ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษเล่มที่ 10 บทที่ 271 ความลับในตำหนักหยาเสวียน

Now you are reading ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ Chapter เล่มที่ 10 บทที่ 271 ความลับในตำหนักหยาเสวียน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เอาล่ะ เจ้าพูดน้อยๆ หน่อยเถิด”

หลินเมิ้งหยาทำได้เพียงเอ่ยขัดเสียงบ่นของชิงหู ถึงอย่างไรหลงเทียนอวี้ก็ได้รับบาดเจ็บเพราะช่วยเหลือนาง

นางมิใช่คนที่ไม่รู้จักทดแทนบุญคุณใคร ยิ่งไปกว่านั้นนางรู้ดีว่าหลงเทียนอวี้กำลังเจ็บปวด มีคนตายต่อหน้าเขามากมาย แม้คนเหล่านั้นจะทรยศหักหลังเขาแต่หลงเทียนอวี้หาใช่คนไร้หัวใจ

เขาเพียงแค่เก็บซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้ในใจก็เท่านั้น

“ตอนนี้ดึกมาแล้ว เจ้าเองก็รีบพักผ่อน ข้าสั่งให้ป๋ายจื่อทำน้ำแกงมาให้เจ้าแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนี้จะไม่มีวันเกิดขึ้นอีกซ้ำสอง”

ท่ามกลางแสงไฟ ดวงตาของหลงเทียนอวี้เผยให้เห็นความอ่อนโยน หลินเมิ้งหยาอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าลง ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องของตนเองอย่างว่าง่าย

ชิงหูและเสี่ยวอวี้ไม่สามารถเข้ามาในห้องนอนของนางได้ ดังนั้นสาวใช้ทั้งสี่และสัตว์เลี้ยงทั้งสองจึงเข้ามาอยู่เป็นเพื่อนหลินเมิ้งหยาแทน

สัตว์เลี้ยงทั้งสองโตขึ้นมาก อารมณ์และความรู้สึกของพวกมันก็พัฒนามากขึ้นเช่นเดียวกัน แม้หลินเมิ้งหยาจะเอ็นดูสัตว์ทั้งสองมาก แต่ถึงกระนั้นนางก็ต้องระมัดระวังสัญชาตญาณสัตว์ป่าของทั้งคู่

เสี่ยวป๋ายและเสือน้อยล้วนฉลาดและมีไหวพริบ แม้จะไม่ถูกขังไว้ในกรงแต่ก็ไม่เที่ยวกัดใครไปทั่ว แต่ถึงอย่างไรพวกมันก็เป็นเจ้าป่า การเลี้ยงไว้ในจวนอวี้แห่งนี้อาจทำให้เกิดข่าวลือเสียๆ หายๆ และสร้างความหวาดกลัวให้แก่ผู้คนได้

นี่เป็นโอกาสที่หาไม่ได้ง่ายๆ ในการได้อยู่ใกล้ชิดผู้เป็นนาย พวกมันรีบส่ายหางดุกดิก ก่อนจะฟุบหน้าลงแนบเท้าของหลินเมิ้งหยา

“น่าตกใจเหลือเกิน ทั้งที่ท่านป๋ายหลี่ดูไม่มีพิษภัยใดๆ เลยแม้แต่น้อย เหตุใดจิตใจถึงโหดเหี้ยมอำมหิต หากมิใช่เพราะไหวพริบของนายหญิง เกรงว่าวันนี้จะต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นอย่างแน่นอน”

ป๋ายซ่าวตบหน้าอกของตนเอง ปกติแล้วนางต้องจัดการงานภายในจวน ดังนั้นจึงได้มีโอกาสทำความรู้จักกับพวกป๋ายหลี่อู๋เฉิน

ปกติแล้วเขามักแสดงท่าทางอ่อนโยนและสง่างาม หาได้ทำอะไรเกินเลยไม่ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเป็นคนเจ้าเล่ห์เช่นนี้

ราวกับว่าป๋ายซูนึกอะไรขึ้นมาได้

“เพราะเหตุนี้ช่วงก่อนพวกคนชั่วจึงพุ่งเป้ามาที่นายหญิง หากมิใช่เพราะชิงหูและนายน้อยอวี้ทำการคุ้มครองตำหนักอย่างเข้มงวดแล้วล่ะก็ คนเหล่านี้จะต้องสบโอกาสทำร้ายนายหญิงอย่างแน่นอน”

คำพูดของป๋ายซูทำให้แผ่นหลังของหลินเมิ้งหยามีเหงื่อผุดพราย

นางรู้เพียงว่าป๋ายหลี่อู๋เฉินเกลียดชังนาง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะใจกล้าบ้าบิ่นถึงขั้นส่งคนมาฆ่านาง

ตอนนี้กลุ่มสามสหายรวบรวมกำลังพลได้มากพอตัวแล้ว คาดว่าถึงเวลาที่จะต้องหางานให้พวกเขาทำแล้ว

ตอนนี้ป๋ายหลี่อู๋เฉินหนีรอดไปได้ ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีเช่นไร ต่อให้เขายังมีชีวิตรอด แต่สุดท้ายก็กลายเป็นคนไร้ประโยชน์อยู่ดี แม้คนผู้นี้จะทำอะไรเกินขอบเขตไปบ้าง แต่ถึงกระนั้นเขาก็อยู่รับใช้หลงเทียนอวี้มานานหลายปี

แม้ชายผู้นี้จะกุมความลับเอาไว้มากมาย แต่นั่นก็กลายเป็นจุดอ่อนให้เขาต้องถูกตามล่า

เหตุเพราะหักหลังผู้เป็นนาย ดังนั้นจึงไม่มีใครเชื่อใจเขาอีก แม้จะแปรพักตร์แต่สุดท้ายเมื่อไร้ประโยชน์ก็จะต้องถูกฆ่าตายอยู่ดี

เชื่อว่าหลงเทียนอวี้จะต้องเตรียมการเอาไว้แล้ว

แหงนหน้ามองท้องฟ้ายามราตรี บัดนี้ดวงจันทร์กลมโตถูกเมฆหนาปกคลุมจนหมด หลินเมิ้งหยาถอนหายใจเล็กน้อย

ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรก เหตุใดเรื่องยุ่งยากใจจึงเพิ่มมากขึ้นทุกที

กินยาระงับประสาท เสี่ยวป๋ายและเสือน้อยฟุบตัวอยู่ด้านหน้าประตูเพื่อคอยปกป้องนาง หลินเมิ้งหยาค่อยๆ หลับใหล

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ช่วงนี้นางมักจะฝันถึงเรื่องราวในชาติภพก่อน บางทีอาจเพราะชีวิตในช่วงเวลานั้นไม่มีกลอุบายให้ต้องคอยระวังมากเท่านี้

หลินเมิ้งหยาที่เคยชินกับการตื่นนอนตอนเช้ากลับตื่นสายในวันนี้

ดูเหมือนยาระงับประสาทจะมีประสิทธิภาพไม่เลว แต่หลินเมิ้งหยากลับรู้สึกไม่สดชื่นเอาเสียเลย

ตอนเช้าป๋ายจีเข้ามารายงานว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในสวนหย่อมเมื่อวานถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว คนในจวนไม่ทันสังเกตถึงสิ่งผิดปกติใดๆ ทั้งสิ้น อีกทั้งยังไม่รู้ว่าเมื่อคืนมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น

“นายหญิง ปิ่นเงินของท่านหายไปไหนหรือเจ้าคะ?”

ป๋ายจื่อที่ทำหน้าที่รับใช้นางยามตื่นนอนเอ่ยถามขึ้น

“โอ้ เมื่อคืนมันทำหน้าที่ในการสั่งสอนป๋ายหลี่อู๋เฉินไปแล้ว ไม่เป็นไร ช่างมันเถิด”

สวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ หลินเมิ้งหยาต้องออกไปจัดการเรื่องในจวนให้เรียบร้อย ใกล้จะข้ามปีแล้ว งานในจวนยิ่งเพิ่มมากขึ้น แม้จะมีสาวใช้ทั้งสี่คอยช่วยเหลือ แต่นางก็ยังมีงานอีกมากให้ต้องจัดการ

ตอนนี้นางเพิ่งรู้ว่าแม่นางหวังซีเฟิงที่ถูกจารึกชื่อบนโขดหินมีความสามารถในการจัดการงานมากขนาดไหน

น่าเสียดาย เมื่อเทียบกับนางแล้ว ตนเองยังมิอาจเก่งกาจได้เท่าครึ่งหนึ่งของนาง

ยุ่งวุ่นวายตลอดช่วงเช้า หลังจากรับประทานอาหารกลางวันแล้วหลินเมิ้งหยาจึงมีเวลาว่างเล็กน้อย

หลงเทียนอวี้หายตัวไปตั้งแต่เช้า มีคนแจ้งว่าเขาถูกฝ่ายพิธีการตามตัวไปปรึกษาเรื่องงานเลี้ยงวันตรุษจีน

แม้ไท่จื่อจะไม่อยากเจอหน้าหลงเทียนอวี้สักเท่าไร แต่เพราะฮ่องเต้ยังคงทรงพระประชวร ดังนั้นเรื่องมากมายจำต้องให้เหล่าองค์ชายเป็นผู้ปรึกษาหารือกัน

เพียงนั่งลงจิบชาได้หนึ่งอึก หลินจงอวี้ก็โผล่หน้าเข้ามาหา

ใบหน้าเรียวเล็กขาวนวลเจือไว้ซึ่งความหวาดหวั่น สายตากลิ้งกลอกหลบๆ ซ่อนๆ ไม่เหมือนทุกที

หลินเมิ้งหยาวางแก้วชาลงก่อนจะโบกมือเรียก

วันนี้เสี่ยวอวี้เรียนรู้วิธีการแสดงท่าทางบิดม้วนด้วยความเขินอายเป็นแล้วสินะ

“เป็นอะไรไป? มีอะไรต้องการคุยกับข้าอย่างนั้นหรือ?”

ได้ยินชิงหูเล่าว่าวิทยายุทธของเสี่ยวอวี้พัฒนาขึ้นมาก คาดว่าแต่ก่อนเขาจะต้องรู้จักพื้นฐานในการต่อสู้มาบ้าง ดังนั้นเมื่อได้รับการถ่ายทอดวิชาจึงสามารถเรียนรู้ได้อย่างว่องไว

เรือนเล็กของเขามักมีคนเข้าออกเป็นจำนวนมาก แต่คนเหล่านี้มักแอบเข้ามาอย่างลับๆ และไม่มีใครทำความรู้จักกับคนในจวน ฉะนั้นหลงเทียนอวี้จึงปิดตาลงข้างหนึ่งเพื่อทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น

“พี่สาว ท่านอาเลี่ยต้องการพบท่าน เขาบอกว่าท่านพ่อของข้าสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง ฉะนั้นจึงอยากให้ข้ากลับไปให้เร็วที่สุด”

หลินจงอวี้ส่งเสียงเบาแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกมิอาจทำใจจากลา

หัวใจของนางราวกับถูกสะท้อนออกมา เกรงว่าเด็กคนนี้เองก็คงไม่อยากแยกจากนางเช่นกัน

“ข้าเองก็อยากเจอเขาอยู่พอดี เช่นนั้นคืนนี้นัดเขามาเจอข้าเถิด พี่สาวขอถามเจ้าหน่อยว่าเจ้าอยากไปจริงๆ หรือไม่?”

“ข้า…ข้าไม่อยากไปจากพี่สาว แต่ว่า…”

คำพูดต่อมาชะงักอยู่ในลำคอของเสี่ยวอวี้ หลินเมิ้งหยาฟังไม่ชัดเจน แต่ถึงกระนั้นนางสามารถมองเห็นทุกอย่างจากสีหน้าของเขาได้

ดูเหมือนเด็กคนนี้จะมีปณิธานที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นในหัวใจแล้ว

ช่างเถิด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางคงทำได้เพียงปล่อยเขาไป

“เจ้าไปเชิญท่านอาเลี่ยมาหาข้าในคืนนี้เถิด พี่สาวหาใช่อยากอวดรู้อะไร ข้าจะทำตามสิ่งที่ใจเจ้าปรารถนา”

นางจะต้องทำความเข้าใจกับฐานะของเสี่ยวอวี้ให้ชัดเจน

เรื่องของซินหลียังคงกัดกินหัวใจของนางอยู่เสมอ คนโรคจิตวิปริตเช่นนั้นไม่มีทางปล่อยเสี่ยวอวี้ไปอย่างแน่นอน

หากเสี่ยวอวี้ต้องกลับไปที่เมืองเลี่ยหยุนจริง เกรงว่าเขาจะตกอยู่ในอันตราย

เฮ้อ นางเพิ่งพบว่าตนเองชอบถอนหายใจตลอดเวลา เหตุใดคนรอบตัวนางจึงต้องพบเจอกับความขมขื่นเสมอเลยนะ

แม้จะยังมีเรื่องระหองระแหงกับตำหนักหยาเสวียน แต่ถึงกระนั้นหลินเมิ้งหยาก็ทำในสิ่งที่ต้องทำ

นางส่งผ้าไหมและเครื่องประดับไปที่นั่นตั้งแต่เช้าเพื่อให้พระสนมเต๋อเฟยเลือก

เจียงหรูฉินถูกขังอยู่ในเรือนจำทาสหลายวันแล้ว ได้ยินมาว่านางเอาแต่ร้องห่มร้องไห้จนเสียงแหบพร่า หากยังขังตัวนางเอาไว้เช่นนี้หาใช่วิธีการที่เหมาะสม ถึงอย่างไรนางก็เป็นญาติของพระสนมเต๋อเฟย ฉะนั้นหลินเมิ้งหยาจึงไม่อาจเห็นแก่ตัว

ตำหนักหยาเสวียนเงียบสงัด หลังจากเกิดเรื่องคราวก่อน พระสนมเต๋อเฟยต้องพบเจอกับความอับอายขายหน้า

คนทั้งจวนต่างรู้ดีว่านายหญิงที่แท้จริงอยู่ที่ตำหนักหลิวซิน แม้แต่ท่านอ๋องก็ย้ายไปอยู่ที่นั่นและแสดงความรักใคร่อย่างชัดเจน

ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าดูหมิ่นหลินเมิ้งหยาอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น นางปฏิบัติกับคนอื่นอย่างเคารพและเท่าเทียม แม้สาวใช้ทั้งสี่จะมีความสามารถ แต่ก็ไม่มีใครคนไหนแสดงความหยิ่งผยอง

เหล่าข้ารับใช้จึงล้วนรู้สึกชื่นชมพวกนางยิ่งนัก

หลินเมิ้งหยาทำเพียงก้มหน้าลงไม่พูดอะไรขณะนั่งอยู่ในตำหนักหยาเสวียน สีหน้าของพระสนมเต๋อเฟยไม่สู้ดีนัก ท่าทางของนางดูแก่ลงกว่าเดิมมาก

ใบหน้าที่เคยอิ่มเอมกลับมีริ้วรอย เสื้อผ้าที่สวมใส่เรียบง่าย ได้ยินเหล่าคนรับใช้เล่าว่าช่วงนี้พระสนมเต๋อเฟยขลุกอยู่แต่ในห้องพระและสวดมนต์

“เปิ่นกงรู้มาว่าหลายวันมานี้ท่านอาคนโตมารบกวนเจ้าอยู่หลายหนเพราะเรื่องของหรูฉิน”

หลินเมิ้งหยาพยักหน้า เหตุเพราะพระสนมเต๋อเฟยกริ้วเป็นอย่างมาก แม้แต่ญาติของตนเองก็ไม่ยอมอนุญาตให้เข้ามาพบหน้า ดังนั้นพวกเขาจึงมาขอร้องเรื่องเจียงหรูฉินกับนาง

แม้เจียงหรูฉินจะสร้างความอับอายให้กับวงศ์ตระกูล แต่ถึงกระนั้นนางก็เป็นคนในสกุลเจียง ดังนั้นคนที่จะตัดสินความผิดของนางได้ย่อมเป็นคนของสกุลเจียง

“ทูลหมู่เฟย ท่านอาคนโตมาหาหม่อมฉันจริงเพคะ แต่เพราะพวกเราล้วนเป็นญาติพี่น้อง หมู่เฟยได้โปรดเห็นแก่หน้าท่านอาคนโตสักครั้งและอภัยหรูฉินเถิดเพคะ”

หลินเมิ้งหยารู้ดีอยู่แก่ใจ พระสนมเต๋อเฟยไม่มีทางทำอะไรเจียงหรูฉินอย่างแน่นอน แต่เมื่อใบเรือกางออกแล้วนางก็มีหน้าที่เข็นเรือให้ลอยไปตามน้ำ

ถึงอย่างไรตอนนี้ชื่อเสียงของเจียงหรูฉินก็ถูกทำลาย คาดว่าต่อไปคงมิอาจสร้างเรื่องอันใดได้อีก

“ในเมื่อเจ้ามาขอร้องด้วยตนเอง แสดงว่าท่านอาคนโตคงเดือดเนื้อร้อนใจมากจริงๆ ช่างเถิด เปิ่นกงสั่งให้คนตรวจสอบร่างกายของนางแล้ว นางยังคงบริสุทธิ์อยู่ แต่เปิ่นกงไม่เข้าใจ นางที่เป็นคุณหนูชนชั้นสูงอยู่เพียงในห้อง เหตุใดจึงไปปรากฏตัวบนเตียงของคณิกาชายได้”

น้ำเสียงของพระสนมเต๋อเฟยแฝงซึ่งเลศนัยบางอย่าง

หลินเมิ้งหยาแค่นหัวเราะเสียงเย็นในใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วกระตุกยิ้ม

“บางทีอาจได้รับความช่วยเหลือจากคนนอกก็ได้เพคะ บางทีอาจเป็นผีสางนางไม้ก็เป็นได้”

หลินเมิ้งหยาโยนความผิดให้กับผีสางนางไม้ พระสนมเต๋อเฟยจึงสบถเสียงเย็น

“ในเมื่อไม่มีเรื่องอันใดแล้ว เช่นนั้นหม่อมฉันขอทูลลา หมู่เฟยรักษาพระวรกายด้วยนะเพคะ”

หลินเมิ้งหยาลุกขึ้นถวายคำนับ ก่อนจะพาคนออกจากตำหนักหยาเสวียน

“เพียะ” เสียงดังขึ้น สร้อยประคำไข่มุกในมือกระจัดกระจายลงบนพื้น

ดวงตาสั่นไหว สีหน้าเผยให้เห็นความเกลียดชัง จ้องมองทิศทางที่หลินเมิ้งหยาหายลับไป นางอยากจะเข้าไปแล่เนื้อเชือดหนังผู้หญิงคนนั้นเหลือเกิน

มือเรียวยาวขาวนวลดั่งหยกเอื้อมไปหยิบเม็ดไข่มุก เช็ดด้วยผ้าเช็ดหน้า ก่อนจะเข้ามายืนเบื้องหน้าพระสนมเต๋อเฟย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษเล่มที่ 10 บทที่ 271 ความลับในตำหนักหยาเสวียน

Now you are reading ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ Chapter เล่มที่ 10 บทที่ 271 ความลับในตำหนักหยาเสวียน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เอาล่ะ เจ้าพูดน้อยๆ หน่อยเถิด”

หลินเมิ้งหยาทำได้เพียงเอ่ยขัดเสียงบ่นของชิงหู ถึงอย่างไรหลงเทียนอวี้ก็ได้รับบาดเจ็บเพราะช่วยเหลือนาง

นางมิใช่คนที่ไม่รู้จักทดแทนบุญคุณใคร ยิ่งไปกว่านั้นนางรู้ดีว่าหลงเทียนอวี้กำลังเจ็บปวด มีคนตายต่อหน้าเขามากมาย แม้คนเหล่านั้นจะทรยศหักหลังเขาแต่หลงเทียนอวี้หาใช่คนไร้หัวใจ

เขาเพียงแค่เก็บซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้ในใจก็เท่านั้น

“ตอนนี้ดึกมาแล้ว เจ้าเองก็รีบพักผ่อน ข้าสั่งให้ป๋ายจื่อทำน้ำแกงมาให้เจ้าแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนี้จะไม่มีวันเกิดขึ้นอีกซ้ำสอง”

ท่ามกลางแสงไฟ ดวงตาของหลงเทียนอวี้เผยให้เห็นความอ่อนโยน หลินเมิ้งหยาอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าลง ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องของตนเองอย่างว่าง่าย

ชิงหูและเสี่ยวอวี้ไม่สามารถเข้ามาในห้องนอนของนางได้ ดังนั้นสาวใช้ทั้งสี่และสัตว์เลี้ยงทั้งสองจึงเข้ามาอยู่เป็นเพื่อนหลินเมิ้งหยาแทน

สัตว์เลี้ยงทั้งสองโตขึ้นมาก อารมณ์และความรู้สึกของพวกมันก็พัฒนามากขึ้นเช่นเดียวกัน แม้หลินเมิ้งหยาจะเอ็นดูสัตว์ทั้งสองมาก แต่ถึงกระนั้นนางก็ต้องระมัดระวังสัญชาตญาณสัตว์ป่าของทั้งคู่

เสี่ยวป๋ายและเสือน้อยล้วนฉลาดและมีไหวพริบ แม้จะไม่ถูกขังไว้ในกรงแต่ก็ไม่เที่ยวกัดใครไปทั่ว แต่ถึงอย่างไรพวกมันก็เป็นเจ้าป่า การเลี้ยงไว้ในจวนอวี้แห่งนี้อาจทำให้เกิดข่าวลือเสียๆ หายๆ และสร้างความหวาดกลัวให้แก่ผู้คนได้

นี่เป็นโอกาสที่หาไม่ได้ง่ายๆ ในการได้อยู่ใกล้ชิดผู้เป็นนาย พวกมันรีบส่ายหางดุกดิก ก่อนจะฟุบหน้าลงแนบเท้าของหลินเมิ้งหยา

“น่าตกใจเหลือเกิน ทั้งที่ท่านป๋ายหลี่ดูไม่มีพิษภัยใดๆ เลยแม้แต่น้อย เหตุใดจิตใจถึงโหดเหี้ยมอำมหิต หากมิใช่เพราะไหวพริบของนายหญิง เกรงว่าวันนี้จะต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นอย่างแน่นอน”

ป๋ายซ่าวตบหน้าอกของตนเอง ปกติแล้วนางต้องจัดการงานภายในจวน ดังนั้นจึงได้มีโอกาสทำความรู้จักกับพวกป๋ายหลี่อู๋เฉิน

ปกติแล้วเขามักแสดงท่าทางอ่อนโยนและสง่างาม หาได้ทำอะไรเกินเลยไม่ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเป็นคนเจ้าเล่ห์เช่นนี้

ราวกับว่าป๋ายซูนึกอะไรขึ้นมาได้

“เพราะเหตุนี้ช่วงก่อนพวกคนชั่วจึงพุ่งเป้ามาที่นายหญิง หากมิใช่เพราะชิงหูและนายน้อยอวี้ทำการคุ้มครองตำหนักอย่างเข้มงวดแล้วล่ะก็ คนเหล่านี้จะต้องสบโอกาสทำร้ายนายหญิงอย่างแน่นอน”

คำพูดของป๋ายซูทำให้แผ่นหลังของหลินเมิ้งหยามีเหงื่อผุดพราย

นางรู้เพียงว่าป๋ายหลี่อู๋เฉินเกลียดชังนาง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะใจกล้าบ้าบิ่นถึงขั้นส่งคนมาฆ่านาง

ตอนนี้กลุ่มสามสหายรวบรวมกำลังพลได้มากพอตัวแล้ว คาดว่าถึงเวลาที่จะต้องหางานให้พวกเขาทำแล้ว

ตอนนี้ป๋ายหลี่อู๋เฉินหนีรอดไปได้ ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีเช่นไร ต่อให้เขายังมีชีวิตรอด แต่สุดท้ายก็กลายเป็นคนไร้ประโยชน์อยู่ดี แม้คนผู้นี้จะทำอะไรเกินขอบเขตไปบ้าง แต่ถึงกระนั้นเขาก็อยู่รับใช้หลงเทียนอวี้มานานหลายปี

แม้ชายผู้นี้จะกุมความลับเอาไว้มากมาย แต่นั่นก็กลายเป็นจุดอ่อนให้เขาต้องถูกตามล่า

เหตุเพราะหักหลังผู้เป็นนาย ดังนั้นจึงไม่มีใครเชื่อใจเขาอีก แม้จะแปรพักตร์แต่สุดท้ายเมื่อไร้ประโยชน์ก็จะต้องถูกฆ่าตายอยู่ดี

เชื่อว่าหลงเทียนอวี้จะต้องเตรียมการเอาไว้แล้ว

แหงนหน้ามองท้องฟ้ายามราตรี บัดนี้ดวงจันทร์กลมโตถูกเมฆหนาปกคลุมจนหมด หลินเมิ้งหยาถอนหายใจเล็กน้อย

ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรก เหตุใดเรื่องยุ่งยากใจจึงเพิ่มมากขึ้นทุกที

กินยาระงับประสาท เสี่ยวป๋ายและเสือน้อยฟุบตัวอยู่ด้านหน้าประตูเพื่อคอยปกป้องนาง หลินเมิ้งหยาค่อยๆ หลับใหล

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ช่วงนี้นางมักจะฝันถึงเรื่องราวในชาติภพก่อน บางทีอาจเพราะชีวิตในช่วงเวลานั้นไม่มีกลอุบายให้ต้องคอยระวังมากเท่านี้

หลินเมิ้งหยาที่เคยชินกับการตื่นนอนตอนเช้ากลับตื่นสายในวันนี้

ดูเหมือนยาระงับประสาทจะมีประสิทธิภาพไม่เลว แต่หลินเมิ้งหยากลับรู้สึกไม่สดชื่นเอาเสียเลย

ตอนเช้าป๋ายจีเข้ามารายงานว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในสวนหย่อมเมื่อวานถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว คนในจวนไม่ทันสังเกตถึงสิ่งผิดปกติใดๆ ทั้งสิ้น อีกทั้งยังไม่รู้ว่าเมื่อคืนมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น

“นายหญิง ปิ่นเงินของท่านหายไปไหนหรือเจ้าคะ?”

ป๋ายจื่อที่ทำหน้าที่รับใช้นางยามตื่นนอนเอ่ยถามขึ้น

“โอ้ เมื่อคืนมันทำหน้าที่ในการสั่งสอนป๋ายหลี่อู๋เฉินไปแล้ว ไม่เป็นไร ช่างมันเถิด”

สวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ หลินเมิ้งหยาต้องออกไปจัดการเรื่องในจวนให้เรียบร้อย ใกล้จะข้ามปีแล้ว งานในจวนยิ่งเพิ่มมากขึ้น แม้จะมีสาวใช้ทั้งสี่คอยช่วยเหลือ แต่นางก็ยังมีงานอีกมากให้ต้องจัดการ

ตอนนี้นางเพิ่งรู้ว่าแม่นางหวังซีเฟิงที่ถูกจารึกชื่อบนโขดหินมีความสามารถในการจัดการงานมากขนาดไหน

น่าเสียดาย เมื่อเทียบกับนางแล้ว ตนเองยังมิอาจเก่งกาจได้เท่าครึ่งหนึ่งของนาง

ยุ่งวุ่นวายตลอดช่วงเช้า หลังจากรับประทานอาหารกลางวันแล้วหลินเมิ้งหยาจึงมีเวลาว่างเล็กน้อย

หลงเทียนอวี้หายตัวไปตั้งแต่เช้า มีคนแจ้งว่าเขาถูกฝ่ายพิธีการตามตัวไปปรึกษาเรื่องงานเลี้ยงวันตรุษจีน

แม้ไท่จื่อจะไม่อยากเจอหน้าหลงเทียนอวี้สักเท่าไร แต่เพราะฮ่องเต้ยังคงทรงพระประชวร ดังนั้นเรื่องมากมายจำต้องให้เหล่าองค์ชายเป็นผู้ปรึกษาหารือกัน

เพียงนั่งลงจิบชาได้หนึ่งอึก หลินจงอวี้ก็โผล่หน้าเข้ามาหา

ใบหน้าเรียวเล็กขาวนวลเจือไว้ซึ่งความหวาดหวั่น สายตากลิ้งกลอกหลบๆ ซ่อนๆ ไม่เหมือนทุกที

หลินเมิ้งหยาวางแก้วชาลงก่อนจะโบกมือเรียก

วันนี้เสี่ยวอวี้เรียนรู้วิธีการแสดงท่าทางบิดม้วนด้วยความเขินอายเป็นแล้วสินะ

“เป็นอะไรไป? มีอะไรต้องการคุยกับข้าอย่างนั้นหรือ?”

ได้ยินชิงหูเล่าว่าวิทยายุทธของเสี่ยวอวี้พัฒนาขึ้นมาก คาดว่าแต่ก่อนเขาจะต้องรู้จักพื้นฐานในการต่อสู้มาบ้าง ดังนั้นเมื่อได้รับการถ่ายทอดวิชาจึงสามารถเรียนรู้ได้อย่างว่องไว

เรือนเล็กของเขามักมีคนเข้าออกเป็นจำนวนมาก แต่คนเหล่านี้มักแอบเข้ามาอย่างลับๆ และไม่มีใครทำความรู้จักกับคนในจวน ฉะนั้นหลงเทียนอวี้จึงปิดตาลงข้างหนึ่งเพื่อทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น

“พี่สาว ท่านอาเลี่ยต้องการพบท่าน เขาบอกว่าท่านพ่อของข้าสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง ฉะนั้นจึงอยากให้ข้ากลับไปให้เร็วที่สุด”

หลินจงอวี้ส่งเสียงเบาแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกมิอาจทำใจจากลา

หัวใจของนางราวกับถูกสะท้อนออกมา เกรงว่าเด็กคนนี้เองก็คงไม่อยากแยกจากนางเช่นกัน

“ข้าเองก็อยากเจอเขาอยู่พอดี เช่นนั้นคืนนี้นัดเขามาเจอข้าเถิด พี่สาวขอถามเจ้าหน่อยว่าเจ้าอยากไปจริงๆ หรือไม่?”

“ข้า…ข้าไม่อยากไปจากพี่สาว แต่ว่า…”

คำพูดต่อมาชะงักอยู่ในลำคอของเสี่ยวอวี้ หลินเมิ้งหยาฟังไม่ชัดเจน แต่ถึงกระนั้นนางสามารถมองเห็นทุกอย่างจากสีหน้าของเขาได้

ดูเหมือนเด็กคนนี้จะมีปณิธานที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นในหัวใจแล้ว

ช่างเถิด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางคงทำได้เพียงปล่อยเขาไป

“เจ้าไปเชิญท่านอาเลี่ยมาหาข้าในคืนนี้เถิด พี่สาวหาใช่อยากอวดรู้อะไร ข้าจะทำตามสิ่งที่ใจเจ้าปรารถนา”

นางจะต้องทำความเข้าใจกับฐานะของเสี่ยวอวี้ให้ชัดเจน

เรื่องของซินหลียังคงกัดกินหัวใจของนางอยู่เสมอ คนโรคจิตวิปริตเช่นนั้นไม่มีทางปล่อยเสี่ยวอวี้ไปอย่างแน่นอน

หากเสี่ยวอวี้ต้องกลับไปที่เมืองเลี่ยหยุนจริง เกรงว่าเขาจะตกอยู่ในอันตราย

เฮ้อ นางเพิ่งพบว่าตนเองชอบถอนหายใจตลอดเวลา เหตุใดคนรอบตัวนางจึงต้องพบเจอกับความขมขื่นเสมอเลยนะ

แม้จะยังมีเรื่องระหองระแหงกับตำหนักหยาเสวียน แต่ถึงกระนั้นหลินเมิ้งหยาก็ทำในสิ่งที่ต้องทำ

นางส่งผ้าไหมและเครื่องประดับไปที่นั่นตั้งแต่เช้าเพื่อให้พระสนมเต๋อเฟยเลือก

เจียงหรูฉินถูกขังอยู่ในเรือนจำทาสหลายวันแล้ว ได้ยินมาว่านางเอาแต่ร้องห่มร้องไห้จนเสียงแหบพร่า หากยังขังตัวนางเอาไว้เช่นนี้หาใช่วิธีการที่เหมาะสม ถึงอย่างไรนางก็เป็นญาติของพระสนมเต๋อเฟย ฉะนั้นหลินเมิ้งหยาจึงไม่อาจเห็นแก่ตัว

ตำหนักหยาเสวียนเงียบสงัด หลังจากเกิดเรื่องคราวก่อน พระสนมเต๋อเฟยต้องพบเจอกับความอับอายขายหน้า

คนทั้งจวนต่างรู้ดีว่านายหญิงที่แท้จริงอยู่ที่ตำหนักหลิวซิน แม้แต่ท่านอ๋องก็ย้ายไปอยู่ที่นั่นและแสดงความรักใคร่อย่างชัดเจน

ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าดูหมิ่นหลินเมิ้งหยาอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น นางปฏิบัติกับคนอื่นอย่างเคารพและเท่าเทียม แม้สาวใช้ทั้งสี่จะมีความสามารถ แต่ก็ไม่มีใครคนไหนแสดงความหยิ่งผยอง

เหล่าข้ารับใช้จึงล้วนรู้สึกชื่นชมพวกนางยิ่งนัก

หลินเมิ้งหยาทำเพียงก้มหน้าลงไม่พูดอะไรขณะนั่งอยู่ในตำหนักหยาเสวียน สีหน้าของพระสนมเต๋อเฟยไม่สู้ดีนัก ท่าทางของนางดูแก่ลงกว่าเดิมมาก

ใบหน้าที่เคยอิ่มเอมกลับมีริ้วรอย เสื้อผ้าที่สวมใส่เรียบง่าย ได้ยินเหล่าคนรับใช้เล่าว่าช่วงนี้พระสนมเต๋อเฟยขลุกอยู่แต่ในห้องพระและสวดมนต์

“เปิ่นกงรู้มาว่าหลายวันมานี้ท่านอาคนโตมารบกวนเจ้าอยู่หลายหนเพราะเรื่องของหรูฉิน”

หลินเมิ้งหยาพยักหน้า เหตุเพราะพระสนมเต๋อเฟยกริ้วเป็นอย่างมาก แม้แต่ญาติของตนเองก็ไม่ยอมอนุญาตให้เข้ามาพบหน้า ดังนั้นพวกเขาจึงมาขอร้องเรื่องเจียงหรูฉินกับนาง

แม้เจียงหรูฉินจะสร้างความอับอายให้กับวงศ์ตระกูล แต่ถึงกระนั้นนางก็เป็นคนในสกุลเจียง ดังนั้นคนที่จะตัดสินความผิดของนางได้ย่อมเป็นคนของสกุลเจียง

“ทูลหมู่เฟย ท่านอาคนโตมาหาหม่อมฉันจริงเพคะ แต่เพราะพวกเราล้วนเป็นญาติพี่น้อง หมู่เฟยได้โปรดเห็นแก่หน้าท่านอาคนโตสักครั้งและอภัยหรูฉินเถิดเพคะ”

หลินเมิ้งหยารู้ดีอยู่แก่ใจ พระสนมเต๋อเฟยไม่มีทางทำอะไรเจียงหรูฉินอย่างแน่นอน แต่เมื่อใบเรือกางออกแล้วนางก็มีหน้าที่เข็นเรือให้ลอยไปตามน้ำ

ถึงอย่างไรตอนนี้ชื่อเสียงของเจียงหรูฉินก็ถูกทำลาย คาดว่าต่อไปคงมิอาจสร้างเรื่องอันใดได้อีก

“ในเมื่อเจ้ามาขอร้องด้วยตนเอง แสดงว่าท่านอาคนโตคงเดือดเนื้อร้อนใจมากจริงๆ ช่างเถิด เปิ่นกงสั่งให้คนตรวจสอบร่างกายของนางแล้ว นางยังคงบริสุทธิ์อยู่ แต่เปิ่นกงไม่เข้าใจ นางที่เป็นคุณหนูชนชั้นสูงอยู่เพียงในห้อง เหตุใดจึงไปปรากฏตัวบนเตียงของคณิกาชายได้”

น้ำเสียงของพระสนมเต๋อเฟยแฝงซึ่งเลศนัยบางอย่าง

หลินเมิ้งหยาแค่นหัวเราะเสียงเย็นในใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วกระตุกยิ้ม

“บางทีอาจได้รับความช่วยเหลือจากคนนอกก็ได้เพคะ บางทีอาจเป็นผีสางนางไม้ก็เป็นได้”

หลินเมิ้งหยาโยนความผิดให้กับผีสางนางไม้ พระสนมเต๋อเฟยจึงสบถเสียงเย็น

“ในเมื่อไม่มีเรื่องอันใดแล้ว เช่นนั้นหม่อมฉันขอทูลลา หมู่เฟยรักษาพระวรกายด้วยนะเพคะ”

หลินเมิ้งหยาลุกขึ้นถวายคำนับ ก่อนจะพาคนออกจากตำหนักหยาเสวียน

“เพียะ” เสียงดังขึ้น สร้อยประคำไข่มุกในมือกระจัดกระจายลงบนพื้น

ดวงตาสั่นไหว สีหน้าเผยให้เห็นความเกลียดชัง จ้องมองทิศทางที่หลินเมิ้งหยาหายลับไป นางอยากจะเข้าไปแล่เนื้อเชือดหนังผู้หญิงคนนั้นเหลือเกิน

มือเรียวยาวขาวนวลดั่งหยกเอื้อมไปหยิบเม็ดไข่มุก เช็ดด้วยผ้าเช็ดหน้า ก่อนจะเข้ามายืนเบื้องหน้าพระสนมเต๋อเฟย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษเล่มที่ 10 บทที่ 271 ความลับในตำหนักหยาเสวียน

Now you are reading ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ Chapter เล่มที่ 10 บทที่ 271 ความลับในตำหนักหยาเสวียน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เอาล่ะ เจ้าพูดน้อยๆ หน่อยเถิด”

หลินเมิ้งหยาทำได้เพียงเอ่ยขัดเสียงบ่นของชิงหู ถึงอย่างไรหลงเทียนอวี้ก็ได้รับบาดเจ็บเพราะช่วยเหลือนาง

นางมิใช่คนที่ไม่รู้จักทดแทนบุญคุณใคร ยิ่งไปกว่านั้นนางรู้ดีว่าหลงเทียนอวี้กำลังเจ็บปวด มีคนตายต่อหน้าเขามากมาย แม้คนเหล่านั้นจะทรยศหักหลังเขาแต่หลงเทียนอวี้หาใช่คนไร้หัวใจ

เขาเพียงแค่เก็บซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้ในใจก็เท่านั้น

“ตอนนี้ดึกมาแล้ว เจ้าเองก็รีบพักผ่อน ข้าสั่งให้ป๋ายจื่อทำน้ำแกงมาให้เจ้าแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนี้จะไม่มีวันเกิดขึ้นอีกซ้ำสอง”

ท่ามกลางแสงไฟ ดวงตาของหลงเทียนอวี้เผยให้เห็นความอ่อนโยน หลินเมิ้งหยาอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าลง ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องของตนเองอย่างว่าง่าย

ชิงหูและเสี่ยวอวี้ไม่สามารถเข้ามาในห้องนอนของนางได้ ดังนั้นสาวใช้ทั้งสี่และสัตว์เลี้ยงทั้งสองจึงเข้ามาอยู่เป็นเพื่อนหลินเมิ้งหยาแทน

สัตว์เลี้ยงทั้งสองโตขึ้นมาก อารมณ์และความรู้สึกของพวกมันก็พัฒนามากขึ้นเช่นเดียวกัน แม้หลินเมิ้งหยาจะเอ็นดูสัตว์ทั้งสองมาก แต่ถึงกระนั้นนางก็ต้องระมัดระวังสัญชาตญาณสัตว์ป่าของทั้งคู่

เสี่ยวป๋ายและเสือน้อยล้วนฉลาดและมีไหวพริบ แม้จะไม่ถูกขังไว้ในกรงแต่ก็ไม่เที่ยวกัดใครไปทั่ว แต่ถึงอย่างไรพวกมันก็เป็นเจ้าป่า การเลี้ยงไว้ในจวนอวี้แห่งนี้อาจทำให้เกิดข่าวลือเสียๆ หายๆ และสร้างความหวาดกลัวให้แก่ผู้คนได้

นี่เป็นโอกาสที่หาไม่ได้ง่ายๆ ในการได้อยู่ใกล้ชิดผู้เป็นนาย พวกมันรีบส่ายหางดุกดิก ก่อนจะฟุบหน้าลงแนบเท้าของหลินเมิ้งหยา

“น่าตกใจเหลือเกิน ทั้งที่ท่านป๋ายหลี่ดูไม่มีพิษภัยใดๆ เลยแม้แต่น้อย เหตุใดจิตใจถึงโหดเหี้ยมอำมหิต หากมิใช่เพราะไหวพริบของนายหญิง เกรงว่าวันนี้จะต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นอย่างแน่นอน”

ป๋ายซ่าวตบหน้าอกของตนเอง ปกติแล้วนางต้องจัดการงานภายในจวน ดังนั้นจึงได้มีโอกาสทำความรู้จักกับพวกป๋ายหลี่อู๋เฉิน

ปกติแล้วเขามักแสดงท่าทางอ่อนโยนและสง่างาม หาได้ทำอะไรเกินเลยไม่ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเป็นคนเจ้าเล่ห์เช่นนี้

ราวกับว่าป๋ายซูนึกอะไรขึ้นมาได้

“เพราะเหตุนี้ช่วงก่อนพวกคนชั่วจึงพุ่งเป้ามาที่นายหญิง หากมิใช่เพราะชิงหูและนายน้อยอวี้ทำการคุ้มครองตำหนักอย่างเข้มงวดแล้วล่ะก็ คนเหล่านี้จะต้องสบโอกาสทำร้ายนายหญิงอย่างแน่นอน”

คำพูดของป๋ายซูทำให้แผ่นหลังของหลินเมิ้งหยามีเหงื่อผุดพราย

นางรู้เพียงว่าป๋ายหลี่อู๋เฉินเกลียดชังนาง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะใจกล้าบ้าบิ่นถึงขั้นส่งคนมาฆ่านาง

ตอนนี้กลุ่มสามสหายรวบรวมกำลังพลได้มากพอตัวแล้ว คาดว่าถึงเวลาที่จะต้องหางานให้พวกเขาทำแล้ว

ตอนนี้ป๋ายหลี่อู๋เฉินหนีรอดไปได้ ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีเช่นไร ต่อให้เขายังมีชีวิตรอด แต่สุดท้ายก็กลายเป็นคนไร้ประโยชน์อยู่ดี แม้คนผู้นี้จะทำอะไรเกินขอบเขตไปบ้าง แต่ถึงกระนั้นเขาก็อยู่รับใช้หลงเทียนอวี้มานานหลายปี

แม้ชายผู้นี้จะกุมความลับเอาไว้มากมาย แต่นั่นก็กลายเป็นจุดอ่อนให้เขาต้องถูกตามล่า

เหตุเพราะหักหลังผู้เป็นนาย ดังนั้นจึงไม่มีใครเชื่อใจเขาอีก แม้จะแปรพักตร์แต่สุดท้ายเมื่อไร้ประโยชน์ก็จะต้องถูกฆ่าตายอยู่ดี

เชื่อว่าหลงเทียนอวี้จะต้องเตรียมการเอาไว้แล้ว

แหงนหน้ามองท้องฟ้ายามราตรี บัดนี้ดวงจันทร์กลมโตถูกเมฆหนาปกคลุมจนหมด หลินเมิ้งหยาถอนหายใจเล็กน้อย

ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรก เหตุใดเรื่องยุ่งยากใจจึงเพิ่มมากขึ้นทุกที

กินยาระงับประสาท เสี่ยวป๋ายและเสือน้อยฟุบตัวอยู่ด้านหน้าประตูเพื่อคอยปกป้องนาง หลินเมิ้งหยาค่อยๆ หลับใหล

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ช่วงนี้นางมักจะฝันถึงเรื่องราวในชาติภพก่อน บางทีอาจเพราะชีวิตในช่วงเวลานั้นไม่มีกลอุบายให้ต้องคอยระวังมากเท่านี้

หลินเมิ้งหยาที่เคยชินกับการตื่นนอนตอนเช้ากลับตื่นสายในวันนี้

ดูเหมือนยาระงับประสาทจะมีประสิทธิภาพไม่เลว แต่หลินเมิ้งหยากลับรู้สึกไม่สดชื่นเอาเสียเลย

ตอนเช้าป๋ายจีเข้ามารายงานว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในสวนหย่อมเมื่อวานถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว คนในจวนไม่ทันสังเกตถึงสิ่งผิดปกติใดๆ ทั้งสิ้น อีกทั้งยังไม่รู้ว่าเมื่อคืนมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น

“นายหญิง ปิ่นเงินของท่านหายไปไหนหรือเจ้าคะ?”

ป๋ายจื่อที่ทำหน้าที่รับใช้นางยามตื่นนอนเอ่ยถามขึ้น

“โอ้ เมื่อคืนมันทำหน้าที่ในการสั่งสอนป๋ายหลี่อู๋เฉินไปแล้ว ไม่เป็นไร ช่างมันเถิด”

สวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ หลินเมิ้งหยาต้องออกไปจัดการเรื่องในจวนให้เรียบร้อย ใกล้จะข้ามปีแล้ว งานในจวนยิ่งเพิ่มมากขึ้น แม้จะมีสาวใช้ทั้งสี่คอยช่วยเหลือ แต่นางก็ยังมีงานอีกมากให้ต้องจัดการ

ตอนนี้นางเพิ่งรู้ว่าแม่นางหวังซีเฟิงที่ถูกจารึกชื่อบนโขดหินมีความสามารถในการจัดการงานมากขนาดไหน

น่าเสียดาย เมื่อเทียบกับนางแล้ว ตนเองยังมิอาจเก่งกาจได้เท่าครึ่งหนึ่งของนาง

ยุ่งวุ่นวายตลอดช่วงเช้า หลังจากรับประทานอาหารกลางวันแล้วหลินเมิ้งหยาจึงมีเวลาว่างเล็กน้อย

หลงเทียนอวี้หายตัวไปตั้งแต่เช้า มีคนแจ้งว่าเขาถูกฝ่ายพิธีการตามตัวไปปรึกษาเรื่องงานเลี้ยงวันตรุษจีน

แม้ไท่จื่อจะไม่อยากเจอหน้าหลงเทียนอวี้สักเท่าไร แต่เพราะฮ่องเต้ยังคงทรงพระประชวร ดังนั้นเรื่องมากมายจำต้องให้เหล่าองค์ชายเป็นผู้ปรึกษาหารือกัน

เพียงนั่งลงจิบชาได้หนึ่งอึก หลินจงอวี้ก็โผล่หน้าเข้ามาหา

ใบหน้าเรียวเล็กขาวนวลเจือไว้ซึ่งความหวาดหวั่น สายตากลิ้งกลอกหลบๆ ซ่อนๆ ไม่เหมือนทุกที

หลินเมิ้งหยาวางแก้วชาลงก่อนจะโบกมือเรียก

วันนี้เสี่ยวอวี้เรียนรู้วิธีการแสดงท่าทางบิดม้วนด้วยความเขินอายเป็นแล้วสินะ

“เป็นอะไรไป? มีอะไรต้องการคุยกับข้าอย่างนั้นหรือ?”

ได้ยินชิงหูเล่าว่าวิทยายุทธของเสี่ยวอวี้พัฒนาขึ้นมาก คาดว่าแต่ก่อนเขาจะต้องรู้จักพื้นฐานในการต่อสู้มาบ้าง ดังนั้นเมื่อได้รับการถ่ายทอดวิชาจึงสามารถเรียนรู้ได้อย่างว่องไว

เรือนเล็กของเขามักมีคนเข้าออกเป็นจำนวนมาก แต่คนเหล่านี้มักแอบเข้ามาอย่างลับๆ และไม่มีใครทำความรู้จักกับคนในจวน ฉะนั้นหลงเทียนอวี้จึงปิดตาลงข้างหนึ่งเพื่อทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น

“พี่สาว ท่านอาเลี่ยต้องการพบท่าน เขาบอกว่าท่านพ่อของข้าสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง ฉะนั้นจึงอยากให้ข้ากลับไปให้เร็วที่สุด”

หลินจงอวี้ส่งเสียงเบาแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกมิอาจทำใจจากลา

หัวใจของนางราวกับถูกสะท้อนออกมา เกรงว่าเด็กคนนี้เองก็คงไม่อยากแยกจากนางเช่นกัน

“ข้าเองก็อยากเจอเขาอยู่พอดี เช่นนั้นคืนนี้นัดเขามาเจอข้าเถิด พี่สาวขอถามเจ้าหน่อยว่าเจ้าอยากไปจริงๆ หรือไม่?”

“ข้า…ข้าไม่อยากไปจากพี่สาว แต่ว่า…”

คำพูดต่อมาชะงักอยู่ในลำคอของเสี่ยวอวี้ หลินเมิ้งหยาฟังไม่ชัดเจน แต่ถึงกระนั้นนางสามารถมองเห็นทุกอย่างจากสีหน้าของเขาได้

ดูเหมือนเด็กคนนี้จะมีปณิธานที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นในหัวใจแล้ว

ช่างเถิด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางคงทำได้เพียงปล่อยเขาไป

“เจ้าไปเชิญท่านอาเลี่ยมาหาข้าในคืนนี้เถิด พี่สาวหาใช่อยากอวดรู้อะไร ข้าจะทำตามสิ่งที่ใจเจ้าปรารถนา”

นางจะต้องทำความเข้าใจกับฐานะของเสี่ยวอวี้ให้ชัดเจน

เรื่องของซินหลียังคงกัดกินหัวใจของนางอยู่เสมอ คนโรคจิตวิปริตเช่นนั้นไม่มีทางปล่อยเสี่ยวอวี้ไปอย่างแน่นอน

หากเสี่ยวอวี้ต้องกลับไปที่เมืองเลี่ยหยุนจริง เกรงว่าเขาจะตกอยู่ในอันตราย

เฮ้อ นางเพิ่งพบว่าตนเองชอบถอนหายใจตลอดเวลา เหตุใดคนรอบตัวนางจึงต้องพบเจอกับความขมขื่นเสมอเลยนะ

แม้จะยังมีเรื่องระหองระแหงกับตำหนักหยาเสวียน แต่ถึงกระนั้นหลินเมิ้งหยาก็ทำในสิ่งที่ต้องทำ

นางส่งผ้าไหมและเครื่องประดับไปที่นั่นตั้งแต่เช้าเพื่อให้พระสนมเต๋อเฟยเลือก

เจียงหรูฉินถูกขังอยู่ในเรือนจำทาสหลายวันแล้ว ได้ยินมาว่านางเอาแต่ร้องห่มร้องไห้จนเสียงแหบพร่า หากยังขังตัวนางเอาไว้เช่นนี้หาใช่วิธีการที่เหมาะสม ถึงอย่างไรนางก็เป็นญาติของพระสนมเต๋อเฟย ฉะนั้นหลินเมิ้งหยาจึงไม่อาจเห็นแก่ตัว

ตำหนักหยาเสวียนเงียบสงัด หลังจากเกิดเรื่องคราวก่อน พระสนมเต๋อเฟยต้องพบเจอกับความอับอายขายหน้า

คนทั้งจวนต่างรู้ดีว่านายหญิงที่แท้จริงอยู่ที่ตำหนักหลิวซิน แม้แต่ท่านอ๋องก็ย้ายไปอยู่ที่นั่นและแสดงความรักใคร่อย่างชัดเจน

ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าดูหมิ่นหลินเมิ้งหยาอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น นางปฏิบัติกับคนอื่นอย่างเคารพและเท่าเทียม แม้สาวใช้ทั้งสี่จะมีความสามารถ แต่ก็ไม่มีใครคนไหนแสดงความหยิ่งผยอง

เหล่าข้ารับใช้จึงล้วนรู้สึกชื่นชมพวกนางยิ่งนัก

หลินเมิ้งหยาทำเพียงก้มหน้าลงไม่พูดอะไรขณะนั่งอยู่ในตำหนักหยาเสวียน สีหน้าของพระสนมเต๋อเฟยไม่สู้ดีนัก ท่าทางของนางดูแก่ลงกว่าเดิมมาก

ใบหน้าที่เคยอิ่มเอมกลับมีริ้วรอย เสื้อผ้าที่สวมใส่เรียบง่าย ได้ยินเหล่าคนรับใช้เล่าว่าช่วงนี้พระสนมเต๋อเฟยขลุกอยู่แต่ในห้องพระและสวดมนต์

“เปิ่นกงรู้มาว่าหลายวันมานี้ท่านอาคนโตมารบกวนเจ้าอยู่หลายหนเพราะเรื่องของหรูฉิน”

หลินเมิ้งหยาพยักหน้า เหตุเพราะพระสนมเต๋อเฟยกริ้วเป็นอย่างมาก แม้แต่ญาติของตนเองก็ไม่ยอมอนุญาตให้เข้ามาพบหน้า ดังนั้นพวกเขาจึงมาขอร้องเรื่องเจียงหรูฉินกับนาง

แม้เจียงหรูฉินจะสร้างความอับอายให้กับวงศ์ตระกูล แต่ถึงกระนั้นนางก็เป็นคนในสกุลเจียง ดังนั้นคนที่จะตัดสินความผิดของนางได้ย่อมเป็นคนของสกุลเจียง

“ทูลหมู่เฟย ท่านอาคนโตมาหาหม่อมฉันจริงเพคะ แต่เพราะพวกเราล้วนเป็นญาติพี่น้อง หมู่เฟยได้โปรดเห็นแก่หน้าท่านอาคนโตสักครั้งและอภัยหรูฉินเถิดเพคะ”

หลินเมิ้งหยารู้ดีอยู่แก่ใจ พระสนมเต๋อเฟยไม่มีทางทำอะไรเจียงหรูฉินอย่างแน่นอน แต่เมื่อใบเรือกางออกแล้วนางก็มีหน้าที่เข็นเรือให้ลอยไปตามน้ำ

ถึงอย่างไรตอนนี้ชื่อเสียงของเจียงหรูฉินก็ถูกทำลาย คาดว่าต่อไปคงมิอาจสร้างเรื่องอันใดได้อีก

“ในเมื่อเจ้ามาขอร้องด้วยตนเอง แสดงว่าท่านอาคนโตคงเดือดเนื้อร้อนใจมากจริงๆ ช่างเถิด เปิ่นกงสั่งให้คนตรวจสอบร่างกายของนางแล้ว นางยังคงบริสุทธิ์อยู่ แต่เปิ่นกงไม่เข้าใจ นางที่เป็นคุณหนูชนชั้นสูงอยู่เพียงในห้อง เหตุใดจึงไปปรากฏตัวบนเตียงของคณิกาชายได้”

น้ำเสียงของพระสนมเต๋อเฟยแฝงซึ่งเลศนัยบางอย่าง

หลินเมิ้งหยาแค่นหัวเราะเสียงเย็นในใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วกระตุกยิ้ม

“บางทีอาจได้รับความช่วยเหลือจากคนนอกก็ได้เพคะ บางทีอาจเป็นผีสางนางไม้ก็เป็นได้”

หลินเมิ้งหยาโยนความผิดให้กับผีสางนางไม้ พระสนมเต๋อเฟยจึงสบถเสียงเย็น

“ในเมื่อไม่มีเรื่องอันใดแล้ว เช่นนั้นหม่อมฉันขอทูลลา หมู่เฟยรักษาพระวรกายด้วยนะเพคะ”

หลินเมิ้งหยาลุกขึ้นถวายคำนับ ก่อนจะพาคนออกจากตำหนักหยาเสวียน

“เพียะ” เสียงดังขึ้น สร้อยประคำไข่มุกในมือกระจัดกระจายลงบนพื้น

ดวงตาสั่นไหว สีหน้าเผยให้เห็นความเกลียดชัง จ้องมองทิศทางที่หลินเมิ้งหยาหายลับไป นางอยากจะเข้าไปแล่เนื้อเชือดหนังผู้หญิงคนนั้นเหลือเกิน

มือเรียวยาวขาวนวลดั่งหยกเอื้อมไปหยิบเม็ดไข่มุก เช็ดด้วยผ้าเช็ดหน้า ก่อนจะเข้ามายืนเบื้องหน้าพระสนมเต๋อเฟย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+