กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ 372 เป็นหวังโฮ่วของข้า

Now you are reading กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ Chapter 372 เป็นหวังโฮ่วของข้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ซ่งชูอีอึ้งไปเล็กน้อยและตอบในทันที “พ่ะย่ะค่ะ”

“เวลาไม่เช้าแล้ว เดินหมากกันสักตาเถิด กว่าเหรินยังไม่เคยเดินหมากกับไท่ฟู่อย่างจริงจังเลย” อิ๋งซื่อเอ่ย

“พ่ะย่ะค่ะ” ซ่งชูอีรับคำ

ขันทีเถาสั่งให้เด็กรับใช้ยกโต๊ะกระดานเข้ามา ทั้งสองเริ่มเดินหมากภายในหอคอย

รูปแบบการเดินหมากของอิ๋งซื่อเหมือนกับอารมณ์และพฤติกรรมของเขา ดูเหมือนสงบนิ่งแต่แฝงไปด้วยแรงผลักดันที่ท่วมท้นจนทำให้ผู้คนหายใจหายคอไม่ออก ซ่งชูอียังคงเดินหมากทีละขั้นโดยปกปิดความปรารถนาที่จะฆ่าอย่างระมัดระวัง

หมากครั้งนี้ไม่ได้เดินนานนัก เพียงแต่สองเค่อก็เสร็จสิ้นแล้ว ซ่งชูอีพ่ายแพ้

“ไท่ฟู่กำลังคิดอะไรอยู่?” อิ๋งซื่อถาม

ซ่งชูอีสบตาที่ดำขลับของเขา ยิ้มเอ่ย “ฝ่าบาทกำหนดกลยุทธ์การต่อสู้ กระหม่อมจะไม่สั่นสะท้านได้อย่างไร?”

อิ๋งซื่อรับผ้าเช็ดหน้าจากขันทีมาเช็ดมือ ทำเป็นหูทวนลมกับคำเยินยอของนาง

ทั้งสองคนเดินหมากกันอีกครั้ง ครั้งนี้ซ่งชูอีมีสมาธิดีเยี่ยม หลังจากหนึ่งชั่วยามให้หลังก็เข้าสู่กลางกระดาน อิ๋งซื่อตามหลังอยู่ครึ่งตา ทว่าสถานการณ์โดยรวมกลับไม่ได้ตามหลังเลย

ดูท่าว่าจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งชั่วยามในการแบ่งชัยชนะหรือความพ่ายแพ้ ตำแหน่งของอิ๋งซื่อไม่ขยับเขยื้อนเลย “ค่อยหาเวลาเล่นหมากนี้ให้จบเถิด คืนนี้พอแค่นี้”

แน่นอนว่าซ่งชูอีไม่มีความเห็น

ข้างนอกฟ้ามืดแล้ว อิ๋งซื่ออาบน้ำเรียบร้อย

ในอดีตเวลาที่ซ่งชูอีค้างแรมก็จะนอนในห้องเล็กตามลำพัง บางครั้งก็ไม่ได้แตะเตียงเลยทั้งคืน ซ่งชูอีรู้สึกประหลาดใจ ค้างแรมก็ค้างแรมไปสิ นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกเสียหน่อย ทว่าอากาศเย็นเช่นนี้จะอาบน้ำอะไรกัน ไม่ได้นอนบนเตียงท่านอ๋องเสียหน่อย!

ไม่ช้านางก็ได้รับคำตอบว่าคืนนี้นางจะต้องนอนร่วมเตียงกับกษัตริย์จริงๆ!

เมื่อกลับมาถึงห้องบรรทมบนหอคอย อิ๋งซื่อก็อาบน้ำเรียบร้อยแล้ว เขาเอนกายลงบนเตียงพร้อมอ่านเอกสาร ยังคงสวมเสื้อแขนยาวสีดำที่ไม่มีลวดลายแม้แต่น้อย ตัวเขาหลอมละลายไปกับความหนาวเย็นทำให้รู้สึกกดดันและขึงขัง โชคดีที่ตัวเขาอาบไล้อยู่ภายใต้แสงสีส้มซึ่งเพิ่มความอบอุ่นและนุ่มนวลให้กับความหนาวเย็นนั้นเล็กน้อย

ซ่งชูอีลอบด่าเว่ยเต้าจื่อ เรื่องพรรค์นี้เรียกแขกได้ดีจริงๆ!

นางไม่ได้รังเกียจ เพียงแต่ชายรูปงามเช่นนี้อยู่ตรงหน้า ทั้งยังร่วมเตียงเดียวกัน…

เมื่อมีอาหารอันโอชะอยู่ข้างปาก นางจะกินหรือว่าไม่กินดีเล่า?

หลังจากอิ๋งซื่ออ่านม้วนเอกสารในมือจบแล้ว ก็ยื่นมือไปหยิบอีกม้วน มองนางผ่านช่องว่าง “คิดจะยืนอีกนานแค่ไหน?”

“แค่ก” ซ่งชูอีไอเสียงหนึ่ง ค่อยๆ เขยิบไปที่ด้านข้างของเตียง

ขันทีเถาอุ้มหมอนหยกปีนขึ้นไปบนเตียงแล้ววางมันไว้ด้านในข้างอิ๋งซื่อ หลังจากลงจากเตียงแล้วก็ค้อมตัวเอ่ย “ไท่ฟู่เชิญ”

“กระหม่อมควรนอนด้านนอกไม่ใช่หรอกหรือ?” แม้ว่าซ่งชูอีจะไม่เคยนอนร่วมเตียงกับกษัตริย์แต่ก็รู้กฎเล็กน้อย

เมื่อเห็นว่าอิ๋งซื่อไม่ตอบ ขันทีเถาก็โค้งคำนับ “ไท่ฟู่ ท่านอ๋องต้องการอ่านเอกสาร ต้องใช้แสงสว่าง”

ซ่งชูอีไม่พูดมากอีกต่อไป ปีนขึ้นไปบนเตียงทันทีแล้วขยับตัวเข้าไปนั่งขัดสมาธิด้านในที่ข้างเท้าอิ๋งซื่อ

เมื่อขันทีเถาเห็นเช่นนี้ก็โค้งคำนับและถอยออกไป สั่งให้เด็กรับใช้ลดผ้าม่านในห้องบรรทมลง

“ฝ่าบาทรีบพักผ่อนหน่อยดีหรือไม่?” ซ่งชูอีเต็มไปด้วยความคิดที่จะสอบถามเกี่ยวกับสงครามระหว่างฉินและเว่ย เดิมทีก็นอนไม่หลับอยู่แล้ว บวกกับอิ๋งซื่อไม่ได้นอนก็ไม่ใคร่ดีนักที่นางจะนอนลง

“อืม” อิ๋งซือปิดม้วนเอกสาร นิ้วเรียวยาวลูบมันอย่างแผ่วเบาอีกครั้งก่อนจะวางลงบนโต๊ะตัวเตี้ย

ด้วยการกระทำเพียงแค่นี้ ซ่งชูอีก็สามารถเข้าใจถึงความอาลัยอาวรณ์อันไม่มีที่สิ้นสุดของเขา

อิ๋งซื่อยกมือขึ้นเพื่อปลดม่านเตียงลง แสงไฟภายในสลัวลงทันที

ซ่งชูอีสายตาไม่ดี แทบมองไม่เห็นอะไรเลยในแสงเช่นนี้ นางได้ยินเสียงสวบสาบก็คาดว่าอิ๋งซื่อคงนอนลงแล้ว นางจึงคลำหาหมอนหยกแล้วนอนลง

เมื่อศีรษะของนางสัมผัสอยู่บนหมอนก็กลับรู้สึกประหลาดใจที่ไม่ใช่สัมผัสเย็นของหยก แต่กลับเป็ยสิ่งที่อบอุ่นและนุ่มนวล นางคลำดูก็พบว่ามันคือมือใหญ่มือหนึ่ง

อิ๋งซื่อยกศีรษะของนางขึ้นมา มืออีกข้างหนึ่งดึงหมอนอิงของตัวเองแล้ววางเข้าไปอย่างเบามือ

“ฝ่าบาท…” ซ่งชูอีเดาว่ามันคือหมอน ในใจรู้ว่าอิ๋งซื่อกลัวว่าหมอนหยกในฤดูหนาวจะหนุนได้ไม่สบายนัก “ปกติกระหม่อมอยู่ที่บ้านก็หนุนสิ่งนี้ ฝ่าบาทเอาไปหนุนเถิด”

“เช่นนั้นก็ทิ้งไปเสีย” อิ๋งซื่อกล่าวอย่างเฉยเมย

ซ่งชูอีกล้าทิ้งที่ไหนกัน ทำได้เพียงหนุนมัน หมอนมีกลิ่นของอิ๋งซื่อที่ผสมกับกลิ่นธูปผ่อนคลายอ่อนๆ ซึ่งทำให้รู้สึกสบายใจ ผ่อนคลายความวิตกกังวลในหัวใจของซ่งชูอี “ฝ่าบาทมีเรื่องจะพูดไม่ใช่หรือ?”

“เมื่อคืนข้าฝัน” อิ๋งซื่อไม่ได้แทนตัวเองว่า “กว่าเหริน” อีก น้ำเสียงอ่อนโยนกว่าที่เคย ราวกับว่าเป็นคนธรรมดาที่กำลังสนทนากัน ถ้าไม่ใช่เพราะเส้นเสียงทุ้มต่ำนั้น ซ่งชูอีแทบจะคิดว่าเป็นคนอื่นที่นอนอยู่ข้างนาง

ซ่งชูอีเอ่ยด้วยความสงสัย “ความฝันประเภทใดกันที่ทำให้ฝ่าบาทเป็นกังวลเช่นนี้?”

“เจ้า” แก้มของอิ๋งซื่อร้อนผ่าวในความมืด

ซ่งชูอีตกตะลึง ไม่สามารถตอบสนองความหมายของคำพูดของเขาไปชั่วขณะ

ภายในห้องเงียบสงัด

เหมือนกับผ่านไปนานมากแต่ก็เหมือนเพียงชั่วพริบตา ซ่งชูอีเอ่ยปากถาม “ข้าทำอะไรในความฝันของฝ่าบาทหรือ?”

“ไม่มีอะไร” อิ๋งซื่อเอ่ย

“ข้าก็เคยฝันถึงฝ่าบาท” ซ่งชูอีเอ่ย

“หืม?” อิ๋งซื่อหันหน้ามามองนาง

รอยยิ้มของซ่งชูอีสงบและเปิดกว้าง “ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวนะ! จำที่พบกันในซางตี้ครั้งแรกได้หรือไม่ ท่านแต่งตัวเป็นแม่ทัพ ดูกล้าหาญมาก ต่อมาข้าก็ฝันถึงฉากนั้นบ่อยครั้ง รวมถึงตอนที่ฝ่าบาทกล่าวว่าจะมอบความบันเทิงให้กระหม่อมด้วยสาวงาม…”

มุมปากของอิ๋งซื่อยกยิ้มเล็กน้อย “เช่นนั้นหรือ”

ครั้นนึกถึงตอนที่เจอกันครั้งแรกในซางตี้ พูดตามตรงว่าอิ๋งซื่อถูกดึงดูดความสนใจโดยไป๋เริ่นกับทักษะการยิงธนูอันยอดเยี่ยมและแม่นยำของจี๋อวี่ การมองเพียงแวบเดียวนั้นเขาไม่ได้สังเกตเห็นซ่งชูอีเลย แม้ว่าตอนนี้เขาจะนึกถึงอย่างระมัดระวัง แต่ก็ไม่สามารถนึกถึงรูปลักษณ์และการแสดงออกของนางในเวลานั้นได้ ครั้งที่สองที่พบกันในเสียนหยาง นางเป็นราชทูตรัฐเว่ย์ รัฐเว่ย์เป็นเพียงรัฐเล็กๆ ที่ไม่มีความสำคัญและเขาไม่เคยสนใจเรื่องนี้แม้แต่น้อย เมื่อซ่งชูอีปรากฏตัว เขาเพียงรู้สึกประหลาดใจในวัยเยาว์ของนาง ดังนั้นจึงมองสำรวจนางอย่างละเอียดมากขึ้นหน่อย ตอนที่สำรวจนางอย่างจริงจังก็ยังเป็นหลังจากที่นางมีส่วนร่วมใน “ทฤษฎีโค่นรัฐ” แล้ว

“กระหม่อมบังอาจออกความเห็นว่า ฝ่าบาทเป็นชายที่น่าดึงดูดนัก อย่าว่าแต่ผู้หญิงเลย แม้แต่กระหม่อมเองก็ยากที่จะลืมเลือนในแวบแรก” ซ่งชูอีแสดงความชื่นชมในแง่มุมนี้อย่างตรงไปตรงมาเสมอ

“อย่าว่าแต่ผู้หญิง?” รอยยิ้มบนใบหน้าของอิ๋งซื่อที่ล้ำลึก

ซ่งชูอีหัวเราะเสียงดัง “ข้ามักจะลืมนับว่าตัวเองอยู่ในกลุ่มนี้”

“เว่ยเต้าจื่อเชี่ยวชาญด้านชายหญิง เหตุเจ้ากลับหูป่าตาเถื่อนเพียงนี้?” อิ๋งซื่อเอ่ย

ซ่งชูอีหัวใจเต้นแรง “ศิษย์พี่ใหญ่เขา…”

อิ๋งซื่อเป็นคนประเภทไหน?! หากมีคนอื่นตีท้ายครัวบ้าน เขาจะมองไม่เห็นได้อย่างไร!

อิ๋งซื่อกล่าวอย่างไม่แยแส “ก็แค่ผู้หญิงไม่กี่คนเท่านั้น ตราบใดที่เขาไม่มุ่งหวังที่หวังโฮ่วและหมี่จี ก็ไม่จำเป็นต้องกังวล”

หวังโฮ่วเป็นพระชายาของเขา แม้จะไม่มีความรักก็ไม่สามารถปล่อยให้คนอื่นเข้ามามีส่วนร่วมได้ หมี่จียังเป็นมารดาของโอรสเขา หากนางมีชู้ ผู้ที่อับอายไม่ได้มีเพียงอิ๋งซื่อคนเดียว ยังมีลูกชายทั้งสองของนางอีกด้วย

ขืนเว่ยเต้าจื่อยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าคงจะตกอยู่ในหลุมแห่งกามไม่ช้าก็เร็ว!

ซ่งชูอีถอนหายใจ จากนั้นก็ตอบว่า “ใช่ว่าข้าหูป่าตาเถื่อน เพียงแต่สุภาพบุรุษต้องกระทำสิ่งที่พึงกระทำและละวางสิ่งที่พึงละวาง”

“หึหึ” อิ๋งซื่อหัวเราะเบาๆ

บรรยากาศตึงเครียดระหว่างทั้งสองหายไป พวกเขาควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ดีมาก ถึงแม้พรุ่งนี้จะต้องสู้กัน แต่วันนี้ก็ยังคุยและหัวเราะกันได้

“หวยจิน” จู่ๆ อิ๋งซื่อก็กล่าวขึ้น “เป็นหวังโฮ่วข้าเถิด”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ 372 เป็นหวังโฮ่วของข้า

Now you are reading กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ Chapter 372 เป็นหวังโฮ่วของข้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ซ่งชูอีอึ้งไปเล็กน้อยและตอบในทันที “พ่ะย่ะค่ะ”

“เวลาไม่เช้าแล้ว เดินหมากกันสักตาเถิด กว่าเหรินยังไม่เคยเดินหมากกับไท่ฟู่อย่างจริงจังเลย” อิ๋งซื่อเอ่ย

“พ่ะย่ะค่ะ” ซ่งชูอีรับคำ

ขันทีเถาสั่งให้เด็กรับใช้ยกโต๊ะกระดานเข้ามา ทั้งสองเริ่มเดินหมากภายในหอคอย

รูปแบบการเดินหมากของอิ๋งซื่อเหมือนกับอารมณ์และพฤติกรรมของเขา ดูเหมือนสงบนิ่งแต่แฝงไปด้วยแรงผลักดันที่ท่วมท้นจนทำให้ผู้คนหายใจหายคอไม่ออก ซ่งชูอียังคงเดินหมากทีละขั้นโดยปกปิดความปรารถนาที่จะฆ่าอย่างระมัดระวัง

หมากครั้งนี้ไม่ได้เดินนานนัก เพียงแต่สองเค่อก็เสร็จสิ้นแล้ว ซ่งชูอีพ่ายแพ้

“ไท่ฟู่กำลังคิดอะไรอยู่?” อิ๋งซื่อถาม

ซ่งชูอีสบตาที่ดำขลับของเขา ยิ้มเอ่ย “ฝ่าบาทกำหนดกลยุทธ์การต่อสู้ กระหม่อมจะไม่สั่นสะท้านได้อย่างไร?”

อิ๋งซื่อรับผ้าเช็ดหน้าจากขันทีมาเช็ดมือ ทำเป็นหูทวนลมกับคำเยินยอของนาง

ทั้งสองคนเดินหมากกันอีกครั้ง ครั้งนี้ซ่งชูอีมีสมาธิดีเยี่ยม หลังจากหนึ่งชั่วยามให้หลังก็เข้าสู่กลางกระดาน อิ๋งซื่อตามหลังอยู่ครึ่งตา ทว่าสถานการณ์โดยรวมกลับไม่ได้ตามหลังเลย

ดูท่าว่าจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งชั่วยามในการแบ่งชัยชนะหรือความพ่ายแพ้ ตำแหน่งของอิ๋งซื่อไม่ขยับเขยื้อนเลย “ค่อยหาเวลาเล่นหมากนี้ให้จบเถิด คืนนี้พอแค่นี้”

แน่นอนว่าซ่งชูอีไม่มีความเห็น

ข้างนอกฟ้ามืดแล้ว อิ๋งซื่ออาบน้ำเรียบร้อย

ในอดีตเวลาที่ซ่งชูอีค้างแรมก็จะนอนในห้องเล็กตามลำพัง บางครั้งก็ไม่ได้แตะเตียงเลยทั้งคืน ซ่งชูอีรู้สึกประหลาดใจ ค้างแรมก็ค้างแรมไปสิ นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกเสียหน่อย ทว่าอากาศเย็นเช่นนี้จะอาบน้ำอะไรกัน ไม่ได้นอนบนเตียงท่านอ๋องเสียหน่อย!

ไม่ช้านางก็ได้รับคำตอบว่าคืนนี้นางจะต้องนอนร่วมเตียงกับกษัตริย์จริงๆ!

เมื่อกลับมาถึงห้องบรรทมบนหอคอย อิ๋งซื่อก็อาบน้ำเรียบร้อยแล้ว เขาเอนกายลงบนเตียงพร้อมอ่านเอกสาร ยังคงสวมเสื้อแขนยาวสีดำที่ไม่มีลวดลายแม้แต่น้อย ตัวเขาหลอมละลายไปกับความหนาวเย็นทำให้รู้สึกกดดันและขึงขัง โชคดีที่ตัวเขาอาบไล้อยู่ภายใต้แสงสีส้มซึ่งเพิ่มความอบอุ่นและนุ่มนวลให้กับความหนาวเย็นนั้นเล็กน้อย

ซ่งชูอีลอบด่าเว่ยเต้าจื่อ เรื่องพรรค์นี้เรียกแขกได้ดีจริงๆ!

นางไม่ได้รังเกียจ เพียงแต่ชายรูปงามเช่นนี้อยู่ตรงหน้า ทั้งยังร่วมเตียงเดียวกัน…

เมื่อมีอาหารอันโอชะอยู่ข้างปาก นางจะกินหรือว่าไม่กินดีเล่า?

หลังจากอิ๋งซื่ออ่านม้วนเอกสารในมือจบแล้ว ก็ยื่นมือไปหยิบอีกม้วน มองนางผ่านช่องว่าง “คิดจะยืนอีกนานแค่ไหน?”

“แค่ก” ซ่งชูอีไอเสียงหนึ่ง ค่อยๆ เขยิบไปที่ด้านข้างของเตียง

ขันทีเถาอุ้มหมอนหยกปีนขึ้นไปบนเตียงแล้ววางมันไว้ด้านในข้างอิ๋งซื่อ หลังจากลงจากเตียงแล้วก็ค้อมตัวเอ่ย “ไท่ฟู่เชิญ”

“กระหม่อมควรนอนด้านนอกไม่ใช่หรอกหรือ?” แม้ว่าซ่งชูอีจะไม่เคยนอนร่วมเตียงกับกษัตริย์แต่ก็รู้กฎเล็กน้อย

เมื่อเห็นว่าอิ๋งซื่อไม่ตอบ ขันทีเถาก็โค้งคำนับ “ไท่ฟู่ ท่านอ๋องต้องการอ่านเอกสาร ต้องใช้แสงสว่าง”

ซ่งชูอีไม่พูดมากอีกต่อไป ปีนขึ้นไปบนเตียงทันทีแล้วขยับตัวเข้าไปนั่งขัดสมาธิด้านในที่ข้างเท้าอิ๋งซื่อ

เมื่อขันทีเถาเห็นเช่นนี้ก็โค้งคำนับและถอยออกไป สั่งให้เด็กรับใช้ลดผ้าม่านในห้องบรรทมลง

“ฝ่าบาทรีบพักผ่อนหน่อยดีหรือไม่?” ซ่งชูอีเต็มไปด้วยความคิดที่จะสอบถามเกี่ยวกับสงครามระหว่างฉินและเว่ย เดิมทีก็นอนไม่หลับอยู่แล้ว บวกกับอิ๋งซื่อไม่ได้นอนก็ไม่ใคร่ดีนักที่นางจะนอนลง

“อืม” อิ๋งซือปิดม้วนเอกสาร นิ้วเรียวยาวลูบมันอย่างแผ่วเบาอีกครั้งก่อนจะวางลงบนโต๊ะตัวเตี้ย

ด้วยการกระทำเพียงแค่นี้ ซ่งชูอีก็สามารถเข้าใจถึงความอาลัยอาวรณ์อันไม่มีที่สิ้นสุดของเขา

อิ๋งซื่อยกมือขึ้นเพื่อปลดม่านเตียงลง แสงไฟภายในสลัวลงทันที

ซ่งชูอีสายตาไม่ดี แทบมองไม่เห็นอะไรเลยในแสงเช่นนี้ นางได้ยินเสียงสวบสาบก็คาดว่าอิ๋งซื่อคงนอนลงแล้ว นางจึงคลำหาหมอนหยกแล้วนอนลง

เมื่อศีรษะของนางสัมผัสอยู่บนหมอนก็กลับรู้สึกประหลาดใจที่ไม่ใช่สัมผัสเย็นของหยก แต่กลับเป็ยสิ่งที่อบอุ่นและนุ่มนวล นางคลำดูก็พบว่ามันคือมือใหญ่มือหนึ่ง

อิ๋งซื่อยกศีรษะของนางขึ้นมา มืออีกข้างหนึ่งดึงหมอนอิงของตัวเองแล้ววางเข้าไปอย่างเบามือ

“ฝ่าบาท…” ซ่งชูอีเดาว่ามันคือหมอน ในใจรู้ว่าอิ๋งซื่อกลัวว่าหมอนหยกในฤดูหนาวจะหนุนได้ไม่สบายนัก “ปกติกระหม่อมอยู่ที่บ้านก็หนุนสิ่งนี้ ฝ่าบาทเอาไปหนุนเถิด”

“เช่นนั้นก็ทิ้งไปเสีย” อิ๋งซื่อกล่าวอย่างเฉยเมย

ซ่งชูอีกล้าทิ้งที่ไหนกัน ทำได้เพียงหนุนมัน หมอนมีกลิ่นของอิ๋งซื่อที่ผสมกับกลิ่นธูปผ่อนคลายอ่อนๆ ซึ่งทำให้รู้สึกสบายใจ ผ่อนคลายความวิตกกังวลในหัวใจของซ่งชูอี “ฝ่าบาทมีเรื่องจะพูดไม่ใช่หรือ?”

“เมื่อคืนข้าฝัน” อิ๋งซื่อไม่ได้แทนตัวเองว่า “กว่าเหริน” อีก น้ำเสียงอ่อนโยนกว่าที่เคย ราวกับว่าเป็นคนธรรมดาที่กำลังสนทนากัน ถ้าไม่ใช่เพราะเส้นเสียงทุ้มต่ำนั้น ซ่งชูอีแทบจะคิดว่าเป็นคนอื่นที่นอนอยู่ข้างนาง

ซ่งชูอีเอ่ยด้วยความสงสัย “ความฝันประเภทใดกันที่ทำให้ฝ่าบาทเป็นกังวลเช่นนี้?”

“เจ้า” แก้มของอิ๋งซื่อร้อนผ่าวในความมืด

ซ่งชูอีตกตะลึง ไม่สามารถตอบสนองความหมายของคำพูดของเขาไปชั่วขณะ

ภายในห้องเงียบสงัด

เหมือนกับผ่านไปนานมากแต่ก็เหมือนเพียงชั่วพริบตา ซ่งชูอีเอ่ยปากถาม “ข้าทำอะไรในความฝันของฝ่าบาทหรือ?”

“ไม่มีอะไร” อิ๋งซื่อเอ่ย

“ข้าก็เคยฝันถึงฝ่าบาท” ซ่งชูอีเอ่ย

“หืม?” อิ๋งซื่อหันหน้ามามองนาง

รอยยิ้มของซ่งชูอีสงบและเปิดกว้าง “ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวนะ! จำที่พบกันในซางตี้ครั้งแรกได้หรือไม่ ท่านแต่งตัวเป็นแม่ทัพ ดูกล้าหาญมาก ต่อมาข้าก็ฝันถึงฉากนั้นบ่อยครั้ง รวมถึงตอนที่ฝ่าบาทกล่าวว่าจะมอบความบันเทิงให้กระหม่อมด้วยสาวงาม…”

มุมปากของอิ๋งซื่อยกยิ้มเล็กน้อย “เช่นนั้นหรือ”

ครั้นนึกถึงตอนที่เจอกันครั้งแรกในซางตี้ พูดตามตรงว่าอิ๋งซื่อถูกดึงดูดความสนใจโดยไป๋เริ่นกับทักษะการยิงธนูอันยอดเยี่ยมและแม่นยำของจี๋อวี่ การมองเพียงแวบเดียวนั้นเขาไม่ได้สังเกตเห็นซ่งชูอีเลย แม้ว่าตอนนี้เขาจะนึกถึงอย่างระมัดระวัง แต่ก็ไม่สามารถนึกถึงรูปลักษณ์และการแสดงออกของนางในเวลานั้นได้ ครั้งที่สองที่พบกันในเสียนหยาง นางเป็นราชทูตรัฐเว่ย์ รัฐเว่ย์เป็นเพียงรัฐเล็กๆ ที่ไม่มีความสำคัญและเขาไม่เคยสนใจเรื่องนี้แม้แต่น้อย เมื่อซ่งชูอีปรากฏตัว เขาเพียงรู้สึกประหลาดใจในวัยเยาว์ของนาง ดังนั้นจึงมองสำรวจนางอย่างละเอียดมากขึ้นหน่อย ตอนที่สำรวจนางอย่างจริงจังก็ยังเป็นหลังจากที่นางมีส่วนร่วมใน “ทฤษฎีโค่นรัฐ” แล้ว

“กระหม่อมบังอาจออกความเห็นว่า ฝ่าบาทเป็นชายที่น่าดึงดูดนัก อย่าว่าแต่ผู้หญิงเลย แม้แต่กระหม่อมเองก็ยากที่จะลืมเลือนในแวบแรก” ซ่งชูอีแสดงความชื่นชมในแง่มุมนี้อย่างตรงไปตรงมาเสมอ

“อย่าว่าแต่ผู้หญิง?” รอยยิ้มบนใบหน้าของอิ๋งซื่อที่ล้ำลึก

ซ่งชูอีหัวเราะเสียงดัง “ข้ามักจะลืมนับว่าตัวเองอยู่ในกลุ่มนี้”

“เว่ยเต้าจื่อเชี่ยวชาญด้านชายหญิง เหตุเจ้ากลับหูป่าตาเถื่อนเพียงนี้?” อิ๋งซื่อเอ่ย

ซ่งชูอีหัวใจเต้นแรง “ศิษย์พี่ใหญ่เขา…”

อิ๋งซื่อเป็นคนประเภทไหน?! หากมีคนอื่นตีท้ายครัวบ้าน เขาจะมองไม่เห็นได้อย่างไร!

อิ๋งซื่อกล่าวอย่างไม่แยแส “ก็แค่ผู้หญิงไม่กี่คนเท่านั้น ตราบใดที่เขาไม่มุ่งหวังที่หวังโฮ่วและหมี่จี ก็ไม่จำเป็นต้องกังวล”

หวังโฮ่วเป็นพระชายาของเขา แม้จะไม่มีความรักก็ไม่สามารถปล่อยให้คนอื่นเข้ามามีส่วนร่วมได้ หมี่จียังเป็นมารดาของโอรสเขา หากนางมีชู้ ผู้ที่อับอายไม่ได้มีเพียงอิ๋งซื่อคนเดียว ยังมีลูกชายทั้งสองของนางอีกด้วย

ขืนเว่ยเต้าจื่อยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าคงจะตกอยู่ในหลุมแห่งกามไม่ช้าก็เร็ว!

ซ่งชูอีถอนหายใจ จากนั้นก็ตอบว่า “ใช่ว่าข้าหูป่าตาเถื่อน เพียงแต่สุภาพบุรุษต้องกระทำสิ่งที่พึงกระทำและละวางสิ่งที่พึงละวาง”

“หึหึ” อิ๋งซื่อหัวเราะเบาๆ

บรรยากาศตึงเครียดระหว่างทั้งสองหายไป พวกเขาควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ดีมาก ถึงแม้พรุ่งนี้จะต้องสู้กัน แต่วันนี้ก็ยังคุยและหัวเราะกันได้

“หวยจิน” จู่ๆ อิ๋งซื่อก็กล่าวขึ้น “เป็นหวังโฮ่วข้าเถิด”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+