ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ เล่มที่ 7 บทที่ 184 พิชิตหยุนจู๋

Now you are reading ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ Chapter เล่มที่ 7 บทที่ 184 พิชิตหยุนจู๋ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ท่านพี่เขียนในจดหมายเอาไว้ว่าแม้กองทัพจะเคลื่อนกำลังพลไปแล้ว แต่ท่านพ่อและท่านพี่ที่เป็นแม่ทัพมิอาจปลีกตัวออกจากค่ายทหารได้ง่ายๆ

หลินเมิ้งหยาถอนหายใจเบาๆ มีคนบนโลกนี้ไม่มากนักที่ทำให้นางรู้สึกคิดถึง

คนทั้งคู่เป็นสองคนแรกรู้สึกคิดถึงและคะนึงหาอย่างที่สุด

“ในเมื่อวันนี้เยว่ฉีมาเยือน เช่นนั้นเพิ่มกับข้าวอีกสักสองสามอย่างเถิด พวกเจ้ารีบไปสั่งพ่อครัวเดี๋ยวนี้”

ตำหนักหลิวซินเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ

หลินเมิ้งหยาเป็นเจ้านายที่ค่อนข้างใจกว้าง เวลาดีใจนางมักจะแจกจ่ายเงินให้กับทุกคน

สาวใช้แย้มยิ้มกว้างไม่หุบ แม้แต่ผอจื่อทั้งหลายเองก็รู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก

ยิ่งได้มารับใช้ที่นี่ ทรัพย์สินก็ยิ่งเพิ่มพูน

ทั้งเจ้านายและลูกน้องล้วนมีรอยยิ้มแต่งแต้มเต็มหน้า

หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จ หลินเมิ้งหยาหาโอกาสที่จะไปพบกับพ่อแม่ของป๋ายจี

ทว่าป๋ายจีกลับไม่ยินยอม อีกทั้งเอ่ยว่าต้องให้พ่อแม่ของตนเองเป็นฝ่ายมาหานายหญิง

เมื่อไม่มีทางเลือกหลินเมิ้งหยาจึงทำได้เพียงนั่งจิบชาในห้อง

สกุลเดิมของป๋ายจีคือมู่ ครอบครัวของนางล้วนเป็นคนซื่อสัตย์

ปกติอยู่แต่ในไร่ในสวน ดังนั้นจึงรู้สึกว่าประตูหน้าต่างที่นี่ช่างใหญ่โตยิ่งนัก

เมื่อมาถึงจวนอวี้ พวกเขารู้สึกไม่ต่างอะไรจากการเดินอยู่ในสวนขนาดใหญ่

แมกไม้และก้อนหินที่โรยบนทางเดินทำให้พวกเขารู้สึกตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างยิ่ง

ตอนแรกป๋ายจีอยากพาพวกเขาเดินชมจวนอวี้ แต่ทั้งสองกลับปฏิเสธ

“ท่านพ่อ ท่านแม่ นี่คือตำหนักหลิวซินที่พระชายาอวี้ประทับอยู่ ปกติข้าทำงานอยู่ที่นี่”

ใบหน้าของป๋ายจีเผยความภาคภูมิใจอย่างเห็นได้ชัดขณะกำลังอธิบายให้พ่อและแม่ของนางฟัง

คนชราทั้งสองเดินตามนางเข้าไป พวกเขาเห็นห้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ซึ่งประดับตกแต่งไว้อย่างสวยงาม

“สวัสดีเจ้าค่ะท่านพ่อมู่ ท่านแม่มู่ นายหญิงอยู่ด้านใน เชิญเจ้าค่ะ”

เพียงเดินผ่านประตูเข้ามา สาวน้อยใบหน้ากลมกลึงยืนรออยู่แล้ว

คล้ายกับป๋ายจี เพียงแต่เด็กกว่าเท่านั้น

ท่าทางอ่อนโยนและเป็นมิตร ไร้ซึ่งความใจดำอำมหิต

ความวิตกกังวลของทั้งสองเริ่มคลายลง เจ้านายที่สามารถสั่งสอนสาวใช้ให้มีท่าทางเช่นนี้ได้ย่อมจะต้องเป็นคนมีเมตตาอย่างแน่นอน

ป๋ายจีและป๋ายจื่อนำทางทั้งสองเข้าไปในห้องหลัก

เพียงแง้มประตูออก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของเหมยเซียงก็ระเหยฟุ้ง

สายตาเหลือบเห็นหญิงสาวหน้าตางดงาม นางยกยิ้มมุมปาก สวมชุดสีเหลืองเปลือกไข่นั่งอยู่บนตั่ง

งดงามกว่าภาพวาดหลายเท่าตัว

ทั้งสองรีบคุกเข่าลงทำความเคารพ

“ถวายคำนับเหนียงเหนียง ขอให้พระชายาอายุยืนหมื่นปี”

ใบหน้าแดงก่ำ คุกเข่าบนพื้น มิยอมเงยหน้า

จวนขององค์ชายล้วนใช้แต่ของดีมีราคา ขนาดพื้นยังเป็นไม้ชั้นเลิศ

แม้พวกเขาจะสวมชุดใหม่มา แต่ก็ยังกังวลว่าจะทำให้พื้นเลอะเทอะเปรอะเปื้อน

“ทั้งสองท่านรีบลุกเถิด ป๋ายจี ป๋ายซู พยุงนั่งเร็วเข้า”

เสียงอ่อนหวานดั่งเทพธิดาดังขึ้น

จากนั้น นอกจากลูกสาวของตนเอง ยังมีสาวใช้ใบหน้างดงามและมีรอยยิ้มอ่อนโยนเข้ามาพยุงทั้งสองคนขึ้นมา

ทั้งสองก้มหน้าลง ไม่กล้าหันไปมองพระชายา แม้แต่เก้าอี้ที่จัดไว้ให้นั่ง ยังนั่งแต่เพียงฝั่งเดียวเท่านั้น

“ท่านทั้งสองมาอยู่ที่นี่ลำบากหรือไม่?”

พ่อแม่ของป๋ายจีดูมีอายุมากกว่าพวกนางหลายเท่า

แม้จะทำงานอยู่ที่บ้านชีวิตจึงอยู่อย่างสุขสบายกว่าผู้อื่น ทว่าพวกเขากลับใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย

 นอกจากนี้ทั้งสองยังดูเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต แม้จะพยายามควบคุมตนเอง แต่ก็ยังรู้เรื่องกฎระเบียบ

ร่องรอยของความพึงพอใจปรากฏอยู่ในสายตาของหลินเมิ้งหยา

ดูเหมือนจะเป็นไปตามที่นางคาด

“ทูลพระชายา มิลำบากเลยพ่ะย่ะค่ะ”

ท่านพ่อมู่เคยเป็นพ่อบ้านในจวงจื่อมาก่อนจึงมีท่าทางสงบนิ่งและไม่พูดมาก

ดูเหมือนทั้งสองท่านจะสั่งสอนลูกสาวของตนเองมาเป็นอย่างดี ดังนั้นจึงมีลูกสาวอย่างป๋ายจีออกมาได้

“ไม่ลำบากอะไรก็ดีแล้ว ช่วงนี้ข้าเองมิอาจทำอะไรได้โดยไม่มีป๋ายจีแล้ว อย่าดูถูกว่านางอายุยังน้อยเชียว ที่จริงนางมีพรสวรรค์เป็นอย่างมาก”

หลินเมิ้งหยาพูดอย่างเป็นกันเอง นางมิได้มองว่าพ่อแม่ของป๋ายจีเป็นคนนอก

เมื่อถูกเจ้านายชื่นชม ป๋ายจีหน้าแดงระเรื่อ

ป๋ายซูกับป๋ายจื่อยกชาหอมเข้ามาสองแก้ว

ใบหน้าของคนชราทั้งสองจึงยกยิ้มยินดี

หากมิใช่เพราะป๋ายจีรู้ความจึงขอออกมาทำงานนอกบ้านเพื่อหาเลี้ยงครอบครัวแล้วล่ะก็ พวกเขาคงไม่มีวันยินยอม

แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเด็กคนนี้จะมีวาสนาได้เจอกับเจ้านายที่แสนดี

ช่วงสองสามวันก่อนระหว่างที่อาศัยอยู่ที่นี่ พวกเขาได้ยินมาว่าป๋ายจีกลายเป็นคนคุมตำหนักเล็กในจวนอวี้แล้ว

ซ้ำยังได้ยินอีกว่าไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ ป๋ายจีล้วนเป็นคนจัดการทั้งสิ้น

“ต้องขอบพระทัยเหนียงเหนียงที่มิรังเกียจนาง นางจึงมีวาสนาเช่นนี้”

ท่านพ่อมู่เริ่มเคอะเขินเพราะคำชมของพระชายา เมื่อเห็นท่าทางเป็นกันเอง พวกเขาจึงผ่อนคลายลงมาก

เขาลอบมองบริเวณรอบๆ

ห้องแห่งนี้งดงามราวกับสรวงสวรรค์

อย่าว่าแต่ความงามของนายหญิงเลย แม้แต่คุณชายที่นั่งอยู่ด้านข้างยังมีใบหน้าหล่อเหลางดงามดั่งหยก เขาดูน่ารักกว่าเทพเจ้านาจาที่อยู่ข้างกายเจ้าแม่กวนอิมเสียอีก

“จากนี้ไปพวกเราจะกลายเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ป๋ายจีเล่าทุกอย่างให้ทั้งสองท่านฟังแล้วใช่หรือไม่”

หลังจากทักทายพอเป็นพิธีแล้วหลินเมิ้งหยาจึงเข้าสู่คำถาม

ทุกคนในห้องนี้ล้วนเป็นคนของนางเองจึงไม่มีอะไรต้องปิดบัง

คนชราทั้งสองครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะเอ่ยด้วยความระมัดระวัง

“พวกเราซาบซึ้งยิ่งนักที่พระชายาเชื่อใจพวกกระหม่อม ทว่า…แม้กระหม่อมจะเคยเป็นพ่อบ้านที่จวงจื่อ แต่นั่นก็นานมากแล้ว เกรง…เกรงว่าจะทำให้พระชายาต้องเสียงาน”

หลินเมิ้งหยาเดาเอาไว้แล้วว่าทั้งสองจะต้องปฏิเสธ

นางขบคิดชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยโน้มน้าว

“ทั้งสองท่านโปรดวางใจ ร้านของข้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจมากมายนัก ข้าเพียงแต่ต้องการหาคนที่สามารถไว้ใจได้มาช่วยดูแลเพียงเท่านั้น”

หลินเมิ้งหยาคิดอยากเลี้ยงดูป๋ายซ่าวกับป๋ายจีให้เป็นเจ้าของร้านยาทางฉากหน้า

ส่วนฉากหลัง นางมีแผนของตนเอง

ทั้งสองครุ่นคิดก่อนจะพยักหน้ารับด้วยความลำบากใจ

หากทำเพียงดูแลร้าน พวกเขาสองคนสามารถทำได้ไม่มีปัญหา

“เช่นนั้นก็ดี พรุ่งนี้ข้าจะพาทั้งสองท่านไปดูร้าน แต่เรื่องนี้จะต้องเก็บเอาไว้เป็นความลับ”

ทั้งสองพยักหน้า พวกเขาเข้าใจเรื่องนี้ดี

ตกกลางคืนหลินเมิ้งหยาส่งป๋ายจีไปดูแลพ่อแม่ หลังจากตำหนักหลิวซินสนุกคึกครื้นมาทั้งวันในที่สุดบรรยากาศก็กลับมาเงียบสงบ

นางไม่คิดอยากบอกหลงเทียนอวี้เรื่องร้านยา

ช่วงนี้นางรู้สึกว่าหลงเทียนอวี้ปฏิบัติต่อนางไม่เหมือนแต่ก่อน

ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองเริ่มคลุมเครือ

ไม่ว่าจะทั้งต่อหน้าหรือลับหลัง นางรู้ดีว่าที่หลงเทียนอวี้ปกป้องนางก็เพราะนางเป็นลูกน้องของเขาคนหนึ่ง เขามิได้รักนางแต่อย่างใด

ฉะนั้นแม้จะใจเจ็บปวด แต่นางก็จำต้องหาทางถอยหนี

“ดึกขนาดนี้แล้ว เหตุใดพระชายาจึงยังตื่นอยู่เล่า”

สายลมพัดผ่าน ร่างบางสวมชุดสีดำปรากฏด้านข้างหลินเมิ้งหยา

อาศัยแสงเทียนอ่านหนังสือ ราวกับว่าหลินเมิ้งหยามิได้สนใจผู้มาเยือนคนนั้นเลยแม้แต่น้อย

“ข้านอนไม่หลับ ก็เลยหาอะไรทำฆ่าเวลา”

หลินเมิ้งหยาไม่ส่งเสียงร้องโวยวาย สายตายังคงจับจ้องหน้าหนังสือ

“พระชายาช่างมีความกล้ายิ่งนัก หยุนจู๋เลื่อมใสเหลือเกิน แต่พระชายาคงไม่รู้ว่าศีรษะของพระองค์มีค่ามากขนาดไหนใช่หรือไม่”

ผู้มาเยือนถอดผ้าคลุมศีรษะออก เผยให้เห็นริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า

หากเพ่งมองให้ละเอียดจะพบว่าใบหน้านี้ดูแก่ชรากว่าแต่ก่อนมาก

นางเคยเป็นหญิงงามอันดับหนึ่ง เป็นนักฆ่าฝีมือดีแห่งเถาฮวาอู๋…หยุนจู๋

“ดูเหมือนยาพิษของเจ้าจะรุนแรงยิ่งขึ้นแล้ว”

แม้ไม่เหลือบมองแต่เรดาร์ในสมองของหลินเมิ้งหยาก็เริ่มมีปฏิกิริยาต่อหญิงสาวด้านข้าง

นางถอนหายใจแล้วหันหน้ามามอง ดวงตาเปล่งประกายจับจ้องบนร่างของหญิงสาว

“ควรค่าแล้วหรือไม่?”

สิ่งที่หญิงสาวทุกคนบนโลกให้ความสำคัญที่สุดคือใบหน้า

ยิ่งเป็นสาวงาม ก็จะยิ่งให้ความสนใจ

ทว่าหยุนจู๋กลับยอมละทิ้งใบหน้าอันงดงามของตนเพื่อคนอื่น

แม้หลินเมิ้งหยาจะไม่เคยเอ่ยถามแต่นางก็พอจะเดาได้

“ไม่มีอะไรควรค่าหรือไม่ควรค่า แต่หากไม่มีเขา บนโลกใบนี้คงมีเพียงดาบแหลมคมนามหยุนจู๋แต่เพียงเท่านั้น คงไม่มีหญิงสาวมีเลือดเนื้อเช่นข้าในวันนี้”

หลินเมิ้งหยาส่ายหน้าก่อนจะหยิบยาบนโต๊ะขึ้นมา

“กินสิ แม้จะไม่สามารถช่วยถอนพิษของเจ้าได้แต่ก็ไม่ทำให้พิษรุนแรงขึ้น ช่วงนี้อย่าได้ริอ่านทดลองพิษอื่นใดอีก หากพิษแล่นเข้าสู่หัวใจของเจ้าแม้แต่ข้าก็คงไม่อาจช่วยชีวิตเจ้ากลับมาได้”

หลินเมิ้งหยาเล่าอาการของนางให้ฟัง

ร่องรอยแห่งความหวังพลันปรากฏขึ้นในดวงตาของหยุนจู๋

ช่วงนี้นางรู้สึกว่าไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้

หากมิใช่เพราะนางยังมีสิ่งที่ต้องดูแล นางคงเสียสติไปแล้ว

“ขอบใจมาก”

นานกว่าหยุนจู๋จะเอ่ยคำขอบคุณ

กลืนยาลงไปโดยไม่สงสัยในตัวหลินเมิ้งหยาเลยแม้แต่น้อย

“ข้าจะพยายามทำเรื่องของเจ้าให้สำเร็จ แต่ข้าต้องการให้เจ้าดูแลกองกำลังของข้าอย่างลับๆ ได้หรือไม่?”

หลินเมิ้งหยาคิดว่าหยุนจู๋เป็นตัวเลือกที่ดี

หยุนจู๋ปรากฏตัวรวดเร็วดั่งสายลม เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว มีทั้งด้านมืดและด้านสว่าง

นางมิอาจออกหน้าได้ หากมีคนจำชิงหูได้ก็จะมีเรื่องยุ่งยากตามมาทีหลัง

ฉะนั้นหยุนจู๋จึงเหมาะสมที่สุด

“เจ้า…ไม่กล้วข้าหักหลังอย่างนั้นหรือ?”

ร่องรอยของความสงสัยวาดผ่านดวงตาของหยุนจู๋

พวกนางเจอกันเพียงสองครั้ง ทว่าหลินเมิ้งหยากลับเชื่อใจนาง

“ชิงหูเคยบอกว่าตอนที่เจ้าออกจากเถาฮวาอู๋ เจ้าเกือบทำให้พวกเขาต้องล่มสลาย แล้วแบบนี้ข้าจะไม่ใช้คนมีพรสวรรค์เช่นเจ้าได้อย่างไร”

สายตาของหลินเมิ้งหยาปรากฏความใสซื่อบริสุทธิ์

หยุนจู๋ชะงัก จ้องหลินเมิ้งหยาอยู่นาน สุดท้ายจึงเหยียดยิ้ม

“คำพูดของนายหญิงมีเหตุผลยิ่งนัก”

มีเหตุผล…เท่ากับว่านางยอมรับหลินเมิ้งหยาแล้ว

ยื่นมือออกไป หลินเมิ้งหยาวาดรอยยิ้มงดงาม

“เช่นนั้น ยินดีที่ได้ร่วมมือกัน”

เพื่อผู้ชายคนเดียว นางยินยอมที่จะละทิ้งความงามบนใบหน้าของตนเอง

หยุนจู๋เป็นคนหนักแน่นในความรักยิ่งนัก

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ เล่มที่ 7 บทที่ 184 พิชิตหยุนจู๋

Now you are reading ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ Chapter เล่มที่ 7 บทที่ 184 พิชิตหยุนจู๋ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ท่านพี่เขียนในจดหมายเอาไว้ว่าแม้กองทัพจะเคลื่อนกำลังพลไปแล้ว แต่ท่านพ่อและท่านพี่ที่เป็นแม่ทัพมิอาจปลีกตัวออกจากค่ายทหารได้ง่ายๆ

หลินเมิ้งหยาถอนหายใจเบาๆ มีคนบนโลกนี้ไม่มากนักที่ทำให้นางรู้สึกคิดถึง

คนทั้งคู่เป็นสองคนแรกรู้สึกคิดถึงและคะนึงหาอย่างที่สุด

“ในเมื่อวันนี้เยว่ฉีมาเยือน เช่นนั้นเพิ่มกับข้าวอีกสักสองสามอย่างเถิด พวกเจ้ารีบไปสั่งพ่อครัวเดี๋ยวนี้”

ตำหนักหลิวซินเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ

หลินเมิ้งหยาเป็นเจ้านายที่ค่อนข้างใจกว้าง เวลาดีใจนางมักจะแจกจ่ายเงินให้กับทุกคน

สาวใช้แย้มยิ้มกว้างไม่หุบ แม้แต่ผอจื่อทั้งหลายเองก็รู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก

ยิ่งได้มารับใช้ที่นี่ ทรัพย์สินก็ยิ่งเพิ่มพูน

ทั้งเจ้านายและลูกน้องล้วนมีรอยยิ้มแต่งแต้มเต็มหน้า

หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จ หลินเมิ้งหยาหาโอกาสที่จะไปพบกับพ่อแม่ของป๋ายจี

ทว่าป๋ายจีกลับไม่ยินยอม อีกทั้งเอ่ยว่าต้องให้พ่อแม่ของตนเองเป็นฝ่ายมาหานายหญิง

เมื่อไม่มีทางเลือกหลินเมิ้งหยาจึงทำได้เพียงนั่งจิบชาในห้อง

สกุลเดิมของป๋ายจีคือมู่ ครอบครัวของนางล้วนเป็นคนซื่อสัตย์

ปกติอยู่แต่ในไร่ในสวน ดังนั้นจึงรู้สึกว่าประตูหน้าต่างที่นี่ช่างใหญ่โตยิ่งนัก

เมื่อมาถึงจวนอวี้ พวกเขารู้สึกไม่ต่างอะไรจากการเดินอยู่ในสวนขนาดใหญ่

แมกไม้และก้อนหินที่โรยบนทางเดินทำให้พวกเขารู้สึกตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างยิ่ง

ตอนแรกป๋ายจีอยากพาพวกเขาเดินชมจวนอวี้ แต่ทั้งสองกลับปฏิเสธ

“ท่านพ่อ ท่านแม่ นี่คือตำหนักหลิวซินที่พระชายาอวี้ประทับอยู่ ปกติข้าทำงานอยู่ที่นี่”

ใบหน้าของป๋ายจีเผยความภาคภูมิใจอย่างเห็นได้ชัดขณะกำลังอธิบายให้พ่อและแม่ของนางฟัง

คนชราทั้งสองเดินตามนางเข้าไป พวกเขาเห็นห้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ซึ่งประดับตกแต่งไว้อย่างสวยงาม

“สวัสดีเจ้าค่ะท่านพ่อมู่ ท่านแม่มู่ นายหญิงอยู่ด้านใน เชิญเจ้าค่ะ”

เพียงเดินผ่านประตูเข้ามา สาวน้อยใบหน้ากลมกลึงยืนรออยู่แล้ว

คล้ายกับป๋ายจี เพียงแต่เด็กกว่าเท่านั้น

ท่าทางอ่อนโยนและเป็นมิตร ไร้ซึ่งความใจดำอำมหิต

ความวิตกกังวลของทั้งสองเริ่มคลายลง เจ้านายที่สามารถสั่งสอนสาวใช้ให้มีท่าทางเช่นนี้ได้ย่อมจะต้องเป็นคนมีเมตตาอย่างแน่นอน

ป๋ายจีและป๋ายจื่อนำทางทั้งสองเข้าไปในห้องหลัก

เพียงแง้มประตูออก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของเหมยเซียงก็ระเหยฟุ้ง

สายตาเหลือบเห็นหญิงสาวหน้าตางดงาม นางยกยิ้มมุมปาก สวมชุดสีเหลืองเปลือกไข่นั่งอยู่บนตั่ง

งดงามกว่าภาพวาดหลายเท่าตัว

ทั้งสองรีบคุกเข่าลงทำความเคารพ

“ถวายคำนับเหนียงเหนียง ขอให้พระชายาอายุยืนหมื่นปี”

ใบหน้าแดงก่ำ คุกเข่าบนพื้น มิยอมเงยหน้า

จวนขององค์ชายล้วนใช้แต่ของดีมีราคา ขนาดพื้นยังเป็นไม้ชั้นเลิศ

แม้พวกเขาจะสวมชุดใหม่มา แต่ก็ยังกังวลว่าจะทำให้พื้นเลอะเทอะเปรอะเปื้อน

“ทั้งสองท่านรีบลุกเถิด ป๋ายจี ป๋ายซู พยุงนั่งเร็วเข้า”

เสียงอ่อนหวานดั่งเทพธิดาดังขึ้น

จากนั้น นอกจากลูกสาวของตนเอง ยังมีสาวใช้ใบหน้างดงามและมีรอยยิ้มอ่อนโยนเข้ามาพยุงทั้งสองคนขึ้นมา

ทั้งสองก้มหน้าลง ไม่กล้าหันไปมองพระชายา แม้แต่เก้าอี้ที่จัดไว้ให้นั่ง ยังนั่งแต่เพียงฝั่งเดียวเท่านั้น

“ท่านทั้งสองมาอยู่ที่นี่ลำบากหรือไม่?”

พ่อแม่ของป๋ายจีดูมีอายุมากกว่าพวกนางหลายเท่า

แม้จะทำงานอยู่ที่บ้านชีวิตจึงอยู่อย่างสุขสบายกว่าผู้อื่น ทว่าพวกเขากลับใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย

 นอกจากนี้ทั้งสองยังดูเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต แม้จะพยายามควบคุมตนเอง แต่ก็ยังรู้เรื่องกฎระเบียบ

ร่องรอยของความพึงพอใจปรากฏอยู่ในสายตาของหลินเมิ้งหยา

ดูเหมือนจะเป็นไปตามที่นางคาด

“ทูลพระชายา มิลำบากเลยพ่ะย่ะค่ะ”

ท่านพ่อมู่เคยเป็นพ่อบ้านในจวงจื่อมาก่อนจึงมีท่าทางสงบนิ่งและไม่พูดมาก

ดูเหมือนทั้งสองท่านจะสั่งสอนลูกสาวของตนเองมาเป็นอย่างดี ดังนั้นจึงมีลูกสาวอย่างป๋ายจีออกมาได้

“ไม่ลำบากอะไรก็ดีแล้ว ช่วงนี้ข้าเองมิอาจทำอะไรได้โดยไม่มีป๋ายจีแล้ว อย่าดูถูกว่านางอายุยังน้อยเชียว ที่จริงนางมีพรสวรรค์เป็นอย่างมาก”

หลินเมิ้งหยาพูดอย่างเป็นกันเอง นางมิได้มองว่าพ่อแม่ของป๋ายจีเป็นคนนอก

เมื่อถูกเจ้านายชื่นชม ป๋ายจีหน้าแดงระเรื่อ

ป๋ายซูกับป๋ายจื่อยกชาหอมเข้ามาสองแก้ว

ใบหน้าของคนชราทั้งสองจึงยกยิ้มยินดี

หากมิใช่เพราะป๋ายจีรู้ความจึงขอออกมาทำงานนอกบ้านเพื่อหาเลี้ยงครอบครัวแล้วล่ะก็ พวกเขาคงไม่มีวันยินยอม

แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเด็กคนนี้จะมีวาสนาได้เจอกับเจ้านายที่แสนดี

ช่วงสองสามวันก่อนระหว่างที่อาศัยอยู่ที่นี่ พวกเขาได้ยินมาว่าป๋ายจีกลายเป็นคนคุมตำหนักเล็กในจวนอวี้แล้ว

ซ้ำยังได้ยินอีกว่าไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ ป๋ายจีล้วนเป็นคนจัดการทั้งสิ้น

“ต้องขอบพระทัยเหนียงเหนียงที่มิรังเกียจนาง นางจึงมีวาสนาเช่นนี้”

ท่านพ่อมู่เริ่มเคอะเขินเพราะคำชมของพระชายา เมื่อเห็นท่าทางเป็นกันเอง พวกเขาจึงผ่อนคลายลงมาก

เขาลอบมองบริเวณรอบๆ

ห้องแห่งนี้งดงามราวกับสรวงสวรรค์

อย่าว่าแต่ความงามของนายหญิงเลย แม้แต่คุณชายที่นั่งอยู่ด้านข้างยังมีใบหน้าหล่อเหลางดงามดั่งหยก เขาดูน่ารักกว่าเทพเจ้านาจาที่อยู่ข้างกายเจ้าแม่กวนอิมเสียอีก

“จากนี้ไปพวกเราจะกลายเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ป๋ายจีเล่าทุกอย่างให้ทั้งสองท่านฟังแล้วใช่หรือไม่”

หลังจากทักทายพอเป็นพิธีแล้วหลินเมิ้งหยาจึงเข้าสู่คำถาม

ทุกคนในห้องนี้ล้วนเป็นคนของนางเองจึงไม่มีอะไรต้องปิดบัง

คนชราทั้งสองครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะเอ่ยด้วยความระมัดระวัง

“พวกเราซาบซึ้งยิ่งนักที่พระชายาเชื่อใจพวกกระหม่อม ทว่า…แม้กระหม่อมจะเคยเป็นพ่อบ้านที่จวงจื่อ แต่นั่นก็นานมากแล้ว เกรง…เกรงว่าจะทำให้พระชายาต้องเสียงาน”

หลินเมิ้งหยาเดาเอาไว้แล้วว่าทั้งสองจะต้องปฏิเสธ

นางขบคิดชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยโน้มน้าว

“ทั้งสองท่านโปรดวางใจ ร้านของข้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจมากมายนัก ข้าเพียงแต่ต้องการหาคนที่สามารถไว้ใจได้มาช่วยดูแลเพียงเท่านั้น”

หลินเมิ้งหยาคิดอยากเลี้ยงดูป๋ายซ่าวกับป๋ายจีให้เป็นเจ้าของร้านยาทางฉากหน้า

ส่วนฉากหลัง นางมีแผนของตนเอง

ทั้งสองครุ่นคิดก่อนจะพยักหน้ารับด้วยความลำบากใจ

หากทำเพียงดูแลร้าน พวกเขาสองคนสามารถทำได้ไม่มีปัญหา

“เช่นนั้นก็ดี พรุ่งนี้ข้าจะพาทั้งสองท่านไปดูร้าน แต่เรื่องนี้จะต้องเก็บเอาไว้เป็นความลับ”

ทั้งสองพยักหน้า พวกเขาเข้าใจเรื่องนี้ดี

ตกกลางคืนหลินเมิ้งหยาส่งป๋ายจีไปดูแลพ่อแม่ หลังจากตำหนักหลิวซินสนุกคึกครื้นมาทั้งวันในที่สุดบรรยากาศก็กลับมาเงียบสงบ

นางไม่คิดอยากบอกหลงเทียนอวี้เรื่องร้านยา

ช่วงนี้นางรู้สึกว่าหลงเทียนอวี้ปฏิบัติต่อนางไม่เหมือนแต่ก่อน

ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองเริ่มคลุมเครือ

ไม่ว่าจะทั้งต่อหน้าหรือลับหลัง นางรู้ดีว่าที่หลงเทียนอวี้ปกป้องนางก็เพราะนางเป็นลูกน้องของเขาคนหนึ่ง เขามิได้รักนางแต่อย่างใด

ฉะนั้นแม้จะใจเจ็บปวด แต่นางก็จำต้องหาทางถอยหนี

“ดึกขนาดนี้แล้ว เหตุใดพระชายาจึงยังตื่นอยู่เล่า”

สายลมพัดผ่าน ร่างบางสวมชุดสีดำปรากฏด้านข้างหลินเมิ้งหยา

อาศัยแสงเทียนอ่านหนังสือ ราวกับว่าหลินเมิ้งหยามิได้สนใจผู้มาเยือนคนนั้นเลยแม้แต่น้อย

“ข้านอนไม่หลับ ก็เลยหาอะไรทำฆ่าเวลา”

หลินเมิ้งหยาไม่ส่งเสียงร้องโวยวาย สายตายังคงจับจ้องหน้าหนังสือ

“พระชายาช่างมีความกล้ายิ่งนัก หยุนจู๋เลื่อมใสเหลือเกิน แต่พระชายาคงไม่รู้ว่าศีรษะของพระองค์มีค่ามากขนาดไหนใช่หรือไม่”

ผู้มาเยือนถอดผ้าคลุมศีรษะออก เผยให้เห็นริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า

หากเพ่งมองให้ละเอียดจะพบว่าใบหน้านี้ดูแก่ชรากว่าแต่ก่อนมาก

นางเคยเป็นหญิงงามอันดับหนึ่ง เป็นนักฆ่าฝีมือดีแห่งเถาฮวาอู๋…หยุนจู๋

“ดูเหมือนยาพิษของเจ้าจะรุนแรงยิ่งขึ้นแล้ว”

แม้ไม่เหลือบมองแต่เรดาร์ในสมองของหลินเมิ้งหยาก็เริ่มมีปฏิกิริยาต่อหญิงสาวด้านข้าง

นางถอนหายใจแล้วหันหน้ามามอง ดวงตาเปล่งประกายจับจ้องบนร่างของหญิงสาว

“ควรค่าแล้วหรือไม่?”

สิ่งที่หญิงสาวทุกคนบนโลกให้ความสำคัญที่สุดคือใบหน้า

ยิ่งเป็นสาวงาม ก็จะยิ่งให้ความสนใจ

ทว่าหยุนจู๋กลับยอมละทิ้งใบหน้าอันงดงามของตนเพื่อคนอื่น

แม้หลินเมิ้งหยาจะไม่เคยเอ่ยถามแต่นางก็พอจะเดาได้

“ไม่มีอะไรควรค่าหรือไม่ควรค่า แต่หากไม่มีเขา บนโลกใบนี้คงมีเพียงดาบแหลมคมนามหยุนจู๋แต่เพียงเท่านั้น คงไม่มีหญิงสาวมีเลือดเนื้อเช่นข้าในวันนี้”

หลินเมิ้งหยาส่ายหน้าก่อนจะหยิบยาบนโต๊ะขึ้นมา

“กินสิ แม้จะไม่สามารถช่วยถอนพิษของเจ้าได้แต่ก็ไม่ทำให้พิษรุนแรงขึ้น ช่วงนี้อย่าได้ริอ่านทดลองพิษอื่นใดอีก หากพิษแล่นเข้าสู่หัวใจของเจ้าแม้แต่ข้าก็คงไม่อาจช่วยชีวิตเจ้ากลับมาได้”

หลินเมิ้งหยาเล่าอาการของนางให้ฟัง

ร่องรอยแห่งความหวังพลันปรากฏขึ้นในดวงตาของหยุนจู๋

ช่วงนี้นางรู้สึกว่าไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้

หากมิใช่เพราะนางยังมีสิ่งที่ต้องดูแล นางคงเสียสติไปแล้ว

“ขอบใจมาก”

นานกว่าหยุนจู๋จะเอ่ยคำขอบคุณ

กลืนยาลงไปโดยไม่สงสัยในตัวหลินเมิ้งหยาเลยแม้แต่น้อย

“ข้าจะพยายามทำเรื่องของเจ้าให้สำเร็จ แต่ข้าต้องการให้เจ้าดูแลกองกำลังของข้าอย่างลับๆ ได้หรือไม่?”

หลินเมิ้งหยาคิดว่าหยุนจู๋เป็นตัวเลือกที่ดี

หยุนจู๋ปรากฏตัวรวดเร็วดั่งสายลม เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว มีทั้งด้านมืดและด้านสว่าง

นางมิอาจออกหน้าได้ หากมีคนจำชิงหูได้ก็จะมีเรื่องยุ่งยากตามมาทีหลัง

ฉะนั้นหยุนจู๋จึงเหมาะสมที่สุด

“เจ้า…ไม่กล้วข้าหักหลังอย่างนั้นหรือ?”

ร่องรอยของความสงสัยวาดผ่านดวงตาของหยุนจู๋

พวกนางเจอกันเพียงสองครั้ง ทว่าหลินเมิ้งหยากลับเชื่อใจนาง

“ชิงหูเคยบอกว่าตอนที่เจ้าออกจากเถาฮวาอู๋ เจ้าเกือบทำให้พวกเขาต้องล่มสลาย แล้วแบบนี้ข้าจะไม่ใช้คนมีพรสวรรค์เช่นเจ้าได้อย่างไร”

สายตาของหลินเมิ้งหยาปรากฏความใสซื่อบริสุทธิ์

หยุนจู๋ชะงัก จ้องหลินเมิ้งหยาอยู่นาน สุดท้ายจึงเหยียดยิ้ม

“คำพูดของนายหญิงมีเหตุผลยิ่งนัก”

มีเหตุผล…เท่ากับว่านางยอมรับหลินเมิ้งหยาแล้ว

ยื่นมือออกไป หลินเมิ้งหยาวาดรอยยิ้มงดงาม

“เช่นนั้น ยินดีที่ได้ร่วมมือกัน”

เพื่อผู้ชายคนเดียว นางยินยอมที่จะละทิ้งความงามบนใบหน้าของตนเอง

หยุนจู๋เป็นคนหนักแน่นในความรักยิ่งนัก

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+