั่งยืน

เจ้าอี่โหลวเข้าใจความหมายของคำพูดของนาง “เขาเชื่อใจท่านมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายมากเลยไม่ใช่หรือ? เคยไว้ใจปล่อยให้เขาไปรัฐเว่ยสี่ปี ถ้าไม่เชื่อใจแล้วมันคืออะไร?”

“มันคือความมั่นใจในตัวเอง” ซ่งชูอีกล่าวอย่างแน่วแน่ “เขารู้ว่าใต้หล้านี้ไม่มีกษัตริย์องค์ใดที่สามารถทำให้จางอี๋พอใจได้มากกว่าเขาอีกแล้ว!”

เจ้าอี่โหลวพูดไม่ออก ความมั่นใจในตัวเองประเภทนี้แม้แต่กษัตริย์ทั่วไปก็ไม่กล้ามี

หลังจากหยุดไปชั่วครู่ เจ้าอี่โหลวก็กล่าวอย่างใจเย็น “สิบปีก่อนข้าเต็มใจที่จะเชื่อฟังเจ้าในการจัดการเรื่องทั้งหมด สิบปีหลังก็เช่นกัน”

อิ๋งซื่อไม่มีทางไว้ใจคนส่งเดช ซ่งชูอีคงไม่ไร้เดียงสาถึงขนาดที่จะเชื่อว่าอิ๋งซื่อจะเห็นแก่ความรู้สึกส่วนตัว นางจากไปคราวนี้ หลังจากรักษาชีวิตของตัวเองแล้วก็สามารถกลับมาได้ทุกเมื่อที่ต้องการ จะเสี่ยงอันตรายไปทำไม?

ซ่งชูอีต่างสงวนหัวใจกับทุกคนแม้แต่กับเจ้าอี่โหลวเอง

กุนซือหลายคนล้วนเคยเกิดความรู้สึกเชื่อใจในบางคราวแต่ส่วนใหญ่ไม่มีผลลัพธ์ที่ดีนัก ครั้งหนึ่งนานมาแล้วซ่งชูอียังเคยกล่าวว่า: ซุนปิ้นถูกทรยศ เขาสูญเสียช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์และกระดูกสะบ้าคู่หนึ่ง ส่วนนางสูญเสียชีวิต รวมถึงความสามารถที่จะรักและเชื่อใจคนคนหนึ่ง

นางโชคดีที่ได้พบกับเจ้าอี่โหลวในชีวิตนี้ ได้รับรู้ถึงความรักร่วมเป็นร่วมตาย นางหวงแหนมันดุจชีวิต ทว่าท้ายที่สุดแล้วก็ไม่สามารถมอบทั้งหัวใจให้เขา ไม่ใช่ว่านางไม่ต้องการ ทว่านางกลับสงวนมันเองโดยธรรมชาติและไม่สามารถควบคุมได้

หลังจากได้หารือกับเจ้าอี่โหลว ซ่งชูอีก็ได้เริ่มเร่งเตรียมการล่าถอย

เมื่อไม่มีสงคราม หากขุนนางลับทั้งหมดต้องการจะเข้าออกเสียนหยางต้องได้รับการอนุมัติจากมหาเสนาบดีฝ่ายขวาก่อน หลังจากรับป้ายราชโองการจากเขาแล้ว ประตูเมืองจึงจะเปิดออก ล้วนไม่มีอิสระดังสามัญชนทั่วไป

จุดประสงค์หลักคือเพื่อความปลอดภัยส่วนบุคคลของขุนนางลับและป้องกันการรั่วไหลของความลับ

นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ “กั๋วเว่ยถูกลักพาตัว” การรักษาการณ์ของนครเสียนหยางก็เข้มงวดขึ้นเท่าตัว มีแม้กระทั่งการลาดตระเวนตามท้องถนน พวกเขาไม่ได้ทำเพราะว่างงานจึงเดินไปเดินมา แต่เพื่อรับประกันว่าสามารถรับมือกับเหตุฉุกเฉินได้ทุกเมื่อ กองทัพของฉินเข้มงวดและมีระเบียบวินัย คนเหล่านี้ไม่มีทางที่จะเกียจคร้านไปวันๆ เป็นอันขาด

การป้องกันแน่นหนาเช่นนี้ หากคิดที่จะลอบหนีออกไป อย่าว่าแต่ประตูเลย แม้แต่หน้าต่างก็หนีไม่ได้!

ผู้ที่ติดตั้งระบบป้องกันที่อยู่ยงคงกระพันเช่นนี้ไม่ใช่คนอื่นใด…แต่เป็นนางผู้แซ่ซ่ง…

ดังนั้น นางจะปล่อยให้ตัวเองหมดทางเลือกได้อย่างไร!

อย่างไรก็ดีนี่คืองานที่นางทำสมัยที่ยังเป็นกั๋วเว่ย จากนั้นก็ส่งมอบให้กับจวนถิงเว่ยและกองทัพรักษาการณ์ หลังจากผ่านไปหลายปี เพื่อรับรองว่าทุกอย่างปลอดภัย ในเวลานี้จึงจำเป็นต้องตรวจสอบสถานการณ์ “ประตูหลัง” นี้ใหม่อีกครั้ง

สามวันต่อมา ในที่สุดเว่ยเต้าจื่อก็กลับมายังเสียนหยางด้วยเนื้อตัวสะบักสะบอม ทันทีที่เขามาถึงจวนของซ่งชูอี ก็ไปส่งยาให้อิ๋งซื่อที่พระราชวังด้วยความเร็วจี๋จนเท้าไม่แตะพื้น

เวลาที่อิ๋งตั้งเรียนกับซ่งชูอีคือตอนเช้า ตอนบ่ายต้องไปฝึกในกองทัพ ตอนกลางคืนก็ต้องติดตามท่านมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวาในการจัดการเรื่องการเมือง เวลาที่เขาตื่น นอกเหนือจากกินข้าวเข้าห้องน้ำแล้ว ก็ไม่มีเวลาส่วนตัวอื่นเลย เนื่องจากตามปกติซ่งชูอีไม่เข้มงวด ทั้งยังพาเขาไปเที่ยวบ่อยครั้ง ดังนั้นเขาจึงชอบเรียนกับนางเป็นพิเศษ

เป็นเหมือนทุกครั้ง หลังจากผ่านการสอนอย่างมีความสุขและผ่อนคลายในตอนเช้าแล้ว ซ่งชูอีก็กลับจวน

บัดนี้เว่ยเต้าจื่อกลับมาแล้ว ซ่งชูอีสั่งให้บ่าวรับใช้ถอยออกไปทันทีและคุยกับเขาเป็นการส่วนตัว

“ศิษย์พี่ใหญ่เดินทางครั้งนี้พบอุปสรรคหรือ?” ซ่งชูอีไม่ได้ถามเกี่ยวกับอาการของอิ๋งซื่ออย่างกระตือรือร้น นางก็เป็นเช่นนี้มาตลอด ยิ่งเร่งรีบยิ่งใจเย็น

เว่ยเต้าจื่อเพิ่งจะแช่บ่อน้ำร้อน กำลังจิบสุราบ๊วยอย่างสบายๆ “ข้าผ่านหมู่บ้านหนึ่งในชายแดนหานระหว่างทาง ในหมู่บ้านมีคนติดเชื้อตายไปไม่น้อย ข้านึกว่าเป็นโรคระบาด ดังนั้นก็เลยอยู่ต่ออีกระยะหนึ่ง ดูว่าจะควบคุมไม่ให้แผ่วงกว้างได้หรือไม่ ต่อมาจึงพบกว่ามันเป็นไข้จับสั่น หลังจากทิ้งยาไว้แล้วก็หาที่พักอีกสองสามวัน”

หากไข้จับสั่นแพร่ระบาดก็น่ากลัวมากเช่นกัน เมื่อเว่ยเต้าจื่อมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ติดเชื้อจึงกล้ากลับเสียนหยาง

เว่ยเต้าจื่อยิ้มกว้างเอ่ย “เจ้าคงอยากถามข้าถึงอาการป่วยของฉินอ๋องกระมัง!”

“อืม ข้าอยากถาม ทว่าสิ่งที่ข้าต้องการถามท่านไม่ได้มีเพียงเรื่องนี้” ซ่งชูอีเอ่ย

“อ๋อ?” เว่ยเต้าจื่อเคยรับปากอิ๋งซื่อว่าจะไม่เผยความลับ แม้ว่านิสัยของเขาจะไม่เลวร้ายถึงขนาดป่าวประกาศไปทั่ว ทว่าก็แน่นอนว่าไม่ได้ดีพอที่จะปิดปากได้สนิท “อาการป่วยของฉินอ๋อง ข้าพยายามอย่างเต็มที่แล้ว ด้วยอาการของเขาที่พัฒนาในระดับนี้ หากข้าไม่ได้จ่ายยาบรรเทาอาการ เขาก็คงจากไปตั้งแต่เจ็ดแปดปีก่อนแล้ว อาการป่วยครั้งนี้สาหัสมาก ข้าเดาว่าต่อให้ยื้อต่อไปได้ก็คงไม่เกินสองปี”

ความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ในใจของซ่งชูอีแพร่กระจาย ดูเหมือนว่าบางจุดเริ่มเน่าเปื่อยและเจ็บปวดจากความหมองไหม้ แม้ว่าจะสามารถทนได้ แต่กลับทำให้ผู้คนรู้สึกอึดอัดและวิตกกังวล “ท่านได้กล่าวความจริงกับท่านอ๋องหรือไม่?”

เว่ยเต้าจื่อมองนางด้วยสายตาล้ำลึก กล่าวว่า “เจ้าคิดว่าจะปิดบังได้หรือ?”

ซ่งชูอีเม้มปากเนิ่นนานไม่ได้พูดอะไร

“ยังมีเรื่องอะไรอีก?” เว่ยเต้าจื่อทำลายความเงียบ

ซ่งชูอีสูดหายใจลึกแล้วพ่นออกมาช้าๆ เพียงแค่ทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย “สำหรับเรื่องความรัก ท่านโอ้อวดว่าเข้าใจโลกไม่ใช่หรอกหรือ?”

เว่ยเต้าจื่อกระปรี้กระเปร่าขึ้นทันใด นั่งตัวตรง กล่าวด้วยสีหน้าสนใจ “แน่อยู่แล้ว พูดมาเถิด ไม่มีสิ่งใดที่ศิษย์พี่แก้ไขไม่ได้”

คุยโวโอ้อวด ซ่งชูอีรู้สึกว่าคำพูดนี้ของเขาไม่น่าเชื่อถือ แต่เว่ยเต้าจื่อเข้าใจลึกซึ้งกว่านางในแง่ของความรักอย่างแน่นอน “ข้าเคยรักคนคนหนึ่งและเชื่อเขาหมดใจ ในที่สุดกลับถูกเขาหลอกใช้ ข้ารู้ว่าบางทีเขาอาจไม่ได้ตั้งใจคิดที่จะฆ่าข้าทว่า…ข้าเกลียดชังเขาที่ใช้ประโยชน์จากความรู้สึกเก่าๆ ไม่เช่นนั้นแม้ว่าเขาจะพลิกกลับมาเป็นศัตรูข้าด้วยวิธีที่โหดร้าย ข้าก็คงจะไม่เก็บมาใส่ใจเช่นนี้”

“บุคคลนี้คือหมิ่นจื๋อห่วนกระมัง” เว่ยเต้าจื่อกล่าวตรงไปตรงมา

ซ่งชูอีประหลาดใจ “ศิษย์พี่ใหญ่รู้ได้เยี่ยงไร?”

“ข้าบอกแล้วว่าความรักและความเกลียดชังบนโลกใบนี้ไม่สามารถซ่อนสายตาข้าได้” เว่ยเต้าจื่อกล่าวอย่างภูมิใจ

เว่ยเต้าจื่อในฐานะคนฉลาดและเป็นผู้สังเกตการณ์ที่เข้าใจในความรักอย่างล้ำลึกย่อมมองเห็นอะไรที่ลึกซึ้งกว่าคนอื่น “เจ้ามีโอกาสที่จะฆ่าเขาหลายครั้งทว่ากลับปล่อยไป จากนั้นก็ควบคุมทิศทางชีวิตของเขา ขังเขาในรัฐเว่ย แต่กลับข่มไม่ให้เขาได้กลับตัว ในที่สุดเขาก็ถูกปิดล้อมและถูกบังคับให้ตายในจงตู…หากข้าเดาไม่ผิด ครั้งนั้นที่เจ้าโดนหักหลังก็เป็นสถานการณ์แบบเดียวกันกระมัง?”

สายตาที่ค่อนข้างเจ้าชู้อยู่เสมอของเว่ยเต้าจื่อดูสดใสเป็นพิเศษเมื่อกล่าวถึงหัวข้อนี้

ซ่งชูอีรู้สึกประหลาดใจในตอนแรก จากนั้นก็ยิ้ม “สมกับเป็นศิษย์พี่ใหญ่”

เว่ยเจ้าจื่อไม่ได้ถามรายละเอียดเบื้องลึก เพียงแต่เลียปากเอ่ยว่า “ข้าสาบาน ว่าชาตินี้ข้าจะไม่มีวันทำผิดต่อเจ้า”

ซ่งชูอีดึงมุมปากยิ้ม นางสามารถควบคุมชีวิตของหมิ่นฉือโดยอาศัยการพยากรณ์ล่วงหน้าบวกกับความเข้าใจเกี่ยวกับเขาอย่างลึกซึ้งในชาติที่แล้ว หากไม่ใช่เพราะข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ นางคงไม่มีความมั่นใจที่จะควบคุมคนที่ฉลาดพอๆ กันในมือ

นางไม่อยากพูดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ เดิมทีการแก้แค้นไม่ใช่สิ่งที่มีความสุขอยู่แล้ว นางไม่ได้รู้สึกมีความสุขหรือโล่งใจในขณะที่เฝ้าดูการตายของหมิ่นฉือด้วยตาของตัวเองเลย เพียงแค่รู้สึกว่าได้ทำในสิ่งที่ต้องทำแล้ว

“นับแต่นั้นเป็นต้นมา เจ้าก็ไม่อาจไว้ใจใครได้อีกเช่นนั้นรึ?” เว่ยเต้าจื่อถาม

ซ่งชูอีดึงความคิดกลับมา มองเขาด้วยความจริงจัง “ตอนนี้ข้าเชื่อแล้วว่าท่านผ่านโลกมามากจริงๆ!”

เว่ยเต้าจื่อหัวเราะหึหึ จิบสุราคำหนึ่ง “เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะลืม”

“ชิ พูดง่ายน่ะสิ!” เหตุใดซ่งชูอีจะไม่เข้าใจในความหมายเล่า ทว่า “ตอนข้าสามขวบก็ฉี่รดที่นอนบ่อยครั้ง วันใดที่ไม่ได้ไปสุขาก็ยังจำได้อย่างแม่นยำ เรื่องใหญ่เช่นนี้จะให้ข้าลืมได้อย่างไร?”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ 368 จะลืมได้อย่างไร

Now you are reading กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ Chapter 368 จะลืมได้อย่างไร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลังจากที่ซ่งชูอีกลับไปที่จวนแล้ว ก็พลิกตัวไปมานอนไม่หลับ ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าต้องรีบจัดการ…

“อี่โหลว” ซ่งชูอีเรียกเสียงเบา

เจ้าอี่โหลวลืมตา กระซิบเสียงต่ำ “เหตุใดถึงยังไม่นอน?”

“พวกเราไปจากเสียนหยางเถิด” ซ่งชูอีเอ่ย

เจ้าอี่โหลวตกตะลึง ผ่านไปเนิ่นนานจึงได้สติกลับมา “เหตุใดจึงตัดสินใจจะไปกะทันหัน”

เมื่อก่อนเขาต้องการจากไปพร้อมกับซ่งชูอีมากเพื่อปลีกวิเวก แต่อันที่จริงหลังจากปกป้องนางมานานหลายปีก็ปลงตกแล้ว ไม่สามารถเป็นสามีภรรยาแล้วอย่างไร? สามารถปกป้องกันและกันได้เช่นนี้ก็ดีมากแล้ว

“ข้าว่าฝ่าบาทตอนนี้ดูเหมือน…” ซ่งชูอีถอนหายใจ “ฝ่าบาททนได้คนอื่นทนไม่ได้ ก็เหมือนที่อาการของเขากำเริบกลางราชสำนักคราวก่อน ข้าอยู่ใกล้เขาเพียงนี้ยังไม่เคยสังเกตเห็นความแตกต่างเลย วันนี้ได้เห็นสภาพของเขาก็รู้สึกตกใจมากจริงๆ”

นอกเหนือจากตอนที่โรคเก่าของอิ๋งซื่อกำเริบขณะที่กำลังประชุมในหอคอยเมื่อหลายปีก่อน ซ่งชูอีก็ไม่เคยเห็นเขาแสดงอาการอ่อนเพลียหรือเจ็บป่วยหนักอีก นอกจากชูหลี่จี๋กับซ่งชูอีแล้ว เหล่าขุนนางทั่วทั้งราชสำนักแค่รู้สึกเพียงว่าท้องของเขาไม่ดีและไม่ได้ป่วยเป็นโรคร้ายแรง

หากเว่ยเต้าจื่อไม่ได้บอกเรื่องเหล่านั้นกับนาง เกรงว่านางก็คงตาบอดต่อไป

“ฝ่าบาทเตรียมเรื่องผู้สืบทอดตลอดเวลา ทว่าไม่เคยรีบร้อนเท่าครั้งนี้” ทันทีที่ซ่งชูอีกล่าวเช่นนี้ก็เริ่มมั่นใจในการคาดเดาของตัวเองมากขึ้น

หากสามารถล่าถอยออกมาได้ แน่นอนว่าเจ้าอี่โหลวยินดียิ่ง เพียงแต่ไม่เข้าใจเล็กน้อย “ในเมื่อเขาไม่ไหวแล้ว พวกเราก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องจากไปนี่นา?”

“ถูกต้อง หากองค์รัชทายาทมีความน่าเกรงขามได้สักครึ่งของท่านอ๋อง แน่นอนว่าพวกเราย่อมปลอดภัย ทว่าด้วยกำลังขององค์รัชทายาท ไม่มีความสามารถในการควบคุมขุนนางที่ฝ่าบาททิ้งไว้ให้แน่” ซ่งชูอีเอ่ย

คนที่อยู่ภายใต้อิ๋งซื่อเหล่านี้ มีใครบ้างที่ไม่เจ้าเล่ห์โดยธรรมชาติ? เมื่อยังเยาว์ก็ต้องมีความคิดนับหมื่นเป็นอย่างน้อย บัดนี้เมื่อหลังจากผ่านร้อนผ่านหนาวแล้ว แต่ละคนก็สามารถรับผิดชอบงานของตัวเองได้อย่างอิสระ! แม้แต่เว่ยฮุ่ยหวังที่โอ้อวดว่าตนเป็นกษัตริย์ผู้ชาญฉลาดก็ยังทอดถอนใจกับความสามารถในการควบคุมคนของอิ๋งซื่อ เขามีชีวิตอยู่ ขุนนางเหล่านี้ก็เป็นนายทหารที่มีความสามารถ เมื่อเขาตาย ไม่มีคนที่ควบคุมพวกเขาได้แล้วก็ไม่ยุ่งเหยิงหรอกหรือ?

“ทุกคนในราชสำนักล้วนมีหัวใจที่จงรักภักดีต่อต้าฉิน!” เจ้าอี่โหลวรู้สึกว่าอิ๋งซื่อไม่ใช่คนขี้สงสัย

เจ้าอี่โหลวกุมมือของเขา “เจ้าน่ะก็เถรตรงเกินไป! ผู้ฉลาดมีความคิดทะเยอทะยาน ทุกคนมีความปรารถนาที่จะครองอนาคตของต้าฉิน เพราะฝ่าบาทสามารถปราบปรามได้และสามารถทำให้ทุกคนทำตามแนวทางที่เขาสั่ง ถ้ากษัตริย์ในอนาคตไม่มีความเข้มแข็งนี้ เจ้าคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น?”

เมื่อขุนนางหลักสูญเสียทิศทางก็สูญเสียความควบคุม และเพื่อแสดงความทะเยอทะยานพวกเขาจะยึดติดกับความคิดของตนเอง

แสงนั้นสลัว ซ่งชูอีและมองไม่เห็นการแสดงออกของเจ้าอี่โหลว และไม่รู้ว่าเขาเข้าใจหรือไม่ จากนั้นก็ยังคงอุปมาง่ายๆ “หากม้าพันลี้สี่ตัวลากจูงขบวนรถและวิ่งไปในทิศทางเดียวกันก็จะสามารถเดินทางได้หลายพันลี้ต่อวัน ทว่าหากวิ่งไปคนละทิศทาง ขบวนรถก็จะแตก”

ไม่ว่าม้าพันลี้จะมีบทบาทอย่างไรก็ยังต้องพึ่งความสามารถและความเต็มใจของผู้ขี่ม้าด้วย เช่นเดียวกัน บ้านเมืองจะพัฒนาไปในทิศทางที่ดีได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่าสุดท้ายแล้วจะมีกษัตริย์ที่ดีหรือไม่

“ข้าเข้าใจแล้ว” เจ้าอี่โหลวเอ่ย

หากพวกเขาสามารถเข้าใจได้ กษัตริย์อย่างอิ๋งซื่อจะไม่เข้าใจได้อย่างไร? ความแข็งแกร่งที่เขาหลงเหลืออยู่นั้นแข็งแกร่งเกินกว่าที่ทายาทจะควบคุมได้และวิธีเดียวคือต้องทำลายส่วนหนึ่งด้วยตัวเอง

เจ้าอี่โหลวถามต่อ “อิ๋งซื่อไม่เชื่อใจเจ้ารึ?”

“เชื่อใจหรือ?” ในน้ำเสียงของซ่งชูอีเจือปนรอยยิ้ม “สำหรับฝ่าบาทแล้ว ไม่ใช่อยู่ที่เชื่อใจหรือไม่ แต่อยู่ที่ทำได้หรือไม่!”

ยกตัวอย่างเช่น อิ๋งซื่อจะไม่เคยพูดว่า “ข้าเชื่อว่าเจ้าทำได้” เขาจะพูดเพียงว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร” เขาไม่เคยตั้งคำถามถึงความสามารถของผู้ใต้บังคับบัญชาและไม่เคยสงสัยในความภักดีของพวกเขา แต่ไม่เคยเชื่อว่าหัวใจของผู้คนจะยั่งยืน

เจ้าอี่โหลวเข้าใจความหมายของคำพูดของนาง “เขาเชื่อใจท่านมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายมากเลยไม่ใช่หรือ? เคยไว้ใจปล่อยให้เขาไปรัฐเว่ยสี่ปี ถ้าไม่เชื่อใจแล้วมันคืออะไร?”

“มันคือความมั่นใจในตัวเอง” ซ่งชูอีกล่าวอย่างแน่วแน่ “เขารู้ว่าใต้หล้านี้ไม่มีกษัตริย์องค์ใดที่สามารถทำให้จางอี๋พอใจได้มากกว่าเขาอีกแล้ว!”

เจ้าอี่โหลวพูดไม่ออก ความมั่นใจในตัวเองประเภทนี้แม้แต่กษัตริย์ทั่วไปก็ไม่กล้ามี

หลังจากหยุดไปชั่วครู่ เจ้าอี่โหลวก็กล่าวอย่างใจเย็น “สิบปีก่อนข้าเต็มใจที่จะเชื่อฟังเจ้าในการจัดการเรื่องทั้งหมด สิบปีหลังก็เช่นกัน”

อิ๋งซื่อไม่มีทางไว้ใจคนส่งเดช ซ่งชูอีคงไม่ไร้เดียงสาถึงขนาดที่จะเชื่อว่าอิ๋งซื่อจะเห็นแก่ความรู้สึกส่วนตัว นางจากไปคราวนี้ หลังจากรักษาชีวิตของตัวเองแล้วก็สามารถกลับมาได้ทุกเมื่อที่ต้องการ จะเสี่ยงอันตรายไปทำไม?

ซ่งชูอีต่างสงวนหัวใจกับทุกคนแม้แต่กับเจ้าอี่โหลวเอง

กุนซือหลายคนล้วนเคยเกิดความรู้สึกเชื่อใจในบางคราวแต่ส่วนใหญ่ไม่มีผลลัพธ์ที่ดีนัก ครั้งหนึ่งนานมาแล้วซ่งชูอียังเคยกล่าวว่า: ซุนปิ้นถูกทรยศ เขาสูญเสียช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์และกระดูกสะบ้าคู่หนึ่ง ส่วนนางสูญเสียชีวิต รวมถึงความสามารถที่จะรักและเชื่อใจคนคนหนึ่ง

นางโชคดีที่ได้พบกับเจ้าอี่โหลวในชีวิตนี้ ได้รับรู้ถึงความรักร่วมเป็นร่วมตาย นางหวงแหนมันดุจชีวิต ทว่าท้ายที่สุดแล้วก็ไม่สามารถมอบทั้งหัวใจให้เขา ไม่ใช่ว่านางไม่ต้องการ ทว่านางกลับสงวนมันเองโดยธรรมชาติและไม่สามารถควบคุมได้

หลังจากได้หารือกับเจ้าอี่โหลว ซ่งชูอีก็ได้เริ่มเร่งเตรียมการล่าถอย

เมื่อไม่มีสงคราม หากขุนนางลับทั้งหมดต้องการจะเข้าออกเสียนหยางต้องได้รับการอนุมัติจากมหาเสนาบดีฝ่ายขวาก่อน หลังจากรับป้ายราชโองการจากเขาแล้ว ประตูเมืองจึงจะเปิดออก ล้วนไม่มีอิสระดังสามัญชนทั่วไป

จุดประสงค์หลักคือเพื่อความปลอดภัยส่วนบุคคลของขุนนางลับและป้องกันการรั่วไหลของความลับ

นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ “กั๋วเว่ยถูกลักพาตัว” การรักษาการณ์ของนครเสียนหยางก็เข้มงวดขึ้นเท่าตัว มีแม้กระทั่งการลาดตระเวนตามท้องถนน พวกเขาไม่ได้ทำเพราะว่างงานจึงเดินไปเดินมา แต่เพื่อรับประกันว่าสามารถรับมือกับเหตุฉุกเฉินได้ทุกเมื่อ กองทัพของฉินเข้มงวดและมีระเบียบวินัย คนเหล่านี้ไม่มีทางที่จะเกียจคร้านไปวันๆ เป็นอันขาด

การป้องกันแน่นหนาเช่นนี้ หากคิดที่จะลอบหนีออกไป อย่าว่าแต่ประตูเลย แม้แต่หน้าต่างก็หนีไม่ได้!

ผู้ที่ติดตั้งระบบป้องกันที่อยู่ยงคงกระพันเช่นนี้ไม่ใช่คนอื่นใด…แต่เป็นนางผู้แซ่ซ่ง…

ดังนั้น นางจะปล่อยให้ตัวเองหมดทางเลือกได้อย่างไร!

อย่างไรก็ดีนี่คืองานที่นางทำสมัยที่ยังเป็นกั๋วเว่ย จากนั้นก็ส่งมอบให้กับจวนถิงเว่ยและกองทัพรักษาการณ์ หลังจากผ่านไปหลายปี เพื่อรับรองว่าทุกอย่างปลอดภัย ในเวลานี้จึงจำเป็นต้องตรวจสอบสถานการณ์ “ประตูหลัง” นี้ใหม่อีกครั้ง

สามวันต่อมา ในที่สุดเว่ยเต้าจื่อก็กลับมายังเสียนหยางด้วยเนื้อตัวสะบักสะบอม ทันทีที่เขามาถึงจวนของซ่งชูอี ก็ไปส่งยาให้อิ๋งซื่อที่พระราชวังด้วยความเร็วจี๋จนเท้าไม่แตะพื้น

เวลาที่อิ๋งตั้งเรียนกับซ่งชูอีคือตอนเช้า ตอนบ่ายต้องไปฝึกในกองทัพ ตอนกลางคืนก็ต้องติดตามท่านมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวาในการจัดการเรื่องการเมือง เวลาที่เขาตื่น นอกเหนือจากกินข้าวเข้าห้องน้ำแล้ว ก็ไม่มีเวลาส่วนตัวอื่นเลย เนื่องจากตามปกติซ่งชูอีไม่เข้มงวด ทั้งยังพาเขาไปเที่ยวบ่อยครั้ง ดังนั้นเขาจึงชอบเรียนกับนางเป็นพิเศษ

เป็นเหมือนทุกครั้ง หลังจากผ่านการสอนอย่างมีความสุขและผ่อนคลายในตอนเช้าแล้ว ซ่งชูอีก็กลับจวน

บัดนี้เว่ยเต้าจื่อกลับมาแล้ว ซ่งชูอีสั่งให้บ่าวรับใช้ถอยออกไปทันทีและคุยกับเขาเป็นการส่วนตัว

“ศิษย์พี่ใหญ่เดินทางครั้งนี้พบอุปสรรคหรือ?” ซ่งชูอีไม่ได้ถามเกี่ยวกับอาการของอิ๋งซื่ออย่างกระตือรือร้น นางก็เป็นเช่นนี้มาตลอด ยิ่งเร่งรีบยิ่งใจเย็น

เว่ยเต้าจื่อเพิ่งจะแช่บ่อน้ำร้อน กำลังจิบสุราบ๊วยอย่างสบายๆ “ข้าผ่านหมู่บ้านหนึ่งในชายแดนหานระหว่างทาง ในหมู่บ้านมีคนติดเชื้อตายไปไม่น้อย ข้านึกว่าเป็นโรคระบาด ดังนั้นก็เลยอยู่ต่ออีกระยะหนึ่ง ดูว่าจะควบคุมไม่ให้แผ่วงกว้างได้หรือไม่ ต่อมาจึงพบกว่ามันเป็นไข้จับสั่น หลังจากทิ้งยาไว้แล้วก็หาที่พักอีกสองสามวัน”

หากไข้จับสั่นแพร่ระบาดก็น่ากลัวมากเช่นกัน เมื่อเว่ยเต้าจื่อมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ติดเชื้อจึงกล้ากลับเสียนหยาง

เว่ยเต้าจื่อยิ้มกว้างเอ่ย “เจ้าคงอยากถามข้าถึงอาการป่วยของฉินอ๋องกระมัง!”

“อืม ข้าอยากถาม ทว่าสิ่งที่ข้าต้องการถามท่านไม่ได้มีเพียงเรื่องนี้” ซ่งชูอีเอ่ย

“อ๋อ?” เว่ยเต้าจื่อเคยรับปากอิ๋งซื่อว่าจะไม่เผยความลับ แม้ว่านิสัยของเขาจะไม่เลวร้ายถึงขนาดป่าวประกาศไปทั่ว ทว่าก็แน่นอนว่าไม่ได้ดีพอที่จะปิดปากได้สนิท “อาการป่วยของฉินอ๋อง ข้าพยายามอย่างเต็มที่แล้ว ด้วยอาการของเขาที่พัฒนาในระดับนี้ หากข้าไม่ได้จ่ายยาบรรเทาอาการ เขาก็คงจากไปตั้งแต่เจ็ดแปดปีก่อนแล้ว อาการป่วยครั้งนี้สาหัสมาก ข้าเดาว่าต่อให้ยื้อต่อไปได้ก็คงไม่เกินสองปี”

ความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ในใจของซ่งชูอีแพร่กระจาย ดูเหมือนว่าบางจุดเริ่มเน่าเปื่อยและเจ็บปวดจากความหมองไหม้ แม้ว่าจะสามารถทนได้ แต่กลับทำให้ผู้คนรู้สึกอึดอัดและวิตกกังวล “ท่านได้กล่าวความจริงกับท่านอ๋องหรือไม่?”

เว่ยเต้าจื่อมองนางด้วยสายตาล้ำลึก กล่าวว่า “เจ้าคิดว่าจะปิดบังได้หรือ?”

ซ่งชูอีเม้มปากเนิ่นนานไม่ได้พูดอะไร

“ยังมีเรื่องอะไรอีก?” เว่ยเต้าจื่อทำลายความเงียบ

ซ่งชูอีสูดหายใจลึกแล้วพ่นออกมาช้าๆ เพียงแค่ทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย “สำหรับเรื่องความรัก ท่านโอ้อวดว่าเข้าใจโลกไม่ใช่หรอกหรือ?”

เว่ยเต้าจื่อกระปรี้กระเปร่าขึ้นทันใด นั่งตัวตรง กล่าวด้วยสีหน้าสนใจ “แน่อยู่แล้ว พูดมาเถิด ไม่มีสิ่งใดที่ศิษย์พี่แก้ไขไม่ได้”

คุยโวโอ้อวด ซ่งชูอีรู้สึกว่าคำพูดนี้ของเขาไม่น่าเชื่อถือ แต่เว่ยเต้าจื่อเข้าใจลึกซึ้งกว่านางในแง่ของความรักอย่างแน่นอน “ข้าเคยรักคนคนหนึ่งและเชื่อเขาหมดใจ ในที่สุดกลับถูกเขาหลอกใช้ ข้ารู้ว่าบางทีเขาอาจไม่ได้ตั้งใจคิดที่จะฆ่าข้าทว่า…ข้าเกลียดชังเขาที่ใช้ประโยชน์จากความรู้สึกเก่าๆ ไม่เช่นนั้นแม้ว่าเขาจะพลิกกลับมาเป็นศัตรูข้าด้วยวิธีที่โหดร้าย ข้าก็คงจะไม่เก็บมาใส่ใจเช่นนี้”

“บุคคลนี้คือหมิ่นจื๋อห่วนกระมัง” เว่ยเต้าจื่อกล่าวตรงไปตรงมา

ซ่งชูอีประหลาดใจ “ศิษย์พี่ใหญ่รู้ได้เยี่ยงไร?”

“ข้าบอกแล้วว่าความรักและความเกลียดชังบนโลกใบนี้ไม่สามารถซ่อนสายตาข้าได้” เว่ยเต้าจื่อกล่าวอย่างภูมิใจ

เว่ยเต้าจื่อในฐานะคนฉลาดและเป็นผู้สังเกตการณ์ที่เข้าใจในความรักอย่างล้ำลึกย่อมมองเห็นอะไรที่ลึกซึ้งกว่าคนอื่น “เจ้ามีโอกาสที่จะฆ่าเขาหลายครั้งทว่ากลับปล่อยไป จากนั้นก็ควบคุมทิศทางชีวิตของเขา ขังเขาในรัฐเว่ย แต่กลับข่มไม่ให้เขาได้กลับตัว ในที่สุดเขาก็ถูกปิดล้อมและถูกบังคับให้ตายในจงตู…หากข้าเดาไม่ผิด ครั้งนั้นที่เจ้าโดนหักหลังก็เป็นสถานการณ์แบบเดียวกันกระมัง?”

สายตาที่ค่อนข้างเจ้าชู้อยู่เสมอของเว่ยเต้าจื่อดูสดใสเป็นพิเศษเมื่อกล่าวถึงหัวข้อนี้

ซ่งชูอีรู้สึกประหลาดใจในตอนแรก จากนั้นก็ยิ้ม “สมกับเป็นศิษย์พี่ใหญ่”

เว่ยเจ้าจื่อไม่ได้ถามรายละเอียดเบื้องลึก เพียงแต่เลียปากเอ่ยว่า “ข้าสาบาน ว่าชาตินี้ข้าจะไม่มีวันทำผิดต่อเจ้า”

ซ่งชูอีดึงมุมปากยิ้ม นางสามารถควบคุมชีวิตของหมิ่นฉือโดยอาศัยการพยากรณ์ล่วงหน้าบวกกับความเข้าใจเกี่ยวกับเขาอย่างลึกซึ้งในชาติที่แล้ว หากไม่ใช่เพราะข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ นางคงไม่มีความมั่นใจที่จะควบคุมคนที่ฉลาดพอๆ กันในมือ

นางไม่อยากพูดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ เดิมทีการแก้แค้นไม่ใช่สิ่งที่มีความสุขอยู่แล้ว นางไม่ได้รู้สึกมีความสุขหรือโล่งใจในขณะที่เฝ้าดูการตายของหมิ่นฉือด้วยตาของตัวเองเลย เพียงแค่รู้สึกว่าได้ทำในสิ่งที่ต้องทำแล้ว

“นับแต่นั้นเป็นต้นมา เจ้าก็ไม่อาจไว้ใจใครได้อีกเช่นนั้นรึ?” เว่ยเต้าจื่อถาม

ซ่งชูอีดึงความคิดกลับมา มองเขาด้วยความจริงจัง “ตอนนี้ข้าเชื่อแล้วว่าท่านผ่านโลกมามากจริงๆ!”

เว่ยเต้าจื่อหัวเราะหึหึ จิบสุราคำหนึ่ง “เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะลืม”

“ชิ พูดง่ายน่ะสิ!” เหตุใดซ่งชูอีจะไม่เข้าใจในความหมายเล่า ทว่า “ตอนข้าสามขวบก็ฉี่รดที่นอนบ่อยครั้ง วันใดที่ไม่ได้ไปสุขาก็ยังจำได้อย่างแม่นยำ เรื่องใหญ่เช่นนี้จะให้ข้าลืมได้อย่างไร?”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+