ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษเล่มที่ 2 บทที่ 47 คลื่นสาดซัดอีกครา

Now you are reading ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ Chapter เล่มที่ 2 บทที่ 47 คลื่นสาดซัดอีกครา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

    “เจ้าคิดว่าควรฝึกฝนพวกเขาด้วยวิธีการเช่นไร?”

    หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ย

    “ส่งแม่ทัพไปยังเขตชายแดน เมื่ออยู่ในสมรภูมิรบ จึงจะสามารถคิดหากลยุทธ์ในการต่อสู้ออกมาได้ โดยเฉพาะการรักษาความมั่นคงในแถบจิงจีที่ต้องการกลอุบายในการต่อสู้มากเป็นพิเศษ ส่วนจือเจียง เขาเป็นเสมือนม้ามืด ควรส่งเข้าไปอยู่ในราชสำนักของเมืองอื่น เขาจะได้เรียนรู้ทิศทางและวิธีการของผู้อื่น อีกทั้งยังสามารถเพิ่มพูนความรู้เข้าตัว ถือว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว”

    หัวใจของหลงเทียนอวี้กระตุกเล็กน้อย เขาเคยคิดเรื่องเหล่านี้มาก่อน อีกทั้งยังเคยลองเขียนออกมาแล้ว

    แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าคนที่เข้าใจความคิดและจิตใจของเขาได้ดีที่สุดจะกลายเป็นหลินเมิ้งหยา!

    หลงเทียนอวี้นิ่งเงียบ เพิ่งจะนึกถึงเรื่องความปลอดภัยของนางหลังจากที่ถูกจับตัวไปขึ้นมาได้

    “เจ้า…เหนื่อยหรือไม่?” พูดจบ หลงเทียนอวี้รู้สึกประหลาดใจ

    ปกติเขาไม่เคยปลอบโยนใครมาก่อน โดยเฉพาะผู้หญิง

    ดังนั้นเขาจึงเอ่ยออกมาด้วยประโยคโง่ๆ เช่นนี้

    “หม่อมฉันสบายดีเพคะ หากท่านอ๋องเหนื่อย เชิญท่านพักผ่อนก่อนเถิดเพคะ”

    หลินเมิ้งหยาส่งเสียงขุ่นเคืองเล็กน้อย เจ้าบ้านี่ ทั้งที่นางต้องเสี่ยงอันตรายมาทั้งคืน แต่พอกลับมาได้ไม่แม้แต่จะเอ่ยปลอบโยน

    อีกทั้งยังถูกตราหน้าว่าเป็นคนสอดแนม ไม่เช่นนั้นนางคงไม่ต้องเอาชนะป๋ายหลี่อู๋เจียนเช่นนั้น

    “ข้า…ไม่ได้หมายความเช่นนั้น อยู่ที่นี่ก่อนเถิด กินอาหารกลางวันด้วยกัน”

    เขาเอ่ยเชิญชวนออกมาอย่างยากลำบาก

    หลินเมิ้งหยาพยักหน้าลง นางเองก็หิวจนไส้กิ่วแล้ว

    ทั้งสองเดินออกจากห้องลับและกลับมายังห้องอ่านหนังสือ

    กลิ่นหอมของข้าวสวยร้อนๆ โชยออกมา

    หลินเมิ้งหยานั่งลงบนเก้าอี้ มองดูปลากระรอกที่ส่งกำลังส่งกลิ่นหอมหวาน ซุปเห็ดและข้าวโพดสีใส รวมถึงอาหารอีกสี่ห้าอย่างที่ดูสวยงามน่ารับประทาน นิ้วมืออดไม่ได้ที่จะขยับ

    “เพราะเหตุนี้ท่านอ๋องจึงสั่งให้ห้องครัวตระเตรียมอาหารมากเป็นพิเศษ ที่แท้ก็เพราะพระชายาเองก็มาเสวยด้วยกันที่นี่”

    พ่อบ้านเติ้งพูดติดตลก ทว่าหัวใจของหลินเมิ้งหยากลับกระตุกระรัว

    แม้จะเข้าใจอุปนิสัยเย็นชาของหลงเทียนอวี้เป็นอย่างดี แต่ว่า…หัวใจดวงเล็กๆ ของนางก็ยังคงสั่นไหว

    หลินเมิ้งหยาดื่มด่ำกับรสชาติอาหาร คนเราเมื่อหิว ไม่ว่าจะกินอะไรก็อร่อยไปหมด

    “ท่านอ๋อง หม่อมฉันมีเรื่องต้องการปรึกษาพระองค์เพคะ”

    หลินเมิ้งหยากัดตะเกียบ พยายามแสดงสีหน้าท่าทางใสซื่อ

    หลงเทียนอวี้จ้องมองนาง คิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อย ทุกครั้งที่หลินเมิ้งหยาแสดงสีหน้าท่าทางเช่นนี้ มักจะไม่ใช่เรื่องดีเลยแม้แต่น้อย

    “พูดมา มีเรื่องอะไร?”

    หลินเมิ้งหยาหัวเราะ

    “สาวใช้ที่หม่อมฉันซื้อมาจากหยาหางควรจะแจกจ่ายงานได้แล้วหรือยังเพคะ?” หลินเมิ้งหยาเอ่ยออกมาลอยๆ อันที่จริงนางคิดว่าที่จวนแห่งนี้มีเพียงพวกนางไม่กี่คนอาศัยอยู่ ดังนั้นมันจึงดูอ้างว้างเหลือเกิน

    “เจ้าเป็นผู้ซื้อมา เจ้าเป็นคนจัดการก็แล้วกัน”

    เรื่องของภายใน หลงเทียนอวี้ไม่เคยคิดเข้าแทรกแซง

    งานในตำหนักอวี้แห่งนี้ ส่งมอบให้หลินเมิ้งหยาและหมู่เฟยแล้ว ดังนั้นปล่อยให้พวกนางเป็นผู้จัดการก็แล้วกัน

    “เพคะ ขอบพระทัยท่านอ๋อง หม่อมฉันกินอิ่มแล้ว ท่านค่อยๆ เสวยนะเพคะ”

    หลินเมิ้งหยาเป็นคนจริงจังมาก เมื่อได้รับคำอนุญาตจากหลงเทียนอวี้แล้ว นางจึงวางชามข้าวลง จากนั้นวิ่งออกไป

    โต๊ะอาหารจึงเหลือเพียงหลงเทียนอวี้คนเดียว มิรู้ว่าเพราะเหตุใด ทั้งที่อาหารยังคงเหมือนเดิม แต่เมื่อกินเข้าไปกลับไร้รสชาติไม่เหมือนเมื่อครู่

    “คุณหนูยังจะคัดเลือกสาวใช้จริงๆ หรือเจ้าคะ? หรือป๋ายจื่อไม่ดีตรงไหนหรือเจ้าคะ ท่านไม่พอใจข้าหรือ?”

    ภายในสวน สาวใช้ที่ถูกนำตัวกลับมาในวันนั้นยืนเรียงกันเป็นสองแถวเพื่อรอให้นางซึ่งเป็นนายหญิงคัดเลือก

    “ไม่ใช่หรอก ข้าคิดว่าจวนของพวกเราเย็นยะเยือกจนเกินไป อีกอย่าง เจ้าเพียงคนเดียวมิอาจดูแลทั้งข้าและเสี่ยวอวี้ได้หรอก ถ้าเจ้าเหนื่อยตายไปจะทำเช่นไร?”

    ตบมือของนางเบาๆ ยังไม่ทันจะเริ่มก็หึงเสียแล้ว

    เหตุใดคนของนางจึงมีจิตใจเปราะบางเช่นนี้นะ?

    “อ๋อ ก็ได้เจ้าค่ะ แต่อาหารการกินของคุณหนูจะต้องเป็นข้าดูแลเพียงเท่านั้นนะเจ้าคะ!”

    ป๋ายจื่อยังคงมีนิสัยของเด็กน้อย ปลอบเพียงไม่กี่ครั้งก็หายแล้ว

    เหล่าสาวใช้ต่างยืนตัวตรงอย่างเชื่อฟัง

    เมื่อแสงอาทิตย์สะท้อนลงบนศีรษะ ทั้งที่ยืนยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมง หยาดเหงื่อก็ผุดออกมาดั่งสายฝนเสียแล้ว

    หลินเมิ้งหยานั่งอยู่หน้าประตู หรี่ตามองสาวใช้ที่เริ่มลดน้อยลง

    มีเพียงคนที่หยัดยืนเป็นคนสุดท้ายเท่านั้นจึงจะสามารถเข้ามารับใช้ภายในตำหนักของนางได้ อีกทั้งนางยังต้องการใช้โอกาสนี้ในการสำรวจว่าคนเหล่านี้มีความสามารถเช่นไร

    หากสามารถเข้ามาอยู่ข้างกายนางได้ คนคนนั้นจะกลายเป็นคนสนิทของนาง

    สาวใช้จากสามสิบกว่าคนลดเหลือเพียงสิบกว่าคน

    หลินเมิ้งหยาเอ่ยเพียงสองสามประโยคเพื่อให้น้าจิ่นเยว่ออกไปถ่ายทอดคำสั่ง

    “คนที่เดินออกไปแล้ว ทุกคนจะได้รับเงินสามตำลึง ผ้าหนึ่งผืน เนื้อสดสองกรัมเป็นค่าตอบแทน ไปรับที่คลังเถอะ ส่วนคนที่ยังเหลืออยู่ให้เข้ามาภายใน นายหญิงมีเรื่องจะถาม”

    คิดไม่ถึงเลยว่าผู้หญิงที่ถูกคัดออกจะได้รับรางวัลเช่นนี้

    ครู่ต่อมาจึงเข้าไปรับรางวัลด้วยความพึงพอใจ

    ทว่าอีกสิบกว่าคนที่เหลือกลับไม่รู้สึกผิดหวัง พวกนางกลับยิ่งอยากเป็นคนในตำหนักของหลินเมิ้งหยา

    สิบกว่าคนนั้นเดินเข้าไปภายใน หลินเมิ้งหยานั่งอยู่ด้านหลังม่านกั้น ไม่อาจมองเห็นใบหน้าของนางได้

    “พวกเจ้าเองก็รู้ว่าจวนอวี้แห่งนี้แตกต่างจากที่อื่น จวนแห่งนี้ค่อนข้างใหญ่ เรื่องกระจุกกระจิกค่อนข้างมาก บอกมาสิว่าพวกเจ้ามีความชำนาญการในด้านใดบ้าง”

    ทุกคนต่างรู้สึกเหมือนกันว่านายหญิงผู้นี้มีน้ำเสียงอ่อนเยาว์เหลือเกิน

    ตอนที่ได้เจอในหยายาง พวกนางได้เห็นเพียงเล็กน้อยและรู้ว่านางคือพระชายาที่มีใบหน้างดงามราวกับนางฟ้า แต่ถึงอย่างนั้นพวกนางไม่กล้าสบตาแต่อย่างใด

    “นายหญิงบอกให้พวกเจ้าตอบ ตามกฎแล้วจะต้องตอบในทันที แต่เพราะพวกเจ้าเป็นคนใหม่ ดังนั้นจะยังไม่ถือสาหาความ”

    แม้น้าจิ่นเยว่จะอายุไม่มาก แต่นางกลับมีลักษณะท่าทางของนางในในวังหลวง

    ได้เห็นเหล่าสาวใช้ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา ทว่ากลับตอบกลับอย่างตรงไปตรงมาทีละคน

    อันที่จริงพวกนางไม่มีความชำนาญการอื่นใดนอกจากงานเย็บปักถักร้อยหรืองานฝีมืออื่นๆ

    หลินเมิ้งหยาที่ได้ฟังจึงสั่งให้จิ่นเยว่นำตัวออกไปทดสอบ

    ทนทรมานตลอดทั้งบ่าย เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น สาวใช้สองคนจึงถูกพาตัวมาถวายคำนับ

    “ถวายคำนับพระชายา เด็กสองคนนี้ คนหนึ่งชื่อว่าเสี่ยวหว่าน อีกคนชื่อว่าเสี่ยวหนิง หม่อมฉันเห็นว่าพวกนางทำงานได้อย่างคล่องแคล่ว อีกทั้งยังทำงานได้หลายอย่างจึงพามาขอเข้าเฝ้าเพคะ”

    หลินเมิ้งหยามองสาวใช้ทั้งสอง เด็กที่ชื่อเสี่ยวหว่านมีหน้าตาสวยงาม ท่าทางเป็นคนรักสงบ

    กลับกันกับเสี่ยวหนิง ใบหน้ารูปไข่เป็นทรงสวย ดวงตาเรียวยาวดั่งนกการเวก ท่าทางฉลาดเฉลียว

    นางเหมือนกับตัวละครในหนังอย่างไรอย่างนั้น

    ตำหนักของนางมิควรมีเพียงสาวใช้ใสซื่อ แต่ควรมีคนเก่งกาจเพื่อจะได้ไม่ถูกกลั่นแกล้งเอาง่ายๆ

    “ถวายคำนับพระชายา”

    หญิงสาวทั้งสองเพิ่งเคยเดินผ่านประตูสูงและตำหนักใหญ่โตโอ่อ่าเป็นครั้งแรก ดังนั้นจึงรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก

    คุกเข่าลงกับพื้น สายตาได้เห็นเพียงเท้าเล็กที่กำลังสวมใส่รองเท้าปักดิ้นทองลายหงส์

    แอบชำเลืองมอง แต่พวกนางกลับได้เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนประดับอยู่บนใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่

    สวรรค์โปรด เหตุใดพระชายาพระองค์นี้จึงยังดูเด็กกว่าพวกนางเสียอีก?

    “ลุกขึ้นเถิด ข้าหาได้มีกฎระเบียบอันใดมากมายนัก ขอเพียงต่อจากนี้ไปพวกเจ้าต้องเชื่อฟังคำสั่งเท่านั้น ข้าไม่มีทางปฏิบัติไม่ดีต่อพวกเจ้า”

    ใบหน้านวลเอ่ยด้วยรอยยิ้มติดตลก สายตาพลันชำเลืองมองร่างของพวกนางที่กำลังสั่นเทิ้ม สงสัยน้าจิ่นเยว่จะต้องพูดสั่งสอนอะไรพวกนางมาอย่างแน่นอน

    ถ้าเช่นนั้นนางจะรับบทคนดีเองก็แล้วกัน

    “เพคะ นายหญิง”

    ลุกขึ้นยืนตรงหน้าหลินเมิ้งหยาอย่างเชื่อฟัง จากนั้นนางจึงลอบสำรวจสาวใช้ทั้งสอง

    “จากนี้ไปเสี่ยวหว่านจงเปลี่ยนชื่อเป็นป๋ายจี เสี่ยวหนิงเปลี่ยนชื่อเป็นป๋ายซ่าว พวกเจ้าจะกลายเป็นสาวใช้ระดับหนึ่ง ส่วนงานบ้านงานเรือนให้น้าจิ่นเยว่คอยสั่งสอน”

    “เพคะ ขอบพระทัยนายหญิง”

    มุมปากและหางตาของสาวใช้ทั้งสองผุดรอยยิ้มขึ้น

    การได้เข้ามาเป็นสาวใช้ระดับหนึ่งของตำหนักแห่งนี้ เปรียบเสมือนพวกนางมีบุญเก่าติดตัวมา

    ขณะที่น้าจิ่นเยว่กำลังคิดจะพาสาวใช้ทั้งสองออกไป พ่อบ้านเติ้งกลับวิ่งเข้ามาภายในด้วยใบหน้าร้อนใจ

    “ถวายคำนับพระชายา ทูลพระชายา ฮองเฮาเหนียงเหนียงสั่งให้ขันทีนำเจ้าแม่กวนอิมมาถวายพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”

    ฮองเฮา?

    ภาพใบหน้าน่าเกรงขามแต่กลับสง่างาม ทว่าแฝงไว้ซึ่งเล่ห์เหลี่ยมผุดขึ้นมาในสมองของหลินเมิ้งหยา

    เหตุใดอยู่ดีๆ ก็ส่งเจ้าแม่กวนอิมมาให้นางกัน?

    “อืม น้าจิ่นเยว่และป๋ายจื่อจงไปด้วยกันกับข้า”

    นางพยักหน้าลง จากนั้นพาทั้งสองพร้อมทั้งพ่อบ้านเติ้งออกจากประตูตำหนักไป

    ไม่ว่าจะมีแผนลวงหรือไม่ แต่ฮองเฮาเหนียงเหนียงใช่จะลงโทษผู้อื่นได้ง่ายๆ

    “ถวายคำนับพระชายา พวกกระหม่อมได้รับคำสั่งจากฮองเฮาเหนียงเหนียงให้นำพระพุทธรูปเจ้าแม่กวนอิมมาถวายให้พระชายาพ่ะย่ะค่ะ”

    เสียงของขันทีดังขึ้น หลินเมิ้งหยารีบสั่งให้ป๋ายจื่อเข้าไปรับพระพุทธรูปเจ้าแม่กวนอิมที่ถูกวางไว้ในกล่องไม้สีแดง

    “ลำบากกงกง1แล้ว ดึกขนาดนี้ยังต้องเดินทางมาด้วยตนเองอีก”

    กงกงล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างนายของตนเองและเหล่าเจ้านายในตำหนักแห่งนี้ดีว่าเป็นเช่นไร

    “เชิญพระชายาลองเปิดดูก่อนเถิด หนู่ฉาย2จะได้กลับไปรายงาน”

    หลินเมิ้งหยารู้สึกได้ถึงความผิดปกติ ทว่านางกลับไม่อาจพูดได้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร

    ก็ดีเหมือนกัน หากเจ้าแม่กวนอิมองค์นี้มีความผิดปกติอันใด นางจะได้รับมือทัน

    เพียงเปิดกล่องไม้สีแดงออก กลิ่นหอมของไม้จันทน์ที่โชยออกมาทำให้หัวใจของทุกคนสงบนิ่ง

    แม้จะเป็นเพียงเจ้าแม่กวนอิมแกะสลักเท่านั้น แต่กลับเลียนแบบได้อย่างเหมือนจริง ที่แท้ก็ไม่ใช่ของเก๊

    “ในเมื่อพระชายาได้เห็นแล้ว หนู่ฉายก็สามารถกลับไปทูลฮองเฮาได้แล้ว หนู่ฉายทูลลา”

    ขันทีรีบร้อนกลับออกไป ราวกับว่าหากยังอยู่ต่อจะถูกจับกินอย่างไรอย่างนั้น

    “นายหญิง จะจัดการพระพุทธรูปองค์นี้อย่างไรดีเพคะ?” อยู่ในวังหลังมานานหลายปี ฮองเฮามักจะลอบทำร้ายพระสนมเต๋อเฟยอยู่เสมอ แต่สุดท้ายเหตุร้ายก็กลายเป็นดี

    ดังนั้นจิ่นเยว่จึงไร้ซึ่งภาพความประทับใจต่อคนใจดำอำมหิตคนนั้น

    “เอาไปวางไว้ที่ห้องข้าก่อน พรุ่งนี้หาผู้เชี่ยวชาญลองมาส่องดู หากไม่มีอันตรายใดๆ ก็นำไปวางไว้ในหอพระ”

    หลินเมิ้งหยาเหลือบมองกล่องไม้อีกครั้ง เหตุใดนางจึงรู้สึกว่าแปลกกันนะ?

    “พวกเจ้าเองก็เข้ามาดูสิ นี่เป็นเจ้าแม่กวนอิมที่ฮองเฮาเหนียงเหนียงส่งมอบให้เลยนะ! “

    ป๋ายจื่อกลับไปยังตำหนัก จากนั้นยกกล่องไม้สีแดงในมือให้กับป๋ายจีและป๋ายซ่าวดู

    จิ่นเยว่รีบกลับไปยังตำหนักหยาเสวียนเพื่อรายงานพระสนมเต๋อเฟย ดังนั้นสาวใช้ทั้งสองจึงถูกทิ้งไว้ในตำหนักแห่งนี้

    ทั้งสามไม่กล้าแตะต้องเจ้าแม่กวนอิม ทั้งสามพากันพูดคุยถกเถียงเรื่องเจ้าแม่กวนอิมองค์นี้

    “สมแล้วที่เป็นเสมือนของเล่นของคนในวัง นี่มันของมีราคา!”

    ป๋ายซ่าวเป็นคนร่าเริง ป๋ายจื่ออายุน้อยที่สุด ไม่นานพวกนางทั้งสองก็สนิทสนมกัน

***********************

1 กงกง คือคำเรียกขานขันที

2 หนู่ฉาย คือสรรพนามแทนตัวของบ่าวรับใช้เวลาพูดกับเจ้านายหรือผู้มีอำนาจเหนือกว่า

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษเล่มที่ 2 บทที่ 47 คลื่นสาดซัดอีกครา

Now you are reading ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ Chapter เล่มที่ 2 บทที่ 47 คลื่นสาดซัดอีกครา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

    “เจ้าคิดว่าควรฝึกฝนพวกเขาด้วยวิธีการเช่นไร?”

    หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ย

    “ส่งแม่ทัพไปยังเขตชายแดน เมื่ออยู่ในสมรภูมิรบ จึงจะสามารถคิดหากลยุทธ์ในการต่อสู้ออกมาได้ โดยเฉพาะการรักษาความมั่นคงในแถบจิงจีที่ต้องการกลอุบายในการต่อสู้มากเป็นพิเศษ ส่วนจือเจียง เขาเป็นเสมือนม้ามืด ควรส่งเข้าไปอยู่ในราชสำนักของเมืองอื่น เขาจะได้เรียนรู้ทิศทางและวิธีการของผู้อื่น อีกทั้งยังสามารถเพิ่มพูนความรู้เข้าตัว ถือว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว”

    หัวใจของหลงเทียนอวี้กระตุกเล็กน้อย เขาเคยคิดเรื่องเหล่านี้มาก่อน อีกทั้งยังเคยลองเขียนออกมาแล้ว

    แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าคนที่เข้าใจความคิดและจิตใจของเขาได้ดีที่สุดจะกลายเป็นหลินเมิ้งหยา!

    หลงเทียนอวี้นิ่งเงียบ เพิ่งจะนึกถึงเรื่องความปลอดภัยของนางหลังจากที่ถูกจับตัวไปขึ้นมาได้

    “เจ้า…เหนื่อยหรือไม่?” พูดจบ หลงเทียนอวี้รู้สึกประหลาดใจ

    ปกติเขาไม่เคยปลอบโยนใครมาก่อน โดยเฉพาะผู้หญิง

    ดังนั้นเขาจึงเอ่ยออกมาด้วยประโยคโง่ๆ เช่นนี้

    “หม่อมฉันสบายดีเพคะ หากท่านอ๋องเหนื่อย เชิญท่านพักผ่อนก่อนเถิดเพคะ”

    หลินเมิ้งหยาส่งเสียงขุ่นเคืองเล็กน้อย เจ้าบ้านี่ ทั้งที่นางต้องเสี่ยงอันตรายมาทั้งคืน แต่พอกลับมาได้ไม่แม้แต่จะเอ่ยปลอบโยน

    อีกทั้งยังถูกตราหน้าว่าเป็นคนสอดแนม ไม่เช่นนั้นนางคงไม่ต้องเอาชนะป๋ายหลี่อู๋เจียนเช่นนั้น

    “ข้า…ไม่ได้หมายความเช่นนั้น อยู่ที่นี่ก่อนเถิด กินอาหารกลางวันด้วยกัน”

    เขาเอ่ยเชิญชวนออกมาอย่างยากลำบาก

    หลินเมิ้งหยาพยักหน้าลง นางเองก็หิวจนไส้กิ่วแล้ว

    ทั้งสองเดินออกจากห้องลับและกลับมายังห้องอ่านหนังสือ

    กลิ่นหอมของข้าวสวยร้อนๆ โชยออกมา

    หลินเมิ้งหยานั่งลงบนเก้าอี้ มองดูปลากระรอกที่ส่งกำลังส่งกลิ่นหอมหวาน ซุปเห็ดและข้าวโพดสีใส รวมถึงอาหารอีกสี่ห้าอย่างที่ดูสวยงามน่ารับประทาน นิ้วมืออดไม่ได้ที่จะขยับ

    “เพราะเหตุนี้ท่านอ๋องจึงสั่งให้ห้องครัวตระเตรียมอาหารมากเป็นพิเศษ ที่แท้ก็เพราะพระชายาเองก็มาเสวยด้วยกันที่นี่”

    พ่อบ้านเติ้งพูดติดตลก ทว่าหัวใจของหลินเมิ้งหยากลับกระตุกระรัว

    แม้จะเข้าใจอุปนิสัยเย็นชาของหลงเทียนอวี้เป็นอย่างดี แต่ว่า…หัวใจดวงเล็กๆ ของนางก็ยังคงสั่นไหว

    หลินเมิ้งหยาดื่มด่ำกับรสชาติอาหาร คนเราเมื่อหิว ไม่ว่าจะกินอะไรก็อร่อยไปหมด

    “ท่านอ๋อง หม่อมฉันมีเรื่องต้องการปรึกษาพระองค์เพคะ”

    หลินเมิ้งหยากัดตะเกียบ พยายามแสดงสีหน้าท่าทางใสซื่อ

    หลงเทียนอวี้จ้องมองนาง คิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อย ทุกครั้งที่หลินเมิ้งหยาแสดงสีหน้าท่าทางเช่นนี้ มักจะไม่ใช่เรื่องดีเลยแม้แต่น้อย

    “พูดมา มีเรื่องอะไร?”

    หลินเมิ้งหยาหัวเราะ

    “สาวใช้ที่หม่อมฉันซื้อมาจากหยาหางควรจะแจกจ่ายงานได้แล้วหรือยังเพคะ?” หลินเมิ้งหยาเอ่ยออกมาลอยๆ อันที่จริงนางคิดว่าที่จวนแห่งนี้มีเพียงพวกนางไม่กี่คนอาศัยอยู่ ดังนั้นมันจึงดูอ้างว้างเหลือเกิน

    “เจ้าเป็นผู้ซื้อมา เจ้าเป็นคนจัดการก็แล้วกัน”

    เรื่องของภายใน หลงเทียนอวี้ไม่เคยคิดเข้าแทรกแซง

    งานในตำหนักอวี้แห่งนี้ ส่งมอบให้หลินเมิ้งหยาและหมู่เฟยแล้ว ดังนั้นปล่อยให้พวกนางเป็นผู้จัดการก็แล้วกัน

    “เพคะ ขอบพระทัยท่านอ๋อง หม่อมฉันกินอิ่มแล้ว ท่านค่อยๆ เสวยนะเพคะ”

    หลินเมิ้งหยาเป็นคนจริงจังมาก เมื่อได้รับคำอนุญาตจากหลงเทียนอวี้แล้ว นางจึงวางชามข้าวลง จากนั้นวิ่งออกไป

    โต๊ะอาหารจึงเหลือเพียงหลงเทียนอวี้คนเดียว มิรู้ว่าเพราะเหตุใด ทั้งที่อาหารยังคงเหมือนเดิม แต่เมื่อกินเข้าไปกลับไร้รสชาติไม่เหมือนเมื่อครู่

    “คุณหนูยังจะคัดเลือกสาวใช้จริงๆ หรือเจ้าคะ? หรือป๋ายจื่อไม่ดีตรงไหนหรือเจ้าคะ ท่านไม่พอใจข้าหรือ?”

    ภายในสวน สาวใช้ที่ถูกนำตัวกลับมาในวันนั้นยืนเรียงกันเป็นสองแถวเพื่อรอให้นางซึ่งเป็นนายหญิงคัดเลือก

    “ไม่ใช่หรอก ข้าคิดว่าจวนของพวกเราเย็นยะเยือกจนเกินไป อีกอย่าง เจ้าเพียงคนเดียวมิอาจดูแลทั้งข้าและเสี่ยวอวี้ได้หรอก ถ้าเจ้าเหนื่อยตายไปจะทำเช่นไร?”

    ตบมือของนางเบาๆ ยังไม่ทันจะเริ่มก็หึงเสียแล้ว

    เหตุใดคนของนางจึงมีจิตใจเปราะบางเช่นนี้นะ?

    “อ๋อ ก็ได้เจ้าค่ะ แต่อาหารการกินของคุณหนูจะต้องเป็นข้าดูแลเพียงเท่านั้นนะเจ้าคะ!”

    ป๋ายจื่อยังคงมีนิสัยของเด็กน้อย ปลอบเพียงไม่กี่ครั้งก็หายแล้ว

    เหล่าสาวใช้ต่างยืนตัวตรงอย่างเชื่อฟัง

    เมื่อแสงอาทิตย์สะท้อนลงบนศีรษะ ทั้งที่ยืนยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมง หยาดเหงื่อก็ผุดออกมาดั่งสายฝนเสียแล้ว

    หลินเมิ้งหยานั่งอยู่หน้าประตู หรี่ตามองสาวใช้ที่เริ่มลดน้อยลง

    มีเพียงคนที่หยัดยืนเป็นคนสุดท้ายเท่านั้นจึงจะสามารถเข้ามารับใช้ภายในตำหนักของนางได้ อีกทั้งนางยังต้องการใช้โอกาสนี้ในการสำรวจว่าคนเหล่านี้มีความสามารถเช่นไร

    หากสามารถเข้ามาอยู่ข้างกายนางได้ คนคนนั้นจะกลายเป็นคนสนิทของนาง

    สาวใช้จากสามสิบกว่าคนลดเหลือเพียงสิบกว่าคน

    หลินเมิ้งหยาเอ่ยเพียงสองสามประโยคเพื่อให้น้าจิ่นเยว่ออกไปถ่ายทอดคำสั่ง

    “คนที่เดินออกไปแล้ว ทุกคนจะได้รับเงินสามตำลึง ผ้าหนึ่งผืน เนื้อสดสองกรัมเป็นค่าตอบแทน ไปรับที่คลังเถอะ ส่วนคนที่ยังเหลืออยู่ให้เข้ามาภายใน นายหญิงมีเรื่องจะถาม”

    คิดไม่ถึงเลยว่าผู้หญิงที่ถูกคัดออกจะได้รับรางวัลเช่นนี้

    ครู่ต่อมาจึงเข้าไปรับรางวัลด้วยความพึงพอใจ

    ทว่าอีกสิบกว่าคนที่เหลือกลับไม่รู้สึกผิดหวัง พวกนางกลับยิ่งอยากเป็นคนในตำหนักของหลินเมิ้งหยา

    สิบกว่าคนนั้นเดินเข้าไปภายใน หลินเมิ้งหยานั่งอยู่ด้านหลังม่านกั้น ไม่อาจมองเห็นใบหน้าของนางได้

    “พวกเจ้าเองก็รู้ว่าจวนอวี้แห่งนี้แตกต่างจากที่อื่น จวนแห่งนี้ค่อนข้างใหญ่ เรื่องกระจุกกระจิกค่อนข้างมาก บอกมาสิว่าพวกเจ้ามีความชำนาญการในด้านใดบ้าง”

    ทุกคนต่างรู้สึกเหมือนกันว่านายหญิงผู้นี้มีน้ำเสียงอ่อนเยาว์เหลือเกิน

    ตอนที่ได้เจอในหยายาง พวกนางได้เห็นเพียงเล็กน้อยและรู้ว่านางคือพระชายาที่มีใบหน้างดงามราวกับนางฟ้า แต่ถึงอย่างนั้นพวกนางไม่กล้าสบตาแต่อย่างใด

    “นายหญิงบอกให้พวกเจ้าตอบ ตามกฎแล้วจะต้องตอบในทันที แต่เพราะพวกเจ้าเป็นคนใหม่ ดังนั้นจะยังไม่ถือสาหาความ”

    แม้น้าจิ่นเยว่จะอายุไม่มาก แต่นางกลับมีลักษณะท่าทางของนางในในวังหลวง

    ได้เห็นเหล่าสาวใช้ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา ทว่ากลับตอบกลับอย่างตรงไปตรงมาทีละคน

    อันที่จริงพวกนางไม่มีความชำนาญการอื่นใดนอกจากงานเย็บปักถักร้อยหรืองานฝีมืออื่นๆ

    หลินเมิ้งหยาที่ได้ฟังจึงสั่งให้จิ่นเยว่นำตัวออกไปทดสอบ

    ทนทรมานตลอดทั้งบ่าย เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น สาวใช้สองคนจึงถูกพาตัวมาถวายคำนับ

    “ถวายคำนับพระชายา เด็กสองคนนี้ คนหนึ่งชื่อว่าเสี่ยวหว่าน อีกคนชื่อว่าเสี่ยวหนิง หม่อมฉันเห็นว่าพวกนางทำงานได้อย่างคล่องแคล่ว อีกทั้งยังทำงานได้หลายอย่างจึงพามาขอเข้าเฝ้าเพคะ”

    หลินเมิ้งหยามองสาวใช้ทั้งสอง เด็กที่ชื่อเสี่ยวหว่านมีหน้าตาสวยงาม ท่าทางเป็นคนรักสงบ

    กลับกันกับเสี่ยวหนิง ใบหน้ารูปไข่เป็นทรงสวย ดวงตาเรียวยาวดั่งนกการเวก ท่าทางฉลาดเฉลียว

    นางเหมือนกับตัวละครในหนังอย่างไรอย่างนั้น

    ตำหนักของนางมิควรมีเพียงสาวใช้ใสซื่อ แต่ควรมีคนเก่งกาจเพื่อจะได้ไม่ถูกกลั่นแกล้งเอาง่ายๆ

    “ถวายคำนับพระชายา”

    หญิงสาวทั้งสองเพิ่งเคยเดินผ่านประตูสูงและตำหนักใหญ่โตโอ่อ่าเป็นครั้งแรก ดังนั้นจึงรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก

    คุกเข่าลงกับพื้น สายตาได้เห็นเพียงเท้าเล็กที่กำลังสวมใส่รองเท้าปักดิ้นทองลายหงส์

    แอบชำเลืองมอง แต่พวกนางกลับได้เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนประดับอยู่บนใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่

    สวรรค์โปรด เหตุใดพระชายาพระองค์นี้จึงยังดูเด็กกว่าพวกนางเสียอีก?

    “ลุกขึ้นเถิด ข้าหาได้มีกฎระเบียบอันใดมากมายนัก ขอเพียงต่อจากนี้ไปพวกเจ้าต้องเชื่อฟังคำสั่งเท่านั้น ข้าไม่มีทางปฏิบัติไม่ดีต่อพวกเจ้า”

    ใบหน้านวลเอ่ยด้วยรอยยิ้มติดตลก สายตาพลันชำเลืองมองร่างของพวกนางที่กำลังสั่นเทิ้ม สงสัยน้าจิ่นเยว่จะต้องพูดสั่งสอนอะไรพวกนางมาอย่างแน่นอน

    ถ้าเช่นนั้นนางจะรับบทคนดีเองก็แล้วกัน

    “เพคะ นายหญิง”

    ลุกขึ้นยืนตรงหน้าหลินเมิ้งหยาอย่างเชื่อฟัง จากนั้นนางจึงลอบสำรวจสาวใช้ทั้งสอง

    “จากนี้ไปเสี่ยวหว่านจงเปลี่ยนชื่อเป็นป๋ายจี เสี่ยวหนิงเปลี่ยนชื่อเป็นป๋ายซ่าว พวกเจ้าจะกลายเป็นสาวใช้ระดับหนึ่ง ส่วนงานบ้านงานเรือนให้น้าจิ่นเยว่คอยสั่งสอน”

    “เพคะ ขอบพระทัยนายหญิง”

    มุมปากและหางตาของสาวใช้ทั้งสองผุดรอยยิ้มขึ้น

    การได้เข้ามาเป็นสาวใช้ระดับหนึ่งของตำหนักแห่งนี้ เปรียบเสมือนพวกนางมีบุญเก่าติดตัวมา

    ขณะที่น้าจิ่นเยว่กำลังคิดจะพาสาวใช้ทั้งสองออกไป พ่อบ้านเติ้งกลับวิ่งเข้ามาภายในด้วยใบหน้าร้อนใจ

    “ถวายคำนับพระชายา ทูลพระชายา ฮองเฮาเหนียงเหนียงสั่งให้ขันทีนำเจ้าแม่กวนอิมมาถวายพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”

    ฮองเฮา?

    ภาพใบหน้าน่าเกรงขามแต่กลับสง่างาม ทว่าแฝงไว้ซึ่งเล่ห์เหลี่ยมผุดขึ้นมาในสมองของหลินเมิ้งหยา

    เหตุใดอยู่ดีๆ ก็ส่งเจ้าแม่กวนอิมมาให้นางกัน?

    “อืม น้าจิ่นเยว่และป๋ายจื่อจงไปด้วยกันกับข้า”

    นางพยักหน้าลง จากนั้นพาทั้งสองพร้อมทั้งพ่อบ้านเติ้งออกจากประตูตำหนักไป

    ไม่ว่าจะมีแผนลวงหรือไม่ แต่ฮองเฮาเหนียงเหนียงใช่จะลงโทษผู้อื่นได้ง่ายๆ

    “ถวายคำนับพระชายา พวกกระหม่อมได้รับคำสั่งจากฮองเฮาเหนียงเหนียงให้นำพระพุทธรูปเจ้าแม่กวนอิมมาถวายให้พระชายาพ่ะย่ะค่ะ”

    เสียงของขันทีดังขึ้น หลินเมิ้งหยารีบสั่งให้ป๋ายจื่อเข้าไปรับพระพุทธรูปเจ้าแม่กวนอิมที่ถูกวางไว้ในกล่องไม้สีแดง

    “ลำบากกงกง1แล้ว ดึกขนาดนี้ยังต้องเดินทางมาด้วยตนเองอีก”

    กงกงล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างนายของตนเองและเหล่าเจ้านายในตำหนักแห่งนี้ดีว่าเป็นเช่นไร

    “เชิญพระชายาลองเปิดดูก่อนเถิด หนู่ฉาย2จะได้กลับไปรายงาน”

    หลินเมิ้งหยารู้สึกได้ถึงความผิดปกติ ทว่านางกลับไม่อาจพูดได้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร

    ก็ดีเหมือนกัน หากเจ้าแม่กวนอิมองค์นี้มีความผิดปกติอันใด นางจะได้รับมือทัน

    เพียงเปิดกล่องไม้สีแดงออก กลิ่นหอมของไม้จันทน์ที่โชยออกมาทำให้หัวใจของทุกคนสงบนิ่ง

    แม้จะเป็นเพียงเจ้าแม่กวนอิมแกะสลักเท่านั้น แต่กลับเลียนแบบได้อย่างเหมือนจริง ที่แท้ก็ไม่ใช่ของเก๊

    “ในเมื่อพระชายาได้เห็นแล้ว หนู่ฉายก็สามารถกลับไปทูลฮองเฮาได้แล้ว หนู่ฉายทูลลา”

    ขันทีรีบร้อนกลับออกไป ราวกับว่าหากยังอยู่ต่อจะถูกจับกินอย่างไรอย่างนั้น

    “นายหญิง จะจัดการพระพุทธรูปองค์นี้อย่างไรดีเพคะ?” อยู่ในวังหลังมานานหลายปี ฮองเฮามักจะลอบทำร้ายพระสนมเต๋อเฟยอยู่เสมอ แต่สุดท้ายเหตุร้ายก็กลายเป็นดี

    ดังนั้นจิ่นเยว่จึงไร้ซึ่งภาพความประทับใจต่อคนใจดำอำมหิตคนนั้น

    “เอาไปวางไว้ที่ห้องข้าก่อน พรุ่งนี้หาผู้เชี่ยวชาญลองมาส่องดู หากไม่มีอันตรายใดๆ ก็นำไปวางไว้ในหอพระ”

    หลินเมิ้งหยาเหลือบมองกล่องไม้อีกครั้ง เหตุใดนางจึงรู้สึกว่าแปลกกันนะ?

    “พวกเจ้าเองก็เข้ามาดูสิ นี่เป็นเจ้าแม่กวนอิมที่ฮองเฮาเหนียงเหนียงส่งมอบให้เลยนะ! “

    ป๋ายจื่อกลับไปยังตำหนัก จากนั้นยกกล่องไม้สีแดงในมือให้กับป๋ายจีและป๋ายซ่าวดู

    จิ่นเยว่รีบกลับไปยังตำหนักหยาเสวียนเพื่อรายงานพระสนมเต๋อเฟย ดังนั้นสาวใช้ทั้งสองจึงถูกทิ้งไว้ในตำหนักแห่งนี้

    ทั้งสามไม่กล้าแตะต้องเจ้าแม่กวนอิม ทั้งสามพากันพูดคุยถกเถียงเรื่องเจ้าแม่กวนอิมองค์นี้

    “สมแล้วที่เป็นเสมือนของเล่นของคนในวัง นี่มันของมีราคา!”

    ป๋ายซ่าวเป็นคนร่าเริง ป๋ายจื่ออายุน้อยที่สุด ไม่นานพวกนางทั้งสองก็สนิทสนมกัน

***********************

1 กงกง คือคำเรียกขานขันที

2 หนู่ฉาย คือสรรพนามแทนตัวของบ่าวรับใช้เวลาพูดกับเจ้านายหรือผู้มีอำนาจเหนือกว่า

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+