ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษเล่มที่ 11 บทที่ 305 พบโดยบังเอิญ

Now you are reading ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ Chapter เล่มที่ 11 บทที่ 305 พบโดยบังเอิญ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ข้าหาใช่คนที่ต้องรีบร้อน สักวันหนึ่งพวกเขาจะเป็นฝ่ายมาขอร้องข้าเอง”

หลินเมิ้งหยามองออก คนเหล่านี้เพียงแค่ต้องการสร้างปัญหาให้นาง

แต่น่าเสียดายที่นางหาใช่คนอ่อนแอ ไม่ช้าก็เร็วคนเหล่านี้จะได้รู้ว่าสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่โง่เขลาเพียงไหน

“เจ้าค่ะ แต่นายหญิงเจ้าคะ เหตุใดคนเหล่านี้จึงไร้มารยาทเหลือเกิน? ข้าว่าพวกเขายังเทียบไม่ได้กับพวกบ่าวที่ใช้แรงงานในจวนของพวกเราเลยเจ้าค่ะ ไม่มีคนไหนเห็นนายหญิงอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย”

เพียงพูดถึง อารมณ์ของป๋ายซูก็ยิ่งพลุ่งพล่าน เมื่อก่อนไม่ว่าใครที่ได้เห็นพระชายาก็ต่างเคารพนับถือ แต่เมื่อเข้ามาอยู่ในวังหลวง ยังไม่ทันไรก็ถูกกลั่นแกล้งนับครั้งไม่ถ้วน

แม้นายหญิงจะใจดี แต่นางมิใช่คนเช่นนั้น

“วังหลวงก็มักจะเป็นแบบนี้นั่นแหละ ด้านนอกนั่น ข้าเป็นพระชายาผู้มีฐานะสูงส่ง แต่ภายในวังหลวงแห่งนี้ คนที่เข้ามาหาเรื่องเป็นถึงเจี๋ยอวี้ ฉงหรง ดังนั้นเรื่องราวจึงไม่มีทางเป็นเหมือนก่อน เรื่องในวันนี้ช่างมันเถิด แต่อย่าวู่วามอีกเป็นอันขาด ข้ารู้ว่าเจ้าทำไปเพราะต้องการปกป้องข้า แต่พวกขุนนางในวังหลวงล้วนเป็นเสือซ่อนเล็บ พวกเรามิอาจรู้หรอกว่าวันพรุ่งนี้จะต้องเจอเข้ากับใครบ้าง”

อันที่จริงหลินเมิ้งหยาเตรียมใจแล้วว่าสักวันจะต้องเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น

แต่เมื่อต้องมาเจอเหตุการณ์เช่นนี้บ่อยครั้งเข้า โทสะจึงปะทุขึ้นมา

สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะฮ่องเต้ประชวรหนัก อำนาจในวังตกอยู่ในมือของฮองเฮา เกรงว่าปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมดจะต้องเกี่ยวข้องกับฮองเฮาและไท่จื่ออย่างแน่นอน

หากคิดจะเอาตัวรอดในวังหลวง ฉะนั้นนางจำเป็นต้องอดทนต่อความยากลำบากเหล่านี้ไปให้ได้

แต่ถึงกระนั้นวังหลวงเองก็มีข้อดีเช่นเดียวกัน

แม้เหล่าหมอหลวงจะระมัดระวังนาง แต่ตำรับวิชาทางการแพทย์ อีกทั้งเครื่องมือทางการแพทย์ต่างๆ ล้วนมีให้นางหยิบจับใช้สอยได้อย่างเต็มที่ เวลาที่รู้สึกเบื่อ อย่างน้อยนางก็สามารถศึกษาตำรับยาบางชนิดได้

ทุกครั้งที่ชิวอวี้ไปที่สำนักหมอหลวง เขามักจะแสร้งทำเป็นไม่รู้จักนาง ดังนั้นหลินเมิ้งหยาเองก็เล่นละครตามเขาเช่นเดียวกัน

แม้ทั้งคู่จะเคยปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนมากมายมาแล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ยังแสร้งทำเป็นไม่รู้จักกัน ทว่าในมุมที่คนอื่นมองไม่เห็น พวกเขากลับส่งสายตาพร้อมรอยยิ้มให้อีกฝ่าย

อยู่ๆ หลินเมิ้งหยาก็รู้สึกเหมือนกำลังหลอกลวงคนเหล่านี้อยู่

ทว่าชิวอวี้ย่อมต้องมีเหตุผลของตนเอง หลินเมิ้งหยาจึงรู้สึกสนใจเขามากขึ้น

แม้หลินเมิ้งหยาจะแสดงท่าทางเอื่อยเฉื่อย แต่ในความเป็นจริงนางมักจะพลิกตำราและศึกษายาของตนเองภายในห้องเล็กๆ อยู่เสมอ

ยิ่งไปกว่านั้น เหล่าสาวใช้ที่ถูกทำให้รู้สึกหวาดผวาล้วนทำเพียงยืนอยู่หน้าประตู

อันที่จริง แม้สายตาของนางจะจ้องตัวหนังสือ แต่หัวใจกลับหวนนึกถึงภาพบริเวณโดยรอบที่ตนเองได้สำรวจ

นางได้พบกับสองในสี่ของใต้เท้ายมบาลแห่งสำนักหมอหลวงแล้ว ส่วนคนเจ้าวางแผนอย่างซูถงไม่มีทางปล่อยให้นางทำอะไรได้ง่ายๆ อย่างแน่นอน

ดูเหมือนนางจะต้องออกแรงอีกสักนิดกว่าจะได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้

ครึ่งวันต่อมา หลินเมิ้งหยาอ่านหนังสือจนเหนื่อยล้า ป๋ายซูจึงพานางไปเดินรอบสวนของสำนักหมอหลวง สวนแห่งนี้ได้รับการดูแลโดยหมอหลวง ดังนั้นจึงเต็มไปด้วยพืชสมุนไพร

หลินเมิ้งหยาใช้ระบบเซินหนงในการวิเคราะห์จำแนกยา ผลปรากฏว่าข้อมูลส่วนใหญ่เหมือนถูกคัดลอกออกมาจากสมอง

ยาเหล่านี้มีบางส่วนเป็นยาถอนพิษ อีกทั้งยังมียาสมุนไพรที่ถูกปลูกขึ้นมาใหม่ หลินเมิ้งหยาเดินไปรอบๆ ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่ลำธารเล็กๆ สายหนึ่ง หลินเมิ้งหยาหยุดฝีเท้าลง

นี่…อะไรกัน?

เมื่อครู่นางกวาดสายตาไปรอบๆ โดยมิได้ตั้งใจ ทว่ากลับสะดุดตาที่ยาสมุนไพรต้นหนึ่งซึ่งขึ้นอยู่บริเวณมุมกำแพง

สมุนไพรชนิดนี้ไม่ควรปลูกอยู่ท่ามกลางสมุนไพรชนิดอื่น นี่หรือว่าพวกหมอหลวงไม่ทันระวัง?

“พระชายา? พระชายา?”

ดึงสติกลับมา หลินเมิ้งหยาพลันได้เห็นใบหน้านวลอ่อนเยาว์ของใครคนหนึ่ง

อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเสี่ยวอวี้ ยกยิ้มเขินอาย ส่งเสียงเรียกนางด้วยความระมัดระวัง

“โอ้ ขออภัย ข้าเหม่อลอยเล็กน้อย ไม่ทราบว่าเจ้าคือ…”

เด็กคนนี้ใส่ชุดหมอหลวงฝึกหัดสีขาว แต่กลับไม่สะดุดตา

หลังจากหลินเมิ้งหยาหันมาสบตากับตนเอง ใบหน้าของเขาแดงระเรื่อ ก่อนจะก้มหน้างุด

“ข้าน้อยชื่อเสี่ยวเฟิง เป็นหมอหลวงฝึกหัดอยู่ในสำนักหมอหลวงขอรับ เมื่อวานท่านเจ้าสำนักซูเอ่ยว่าเขากลัวพระองค์อาจไม่คุ้นชินนักกับการต้องอยู่ที่นี่เพียงคนเดียว ฉะนั้นจึงส่งข้าน้อยมารับใช้พระองค์ขอรับ”

คนที่ซูถงส่งมา? หลินเมิ้งหยาลอบสังเกตเด็กหนุ่มตรงหน้า ท่าทางไม่มีพิษภัย แต่…เขาคือคนที่ซูถงส่งมา บางทีอาจมีเหตุผลบางอย่าง

“ขอบใจท่านเจ้าสำนักซูมาก เสี่ยวเฟิงใช่หรือไม่? ข้าเห็นน้ำในลำธารแห่งนี้สะอาดยิ่งนัก จะต้องมีที่มาที่ไปอย่างแน่นอน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงไม่เลี้ยงปลาคาร์ปเอาไว้เล่า?”

หลินเมิ้งหยาชี้นิ้วไปทางน้ำใสสะอาดในลำธาร ทว่าเสี่ยวเฟิงกลับส่ายหน้า

“ข้าน้อยเองก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ก่อนเคยเลี้ยงปลามากมาย แต่พวกมันก็ตายไปหมด บางทีอาจเพราะผู้ชายหยาบกระด้างเช่นพวกเราคงมิละเอียดอ่อนมากพอที่จะเลี้ยงปลาหรือปลูกดอกไม้ก็ได้ขอรับ”

หลังจากได้ยินคำตอบของเสี่ยวเฟิง หลินเมิ้งหยาหลุดหัวเราะ หันกลับไปมองลำธารอีกครั้ง ก่อนจะพาป๋ายซูกลับไปยังห้อง

ไม่ผิดแน่ นี่จะต้องเกี่ยวข้องกับของสิ่งนั้น

“ป๋ายซู เจ้าจงไปขอกากยาของยารักษาอาการประชวรของฮ่องเต้มาให้ข้า ข้าคิดว่าพวกเขาไม่มีทางทำอะไรเจ้าอย่างแน่นอน”

ยาของฮ่องเต้เองก็เป็นสิ่งสำคัญมาก หลังจากตรวจสอบเสร็จแล้ว นางจะเอามาผึ่งให้แห้งและเก็บรักษาเอาไว้

ขอเพียงนางลองตรวจสอบดู นางก็จะรู้ได้ทันทีว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

ป๋ายซูรีบออกไปจัดการทันที หลังจากผ่านเหตุการณ์อันน่าเวทนาของใต้เท้าชุ่ยมาแล้ว คาดว่าป๋ายซูจะต้องกลายเป็นคนที่น่าหวาดกลัวที่สุดของสำนักหมอหลวงอย่างแน่นอน

หรือถ้าจะให้พูดอย่างตรงไปตรงมาก็คือเพียงหมอหลวงได้เห็นนาง พวกเขาจะต้องหวาดกลัวจนตัวสั่นอย่างแน่นอน

ผลปรากฏว่านางได้รับกากยามาโดยไม่ต้องออกแรงเลยแม้แต่น้อย

หลินเมิ้งหยาคาดไม่ถึงว่าคนที่ต่อสู้อยู่เป็นนิจและสำแดงวิชาออกมาอย่างป๋ายซูจะสร้างผลกระทบให้พวกเขามากถึงขนาดนี้

หลินเมิ้งหยาตรวจสอบกากยาอย่างละเอียด หลังจากระบบเซินหนงวิเคราะห์แล้ว ในที่สุดนางก็เจอสิ่งที่ตนเองต้องการ

มองไปที่สวนผ่านทางหน้าต่าง มียารักษาอาการของฮ่องเต้ชนิดหนึ่งที่จำเป็นต้องใช้สมุนไพรสดใหม่ เพราะเหตุนี้จึงถูกปลูกในสวนเป็นจำนวนมาก

ยาชนิดนี้ชื่อว่าหยินม่าน ปลูกได้ไม่ง่ายเลยแม้แต่น้อย แม้จะปลูกได้สำเร็จ แต่ก็ต้องใช้เวลานานถึงสามปีกว่าจะสามารถเก็บเกี่ยวได้ ยิ่งไปกว่านั้น ยาชนิดนี้ยังอ่อนโยนต่อร่างกายมนุษย์

ภายในยารักษาอาการของฮ่องเต้จะต้องมียาชนิดนี้ผสมอยู่อย่างแน่นอน

ต้นหยินม่านไม่มีพิษ แม้จะใช้ในระยะยาวก็มิได้ส่งผลเสียต่อร่างกาย

นอกเสียจากว่ามันจะไม่ได้ปลูกร่วมกับยาสมุนไพรที่มีชื่อว่าโต่วเทียน

มันคือยาสมุนไพรที่นางเห็นบริเวณมุมกำแพง

นางเคยเห็นสมุนไพรชนิดนี้ในห้องหินของท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์เคยเล่าว่าสมุนไพรชนิดนี้มิได้มีพิษรุนแรง แต่รากของมันสามารถทำให้ดินเป็นพิษ

หรืออาจพูดให้เข้าใจง่ายๆ ได้ว่าสมุนไพรที่ปลูกอยู่ในสวนแห่งนี้ปนเปื้อนไปด้วยพิษจากรากของต้นโต่วเทียน

ต้นโต่วเทียนพบเห็นได้ไม่บ่อยนัก เกรงว่าทั้งต้าจิ้นจะมีเพียงไม่กี่ต้นเท่านั้น

หากมองเพียงภายนอกจะพบว่าคนเหล่านี้เป็นหมอผู้มีหน้าที่ในการรักษา ไม่มีทางที่พวกเขาจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับสิ่งสกปรกเหล่านี้

ฮึ ตอนนี้นางมั่นใจแล้วว่าอาการประชวรของฮ่องเต้จะต้องเกี่ยวข้องกับยาพิษเหล่านี้อย่างแน่นอน

เมื่อดูจากวิธีการอันแสนแยบยล คาดว่าอีกฝ่ายจะต้องระมัดระวังอย่างยิ่งยวด

หากใช้ยาพิษติดต่อกันนานหลายปี แน่นอนว่าอวัยวะภายในจะต้องถูกทำลาย ซ้ำที่นี่ยังเป็นยุคสมัยโบราณที่มิอาจตรวจสอบทางเคมีได้ ฉะนั้นผู้คนจึงมองเห็นเป็นเพียงอาการป่วยทั่วไปเท่านั้น

เหตุเพราะมีต้นโต่วเทียนปลูกอยู่ ฉะนั้นปลาในน้ำจึงตายหมด แต่เพราะปริมาณยาพิษมีเพียงน้อยนิด เมื่อผสมอยู่ในน้ำจึงถูกเจือจาง ฉะนั้นจึงไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปกติข้อนี้

นี่จึงเป็นเหตุผลที่นางถามเสี่ยวเฟิงเรื่องน้ำ

คนในสำนักหมอหลวงน่าจะไม่รู้เรื่องนี้ มิเช่นนั้นพวกเขาคงไม่ปล่อยปลาลงในน้ำ

แต่คนที่แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวและปลูกต้นโต่วเทียนไว้ในสำนักหมอหลวงจะต้องเป็นหนอนบ่อนไส้ที่แฝงตัวอยู่ในนี้อย่างแน่นอน

ทุกคนย่อมมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นหนอนบ่อนไส้

หลินเมิ้งหยากวาดสายตามองหมอหลวงซึ่งกำลังทำงานยุ่งวุ่นวายเหล่านั้นอีกครั้ง

ตกลงใครเป็นตัวการที่ทำเรื่องนี้กันนะ?

หากนางมิอาจหาตัวหนอนบ่อนไส้คนนี้ออกมาได้ เกรงว่านางจะต้องถูกคนคนนี้ทำให้เสียแผนจนไม่ได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้อย่างแน่นอน

หลินเมิ้งหยาครุ่นคิดอยู่นาน ดูเหมือนนางจะต้องรอให้หมอหลวงกลับไปกันจนหมดก่อน นางจึงจะ…ลอบตรวจสอบได้

ส่วนเรื่องพิษของรากต้นโต่วเทียน นางจะต้องหาวิธีรักษาให้ได้ แต่ถึงกระนั้นก็มิอาจแหวกหญ้าให้งูตื่น ดูเหมือนนางจะต้องลงมือลงแรงเป็นชาวสวนดูสักครั้ง

หลังจากตรวจสอบกากยาเสร็จสิ้น หลินเมิ้งหยาก็แสร้งทำการศึกษาตลอดทั้งวัน ระบบเซินหนงเริ่มทำงานอีกครั้ง คราวนี้มันทำการวิเคราะห์จำแนกปริมาณยา

แม้จะยังรู้สึกสงสัยเกี่ยวกับศีลธรรมของหมอหลวงในสำนักหมอหลวงแห่งนี้ แต่หากลองเปรียบเทียบความสามารถดู พวกเขามีความสามารถมากกว่านางหนึ่งเท่าตัว ตอนนี้นางเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดท่านอาจารย์จึงคัดค้านมิยอมให้นางเข้าวังหลวง

หากนางไม่มีระบบเซินหนงแล้วล่ะก็ เกรงว่านางจะรบรากับพวก NPC เหล่านี้ไม่ได้อย่างแน่นอน

“ป๋ายซู วันนี้ข้าเหนื่อยแล้ว พวกเรากลับกันเถิด”

เมื่อได้เห็นท่าทางลับๆ ล่อๆของนายหญิง ป๋ายซูเข้าใจได้ในทันทีว่าที่นี่หาใช่สถานที่สำหรับแลกเปลี่ยนข้อมูลลับไม่

ผงกศีรษะลง ก่อนจะเดินตามหลินเมิ้งหยาออกจากประตูใหญ่ของสำนักหมอหลวง

ในที่สุดเหล่าหมอหลวงที่ตกอยู่ในอาการหวาดผวาก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เพียงได้เห็นใต้เท้าชุ่ยซึ่งยังคงสลบไม่ฟื้น พวกเขาก็รู้สึกหวาดกลัวจนมิเป็นอันทำอะไร

บางทีอาจเพราะเจอสิ่งที่ตนเองค้นหาแล้ว ดังนั้นใบหน้าจึงสดใสมากขึ้น หลินเมิ้งหยากินอาหารเข้าไปหลายอย่างและข้าวอีกสองถ้วย

ขนาดป๋ายซูยังมองดูนายหญิงของตนด้วยความตกตะลึง หลินเมิ้งหยาในเวลานี้มิต่างอันใดจากผู้ลี้ภัยที่ไม่ได้กินอาหารมาเป็นเวลานาน ดังนั้นนางในผู้มักจะกินอาหารด้วยท่วงท่าอันแสนสง่างามทั้งสองอย่างเจินจูกับหมาหน่าวจึงตกใจกับท่าทางการกินเช่นนี้ของหลินเมิ้งหยามาก

หลังจากหลินเมิ้งหยากินอาหารเสร็จ นางในทั้งสองต่างพากันสงสัย เมื่อเช้าพระชายายังคงมีท่าทางสง่างาม เหตุใดตกเย็นมาจึงเปลี่ยนเป็นคนละคน

หลินเมิ้งหยากลับไม่สนใจสายตาสงสัยของทุกคน หลังจากเช็ดปากเสร็จแล้ว นางก็เดินนำป๋ายซูออกไปเดินเล่น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษเล่มที่ 11 บทที่ 305 พบโดยบังเอิญ

Now you are reading ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ Chapter เล่มที่ 11 บทที่ 305 พบโดยบังเอิญ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ข้าหาใช่คนที่ต้องรีบร้อน สักวันหนึ่งพวกเขาจะเป็นฝ่ายมาขอร้องข้าเอง”

หลินเมิ้งหยามองออก คนเหล่านี้เพียงแค่ต้องการสร้างปัญหาให้นาง

แต่น่าเสียดายที่นางหาใช่คนอ่อนแอ ไม่ช้าก็เร็วคนเหล่านี้จะได้รู้ว่าสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่โง่เขลาเพียงไหน

“เจ้าค่ะ แต่นายหญิงเจ้าคะ เหตุใดคนเหล่านี้จึงไร้มารยาทเหลือเกิน? ข้าว่าพวกเขายังเทียบไม่ได้กับพวกบ่าวที่ใช้แรงงานในจวนของพวกเราเลยเจ้าค่ะ ไม่มีคนไหนเห็นนายหญิงอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย”

เพียงพูดถึง อารมณ์ของป๋ายซูก็ยิ่งพลุ่งพล่าน เมื่อก่อนไม่ว่าใครที่ได้เห็นพระชายาก็ต่างเคารพนับถือ แต่เมื่อเข้ามาอยู่ในวังหลวง ยังไม่ทันไรก็ถูกกลั่นแกล้งนับครั้งไม่ถ้วน

แม้นายหญิงจะใจดี แต่นางมิใช่คนเช่นนั้น

“วังหลวงก็มักจะเป็นแบบนี้นั่นแหละ ด้านนอกนั่น ข้าเป็นพระชายาผู้มีฐานะสูงส่ง แต่ภายในวังหลวงแห่งนี้ คนที่เข้ามาหาเรื่องเป็นถึงเจี๋ยอวี้ ฉงหรง ดังนั้นเรื่องราวจึงไม่มีทางเป็นเหมือนก่อน เรื่องในวันนี้ช่างมันเถิด แต่อย่าวู่วามอีกเป็นอันขาด ข้ารู้ว่าเจ้าทำไปเพราะต้องการปกป้องข้า แต่พวกขุนนางในวังหลวงล้วนเป็นเสือซ่อนเล็บ พวกเรามิอาจรู้หรอกว่าวันพรุ่งนี้จะต้องเจอเข้ากับใครบ้าง”

อันที่จริงหลินเมิ้งหยาเตรียมใจแล้วว่าสักวันจะต้องเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น

แต่เมื่อต้องมาเจอเหตุการณ์เช่นนี้บ่อยครั้งเข้า โทสะจึงปะทุขึ้นมา

สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะฮ่องเต้ประชวรหนัก อำนาจในวังตกอยู่ในมือของฮองเฮา เกรงว่าปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมดจะต้องเกี่ยวข้องกับฮองเฮาและไท่จื่ออย่างแน่นอน

หากคิดจะเอาตัวรอดในวังหลวง ฉะนั้นนางจำเป็นต้องอดทนต่อความยากลำบากเหล่านี้ไปให้ได้

แต่ถึงกระนั้นวังหลวงเองก็มีข้อดีเช่นเดียวกัน

แม้เหล่าหมอหลวงจะระมัดระวังนาง แต่ตำรับวิชาทางการแพทย์ อีกทั้งเครื่องมือทางการแพทย์ต่างๆ ล้วนมีให้นางหยิบจับใช้สอยได้อย่างเต็มที่ เวลาที่รู้สึกเบื่อ อย่างน้อยนางก็สามารถศึกษาตำรับยาบางชนิดได้

ทุกครั้งที่ชิวอวี้ไปที่สำนักหมอหลวง เขามักจะแสร้งทำเป็นไม่รู้จักนาง ดังนั้นหลินเมิ้งหยาเองก็เล่นละครตามเขาเช่นเดียวกัน

แม้ทั้งคู่จะเคยปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนมากมายมาแล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ยังแสร้งทำเป็นไม่รู้จักกัน ทว่าในมุมที่คนอื่นมองไม่เห็น พวกเขากลับส่งสายตาพร้อมรอยยิ้มให้อีกฝ่าย

อยู่ๆ หลินเมิ้งหยาก็รู้สึกเหมือนกำลังหลอกลวงคนเหล่านี้อยู่

ทว่าชิวอวี้ย่อมต้องมีเหตุผลของตนเอง หลินเมิ้งหยาจึงรู้สึกสนใจเขามากขึ้น

แม้หลินเมิ้งหยาจะแสดงท่าทางเอื่อยเฉื่อย แต่ในความเป็นจริงนางมักจะพลิกตำราและศึกษายาของตนเองภายในห้องเล็กๆ อยู่เสมอ

ยิ่งไปกว่านั้น เหล่าสาวใช้ที่ถูกทำให้รู้สึกหวาดผวาล้วนทำเพียงยืนอยู่หน้าประตู

อันที่จริง แม้สายตาของนางจะจ้องตัวหนังสือ แต่หัวใจกลับหวนนึกถึงภาพบริเวณโดยรอบที่ตนเองได้สำรวจ

นางได้พบกับสองในสี่ของใต้เท้ายมบาลแห่งสำนักหมอหลวงแล้ว ส่วนคนเจ้าวางแผนอย่างซูถงไม่มีทางปล่อยให้นางทำอะไรได้ง่ายๆ อย่างแน่นอน

ดูเหมือนนางจะต้องออกแรงอีกสักนิดกว่าจะได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้

ครึ่งวันต่อมา หลินเมิ้งหยาอ่านหนังสือจนเหนื่อยล้า ป๋ายซูจึงพานางไปเดินรอบสวนของสำนักหมอหลวง สวนแห่งนี้ได้รับการดูแลโดยหมอหลวง ดังนั้นจึงเต็มไปด้วยพืชสมุนไพร

หลินเมิ้งหยาใช้ระบบเซินหนงในการวิเคราะห์จำแนกยา ผลปรากฏว่าข้อมูลส่วนใหญ่เหมือนถูกคัดลอกออกมาจากสมอง

ยาเหล่านี้มีบางส่วนเป็นยาถอนพิษ อีกทั้งยังมียาสมุนไพรที่ถูกปลูกขึ้นมาใหม่ หลินเมิ้งหยาเดินไปรอบๆ ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่ลำธารเล็กๆ สายหนึ่ง หลินเมิ้งหยาหยุดฝีเท้าลง

นี่…อะไรกัน?

เมื่อครู่นางกวาดสายตาไปรอบๆ โดยมิได้ตั้งใจ ทว่ากลับสะดุดตาที่ยาสมุนไพรต้นหนึ่งซึ่งขึ้นอยู่บริเวณมุมกำแพง

สมุนไพรชนิดนี้ไม่ควรปลูกอยู่ท่ามกลางสมุนไพรชนิดอื่น นี่หรือว่าพวกหมอหลวงไม่ทันระวัง?

“พระชายา? พระชายา?”

ดึงสติกลับมา หลินเมิ้งหยาพลันได้เห็นใบหน้านวลอ่อนเยาว์ของใครคนหนึ่ง

อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเสี่ยวอวี้ ยกยิ้มเขินอาย ส่งเสียงเรียกนางด้วยความระมัดระวัง

“โอ้ ขออภัย ข้าเหม่อลอยเล็กน้อย ไม่ทราบว่าเจ้าคือ…”

เด็กคนนี้ใส่ชุดหมอหลวงฝึกหัดสีขาว แต่กลับไม่สะดุดตา

หลังจากหลินเมิ้งหยาหันมาสบตากับตนเอง ใบหน้าของเขาแดงระเรื่อ ก่อนจะก้มหน้างุด

“ข้าน้อยชื่อเสี่ยวเฟิง เป็นหมอหลวงฝึกหัดอยู่ในสำนักหมอหลวงขอรับ เมื่อวานท่านเจ้าสำนักซูเอ่ยว่าเขากลัวพระองค์อาจไม่คุ้นชินนักกับการต้องอยู่ที่นี่เพียงคนเดียว ฉะนั้นจึงส่งข้าน้อยมารับใช้พระองค์ขอรับ”

คนที่ซูถงส่งมา? หลินเมิ้งหยาลอบสังเกตเด็กหนุ่มตรงหน้า ท่าทางไม่มีพิษภัย แต่…เขาคือคนที่ซูถงส่งมา บางทีอาจมีเหตุผลบางอย่าง

“ขอบใจท่านเจ้าสำนักซูมาก เสี่ยวเฟิงใช่หรือไม่? ข้าเห็นน้ำในลำธารแห่งนี้สะอาดยิ่งนัก จะต้องมีที่มาที่ไปอย่างแน่นอน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงไม่เลี้ยงปลาคาร์ปเอาไว้เล่า?”

หลินเมิ้งหยาชี้นิ้วไปทางน้ำใสสะอาดในลำธาร ทว่าเสี่ยวเฟิงกลับส่ายหน้า

“ข้าน้อยเองก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ก่อนเคยเลี้ยงปลามากมาย แต่พวกมันก็ตายไปหมด บางทีอาจเพราะผู้ชายหยาบกระด้างเช่นพวกเราคงมิละเอียดอ่อนมากพอที่จะเลี้ยงปลาหรือปลูกดอกไม้ก็ได้ขอรับ”

หลังจากได้ยินคำตอบของเสี่ยวเฟิง หลินเมิ้งหยาหลุดหัวเราะ หันกลับไปมองลำธารอีกครั้ง ก่อนจะพาป๋ายซูกลับไปยังห้อง

ไม่ผิดแน่ นี่จะต้องเกี่ยวข้องกับของสิ่งนั้น

“ป๋ายซู เจ้าจงไปขอกากยาของยารักษาอาการประชวรของฮ่องเต้มาให้ข้า ข้าคิดว่าพวกเขาไม่มีทางทำอะไรเจ้าอย่างแน่นอน”

ยาของฮ่องเต้เองก็เป็นสิ่งสำคัญมาก หลังจากตรวจสอบเสร็จแล้ว นางจะเอามาผึ่งให้แห้งและเก็บรักษาเอาไว้

ขอเพียงนางลองตรวจสอบดู นางก็จะรู้ได้ทันทีว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

ป๋ายซูรีบออกไปจัดการทันที หลังจากผ่านเหตุการณ์อันน่าเวทนาของใต้เท้าชุ่ยมาแล้ว คาดว่าป๋ายซูจะต้องกลายเป็นคนที่น่าหวาดกลัวที่สุดของสำนักหมอหลวงอย่างแน่นอน

หรือถ้าจะให้พูดอย่างตรงไปตรงมาก็คือเพียงหมอหลวงได้เห็นนาง พวกเขาจะต้องหวาดกลัวจนตัวสั่นอย่างแน่นอน

ผลปรากฏว่านางได้รับกากยามาโดยไม่ต้องออกแรงเลยแม้แต่น้อย

หลินเมิ้งหยาคาดไม่ถึงว่าคนที่ต่อสู้อยู่เป็นนิจและสำแดงวิชาออกมาอย่างป๋ายซูจะสร้างผลกระทบให้พวกเขามากถึงขนาดนี้

หลินเมิ้งหยาตรวจสอบกากยาอย่างละเอียด หลังจากระบบเซินหนงวิเคราะห์แล้ว ในที่สุดนางก็เจอสิ่งที่ตนเองต้องการ

มองไปที่สวนผ่านทางหน้าต่าง มียารักษาอาการของฮ่องเต้ชนิดหนึ่งที่จำเป็นต้องใช้สมุนไพรสดใหม่ เพราะเหตุนี้จึงถูกปลูกในสวนเป็นจำนวนมาก

ยาชนิดนี้ชื่อว่าหยินม่าน ปลูกได้ไม่ง่ายเลยแม้แต่น้อย แม้จะปลูกได้สำเร็จ แต่ก็ต้องใช้เวลานานถึงสามปีกว่าจะสามารถเก็บเกี่ยวได้ ยิ่งไปกว่านั้น ยาชนิดนี้ยังอ่อนโยนต่อร่างกายมนุษย์

ภายในยารักษาอาการของฮ่องเต้จะต้องมียาชนิดนี้ผสมอยู่อย่างแน่นอน

ต้นหยินม่านไม่มีพิษ แม้จะใช้ในระยะยาวก็มิได้ส่งผลเสียต่อร่างกาย

นอกเสียจากว่ามันจะไม่ได้ปลูกร่วมกับยาสมุนไพรที่มีชื่อว่าโต่วเทียน

มันคือยาสมุนไพรที่นางเห็นบริเวณมุมกำแพง

นางเคยเห็นสมุนไพรชนิดนี้ในห้องหินของท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์เคยเล่าว่าสมุนไพรชนิดนี้มิได้มีพิษรุนแรง แต่รากของมันสามารถทำให้ดินเป็นพิษ

หรืออาจพูดให้เข้าใจง่ายๆ ได้ว่าสมุนไพรที่ปลูกอยู่ในสวนแห่งนี้ปนเปื้อนไปด้วยพิษจากรากของต้นโต่วเทียน

ต้นโต่วเทียนพบเห็นได้ไม่บ่อยนัก เกรงว่าทั้งต้าจิ้นจะมีเพียงไม่กี่ต้นเท่านั้น

หากมองเพียงภายนอกจะพบว่าคนเหล่านี้เป็นหมอผู้มีหน้าที่ในการรักษา ไม่มีทางที่พวกเขาจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับสิ่งสกปรกเหล่านี้

ฮึ ตอนนี้นางมั่นใจแล้วว่าอาการประชวรของฮ่องเต้จะต้องเกี่ยวข้องกับยาพิษเหล่านี้อย่างแน่นอน

เมื่อดูจากวิธีการอันแสนแยบยล คาดว่าอีกฝ่ายจะต้องระมัดระวังอย่างยิ่งยวด

หากใช้ยาพิษติดต่อกันนานหลายปี แน่นอนว่าอวัยวะภายในจะต้องถูกทำลาย ซ้ำที่นี่ยังเป็นยุคสมัยโบราณที่มิอาจตรวจสอบทางเคมีได้ ฉะนั้นผู้คนจึงมองเห็นเป็นเพียงอาการป่วยทั่วไปเท่านั้น

เหตุเพราะมีต้นโต่วเทียนปลูกอยู่ ฉะนั้นปลาในน้ำจึงตายหมด แต่เพราะปริมาณยาพิษมีเพียงน้อยนิด เมื่อผสมอยู่ในน้ำจึงถูกเจือจาง ฉะนั้นจึงไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปกติข้อนี้

นี่จึงเป็นเหตุผลที่นางถามเสี่ยวเฟิงเรื่องน้ำ

คนในสำนักหมอหลวงน่าจะไม่รู้เรื่องนี้ มิเช่นนั้นพวกเขาคงไม่ปล่อยปลาลงในน้ำ

แต่คนที่แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวและปลูกต้นโต่วเทียนไว้ในสำนักหมอหลวงจะต้องเป็นหนอนบ่อนไส้ที่แฝงตัวอยู่ในนี้อย่างแน่นอน

ทุกคนย่อมมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นหนอนบ่อนไส้

หลินเมิ้งหยากวาดสายตามองหมอหลวงซึ่งกำลังทำงานยุ่งวุ่นวายเหล่านั้นอีกครั้ง

ตกลงใครเป็นตัวการที่ทำเรื่องนี้กันนะ?

หากนางมิอาจหาตัวหนอนบ่อนไส้คนนี้ออกมาได้ เกรงว่านางจะต้องถูกคนคนนี้ทำให้เสียแผนจนไม่ได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้อย่างแน่นอน

หลินเมิ้งหยาครุ่นคิดอยู่นาน ดูเหมือนนางจะต้องรอให้หมอหลวงกลับไปกันจนหมดก่อน นางจึงจะ…ลอบตรวจสอบได้

ส่วนเรื่องพิษของรากต้นโต่วเทียน นางจะต้องหาวิธีรักษาให้ได้ แต่ถึงกระนั้นก็มิอาจแหวกหญ้าให้งูตื่น ดูเหมือนนางจะต้องลงมือลงแรงเป็นชาวสวนดูสักครั้ง

หลังจากตรวจสอบกากยาเสร็จสิ้น หลินเมิ้งหยาก็แสร้งทำการศึกษาตลอดทั้งวัน ระบบเซินหนงเริ่มทำงานอีกครั้ง คราวนี้มันทำการวิเคราะห์จำแนกปริมาณยา

แม้จะยังรู้สึกสงสัยเกี่ยวกับศีลธรรมของหมอหลวงในสำนักหมอหลวงแห่งนี้ แต่หากลองเปรียบเทียบความสามารถดู พวกเขามีความสามารถมากกว่านางหนึ่งเท่าตัว ตอนนี้นางเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดท่านอาจารย์จึงคัดค้านมิยอมให้นางเข้าวังหลวง

หากนางไม่มีระบบเซินหนงแล้วล่ะก็ เกรงว่านางจะรบรากับพวก NPC เหล่านี้ไม่ได้อย่างแน่นอน

“ป๋ายซู วันนี้ข้าเหนื่อยแล้ว พวกเรากลับกันเถิด”

เมื่อได้เห็นท่าทางลับๆ ล่อๆของนายหญิง ป๋ายซูเข้าใจได้ในทันทีว่าที่นี่หาใช่สถานที่สำหรับแลกเปลี่ยนข้อมูลลับไม่

ผงกศีรษะลง ก่อนจะเดินตามหลินเมิ้งหยาออกจากประตูใหญ่ของสำนักหมอหลวง

ในที่สุดเหล่าหมอหลวงที่ตกอยู่ในอาการหวาดผวาก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เพียงได้เห็นใต้เท้าชุ่ยซึ่งยังคงสลบไม่ฟื้น พวกเขาก็รู้สึกหวาดกลัวจนมิเป็นอันทำอะไร

บางทีอาจเพราะเจอสิ่งที่ตนเองค้นหาแล้ว ดังนั้นใบหน้าจึงสดใสมากขึ้น หลินเมิ้งหยากินอาหารเข้าไปหลายอย่างและข้าวอีกสองถ้วย

ขนาดป๋ายซูยังมองดูนายหญิงของตนด้วยความตกตะลึง หลินเมิ้งหยาในเวลานี้มิต่างอันใดจากผู้ลี้ภัยที่ไม่ได้กินอาหารมาเป็นเวลานาน ดังนั้นนางในผู้มักจะกินอาหารด้วยท่วงท่าอันแสนสง่างามทั้งสองอย่างเจินจูกับหมาหน่าวจึงตกใจกับท่าทางการกินเช่นนี้ของหลินเมิ้งหยามาก

หลังจากหลินเมิ้งหยากินอาหารเสร็จ นางในทั้งสองต่างพากันสงสัย เมื่อเช้าพระชายายังคงมีท่าทางสง่างาม เหตุใดตกเย็นมาจึงเปลี่ยนเป็นคนละคน

หลินเมิ้งหยากลับไม่สนใจสายตาสงสัยของทุกคน หลังจากเช็ดปากเสร็จแล้ว นางก็เดินนำป๋ายซูออกไปเดินเล่น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+