ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ เล่มที่ 10 บทที่ 277 สาเหตุของการเข้าใจผิด

Now you are reading ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ Chapter เล่มที่ 10 บทที่ 277 สาเหตุของการเข้าใจผิด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“นายหญิง ท่านอ๋องมิได้หมายความเช่นนั้นหรอกเจ้าค่ะ พระองค์แค่เป็นห่วงความปลอดภัยของท่าน พวกเราไม่ออกไปข้างนอกก็เป็นเรื่องดีมิใช่หรือเจ้าคะ?”

ป๋ายจื่อยื่นมือเข้าไปกระตุกแขนเสื้อหลินเมิ้งหยาเบาๆ นางไม่เข้าใจ เหตุใดคำพูดเพียงไม่กี่ประโยคจึงทำให้นายหญิงตัวแข็งทื่อเหมือนท่อนไม้เช่นนี้

“นั่นสิเจ้าเด็กน้อย แม้หลงเทียนอวี้จะเอ่ยวาจารุนแรงไปบ้าง แต่ถึงอย่างไรนั่นก็เพราะเขาก็เห็นแก่ความปลอดภัยของเจ้า”

ชิงหูยังคงยกยิ้มอย่างสบายอารมณ์ ทว่านัยน์ตาของเขาเจือความกังวล

เขาเข้าใจความรู้สึกกระวนกระวายของหลินเมิ้งหยาดี แต่วันนี้หลงเทียนอวี้แปลกไปจริงๆ เจ้านั่นน่าจะรู้ดีที่สุดว่าหลินเมิ้งหยาหาใช่คนรบเร้าผู้อื่นอย่างไร้สาระ

“ข้ารู้ วันนี้ทุกคนเหนื่อยมากแล้ว พวกเจ้าไปพักผ่อนเถิด ข้าอยากอยู่เงียบๆ คนเดียว”

นางเพียงแค่อยากตรวจสอบคนสอดแนมที่ยังหลงเหลืออยู่ของป๋ายหลี่อู๋เฉินแต่เพียงเท่านั้น แม้เขาจะไม่อยากให้นางเข้าร่วมภารกิจนี้ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ยวาจาแข็งกระด้างเช่นนั้นมิใช่หรือ?

ความขมขื่นแล่นพล่านในหัวใจ หรือสำหรับเขาแล้วนางจะเป็นเพียงผู้หญิงที่ชอบโวยวายไร้สาระจริงๆ ?

หลินเมิ้งหยาเอนกายลงบนเตียง เหตุเพราะมีเรื่องราวมากมายเกาะกุมหัวใจ ดังนั้นจึงยากที่จะข่มตาหลับ

ช่วงเวลาก่อนหน้า ภายในตำหนักฉินหวู่อันแสนเย็นยะเยือก แสงสว่างจากเปลวเทียนถูกจุดขึ้นอีกครั้งในห้องอ่านหนังสือ หลงเทียนอวี้นั่งอยู่บนตั่ง ทว่าท่อนบนกลับเปลือยเปล่า เผยให้เห็นกล้ามท้องแน่นหนั่นเรียงตัวสวยงาม

ทั้งที่ตอนนี้เป็นช่วงฤดูหนาว ภายในไร้เตาฟืน ทว่าใบหน้าหล่อเหลากลับมีเหงื่อซึม

ทั้งแขน ลำคอ เส้นเลือดในร่างกายปูดโปน ใบหน้าเรียวพยายามสะกดกลั้นความเจ็บปวด สีหน้าขาวซีด

“ท่านอ๋อง เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ได้พ่ะย่ะค่ะ?”

หลินขุยอุทานเบาๆ แต่ถึงกระนั้นก็พยายามช่วยหลงเทียนอวี้รักษาอาการบาดเจ็บ

รอยแผลสีแดงสดวาดเป็นทางยาวบริเวณแผ่นหลังขาวเนียนของหลงเทียนอวี้ ผิวหนังฉีกขาดราวกับถูกฟันลึกถึงกระดูก แม้แต่หลินขุยเองก็มิอาจทานทนต่อความเจ็บปวดเช่นนี้ได้ ทว่าหลงเทียนอวี้กลับใช้ฟันกัดแผ่นเหล็กแน่น

“ข้า…ไม่เป็นไร ก็แค่แผลภายนอกเท่านั้น หากนางรู้เข้า นางจะต้องยิ่งเป็นกังวลอย่างแน่นอน ข้าเป็นคนปล่อยตัวป๋ายหลี่อู๋เฉินไปเอง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าคนที่ถูกปองร้ายกลับเป็นนาง”

ไม่มีใครล่วงรู้เลยว่าเหตุผลที่ไม่มีคนสอดแนมในกลุ่มองครักษ์ของจวนนั่นก็เพราะหลงเทียนอวี้พยายามสุดชีวิตเพื่อกำจัดคนเหล่านั้นให้สิ้นซาก

ซ้ำยังไม่มีใครคาดการณ์มาก่อนว่าป๋ายหลี่อู๋เฉินจะสร้างผลกระทบอย่างใหญ่หลวงให้กับเขา

ในมุมที่หลินเมิ้งหยามองไม่เห็น หลงเทียนอวี้กำจัดเหล่าผู้ที่อาฆาตมาดร้ายไปเป็นจำนวนมาก

“เฮ้อ เกรงว่าพระชายาจะคิดมากไปเสียแล้วพ่ะย่ะค่ะ จริงสิ คนที่ถูกส่งไปตรวจสอบกลับมารายงานว่าไท่จื่อเป็นผู้ช่วยเหลือป๋ายหลี่อู๋เฉินพ่ะย่ะค่ะ องครักษ์ชิงหลงและองครักษ์เสวียนหวู่ถูกพวกคนทรยศฆ่าตายแล้วพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนหวังพึ่งไท่จื่อกันทั้งสิ้น”

หลินขุยรายงานด้วยความโกรธเกรี้ยว ใบหน้าเผยให้เห็นความเย็นชา

กองกำลังที่ท่านอ๋องสั่งสมมาตลอดหลายปีที่ผ่านมาถูกป๋ายหลี่อู๋เฉินทำลายไปเกินครึ่ง ยิ่งไปกว่านั้น เหล่าขุนนางบางส่วนที่อุตส่าห์ชุบเลี้ยงเอาไว้ยังย้ายข้างไปแล้วด้วย

ป๋ายหลี่อู๋เฉินมิต่างอันใดจากหายนะของโลกใบนี้

“ไม่เป็นไร ไม่มีใครสนับสนุนก็ช่าง โชคดีที่องครักษ์ป๋ายหู่ยังอยู่ในการควบคุมของเจ้า ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็มิได้มีเพียงองครักษ์ชิงหลงและเสวียนหวู่อย่าให้พระชายารู้เรื่องนี้เป็นอันขาด รวมถึงเรื่องที่ข้าได้รับบาดเจ็บด้วย”

หลังจากทายาแล้ว หลงเทียนอวี้พันตัวด้วยผ้าพันแผล ก่อนจะนั่งอ่านเอกสารทางราชการเสมือนไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น

แม้ใบหน้าจะยังขาวซีด ทว่าดวงตากลับสั่นไหวเล็กน้อย

นาง…จะกำลังทำอะไรอยู่กันนะ?

ท่ามกลางการเป็นผู้นำของเขา สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือแผนการอันแยบยล เขามีสี่จตุรเทพคอยรับคำสั่งเพื่อชี้นำลูกน้อง ป๋ายหลี่อู๋เฉินคือหนึ่งในสี่จตุรเทพ

คนเหล่านี้ล้วนมีความรู้สึกพิเศษกับป๋ายหลี่อู๋เฉินทั้งสิ้น

ยิ่งไปกว่านั้น ในบางสถานการณ์ที่เขาไม่รู้ ป๋ายหลี่อู๋เฉินใส่ร้ายป้ายสีหลินเมิ้งหยาจนกลายเป็นหญิงงามล่มเมือง

สี่จตุรเทพล้วนมีอคติกับหลินเมิ้งหยา หากนางทำการตรวจสอบพวกคนทรยศเหล่านั้น เกรงว่าภัยอันใหญ่หลวงจะมาถึงตัวนาง

คำพูดของป๋ายหลี่อู๋เฉินยังคงวนเวียนอยู่ในใจเขาเสมอ

‘คนเป็นผู้นำมิควรมีความรู้สึกอันใดและจะต้องไร้ซึ่งความรัก’

แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด หลินเมิ้งหยากลับทำให้หัวใจซึ่งเคยเย็นชาของเขาอบอุ่นขึ้นมาทีละน้อย

นางเปรียบเสมือนดวงอาทิตย์อันแสนอบอุ่นที่ไม่ว่าใครก็รู้สึกอยากเข้าใกล้ อยากปกป้องรอยยิ้มของนางเอาไว้ อยากเห็นรอยยิ้มซุกซนบนใบหน้านวล อยากสัมผัสถึงความรู้สึกประหลาดใจไม่รู้จบ

ตอนนี้เขานึกเสียใจขึ้นมาแล้วที่ฟังความคิดของป๋ายหลี่อู๋เฉินโดยการส่งนางเข้าวังหลวง

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาจะไม่มีทางปล่อยให้หลินเมิ้งหยาตกหลุมพรางใดๆ อย่างเด็ดขาด

เมื่อแสงแดดส่องประกายเจิดจ้า หลินเมิ้งหยาจึงลุกขึ้นจากเตียงนอน

สมองยังคงมึนงง อาการสะลึมสะลือเหนื่อยหน่ายเสมือนคนออกไปวิ่งสามกิโลเมตรแล้วเพิ่งกลับมา

“นายหญิงตื่นแล้ว พวกเจ้ารีบเข้ามาประคองนายหญิงลุกขึ้นเร็ว”

สาวใช้รอท่าคอยรับใช้หลินเมิ้งหยาอยู่นานแล้ว เวลานี้ตัวหลินเมิ้งหยาแข็งทื่อไม่ต่างอันใดจากท่อนไม้ขณะที่พวกนางแต่งตัวให้

มองดูตัวเองในกระจก ใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่งดงาม สวมใส่อาภรณ์หรูหราสง่างาม เครื่องประดับวาววับมีราคาที่มิอาจประเมินได้ ผิวพรรณถูกเติมแต่ง ริมฝีปากสีแดงชาด ทั้งดวงตาและแม้แต่โครงหน้าไม่เหมือนนางในชาติภพก่อนเลยแม้แต่น้อย

ชุดซับในสีดอกบัว เสื้อตัวนอกสีม่วงอ่อนประดับลายดอกโบตั๋น คอเสื้อและแขนเสื้อถูกเย็บไว้ด้วยขนสัตว์

นี่คือชุดหรูหราราคาแพงในอุดมคติของทุกคนอย่างนั้นหรือ? แต่เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่านางต้องทำใจยอมรับฐานะของร่างนี้ให้ได้ขึ้นมา นางกลับพบว่าตนเองไม่ต่างอะไรจากนกคีรีบูนที่ถูกผูกแขนผูกขาเอาไว้

หญิงสาวงดงามในกระจกมีรอยยิ้มที่งดงามทรงเสน่ห์ แต่ถึงกระนั้นก็เป็นเพียงเครื่องประดับบารมีผู้ชายแต่เพียงเท่านั้น นางรู้สึกเสมือนคนที่เพิ่งตื่นจากภวังค์ ผู้หญิงที่คิดก่อตั้งกลุ่มสามสหายขึ้นมาเพื่อแหวกว่ายหาอิสระของตนเองคนนั้นหายไปไหนเสียแล้ว?

มือเรียวงดงามยกขึ้นเช็ดริมฝีปากที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีแดง ดึงปิ่นปักผมออก ถอดเสื้อผ้า ท่ามกลางความตื่นตระหนกของสาวใช้ทั้งสี่ นางได้เปิดกล่องเสื้อผ้าลับแล้วหยิบชุดของผู้ชายออกมา

เส้นผมสีดำถูกรวบขึ้นแล้วประดับด้วยมงกุฎลายนกกระเรียน หลินเมิ้งหยาเดินออกมาส่องกระจกอีกครั้ง ใบหน้าและเสื้อผ้าอาภรณ์ในเวลานี้ไร้ซึ่งความเป็นหญิงอย่างสิ้นเชิง ใบหน้าของนางกลับหล่อเหลาราวเทพเซียน

เพียงหมุนตัวกลับมา สาวใช้ทั้งสี่พลันอ้าปากค้าง ในที่สุดนายหญิงก็จำได้ว่าตนเองได้ซุกซ่อนเสื้อผ้าของผู้ชายเอาไว้

“นี่ท่าน…”

ป๋ายจีหันไปมองทางหลินเมิ้งหยาอย่างไม่เข้าใจ นายหญิงสั่งให้นางตัดชุดผู้ชายชุดนี้ขึ้นเมื่อหลายเดือนก่อน ตอนแรกนางคิดว่าคงไม่มีวันได้ใช้งาน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้จะมาถึง

“พวกเจ้าทั้งสี่จงจำเอาไว้ ผู้หญิงจะต้องมีหน้าที่งานของตนเอง จะต้องสร้างกิจการและยืนด้วยลำแข้งของตนเอง อย่าไปหลงงมงายว่าผู้ชายจะเลี้ยงดูพวกเราตลอดชีวิต ผู้หญิงที่สามารถดูแลตัวเองได้จึงจะเป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุด!”

หลินเมิ้งหยายกมือทั้งสองข้างขึ้นไพล่หลัง ก่อนจะเริ่มเอ่ยวาจาสั่งสอนเหล่าสาวใช้ทั้งสี่

สาวใช้ทั้งสี่ผงะ แต่ถึงกระนั้นก็พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย แม้จะไม่รู้ว่านางกำลังพูดเรื่องอะไรก็ตาม

“โอ๊ะ โอ๊ะ โอ้ ไม่ได้เจอกันแค่วันเดียว เจ้าเด็กน้อยของข้ากลายเป็นคุณชายไปแล้วหรือนี่ ? เช่นนั้นสอนข้าด้วยได้หรือไม่ ?”

เสียงหยอกเย้าล้อเลียนดังขึ้น ทันใดนั้นร่างของชิงหูพลันปรากฏต่อหน้าหลินเมิ้งหยา

แม้หลินเมิ้งหยาตรงหน้าจะสวมชุดของผู้ชาย ทว่าดวงตาของชิงหูกลับเปล่งประกาย

เขาเคยพบเจอชายรูปงามมามากมาย แต่ไม่มีผู้ใดผสมผสานความอ่อนช้อยของหญิงสาวและความหล่อเหลาเข้าด้วยกันได้

ตอนแรกเขาคิดว่าคำพูดของหลงเทียนอวี้เมื่อวานจะทำให้เจ้าเด็กน้อยเสียใจจนไม่เป็นอันทำอะไร ฉะนั้นเมื่อคืนเขาจึงออกไปตามล่าหาต้นดอกเหมยแดงตลอดทั้งคืนเพื่อทำให้นางดีใจ

แต่ดูเหมือนตอนนี้จะไม่จำเป็นแล้ว

“เจ้ามาพอดีเลย ช่วงก่อนข้ายุ่งกับเรื่องไม่เป็นเรื่องจนมิได้ใส่ใจกับกลุ่มสามสหายเท่าที่ควร โชคดีที่มีเจ้ากับหยุนจู๋อยู่ มิเช่นนั้นงานที่นั่นคงยุ่งวุ่นวายไม่น้อย”

หลินเมิ้งหยายกยิ้มและเอ่ยด้วยความจริงใจ

อันที่จริงนางจดจำความดีของทุกคนเอาไว้ในใจเสมอ โดยเฉพาะผู้ชายที่มีใบหน้าเจ้าเล่ห์ดั่งจิ้งจอก แต่กลับทำอะไรเพื่อนางอย่างมากมายคนนี้

ตอนนี้ถึงเวลาที่นางควรทำอะไรเพื่อพวกเขาบ้างแล้ว

“เจ้าเด็กโง่ ชีวิตของข้าเป็นของเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดเช่นนี้ แต่ถ้าหากเจ้ารู้สึกผิดจริงๆ แล้วล่ะก็ เช่นนั้นก็เอาร่างกายของเจ้ามาแลกเถิด สบายใจได้ ข้าไม่รังเกียจที่เจ้าแต่งงานมาแล้วหรอกนะ”

หัวเราะตาหยี ในที่สุดชิงหูก็ทำให้ใบหน้าของหลินเมิ้งหยาดำถมึงทึงได้สำเร็จ นางอาศัยความคล่องตัวอันแสนรวดเร็วเหยียบเท้าของชิงหูเข้าเต็มแรง

“โอ๊ย…ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้ว”

ใบหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องเมื่อครู่ถูกแทนที่ด้วยความเจ็บปวด เขารีบหันขวับไปมองหลินเมิ้งหยาเพราะกลัวว่าหากนางออกแรงซ้ำอีก เท้าของเขาอาจจะพิการเอาได้

“อย่าพูดไร้สาระอีกเลย พวกเจ้าทั้งสี่คนรีบไปเปลี่ยนชุดเถิด ส่วนเจ้าจงทำหน้าที่พาพวกเราทั้งห้าคนออกไปจากที่นี่”

สาวใช้ทั้งสี่ไม่ถามหาเหตุผล แต่รีบกลับห้องของตนเองเพื่อเปลี่ยนชุด

“…เจ้ายังคิดจะไปจากจวนอวี้ในภายภาคหน้าเช่นนั้นหรือ ?”

สีหน้าหลินเมิ้งหยาเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางไม่เคยบอกกับผู้ใดเรื่องแผนการในอนาคตมาก่อน มือที่กำลังจัดแต่งเสื้อผ้าอยู่หยุดชะงัก ก่อนที่สีหน้าจะกลับมาเป็นปกติ

“ตอนที่จัดตั้งกลุ่มสามสหายขึ้น ข้าคิดว่าเจ้าจะต้องทำเพื่ออนาคตของตนเองอย่างแน่นอน ตอนแรกข้าคิดว่าเจ้าจะละทิ้งความคิดนี้ไปเสียแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้เจ้าจะกลับมาสนใจมันอีกครั้ง หากมิใช่เพื่อหนีไปจากจวนอวี้ เช่นนั้นเจ้าทำเพื่อสิ่งใดกันเล่า?”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ เล่มที่ 10 บทที่ 277 สาเหตุของการเข้าใจผิด

Now you are reading ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ Chapter เล่มที่ 10 บทที่ 277 สาเหตุของการเข้าใจผิด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“นายหญิง ท่านอ๋องมิได้หมายความเช่นนั้นหรอกเจ้าค่ะ พระองค์แค่เป็นห่วงความปลอดภัยของท่าน พวกเราไม่ออกไปข้างนอกก็เป็นเรื่องดีมิใช่หรือเจ้าคะ?”

ป๋ายจื่อยื่นมือเข้าไปกระตุกแขนเสื้อหลินเมิ้งหยาเบาๆ นางไม่เข้าใจ เหตุใดคำพูดเพียงไม่กี่ประโยคจึงทำให้นายหญิงตัวแข็งทื่อเหมือนท่อนไม้เช่นนี้

“นั่นสิเจ้าเด็กน้อย แม้หลงเทียนอวี้จะเอ่ยวาจารุนแรงไปบ้าง แต่ถึงอย่างไรนั่นก็เพราะเขาก็เห็นแก่ความปลอดภัยของเจ้า”

ชิงหูยังคงยกยิ้มอย่างสบายอารมณ์ ทว่านัยน์ตาของเขาเจือความกังวล

เขาเข้าใจความรู้สึกกระวนกระวายของหลินเมิ้งหยาดี แต่วันนี้หลงเทียนอวี้แปลกไปจริงๆ เจ้านั่นน่าจะรู้ดีที่สุดว่าหลินเมิ้งหยาหาใช่คนรบเร้าผู้อื่นอย่างไร้สาระ

“ข้ารู้ วันนี้ทุกคนเหนื่อยมากแล้ว พวกเจ้าไปพักผ่อนเถิด ข้าอยากอยู่เงียบๆ คนเดียว”

นางเพียงแค่อยากตรวจสอบคนสอดแนมที่ยังหลงเหลืออยู่ของป๋ายหลี่อู๋เฉินแต่เพียงเท่านั้น แม้เขาจะไม่อยากให้นางเข้าร่วมภารกิจนี้ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ยวาจาแข็งกระด้างเช่นนั้นมิใช่หรือ?

ความขมขื่นแล่นพล่านในหัวใจ หรือสำหรับเขาแล้วนางจะเป็นเพียงผู้หญิงที่ชอบโวยวายไร้สาระจริงๆ ?

หลินเมิ้งหยาเอนกายลงบนเตียง เหตุเพราะมีเรื่องราวมากมายเกาะกุมหัวใจ ดังนั้นจึงยากที่จะข่มตาหลับ

ช่วงเวลาก่อนหน้า ภายในตำหนักฉินหวู่อันแสนเย็นยะเยือก แสงสว่างจากเปลวเทียนถูกจุดขึ้นอีกครั้งในห้องอ่านหนังสือ หลงเทียนอวี้นั่งอยู่บนตั่ง ทว่าท่อนบนกลับเปลือยเปล่า เผยให้เห็นกล้ามท้องแน่นหนั่นเรียงตัวสวยงาม

ทั้งที่ตอนนี้เป็นช่วงฤดูหนาว ภายในไร้เตาฟืน ทว่าใบหน้าหล่อเหลากลับมีเหงื่อซึม

ทั้งแขน ลำคอ เส้นเลือดในร่างกายปูดโปน ใบหน้าเรียวพยายามสะกดกลั้นความเจ็บปวด สีหน้าขาวซีด

“ท่านอ๋อง เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ได้พ่ะย่ะค่ะ?”

หลินขุยอุทานเบาๆ แต่ถึงกระนั้นก็พยายามช่วยหลงเทียนอวี้รักษาอาการบาดเจ็บ

รอยแผลสีแดงสดวาดเป็นทางยาวบริเวณแผ่นหลังขาวเนียนของหลงเทียนอวี้ ผิวหนังฉีกขาดราวกับถูกฟันลึกถึงกระดูก แม้แต่หลินขุยเองก็มิอาจทานทนต่อความเจ็บปวดเช่นนี้ได้ ทว่าหลงเทียนอวี้กลับใช้ฟันกัดแผ่นเหล็กแน่น

“ข้า…ไม่เป็นไร ก็แค่แผลภายนอกเท่านั้น หากนางรู้เข้า นางจะต้องยิ่งเป็นกังวลอย่างแน่นอน ข้าเป็นคนปล่อยตัวป๋ายหลี่อู๋เฉินไปเอง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าคนที่ถูกปองร้ายกลับเป็นนาง”

ไม่มีใครล่วงรู้เลยว่าเหตุผลที่ไม่มีคนสอดแนมในกลุ่มองครักษ์ของจวนนั่นก็เพราะหลงเทียนอวี้พยายามสุดชีวิตเพื่อกำจัดคนเหล่านั้นให้สิ้นซาก

ซ้ำยังไม่มีใครคาดการณ์มาก่อนว่าป๋ายหลี่อู๋เฉินจะสร้างผลกระทบอย่างใหญ่หลวงให้กับเขา

ในมุมที่หลินเมิ้งหยามองไม่เห็น หลงเทียนอวี้กำจัดเหล่าผู้ที่อาฆาตมาดร้ายไปเป็นจำนวนมาก

“เฮ้อ เกรงว่าพระชายาจะคิดมากไปเสียแล้วพ่ะย่ะค่ะ จริงสิ คนที่ถูกส่งไปตรวจสอบกลับมารายงานว่าไท่จื่อเป็นผู้ช่วยเหลือป๋ายหลี่อู๋เฉินพ่ะย่ะค่ะ องครักษ์ชิงหลงและองครักษ์เสวียนหวู่ถูกพวกคนทรยศฆ่าตายแล้วพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนหวังพึ่งไท่จื่อกันทั้งสิ้น”

หลินขุยรายงานด้วยความโกรธเกรี้ยว ใบหน้าเผยให้เห็นความเย็นชา

กองกำลังที่ท่านอ๋องสั่งสมมาตลอดหลายปีที่ผ่านมาถูกป๋ายหลี่อู๋เฉินทำลายไปเกินครึ่ง ยิ่งไปกว่านั้น เหล่าขุนนางบางส่วนที่อุตส่าห์ชุบเลี้ยงเอาไว้ยังย้ายข้างไปแล้วด้วย

ป๋ายหลี่อู๋เฉินมิต่างอันใดจากหายนะของโลกใบนี้

“ไม่เป็นไร ไม่มีใครสนับสนุนก็ช่าง โชคดีที่องครักษ์ป๋ายหู่ยังอยู่ในการควบคุมของเจ้า ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็มิได้มีเพียงองครักษ์ชิงหลงและเสวียนหวู่อย่าให้พระชายารู้เรื่องนี้เป็นอันขาด รวมถึงเรื่องที่ข้าได้รับบาดเจ็บด้วย”

หลังจากทายาแล้ว หลงเทียนอวี้พันตัวด้วยผ้าพันแผล ก่อนจะนั่งอ่านเอกสารทางราชการเสมือนไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น

แม้ใบหน้าจะยังขาวซีด ทว่าดวงตากลับสั่นไหวเล็กน้อย

นาง…จะกำลังทำอะไรอยู่กันนะ?

ท่ามกลางการเป็นผู้นำของเขา สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือแผนการอันแยบยล เขามีสี่จตุรเทพคอยรับคำสั่งเพื่อชี้นำลูกน้อง ป๋ายหลี่อู๋เฉินคือหนึ่งในสี่จตุรเทพ

คนเหล่านี้ล้วนมีความรู้สึกพิเศษกับป๋ายหลี่อู๋เฉินทั้งสิ้น

ยิ่งไปกว่านั้น ในบางสถานการณ์ที่เขาไม่รู้ ป๋ายหลี่อู๋เฉินใส่ร้ายป้ายสีหลินเมิ้งหยาจนกลายเป็นหญิงงามล่มเมือง

สี่จตุรเทพล้วนมีอคติกับหลินเมิ้งหยา หากนางทำการตรวจสอบพวกคนทรยศเหล่านั้น เกรงว่าภัยอันใหญ่หลวงจะมาถึงตัวนาง

คำพูดของป๋ายหลี่อู๋เฉินยังคงวนเวียนอยู่ในใจเขาเสมอ

‘คนเป็นผู้นำมิควรมีความรู้สึกอันใดและจะต้องไร้ซึ่งความรัก’

แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด หลินเมิ้งหยากลับทำให้หัวใจซึ่งเคยเย็นชาของเขาอบอุ่นขึ้นมาทีละน้อย

นางเปรียบเสมือนดวงอาทิตย์อันแสนอบอุ่นที่ไม่ว่าใครก็รู้สึกอยากเข้าใกล้ อยากปกป้องรอยยิ้มของนางเอาไว้ อยากเห็นรอยยิ้มซุกซนบนใบหน้านวล อยากสัมผัสถึงความรู้สึกประหลาดใจไม่รู้จบ

ตอนนี้เขานึกเสียใจขึ้นมาแล้วที่ฟังความคิดของป๋ายหลี่อู๋เฉินโดยการส่งนางเข้าวังหลวง

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาจะไม่มีทางปล่อยให้หลินเมิ้งหยาตกหลุมพรางใดๆ อย่างเด็ดขาด

เมื่อแสงแดดส่องประกายเจิดจ้า หลินเมิ้งหยาจึงลุกขึ้นจากเตียงนอน

สมองยังคงมึนงง อาการสะลึมสะลือเหนื่อยหน่ายเสมือนคนออกไปวิ่งสามกิโลเมตรแล้วเพิ่งกลับมา

“นายหญิงตื่นแล้ว พวกเจ้ารีบเข้ามาประคองนายหญิงลุกขึ้นเร็ว”

สาวใช้รอท่าคอยรับใช้หลินเมิ้งหยาอยู่นานแล้ว เวลานี้ตัวหลินเมิ้งหยาแข็งทื่อไม่ต่างอันใดจากท่อนไม้ขณะที่พวกนางแต่งตัวให้

มองดูตัวเองในกระจก ใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่งดงาม สวมใส่อาภรณ์หรูหราสง่างาม เครื่องประดับวาววับมีราคาที่มิอาจประเมินได้ ผิวพรรณถูกเติมแต่ง ริมฝีปากสีแดงชาด ทั้งดวงตาและแม้แต่โครงหน้าไม่เหมือนนางในชาติภพก่อนเลยแม้แต่น้อย

ชุดซับในสีดอกบัว เสื้อตัวนอกสีม่วงอ่อนประดับลายดอกโบตั๋น คอเสื้อและแขนเสื้อถูกเย็บไว้ด้วยขนสัตว์

นี่คือชุดหรูหราราคาแพงในอุดมคติของทุกคนอย่างนั้นหรือ? แต่เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่านางต้องทำใจยอมรับฐานะของร่างนี้ให้ได้ขึ้นมา นางกลับพบว่าตนเองไม่ต่างอะไรจากนกคีรีบูนที่ถูกผูกแขนผูกขาเอาไว้

หญิงสาวงดงามในกระจกมีรอยยิ้มที่งดงามทรงเสน่ห์ แต่ถึงกระนั้นก็เป็นเพียงเครื่องประดับบารมีผู้ชายแต่เพียงเท่านั้น นางรู้สึกเสมือนคนที่เพิ่งตื่นจากภวังค์ ผู้หญิงที่คิดก่อตั้งกลุ่มสามสหายขึ้นมาเพื่อแหวกว่ายหาอิสระของตนเองคนนั้นหายไปไหนเสียแล้ว?

มือเรียวงดงามยกขึ้นเช็ดริมฝีปากที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีแดง ดึงปิ่นปักผมออก ถอดเสื้อผ้า ท่ามกลางความตื่นตระหนกของสาวใช้ทั้งสี่ นางได้เปิดกล่องเสื้อผ้าลับแล้วหยิบชุดของผู้ชายออกมา

เส้นผมสีดำถูกรวบขึ้นแล้วประดับด้วยมงกุฎลายนกกระเรียน หลินเมิ้งหยาเดินออกมาส่องกระจกอีกครั้ง ใบหน้าและเสื้อผ้าอาภรณ์ในเวลานี้ไร้ซึ่งความเป็นหญิงอย่างสิ้นเชิง ใบหน้าของนางกลับหล่อเหลาราวเทพเซียน

เพียงหมุนตัวกลับมา สาวใช้ทั้งสี่พลันอ้าปากค้าง ในที่สุดนายหญิงก็จำได้ว่าตนเองได้ซุกซ่อนเสื้อผ้าของผู้ชายเอาไว้

“นี่ท่าน…”

ป๋ายจีหันไปมองทางหลินเมิ้งหยาอย่างไม่เข้าใจ นายหญิงสั่งให้นางตัดชุดผู้ชายชุดนี้ขึ้นเมื่อหลายเดือนก่อน ตอนแรกนางคิดว่าคงไม่มีวันได้ใช้งาน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้จะมาถึง

“พวกเจ้าทั้งสี่จงจำเอาไว้ ผู้หญิงจะต้องมีหน้าที่งานของตนเอง จะต้องสร้างกิจการและยืนด้วยลำแข้งของตนเอง อย่าไปหลงงมงายว่าผู้ชายจะเลี้ยงดูพวกเราตลอดชีวิต ผู้หญิงที่สามารถดูแลตัวเองได้จึงจะเป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุด!”

หลินเมิ้งหยายกมือทั้งสองข้างขึ้นไพล่หลัง ก่อนจะเริ่มเอ่ยวาจาสั่งสอนเหล่าสาวใช้ทั้งสี่

สาวใช้ทั้งสี่ผงะ แต่ถึงกระนั้นก็พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย แม้จะไม่รู้ว่านางกำลังพูดเรื่องอะไรก็ตาม

“โอ๊ะ โอ๊ะ โอ้ ไม่ได้เจอกันแค่วันเดียว เจ้าเด็กน้อยของข้ากลายเป็นคุณชายไปแล้วหรือนี่ ? เช่นนั้นสอนข้าด้วยได้หรือไม่ ?”

เสียงหยอกเย้าล้อเลียนดังขึ้น ทันใดนั้นร่างของชิงหูพลันปรากฏต่อหน้าหลินเมิ้งหยา

แม้หลินเมิ้งหยาตรงหน้าจะสวมชุดของผู้ชาย ทว่าดวงตาของชิงหูกลับเปล่งประกาย

เขาเคยพบเจอชายรูปงามมามากมาย แต่ไม่มีผู้ใดผสมผสานความอ่อนช้อยของหญิงสาวและความหล่อเหลาเข้าด้วยกันได้

ตอนแรกเขาคิดว่าคำพูดของหลงเทียนอวี้เมื่อวานจะทำให้เจ้าเด็กน้อยเสียใจจนไม่เป็นอันทำอะไร ฉะนั้นเมื่อคืนเขาจึงออกไปตามล่าหาต้นดอกเหมยแดงตลอดทั้งคืนเพื่อทำให้นางดีใจ

แต่ดูเหมือนตอนนี้จะไม่จำเป็นแล้ว

“เจ้ามาพอดีเลย ช่วงก่อนข้ายุ่งกับเรื่องไม่เป็นเรื่องจนมิได้ใส่ใจกับกลุ่มสามสหายเท่าที่ควร โชคดีที่มีเจ้ากับหยุนจู๋อยู่ มิเช่นนั้นงานที่นั่นคงยุ่งวุ่นวายไม่น้อย”

หลินเมิ้งหยายกยิ้มและเอ่ยด้วยความจริงใจ

อันที่จริงนางจดจำความดีของทุกคนเอาไว้ในใจเสมอ โดยเฉพาะผู้ชายที่มีใบหน้าเจ้าเล่ห์ดั่งจิ้งจอก แต่กลับทำอะไรเพื่อนางอย่างมากมายคนนี้

ตอนนี้ถึงเวลาที่นางควรทำอะไรเพื่อพวกเขาบ้างแล้ว

“เจ้าเด็กโง่ ชีวิตของข้าเป็นของเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดเช่นนี้ แต่ถ้าหากเจ้ารู้สึกผิดจริงๆ แล้วล่ะก็ เช่นนั้นก็เอาร่างกายของเจ้ามาแลกเถิด สบายใจได้ ข้าไม่รังเกียจที่เจ้าแต่งงานมาแล้วหรอกนะ”

หัวเราะตาหยี ในที่สุดชิงหูก็ทำให้ใบหน้าของหลินเมิ้งหยาดำถมึงทึงได้สำเร็จ นางอาศัยความคล่องตัวอันแสนรวดเร็วเหยียบเท้าของชิงหูเข้าเต็มแรง

“โอ๊ย…ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้ว”

ใบหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องเมื่อครู่ถูกแทนที่ด้วยความเจ็บปวด เขารีบหันขวับไปมองหลินเมิ้งหยาเพราะกลัวว่าหากนางออกแรงซ้ำอีก เท้าของเขาอาจจะพิการเอาได้

“อย่าพูดไร้สาระอีกเลย พวกเจ้าทั้งสี่คนรีบไปเปลี่ยนชุดเถิด ส่วนเจ้าจงทำหน้าที่พาพวกเราทั้งห้าคนออกไปจากที่นี่”

สาวใช้ทั้งสี่ไม่ถามหาเหตุผล แต่รีบกลับห้องของตนเองเพื่อเปลี่ยนชุด

“…เจ้ายังคิดจะไปจากจวนอวี้ในภายภาคหน้าเช่นนั้นหรือ ?”

สีหน้าหลินเมิ้งหยาเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางไม่เคยบอกกับผู้ใดเรื่องแผนการในอนาคตมาก่อน มือที่กำลังจัดแต่งเสื้อผ้าอยู่หยุดชะงัก ก่อนที่สีหน้าจะกลับมาเป็นปกติ

“ตอนที่จัดตั้งกลุ่มสามสหายขึ้น ข้าคิดว่าเจ้าจะต้องทำเพื่ออนาคตของตนเองอย่างแน่นอน ตอนแรกข้าคิดว่าเจ้าจะละทิ้งความคิดนี้ไปเสียแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้เจ้าจะกลับมาสนใจมันอีกครั้ง หากมิใช่เพื่อหนีไปจากจวนอวี้ เช่นนั้นเจ้าทำเพื่อสิ่งใดกันเล่า?”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+