กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ 260 ต่อสู้กันอย่างครึกครื้น

Now you are reading กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ Chapter 260 ต่อสู้กันอย่างครึกครื้น at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

แม้ว่าหมี่จีจะใจเย็นอยู่เสมอ ก็ยังเขินอายกับคำพูดที่ไม่เหมาะสมนี้จนหน้าแดง

ซ่งชูอีเพียงพูดไปส่งเดชเท่านั้น ทว่าดูจากปฏิกิริยาของหมี่จีแล้ว กล้าพนันได้เลยว่าเขาไม่ได้ใส่อะไรจริงๆ!

ในฐานะขุนนางและเจ้านายของจวนหลังนี้ จะต้องไปขอขมาตอนนี้หรือเปล่านะ…

“ท่าน…” หมี่จีรออยู่ครู่หนึ่งแต่ไม่มีคำตอบ ก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ

“ไม่มีปัญหา เขาไม่ใช่คนที่เจ้าอารมณ์เพียงนั้น” ซ่งชูอีดึงความคิดกลับมา ยิ้มเอ่ย “ไปทำงานเถิด”

สาเหตุหลักที่หมี่จีไม่สบายใจเพราะกลัวว่าซ่งชูอีจะเข้าใจผิด แขกผู้สูงส่งเพิ่งเข้ามาในจวน กลับถูกนาง “ชน” เข้าโดยบังเอิญ ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็เหมือนกับรีบโผตัวเข้ากอด ทว่าซ่งชูอีมิได้เอ่ยมันขึ้นมา หากนางร้อนตัวอธิบาย มันจะเหมือนยิ่งพยายามปกปิดหรือเปล่า?

ซ่งชูอีหมุนตัวจัดเรียงกระดานหมากต่อ ไม่ต้องการพูดอะไรอีก

ในลานของหมี่จีไม่มีห้องอาบน้ำ หลังจากนางจัดของในห้องเก็บของแล้วก็ออกมาอาบน้ำที่ห้องน้ำใหญ่ ที่นั่นมีเพียงสระน้ำพุร้อนแกะสลักหยกแห่งเดียวเท่านั้น แน่นอนว่านางไม่กล้าลงไปอาบน้ำกลางสระ จึงตักน้ำมาเช็ดตัวที่ห้องข้างๆ ซึ่งมิใช่เรื่องแปลกเลย

หลายวันนี้ทุกพฤติกรรมของหมี่จีล้วนอยู่ในสายตาของซ่งชูอี การเจอกับอิ๋งซื่อเกรงว่าเป็นเพียงเรื่องบังเอิญเท่านั้น หากนางไม่มีความสามารถแม้แต่การแยกแยะผิดถูกในจุดนี้ จะคุยเรื่องการวางกลยุทธ์ของรัฐได้อย่างไร? เพียงแต่นางตั้งใจที่จะสังเกตอุปนิสัยของหมี่จีต่อไป ดังนั้นนางจึงไม่เปิดเผยท่าทีของตน

หมี่จีออกมาจากห้องหนังสือ ยืนอยู่ตรงทางเดิน หมอกร้อนๆ ผุดขึ้นในดวงตา นางไม่รู้ว่าเพราะวาสนาในชาติใดที่ทำให้มีโอกาสกลับตัวเช่นนี้ แต่เกือบจะสูญเสียมันไปเพราะความประมาท

นิ่งสักพัก นางก็เก็บน้ำตาของตัวเองกลับเข้าไป ไปที่ห้องหนังสือเล็กที่ลานด้านหน้า จัดเก็บสิ่งของในห้องเก็บของทีละรายการ

ตอนที่หมี่จียังเป็นเด็กเคยเรียนตัวหนังสือเพียงไม่กี่ตัว จำได้ไม่มาก ทว่านางหาทางของตัวเองโดยใช้วงกลมและจุดต่างๆ ในการแสดงแต่ละตัวอักษร จึงสามารถจำได้จำนวนหนึ่ง ในจวนมีบ่าวที่รู้หนังสือชื่อว่าสวีไป่ นางกำหนดปริมาณที่ระบุโดยวงกลมเหล่านี้และบอกให้สวีไป่รู้ จากนั้นก็ให้เขาถอดความเป็นบัญชีที่คนอื่นเข้าใจได้

“วันนี้ก็สอนนางเขียนหนังสืออีกรึ?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม

หนิงยาตอบด้วยความนอบน้อม “สอนแล้วเจ้าค่ะ นางเรียนรู้เร็วมาก ใช้ความพยายามเพียงแค่ไม่กี่วัน ก็สามารถจำตัวอักษรทั้งหมดใน ‘กกอ้อ’ ได้แล้ว”

‘กกอ้อ’ คือเพลงพื้นบ้านในสมัยหล่งซีซึ่งปัจจุบันถูกบันทึกรวมอยู่ใน ‘บทกวี’ รวมกับเพลงพื้นบ้านอีกสิบชิ้นเรียกรวมกันว่า ‘ฉินเฟิง (บทกวีโบราณแห่งฉิน)’ บทกวีกกอ้อไม่ยาว มีทั้งหมดหนึ่งร้อยคำ ทั้งยังมีประโยคซ้ำกันมากมาย ทว่าการที่หมี่จีสามารถเรียนรู้ได้ภายในไม่กี่วันก็อยู่นอกเหนือความคาดหมายของซ่งชูอี

“พี่หมี่จีฉลาดดกว่าหนิงยาอีก” หนิงยาเอ่ยด้วยความอิจฉา ตอนนั้นซ่งชูอีสอนนางด้วยตัวเอง นางต้องใช้เวลาถึงหนึ่งเดือนจึงจะอ่านออกเขียนได้ทั้งหมด

“วันหนึ่งเจ้าอ่านออกสองคำก็ฉลาดมากแล้ว จะอิจฉาคนอื่นไปทำไม” ซ่งชูอีส่งสัญญาณให้นางนั่งลงตำแหน่งตรงข้าม “นั่งเข้ามาใกล้หน่อย ข้าจะสอนเจ้าเดินหมาก”

“เจ้าค่ะ!” หนิงยากระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันใด นับตั้งแต่หมี่จีดูแลงานบ้านภายในจวน สภาพยุ่งเหยิงของหยิงยาก็ผ่อนคลายลงมาทันใด ทุกวันสิ่งเดียวที่ต้องทำก็คือป้อนอาหารให้กับไป๋เริ่นและจินเกอ วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าจริงๆ

ในขณะที่ซ่งชูอีกำลังวางตัวหมากลงบนกระดานว่างเปล่าก็เอ่ยว่า “ข้าให้หมี่จีเตรียมชุดสวยๆ ให้เจ้า พอถึงฤดูใบไม้ผลิ เจ้าก็พาพวกแม่นางสองสามคนในจวนออกไปเดินเล่น อย่าเลียนแบบแม่นางสกุลเจินที่วันๆ เอาแต่หมกอยู่ในบ้าน สมองอุดอู้จนพังไปหมดแล้ว”

หนิงยาช่วยแยกตัวหมาก ได้ยินซ่งชูอีกล่าวเช่นนี้ ก็ดีใจเป็นอย่างยิ่งพร้อมส่ายหัวเอ่ย “พวกเราออกไปเที่ยวกันหมดแล้วใครจะดูแลท่านล่ะเจ้าคะ?”

ซ่งชูอีดีดหน้าผากของนาง กล่าวด้วยความโมโหเล็กน้อย “เจ้าคิดว่าข้าจะอยู่เฉยๆ เช่นนี้ได้ทั้งวันรึ? ไม่ต้องห่วง”

หนิงยาหัวเราะแหะๆ หนิงยาได้เห็นด้านที่เย็นชาของซ่งชูอีเนื่องจากเหตุการณ์ของจื๋อหย่า ดังนั้นจึงกลัวนางเป็นพิเศษ เมื่อได้ใกล้ชิดกับซ่งชูอีอีกครั้งในช่วงนี้ ก็ค่อยๆ เข้าใจนิสัยของนาง…ตราบใดที่ไม่ทำให้นางหมดความอดทน นางก็เป็นคนที่อ่อนโยนมากคนหนึ่ง

ทั้งสองคนพูดคุยและหัวเราะกัน แต่แล้วก็ได้ยินขันทีเถารายงานอยู่หน้าประตู “เซ่าซ่างเจ้า”

ซ่งชูอีประหลาดใจเล็กน้อย ลุกขึ้นออกไปรับหน้า เห็นเพียงขันทีเถาผู้เดียว

“ขันทีเถา เชิญเข้ามา” ซ่งชูอีเอ่ย

ขันทีเถารีบค้อมคำนับ ตอบว่า “บ่าวไม่เข้าไปดีกว่า ฝ่าบาทต้องการจะงีบสักครู่ ให้บ่าวมารายงานท่าน”

ไปนอนที่ไหนเล่า? ซ่งชูอีอ้าปาก กลืนคำพูดที่ต้องการเอ่ยลงไป องค์จวินแห่งรัฐมาถึงนี่จะให้นอนห้องเล็กหรืออย่างไรกัน! นางคิดว่าเขาจะต้องไปนอนที่ห้องนอนใหญ่เป็นแน่…ที่นั่นเป็นรังของนางเชียวนะ!

“หากเซ่าซ่างเจ้าไม่มีอะไรแล้ว บ่าวจะกลับไปปรนนิบัติฝ่าบาท” ขันทีเถาเอ่ยด้วยความนอบน้อม

“ได้” ซ่งชูอีพยักหน้า

มองขันทีเถาลับตา ซ่งชูอีถอนหายใจเฮือกหนึ่ง หมุนตัวกลับไป

กลางวันในฤดูหนาวนั้นสั้น อีกทั้งพอผ่านช่วงบ่ายไปแล้วตรงทางเดินก็หนาวจนทนไม่ไหว ซ่งชูอีจึงให้หนิงยาเก็บของแล้วกลับห้องไปก่อไฟ

เจียนกล่าวราวงาน “ท่านขอรับ ท่านเสนาบดีฝ่ายขวาให้คนส่งเอกสารม้วนหนึ่งมาให้ท่าน”

ซ่งชูอีกวักๆ มือ ส่งสัญญาณให้เขาเอามา

สองมือของเจียนยื่นม้วนไผ่ให้

ซ่งชูอีเปิดออกอ่าน ตกอยู่ในความเงียบ นี่คือข่าวขององค์รัชทายาทเว่ยและองค์ชายทุกคนที่ชูหลี่จี๋ส่งมาให้นางโดยเฉพาะ

อิ๋งซื่อเห็นใจที่ร่างกายของซ่งชูอีอ่อนแอ จึงไม่ได้ให้นางเข้าร่วมกลยุทธ์ต่อต้านรัฐเว่ยด้วย อย่างไรก็ดีการที่นางบีบให้หมิ่นฉือติดอยู่ในรัฐเว่ยก็เพื่อรอโอกาสนี้ไม่ใช่หรือ? บัดนี้โอกาสมาถึงแล้ว นางจะปล่อยไปได้อย่างไร?

นิ้วของซ่งชูอีลูบคลำแผ่นไผ่ กระตุกยิ้มจางๆ

กลางวันในฤดูหนาวนั้นสั้น พระอาทิตย์ตกดินโดยไม่รู้ตัวแล้ว

หลังจากซ่งชูอีกินอาหารค่ำเสร็จแล้วก็เอนตัวอยู่บนฟูกในห้องหนังสือครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าหลับไปนานเพียงใดก็ได้ยินเสียงเอะอะในลาน จึงตะโกนขึ้น “หนิงยา?”

“ท่าน” หนิงยาวิ่งเหยาะเข้ามาจากนอกห้อง

ซ่งชูอีลุกขึ้นคลุมเสื้อตัวนอก “ข้างนอกเกิดอะไรขึ้น?”

“เมื่อครู่ท่านแม่ทัพกลับมา บุกเข้าไปในห้องนอน ตอนนี้ข้างในกำลังสู้กันใหญ่เลยเจ้าค่ะ!” หนิงยาดูไม่เป็นกังวลเลย ทั้งยังมีท่าทีตื่นเต้นที่จะได้ดูเรื่องสนุกอย่างไรอย่างนั้น

ซ่งชูอีมองดูสีหน้าไร้กังวลของนาง ก็จ้องนางด้วยความดุดัน รีบเดินออกไปข้างนอกพลางเอ่ยว่า “เจ้ามองดูความครึกครื้นโดยไม่จัดลำดับความสำคัญ นั่นเป็นองค์จวินเชียวนะ จะสู้กันส่งเดชได้เยี่ยงไร!”

“ท่านกล่าวว่าฝ่าบาทใจกว้างมากไม่ใช่หรือเจ้าคะ?” หนิงยาตามไป

ใจกว้าง…กับสาวงามที่ประมาทเลินเล่อกับชายหนุ่มที่แลกหมัดกัน มันเหมือนกันด้วยรึ!

ซ่งชูอีไม่มีแรงอธิบายกับนาง พุ่งไปที่ประตูห้องนอนทันที เห็นบ่าวไพร่สองสามคนยืนมองอยู่ที่หน้าประตู ไม่กล้าเข้าไป ขันทีเถาถูกตีจบสลบไปกับพื้นแล้ว ภายในห้องเสียงดังโครมครามครึกครื้นเป็นพิเศษจริงๆ

“เจ้าอี่โหลว! เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ!” ซ่งชูอีเข้าห้องไป เห็นเงาของสองคนพัวพันอยู่ด้วยกันก็ตะโกนขึ้นทันที

หากอิ๋งซื่อเอาความเรื่องนี้ก็เท่ากับเป็นการปลงพระชนม์เชียว! ซ่งชูอีมีเหงื่อซึมบนหน้าผาก

เจ้าอี่โหลวได้ยินเสียงของนางแล้วก็หยุดกะทันหัน อิ๋งซื่อยังไม่ได้ดึงหมัดกลับ ฟาดหน้าอกเขาไปเต็มแรง แรงสั่นสะเทือนทำให้เขาถอยหลังไปสามสี่ก้าว

“ยังไม่รีบขออภัยโทษจากฝ่าบาทอีก!” ซ่งชูอีเอ่ยด้วยน้ำเสียงล้ำลึก

เจ้าอี่โหลวเหลือบมองอิ๋งซื่อด้วยความเย็นชา หมุนตัวกำลังจะก้าวออกไป ซ่งชูอีพูดขึ้น “หากออกไปจากประตูนี้แล้ว ก็ไม่ต้องกลับมาอีก!”

ซ่งชูอีรู้ว่าเมื่อก่อนเขายืนอยู่บนจุดสูงสุดของอำนาจได้รับการเทิดทูนจากผู้คน หลังจากเร่ร่อนอยู่ในป่าเขาแล้วก็ค่อยๆ แปลกแยกจากทางโลกมากขึ้น ทว่าในเมื่อตอนนี้เลือกที่จะยืนอยู่ตรงนี้แล้ว ก็ต้องจัดการกับอารมณ์ร้ายนั้นให้ได้ ลักษณะเช่นนี้จะต้องไม่ดำเนินต่อไป!

“ไม่ต้อง” อิ๋งซื่อหยิบเสื้อคลุมจากเตียงขึ้นมาสวมใส่ ก้าวออกจากห้องก่อนแล้วเดินออกไปจากจวนโดยตรง

ซ่งชูอีถอนหายใจโล่งใจเล็กน้อย หันไปเห็นเส้นเอ็นเขียวปูดบนหน้าผากของเจ้าอี่โหลวและดวงตาแดงก่ำ แข็งใจทำสีหน้าบึ้งตึง “เจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังทำอะไรอยู่? เจ้าสามารถก้มหัวให้กับซย่าเฉวียนได้ แล้วเหตุใดจึงเอาแต่ใจต่อหน้าจวินแห่งรัฐเล่า! นี่มันเรียกว่าอะไร? วางแผนปลงพระชนม์!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ 260 ต่อสู้กันอย่างครึกครื้น

Now you are reading กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ Chapter 260 ต่อสู้กันอย่างครึกครื้น at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

แม้ว่าหมี่จีจะใจเย็นอยู่เสมอ ก็ยังเขินอายกับคำพูดที่ไม่เหมาะสมนี้จนหน้าแดง

ซ่งชูอีเพียงพูดไปส่งเดชเท่านั้น ทว่าดูจากปฏิกิริยาของหมี่จีแล้ว กล้าพนันได้เลยว่าเขาไม่ได้ใส่อะไรจริงๆ!

ในฐานะขุนนางและเจ้านายของจวนหลังนี้ จะต้องไปขอขมาตอนนี้หรือเปล่านะ…

“ท่าน…” หมี่จีรออยู่ครู่หนึ่งแต่ไม่มีคำตอบ ก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ

“ไม่มีปัญหา เขาไม่ใช่คนที่เจ้าอารมณ์เพียงนั้น” ซ่งชูอีดึงความคิดกลับมา ยิ้มเอ่ย “ไปทำงานเถิด”

สาเหตุหลักที่หมี่จีไม่สบายใจเพราะกลัวว่าซ่งชูอีจะเข้าใจผิด แขกผู้สูงส่งเพิ่งเข้ามาในจวน กลับถูกนาง “ชน” เข้าโดยบังเอิญ ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็เหมือนกับรีบโผตัวเข้ากอด ทว่าซ่งชูอีมิได้เอ่ยมันขึ้นมา หากนางร้อนตัวอธิบาย มันจะเหมือนยิ่งพยายามปกปิดหรือเปล่า?

ซ่งชูอีหมุนตัวจัดเรียงกระดานหมากต่อ ไม่ต้องการพูดอะไรอีก

ในลานของหมี่จีไม่มีห้องอาบน้ำ หลังจากนางจัดของในห้องเก็บของแล้วก็ออกมาอาบน้ำที่ห้องน้ำใหญ่ ที่นั่นมีเพียงสระน้ำพุร้อนแกะสลักหยกแห่งเดียวเท่านั้น แน่นอนว่านางไม่กล้าลงไปอาบน้ำกลางสระ จึงตักน้ำมาเช็ดตัวที่ห้องข้างๆ ซึ่งมิใช่เรื่องแปลกเลย

หลายวันนี้ทุกพฤติกรรมของหมี่จีล้วนอยู่ในสายตาของซ่งชูอี การเจอกับอิ๋งซื่อเกรงว่าเป็นเพียงเรื่องบังเอิญเท่านั้น หากนางไม่มีความสามารถแม้แต่การแยกแยะผิดถูกในจุดนี้ จะคุยเรื่องการวางกลยุทธ์ของรัฐได้อย่างไร? เพียงแต่นางตั้งใจที่จะสังเกตอุปนิสัยของหมี่จีต่อไป ดังนั้นนางจึงไม่เปิดเผยท่าทีของตน

หมี่จีออกมาจากห้องหนังสือ ยืนอยู่ตรงทางเดิน หมอกร้อนๆ ผุดขึ้นในดวงตา นางไม่รู้ว่าเพราะวาสนาในชาติใดที่ทำให้มีโอกาสกลับตัวเช่นนี้ แต่เกือบจะสูญเสียมันไปเพราะความประมาท

นิ่งสักพัก นางก็เก็บน้ำตาของตัวเองกลับเข้าไป ไปที่ห้องหนังสือเล็กที่ลานด้านหน้า จัดเก็บสิ่งของในห้องเก็บของทีละรายการ

ตอนที่หมี่จียังเป็นเด็กเคยเรียนตัวหนังสือเพียงไม่กี่ตัว จำได้ไม่มาก ทว่านางหาทางของตัวเองโดยใช้วงกลมและจุดต่างๆ ในการแสดงแต่ละตัวอักษร จึงสามารถจำได้จำนวนหนึ่ง ในจวนมีบ่าวที่รู้หนังสือชื่อว่าสวีไป่ นางกำหนดปริมาณที่ระบุโดยวงกลมเหล่านี้และบอกให้สวีไป่รู้ จากนั้นก็ให้เขาถอดความเป็นบัญชีที่คนอื่นเข้าใจได้

“วันนี้ก็สอนนางเขียนหนังสืออีกรึ?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม

หนิงยาตอบด้วยความนอบน้อม “สอนแล้วเจ้าค่ะ นางเรียนรู้เร็วมาก ใช้ความพยายามเพียงแค่ไม่กี่วัน ก็สามารถจำตัวอักษรทั้งหมดใน ‘กกอ้อ’ ได้แล้ว”

‘กกอ้อ’ คือเพลงพื้นบ้านในสมัยหล่งซีซึ่งปัจจุบันถูกบันทึกรวมอยู่ใน ‘บทกวี’ รวมกับเพลงพื้นบ้านอีกสิบชิ้นเรียกรวมกันว่า ‘ฉินเฟิง (บทกวีโบราณแห่งฉิน)’ บทกวีกกอ้อไม่ยาว มีทั้งหมดหนึ่งร้อยคำ ทั้งยังมีประโยคซ้ำกันมากมาย ทว่าการที่หมี่จีสามารถเรียนรู้ได้ภายในไม่กี่วันก็อยู่นอกเหนือความคาดหมายของซ่งชูอี

“พี่หมี่จีฉลาดดกว่าหนิงยาอีก” หนิงยาเอ่ยด้วยความอิจฉา ตอนนั้นซ่งชูอีสอนนางด้วยตัวเอง นางต้องใช้เวลาถึงหนึ่งเดือนจึงจะอ่านออกเขียนได้ทั้งหมด

“วันหนึ่งเจ้าอ่านออกสองคำก็ฉลาดมากแล้ว จะอิจฉาคนอื่นไปทำไม” ซ่งชูอีส่งสัญญาณให้นางนั่งลงตำแหน่งตรงข้าม “นั่งเข้ามาใกล้หน่อย ข้าจะสอนเจ้าเดินหมาก”

“เจ้าค่ะ!” หนิงยากระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันใด นับตั้งแต่หมี่จีดูแลงานบ้านภายในจวน สภาพยุ่งเหยิงของหยิงยาก็ผ่อนคลายลงมาทันใด ทุกวันสิ่งเดียวที่ต้องทำก็คือป้อนอาหารให้กับไป๋เริ่นและจินเกอ วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าจริงๆ

ในขณะที่ซ่งชูอีกำลังวางตัวหมากลงบนกระดานว่างเปล่าก็เอ่ยว่า “ข้าให้หมี่จีเตรียมชุดสวยๆ ให้เจ้า พอถึงฤดูใบไม้ผลิ เจ้าก็พาพวกแม่นางสองสามคนในจวนออกไปเดินเล่น อย่าเลียนแบบแม่นางสกุลเจินที่วันๆ เอาแต่หมกอยู่ในบ้าน สมองอุดอู้จนพังไปหมดแล้ว”

หนิงยาช่วยแยกตัวหมาก ได้ยินซ่งชูอีกล่าวเช่นนี้ ก็ดีใจเป็นอย่างยิ่งพร้อมส่ายหัวเอ่ย “พวกเราออกไปเที่ยวกันหมดแล้วใครจะดูแลท่านล่ะเจ้าคะ?”

ซ่งชูอีดีดหน้าผากของนาง กล่าวด้วยความโมโหเล็กน้อย “เจ้าคิดว่าข้าจะอยู่เฉยๆ เช่นนี้ได้ทั้งวันรึ? ไม่ต้องห่วง”

หนิงยาหัวเราะแหะๆ หนิงยาได้เห็นด้านที่เย็นชาของซ่งชูอีเนื่องจากเหตุการณ์ของจื๋อหย่า ดังนั้นจึงกลัวนางเป็นพิเศษ เมื่อได้ใกล้ชิดกับซ่งชูอีอีกครั้งในช่วงนี้ ก็ค่อยๆ เข้าใจนิสัยของนาง…ตราบใดที่ไม่ทำให้นางหมดความอดทน นางก็เป็นคนที่อ่อนโยนมากคนหนึ่ง

ทั้งสองคนพูดคุยและหัวเราะกัน แต่แล้วก็ได้ยินขันทีเถารายงานอยู่หน้าประตู “เซ่าซ่างเจ้า”

ซ่งชูอีประหลาดใจเล็กน้อย ลุกขึ้นออกไปรับหน้า เห็นเพียงขันทีเถาผู้เดียว

“ขันทีเถา เชิญเข้ามา” ซ่งชูอีเอ่ย

ขันทีเถารีบค้อมคำนับ ตอบว่า “บ่าวไม่เข้าไปดีกว่า ฝ่าบาทต้องการจะงีบสักครู่ ให้บ่าวมารายงานท่าน”

ไปนอนที่ไหนเล่า? ซ่งชูอีอ้าปาก กลืนคำพูดที่ต้องการเอ่ยลงไป องค์จวินแห่งรัฐมาถึงนี่จะให้นอนห้องเล็กหรืออย่างไรกัน! นางคิดว่าเขาจะต้องไปนอนที่ห้องนอนใหญ่เป็นแน่…ที่นั่นเป็นรังของนางเชียวนะ!

“หากเซ่าซ่างเจ้าไม่มีอะไรแล้ว บ่าวจะกลับไปปรนนิบัติฝ่าบาท” ขันทีเถาเอ่ยด้วยความนอบน้อม

“ได้” ซ่งชูอีพยักหน้า

มองขันทีเถาลับตา ซ่งชูอีถอนหายใจเฮือกหนึ่ง หมุนตัวกลับไป

กลางวันในฤดูหนาวนั้นสั้น อีกทั้งพอผ่านช่วงบ่ายไปแล้วตรงทางเดินก็หนาวจนทนไม่ไหว ซ่งชูอีจึงให้หนิงยาเก็บของแล้วกลับห้องไปก่อไฟ

เจียนกล่าวราวงาน “ท่านขอรับ ท่านเสนาบดีฝ่ายขวาให้คนส่งเอกสารม้วนหนึ่งมาให้ท่าน”

ซ่งชูอีกวักๆ มือ ส่งสัญญาณให้เขาเอามา

สองมือของเจียนยื่นม้วนไผ่ให้

ซ่งชูอีเปิดออกอ่าน ตกอยู่ในความเงียบ นี่คือข่าวขององค์รัชทายาทเว่ยและองค์ชายทุกคนที่ชูหลี่จี๋ส่งมาให้นางโดยเฉพาะ

อิ๋งซื่อเห็นใจที่ร่างกายของซ่งชูอีอ่อนแอ จึงไม่ได้ให้นางเข้าร่วมกลยุทธ์ต่อต้านรัฐเว่ยด้วย อย่างไรก็ดีการที่นางบีบให้หมิ่นฉือติดอยู่ในรัฐเว่ยก็เพื่อรอโอกาสนี้ไม่ใช่หรือ? บัดนี้โอกาสมาถึงแล้ว นางจะปล่อยไปได้อย่างไร?

นิ้วของซ่งชูอีลูบคลำแผ่นไผ่ กระตุกยิ้มจางๆ

กลางวันในฤดูหนาวนั้นสั้น พระอาทิตย์ตกดินโดยไม่รู้ตัวแล้ว

หลังจากซ่งชูอีกินอาหารค่ำเสร็จแล้วก็เอนตัวอยู่บนฟูกในห้องหนังสือครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าหลับไปนานเพียงใดก็ได้ยินเสียงเอะอะในลาน จึงตะโกนขึ้น “หนิงยา?”

“ท่าน” หนิงยาวิ่งเหยาะเข้ามาจากนอกห้อง

ซ่งชูอีลุกขึ้นคลุมเสื้อตัวนอก “ข้างนอกเกิดอะไรขึ้น?”

“เมื่อครู่ท่านแม่ทัพกลับมา บุกเข้าไปในห้องนอน ตอนนี้ข้างในกำลังสู้กันใหญ่เลยเจ้าค่ะ!” หนิงยาดูไม่เป็นกังวลเลย ทั้งยังมีท่าทีตื่นเต้นที่จะได้ดูเรื่องสนุกอย่างไรอย่างนั้น

ซ่งชูอีมองดูสีหน้าไร้กังวลของนาง ก็จ้องนางด้วยความดุดัน รีบเดินออกไปข้างนอกพลางเอ่ยว่า “เจ้ามองดูความครึกครื้นโดยไม่จัดลำดับความสำคัญ นั่นเป็นองค์จวินเชียวนะ จะสู้กันส่งเดชได้เยี่ยงไร!”

“ท่านกล่าวว่าฝ่าบาทใจกว้างมากไม่ใช่หรือเจ้าคะ?” หนิงยาตามไป

ใจกว้าง…กับสาวงามที่ประมาทเลินเล่อกับชายหนุ่มที่แลกหมัดกัน มันเหมือนกันด้วยรึ!

ซ่งชูอีไม่มีแรงอธิบายกับนาง พุ่งไปที่ประตูห้องนอนทันที เห็นบ่าวไพร่สองสามคนยืนมองอยู่ที่หน้าประตู ไม่กล้าเข้าไป ขันทีเถาถูกตีจบสลบไปกับพื้นแล้ว ภายในห้องเสียงดังโครมครามครึกครื้นเป็นพิเศษจริงๆ

“เจ้าอี่โหลว! เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ!” ซ่งชูอีเข้าห้องไป เห็นเงาของสองคนพัวพันอยู่ด้วยกันก็ตะโกนขึ้นทันที

หากอิ๋งซื่อเอาความเรื่องนี้ก็เท่ากับเป็นการปลงพระชนม์เชียว! ซ่งชูอีมีเหงื่อซึมบนหน้าผาก

เจ้าอี่โหลวได้ยินเสียงของนางแล้วก็หยุดกะทันหัน อิ๋งซื่อยังไม่ได้ดึงหมัดกลับ ฟาดหน้าอกเขาไปเต็มแรง แรงสั่นสะเทือนทำให้เขาถอยหลังไปสามสี่ก้าว

“ยังไม่รีบขออภัยโทษจากฝ่าบาทอีก!” ซ่งชูอีเอ่ยด้วยน้ำเสียงล้ำลึก

เจ้าอี่โหลวเหลือบมองอิ๋งซื่อด้วยความเย็นชา หมุนตัวกำลังจะก้าวออกไป ซ่งชูอีพูดขึ้น “หากออกไปจากประตูนี้แล้ว ก็ไม่ต้องกลับมาอีก!”

ซ่งชูอีรู้ว่าเมื่อก่อนเขายืนอยู่บนจุดสูงสุดของอำนาจได้รับการเทิดทูนจากผู้คน หลังจากเร่ร่อนอยู่ในป่าเขาแล้วก็ค่อยๆ แปลกแยกจากทางโลกมากขึ้น ทว่าในเมื่อตอนนี้เลือกที่จะยืนอยู่ตรงนี้แล้ว ก็ต้องจัดการกับอารมณ์ร้ายนั้นให้ได้ ลักษณะเช่นนี้จะต้องไม่ดำเนินต่อไป!

“ไม่ต้อง” อิ๋งซื่อหยิบเสื้อคลุมจากเตียงขึ้นมาสวมใส่ ก้าวออกจากห้องก่อนแล้วเดินออกไปจากจวนโดยตรง

ซ่งชูอีถอนหายใจโล่งใจเล็กน้อย หันไปเห็นเส้นเอ็นเขียวปูดบนหน้าผากของเจ้าอี่โหลวและดวงตาแดงก่ำ แข็งใจทำสีหน้าบึ้งตึง “เจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังทำอะไรอยู่? เจ้าสามารถก้มหัวให้กับซย่าเฉวียนได้ แล้วเหตุใดจึงเอาแต่ใจต่อหน้าจวินแห่งรัฐเล่า! นี่มันเรียกว่าอะไร? วางแผนปลงพระชนม์!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+