ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษเล่มที่ 11 บทที่ 303 พบสนมกลางทาง

Now you are reading ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ Chapter เล่มที่ 11 บทที่ 303 พบสนมกลางทาง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

พลิกมือกลับไปกุมมือป๋ายซู ท่ามกลางอากาศยามค่ำคืนอันแสนหนาวเหน็บ ทั้งสองมอบความอบอุ่นให้กันและกัน

“ไม่เป็นไรหรอก ชายคนนี้มีวาสนากับข้า ยิ่งไปกว่านั้นยังเคยช่วยเหลือข้าเอาไว้ ข้าคิดว่าเขาน่าจะเป็นคนดี ดูเถิด ไม่ว่าเจ้า พวกป๋ายจี หรือแม่กระทั่งเสี่ยวอวี้ ทุกคนล้วนมีวาสนาต่อกัน พวกเราจึงกลายมาเป็นครอบครัวเดียวกันมิใช่หรือ”

ป๋ายซูถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ หลังจากนางสนิทสนมกับนายหญิง นางเพิ่งรู้ว่านายหญิงหาใช่พวกชอบยกตนข่มท่าน

แม้จะลงมือกับศัตรูโดยไร้ซึ่งความปรานี แต่นางกลับปฏิบัติต่อคนที่ตนเองเป็นห่วงด้วยความอบอุ่นอ่อนโยน

ฉะนั้นคนที่อยู่รอบกายนางล้วนแล้วแต่สามารถยอมสละชีวิตเพื่อนางได้

เพียงแต่นายหญิงไม่สังเกตเห็นเรื่องนี้เองก็เท่านั้น

“ก่อนที่นายน้อยจะจากไป เขาสั่งให้ข้าปกป้องนายหญิงด้วยชีวิต แต่เมื่อครู่หลังจากได้ฟังคำบอกเล่าของท่านหมอชิว เกรงว่าสำนักหมอหลวงจะมิใช่สถานที่ที่จะใช้ชีวิตอยู่ได้ง่ายๆ เลยเจ้าค่ะ”

หลินเมิ้งหยารู้แจ้งแก่ใจถึงสิ่งนี้นานแล้ว

หากมองข้ามเรื่องยมบาลทั้งสี่นั่นไป เกรงว่าแม้แต่เจ้าสำนักหมอหลวงอย่างซูถงเองก็มิใช่คนธรรมดาอย่างที่คิด

แม้เขาจะแสดงท่าทางสนิทสนมเข้าถึงง่าย แต่นางมองออกว่าพวกหมอหลวงต่างรู้สึกเคารพเลื่อมใสเขาเป็นอย่างมาก คาดว่าแม้แต่พวกยมบาลทั้งสี่เองก็เห็นแก่หน้าซูถงเช่นเดียวกัน

หลินเมิ้งหยาเริ่มวางแผนบางอย่างในใจ

ที่ใดมีมนุษย์ ที่นั่นย่อมมีการต่อสู้ ยิ่งสำนักหมอหลวงวุ่นวายมากเท่าไรก็ยิ่งดี เหตุเพราะนางจะสามารถจับปลาในน้ำขุ่นได้อย่างไรเล่า

แม้อากาศยามค่ำคืนจะเย็นชื้น แต่กลับไม่เย็นยะเยือกเท่าจิตใจของคน

สำนักหมอหลวงที่เคยเสียงดังอึกทึกพลันเงียบสงบเมื่อถึงช่วงเวลายามค่ำคืน นอกจากหมอหลวงที่เดินทางมาเข้าเวรยามแล้ว พวกคนที่เหลือต่างกลับไปพักผ่อนที่จวน

ภายในสำนักหมอหลวง

ซูถงและเจียงข่ายนั่งล้อมเตาไฟ ทว่าใบหน้าของชายสองคนผู้ซึ่งผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชนกลับเคร่งขรึม

“วันนี้เจ้าได้เห็นกับตาแล้วว่าชายาอวี้หาใช่คนธรรมดาไม่ เกรงว่านางจะเป็นคนที่พวกเรารับมือด้วยยากเสียแล้ว”

ซูถงนั่งข้างเตาไฟ เปลวไฟสีส้มสะท้อนใบหน้าเย็นชาของเขา

“ฮึ ก็แค่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเท่านั้น แม้จะได้รับการสั่งสอนจากหลินมู่จือและอ๋องอวี้ แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังเป็นพวกอ่อนหัด นางแสดงวิชาควบคุมเข็มออกมาให้เห็นง่ายๆ ทั้งที่ควรจะเก็บซ่อนเอาไว้ หรือเจ้ากลัวคนชอบโอ้อวดโอหังเช่นนี้หรือ?”

เจียงข่ายยังคงเคยชินกับการแสดงออกทางอารมณ์ ปรายตามองซูถง แสดงท่าทางดูแคลน

ราวกับว่าเคยชินกับอารมณ์ร้อนของเจียงข่ายแล้ว ซูถงมิได้เก็บมาใส่ใจ แต่เขากลับหยิบกาน้ำที่ถูกทำให้ร้อนแล้วมาเทใส่ถ้อยชาของตนเอง ก่อนจะเอ่ยเสียงเนิบนาบ

“นางมิได้น่ากลัวแต่อย่างใด แต่การที่หลินมู่จือและอ๋องอวี้ส่งนางเข้ามาในวังหลวง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเตรียมการเอาไว้อย่างดีแล้ว เจ้าอย่าได้ประมาท อย่าลืมว่าหากนับตามลำดับญาติแล้ว นางควรต้องเรียกเจ้าว่าน้าชาย”

ราวกับว่าประโยคนี้ของซูถงกระแทกเข้าที่หัวใจของเจียงข่าย เขารู้สึกไม่อยากนึกถึงเรื่องราวในอดีตเลยแม้แต่น้อย

สบถเสียงเย็นในลำคอ ก่อนที่ดวงตาคู่นั้นจะวาวโรจน์ด้วยความโทสะ

“สกุลเจียงเปรียบเสมือนม้าตีนปลาย พระอาการประชวรของฮ่องเต้รุนแรงมากขึ้นทุกวัน หากวันหนึ่ง…ไม่ว่าพระสนมเต๋อเฟยหรือสกุลเจียงหมดความสำคัญ เมื่อถึงวันนั้นข้าจะแย่งสิ่งที่สกุลเจียงติดหนี้แค้นข้ากลับมาให้หมด”

เหตุเพราะความโกรธ ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวและแข็งทื่อ

ตอนนี้ท่าทางของเจียงข่ายมิได้ใกล้เคียงกับหมอที่ช่วยชีวิตผู้อื่นจากความตายเลยแม้แต่น้อย

ราวกับว่าไม่อยากเอ่ยถึงสิ่งเหล่านี้อีกต่อไป เจียงข่ายลุกขึ้น ก่อนจะเดินจากไป

เหลือเพียงซูถงเพียงคนเดียว สายตาของเขายังคงจับจ้องก้อนถ่านสีแดงฉานตรงหน้า

ซูถงที่ยั่วยุอารมณ์ของเจียงข่ายได้สำเร็จแล้วยังคงแสดงท่าทางเคร่งขรึมราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

คนที่สามารถก้าวขึ้นมาอยู่ที่ตำแหน่งนี้ได้ย่อมมีเรื่องที่ค้างคาใจกันทั้งสิ้น

หากทุกคนเป็นเหมือนกับเจียงข่ายที่มักจะผูกใจเจ็บกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง คาดว่าคงไม่มีใครสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้

แต่ว่า…เจียงข่ายก็ยังมีประโยชน์ ดูท่าเขาต้องใช้เจียงข่ายมาทดสอบชายาอวี้สักหน่อยแล้ว

ถอนหายใจเบาๆ ดูท่าจากนี้ไปวังหลวงจะต้องพบเจอแต่เรื่องยุ่งยากเสียแล้ว

หลับสนิทฝันหวานตลอดคืน หลินเมิ้งหยาค่อนข้างมีความสามารถในการปรับตัว

เหตุเพราะเมื่อวานนางจัดการเจินจูและหมาหน่าวจนอยู่หมัด ดังนั้นเช้านี้พวกนางทั้งสองจึงรีบเข้ามาประคองตนเองล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้า

สีหน้าของเจินจูยังคงขาวซีด ขอบตาดำคล้ำ ชำเลืองมองหลินเมิ้งหยาด้วยความหวาดกลัว ราวกับว่านางคือปีศาจที่ผุดขึ้นมาจากนรก

“เจ้า…”

หลินเมิ้งหยาอ้าปากส่งเสียง มือของเจินจูสั่นเทิ้มจนหวีที่กำลังสางเส้นผมของหลินเมิ้งหยาร่วงหล่นลงพื้น

ราววกับถูกข่มขู่จนหวาดผวา หยาดน้ำตาไหลนองเปรอะเปื้อนใบหน้า ทรุดตัวลงคุกเข่าพร้อมทั้งโขกศีรษะลงบนพื้นต่อหน้าหลินเมิ้งหยา

“พระชายาได้โปรดไว้ชีวิตด้วยเพคะ…หนู่ปี้…หนู่ปี้ไม่ได้ตั้งใจ พระชายาได้โปรดไว้ชีวิตด้วย!”

หลินเมิ้งหยาเกือบหลุดขำพรืดขณะมองดูเจินจูซึ่งกำลังใช้ศีรษะโขกพื้นไม่หยุด ดูเหมือนนางจะสร้างภาพความทรงจำอันแสนเลวร้ายให้กับเจินจูไปเสียแล้ว

“เจ้าลุกขึ้นก่อนเถิด ข้าหาได้คิดอยากฆ่าแกงเจ้าไม่ เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องเล็ก ข้าไม่เอาผิดเจ้าหรอก”

ป๋ายซูยืนจ้องอยู่ด้านข้างตาไม่กะพริบ ใบหน้างดงามท่าทางเย็นชา ไม่ว่าใครก็ไม่อยากเข้ามาตอแย

เจินจูหวาดผวาอย่างหนัก หลินเมิ้งหยาทำอะไรไม่ได้นอกจากเรียกหมาหน่าวซึ่งซ่อนตัวอยู่อีกฝั่งมาประคองเพื่อนของนางออกไป

หลินเมิ้งหยามีพรสวรรค์ในการใช้คน โดยเฉพาะคนที่ถูกข่มขู่เรียบร้อยแล้ว การมีพวกนางสองคนมารับใช้ทำให้นางกับป๋ายซูรู้สึกเหมือนมีของเล่นฆ่าเวลา

“พวกเจ้ามีประสบการณ์การอยู่ในวังหลวง แม้ข้าจะไม่ใช่คนดีเท่าไรนัก แต่ถึงกระนั้นก็แยกออกว่าใครควรได้รับรางวัลหรือได้รับโทษ หากพวกเจ้าทำหน้าที่ของตนเองให้ดี ไร้ข้อบกพร่อง เช่นนั้นพวกเจ้าก็จะไม่ถูกข้าลงโทษ สำหรับข้าแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตรองอันใดมาก ขอเพียงแค่พวกเจ้าเชื่อฟังคำสั่งข้าก็พอ เข้าใจหรือไม่?”

สีหน้าของหลินเมิ้งหยาเรียบเฉย น้ำเสียงสงบนิ่ง

เจินจูและหมาหน่าวสบตากัน ก่อนจะลุกขึ้นถวายคำนับ

“เพคะ พวกหนู่ปี้น้อมรับคำสั่งสอนของพระชายา”

หลินเมิ้งหยาผงกศีรษะลง แม้พวกนางจะแสดงท่าทางสงบเสงี่ยม แต่หลินเมิ้งหยารู้ดีว่ามันหาได้มีความจริงใจ

เหล่านางในในวังหลวงล้วนมิใช่คนจิตใจดี เมื่อก่อนน้าจิ่นเยว่เคยเล่าให้ฟังว่าพวกนางในหรือขันทีล้วนเป็นคนหน้าซื่อใจคดที่พร้อมจะหักหลังนายตัวเองได้ตลอดเวลา

แม้นางจะไม่สามารถตบตีพวกนางจนตายได้ แต่ถึงกระนั้นก็มีวิธีสั่งสอนพวกนางหลายรูปแบบ

เมื่อวานเป็นเพียงวิธีหนึ่งเท่านั้น

แม้นางจะมิอาจไว้ใจเจินจูและหมาหน่าวได้ แต่ถึงกระนั้นพวกนางก็เป็นนางในของวังหลวง ดังนั้นการดูแลเสื้อผ้าหน้าผมจึงทำได้อย่างถนัดถนี่กว่าป๋ายซูมาก

เหตุเพราะเป็นวันปีใหม่ หลินเมิ้งหยาที่เพิ่งจะแต่งงานออกเรือนได้ไม่นานจึงสวมใส่ชุดหรูหรางดงาม

แต่เพราะฮ่องเต้ยังประชวร ซ้ำคืนวันสิ้นปียังเกิดเรื่องเลวร้ายเช่นนั้นขึ้น หลินเมิ้งหยาจึงเลือกสวมใส่ชุดสีหม่นปักลายสีทอง ปกเสื้อสีแดงมันเงา เท้าทั้งสองข้างสวมรองเท้าผ้าประดับไข่มุกและหยก

ศีรษะประดับเพียงปิ่นปักผมทองซึ่งเข้ากันได้ดีกับเส้นผมสีดำขลับ เยื้องย่างไปบนทางเดินอันทอดยาว ใบหน้าซึ่งถูกตกแต่งเล็กน้อยขับให้ใบหน้านวลงดงามราวกับหยก ความงามที่เผยโฉมนั้นแตกต่างจากหญิงสาวชาววังอย่างสิ้นเชิง

“นายหญิง วันนี้จะไปทำงานที่สำนักหมอหลวงทั้งวันหรือเจ้าคะ?”

ป๋ายซูเดินตามติดหลินเมิ้งหยา วันนี้หลินเมิ้งหยาพาหมาหน่าวมาเพียงคนเดียว ตอนนี้นางยืนรั้งท้ายโดยมิกล้าขยับเข้ามาใกล้

ครุ่นคิด หลินเมิ้งหยาพยักหน้าลง นางยังคงอยากเห็นชีพจรของฮ่องเต้ เมื่อวานซูถงทำให้เสียเรื่อง ดังนั้นวันนี้นางจะต้องได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ

“ของใช้ในวังหลวงล้วนมิใช่ของดีเหมือนอย่างในจวน ร่างกายของท่านรับไหวหรือไม่?”

มองดูสายตากังวลของสาวใช้ตนเอง เหตุเพราะเช้านี้นางรู้สึกไม่อยากอาหาร ดังนั้นนางจึงมิได้กินอาหารเช้าเหมือนอย่างเคย

นางหาใช่คนเลือกกินไม่ จากประสบการณ์การเป็นนักเรียนแพทย์มาห้าปี นอกจากอาการกระเพาะไม่ย่อยในช่วงเวลากลางคืนแล้ว นางล้วนกินทุกอย่างได้อย่างไม่ติดขัด

ทว่านางมีเรื่องกังวลใจจึงไม่รู้สึกอยากอาหารแต่เพียงเท่านั้น

“วางใจเถิด ข้ามิใช่เด็กแล้ว ข้าย่อมรู้ดีว่าควรดูแลตัวเองเช่นไร”

จับมือป๋ายซูพร้อมทั้งเอ่ยปลอบโยนนางเบาๆ

ขณะที่นายบ่าวกำลังสนทนากันอยู่นั้น อยู่ๆ เสียงอ้อยอิ่งเสียงหนึ่งพลันดังขัดขึ้น

“โอ้ นี่สาวงามที่ใดกันหรือ เหตุใดเห็นเปิ่นกงแล้วจึงไม่ถวายคำนับ หรือตาของเจ้างอกอยู่บนหัวกัน?”

คำพูดส่อเสียดเหยียดหยาม เห็นได้ชัดว่านางกำลังยกตนสูงกว่าผู้อื่น

หลินเมิ้งหยาเงยหน้า ก่อนจะได้เห็นหญิงงามสวมชุดชาววังซึ่งกำลังยืนอยู่ไม่ไกลจากตนเอง

ชุดที่สวมบ่งบอกว่านางคือสนมคนหนึ่ง ทว่านางกำลังจ้องมองมาด้วยสายตาเย็นชา ราวกับว่าพวกนางเป็นศัตรูกันแต่ชาติปางก่อนอย่างไรอย่างนั้น

“ถวายพระพรหยุนฉงหรงเหนียงเหนียง ฮุ่ยเจี๋ยอวี้เหนียงเหนียงและเฉิงเหม่ยเหริน หนู่ปี้เป็นนางในนามว่าหมาหน่าว ท่านนี้คือพระชายาของอ๋องอวี้เพคะ”

นับว่าสาวใช้ของตนมีไหวพริบค่อนข้างมาก หลินเมิ้งหยาจดจำเรื่องนี้เอาไว้ในใจ

นางไม่รู้สึกคุ้นหน้าทั้งสามคนเลยแม้แต่น้อย ราวกับเพิ่งจะได้เจอกันเป็นครั้งแรก

ทว่าหากนับตามธรรมเนียมแล้ว นางคือพระชายาระดับหนึ่ง ซ้ำอายุยังน้อย ดังนั้นจึงควรถวายคำนับพวกนางทั้งสาม

นางเพิ่งจะเข้าวังมาได้ไม่นาน ดังนั้นจึงควรปฏิบัติตามกฎระเบียบให้ดี ฉะนั้นแม้ฝ่ายตรงข้ามจะแสดงกิริยาวาจาไม่ดีใส่ แต่นางก็ควรจะอดทนอดกลั้น

“ถวายพระพรเหนียงเหนียงทั้งสามพระองค์ หม่อมฉันเพิ่งจะเข้าวังมาไม่นาน หากทำผิดพลาดประการใด เหนียงเหนียงได้โปรดชี้แนะด้วยเพคะ”

หยุนฉงหรงใบหน้างดงามโดดเด่น เสื้อผ้าหรูหราสง่างาม

พยักหน้าให้นางเล็กน้อย สีหน้าประหลาดใจ ทว่าใบหน้ากลับเปื้อนยิ้มอ่อนโยน

ทางด้านซ้ายมือของนางคือหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกับหลินเมิ้งหยา นางก้มๆ เงยๆ มองหลินเมิ้งหยาราวกับประหลาดใจเป็นอย่างมาก แต่อาจเพราะนางอายุน้อยที่สุด ดังนั้นเครื่องประดับจึงน้อยชิ้นตาม หลินเมิ้งหยาเดาว่านางจะต้องเป็นเฉิงเหม่ยเหรินอย่างแน่นอน

ส่วนผู้หญิงที่ยืนอยู่ทางด้านขวามือของหยุนฉงหรงมีใบหน้างดงาม แต่ไม่งดงามเท่าหยุนฉงหรง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด หลินเมิ้งหยาจึงสัมผัสได้ถึงแรงอาฆาตจากสายตาของนาง

แปลกเหลือเกิน นางหาใช่หยางกุ้ยเฟย ซ้ำยังมิได้คิดจะตะเกียกตะกายขึ้นปีนเตียงของฮ่องเต้ เหตุใดเจี๋ยอวี้เหนียงเหนียงจึงมีท่าทีเกลียดชังนางเหลือเกิน?

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษเล่มที่ 11 บทที่ 303 พบสนมกลางทาง

Now you are reading ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ Chapter เล่มที่ 11 บทที่ 303 พบสนมกลางทาง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

พลิกมือกลับไปกุมมือป๋ายซู ท่ามกลางอากาศยามค่ำคืนอันแสนหนาวเหน็บ ทั้งสองมอบความอบอุ่นให้กันและกัน

“ไม่เป็นไรหรอก ชายคนนี้มีวาสนากับข้า ยิ่งไปกว่านั้นยังเคยช่วยเหลือข้าเอาไว้ ข้าคิดว่าเขาน่าจะเป็นคนดี ดูเถิด ไม่ว่าเจ้า พวกป๋ายจี หรือแม่กระทั่งเสี่ยวอวี้ ทุกคนล้วนมีวาสนาต่อกัน พวกเราจึงกลายมาเป็นครอบครัวเดียวกันมิใช่หรือ”

ป๋ายซูถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ หลังจากนางสนิทสนมกับนายหญิง นางเพิ่งรู้ว่านายหญิงหาใช่พวกชอบยกตนข่มท่าน

แม้จะลงมือกับศัตรูโดยไร้ซึ่งความปรานี แต่นางกลับปฏิบัติต่อคนที่ตนเองเป็นห่วงด้วยความอบอุ่นอ่อนโยน

ฉะนั้นคนที่อยู่รอบกายนางล้วนแล้วแต่สามารถยอมสละชีวิตเพื่อนางได้

เพียงแต่นายหญิงไม่สังเกตเห็นเรื่องนี้เองก็เท่านั้น

“ก่อนที่นายน้อยจะจากไป เขาสั่งให้ข้าปกป้องนายหญิงด้วยชีวิต แต่เมื่อครู่หลังจากได้ฟังคำบอกเล่าของท่านหมอชิว เกรงว่าสำนักหมอหลวงจะมิใช่สถานที่ที่จะใช้ชีวิตอยู่ได้ง่ายๆ เลยเจ้าค่ะ”

หลินเมิ้งหยารู้แจ้งแก่ใจถึงสิ่งนี้นานแล้ว

หากมองข้ามเรื่องยมบาลทั้งสี่นั่นไป เกรงว่าแม้แต่เจ้าสำนักหมอหลวงอย่างซูถงเองก็มิใช่คนธรรมดาอย่างที่คิด

แม้เขาจะแสดงท่าทางสนิทสนมเข้าถึงง่าย แต่นางมองออกว่าพวกหมอหลวงต่างรู้สึกเคารพเลื่อมใสเขาเป็นอย่างมาก คาดว่าแม้แต่พวกยมบาลทั้งสี่เองก็เห็นแก่หน้าซูถงเช่นเดียวกัน

หลินเมิ้งหยาเริ่มวางแผนบางอย่างในใจ

ที่ใดมีมนุษย์ ที่นั่นย่อมมีการต่อสู้ ยิ่งสำนักหมอหลวงวุ่นวายมากเท่าไรก็ยิ่งดี เหตุเพราะนางจะสามารถจับปลาในน้ำขุ่นได้อย่างไรเล่า

แม้อากาศยามค่ำคืนจะเย็นชื้น แต่กลับไม่เย็นยะเยือกเท่าจิตใจของคน

สำนักหมอหลวงที่เคยเสียงดังอึกทึกพลันเงียบสงบเมื่อถึงช่วงเวลายามค่ำคืน นอกจากหมอหลวงที่เดินทางมาเข้าเวรยามแล้ว พวกคนที่เหลือต่างกลับไปพักผ่อนที่จวน

ภายในสำนักหมอหลวง

ซูถงและเจียงข่ายนั่งล้อมเตาไฟ ทว่าใบหน้าของชายสองคนผู้ซึ่งผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชนกลับเคร่งขรึม

“วันนี้เจ้าได้เห็นกับตาแล้วว่าชายาอวี้หาใช่คนธรรมดาไม่ เกรงว่านางจะเป็นคนที่พวกเรารับมือด้วยยากเสียแล้ว”

ซูถงนั่งข้างเตาไฟ เปลวไฟสีส้มสะท้อนใบหน้าเย็นชาของเขา

“ฮึ ก็แค่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเท่านั้น แม้จะได้รับการสั่งสอนจากหลินมู่จือและอ๋องอวี้ แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังเป็นพวกอ่อนหัด นางแสดงวิชาควบคุมเข็มออกมาให้เห็นง่ายๆ ทั้งที่ควรจะเก็บซ่อนเอาไว้ หรือเจ้ากลัวคนชอบโอ้อวดโอหังเช่นนี้หรือ?”

เจียงข่ายยังคงเคยชินกับการแสดงออกทางอารมณ์ ปรายตามองซูถง แสดงท่าทางดูแคลน

ราวกับว่าเคยชินกับอารมณ์ร้อนของเจียงข่ายแล้ว ซูถงมิได้เก็บมาใส่ใจ แต่เขากลับหยิบกาน้ำที่ถูกทำให้ร้อนแล้วมาเทใส่ถ้อยชาของตนเอง ก่อนจะเอ่ยเสียงเนิบนาบ

“นางมิได้น่ากลัวแต่อย่างใด แต่การที่หลินมู่จือและอ๋องอวี้ส่งนางเข้ามาในวังหลวง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเตรียมการเอาไว้อย่างดีแล้ว เจ้าอย่าได้ประมาท อย่าลืมว่าหากนับตามลำดับญาติแล้ว นางควรต้องเรียกเจ้าว่าน้าชาย”

ราวกับว่าประโยคนี้ของซูถงกระแทกเข้าที่หัวใจของเจียงข่าย เขารู้สึกไม่อยากนึกถึงเรื่องราวในอดีตเลยแม้แต่น้อย

สบถเสียงเย็นในลำคอ ก่อนที่ดวงตาคู่นั้นจะวาวโรจน์ด้วยความโทสะ

“สกุลเจียงเปรียบเสมือนม้าตีนปลาย พระอาการประชวรของฮ่องเต้รุนแรงมากขึ้นทุกวัน หากวันหนึ่ง…ไม่ว่าพระสนมเต๋อเฟยหรือสกุลเจียงหมดความสำคัญ เมื่อถึงวันนั้นข้าจะแย่งสิ่งที่สกุลเจียงติดหนี้แค้นข้ากลับมาให้หมด”

เหตุเพราะความโกรธ ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวและแข็งทื่อ

ตอนนี้ท่าทางของเจียงข่ายมิได้ใกล้เคียงกับหมอที่ช่วยชีวิตผู้อื่นจากความตายเลยแม้แต่น้อย

ราวกับว่าไม่อยากเอ่ยถึงสิ่งเหล่านี้อีกต่อไป เจียงข่ายลุกขึ้น ก่อนจะเดินจากไป

เหลือเพียงซูถงเพียงคนเดียว สายตาของเขายังคงจับจ้องก้อนถ่านสีแดงฉานตรงหน้า

ซูถงที่ยั่วยุอารมณ์ของเจียงข่ายได้สำเร็จแล้วยังคงแสดงท่าทางเคร่งขรึมราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

คนที่สามารถก้าวขึ้นมาอยู่ที่ตำแหน่งนี้ได้ย่อมมีเรื่องที่ค้างคาใจกันทั้งสิ้น

หากทุกคนเป็นเหมือนกับเจียงข่ายที่มักจะผูกใจเจ็บกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง คาดว่าคงไม่มีใครสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้

แต่ว่า…เจียงข่ายก็ยังมีประโยชน์ ดูท่าเขาต้องใช้เจียงข่ายมาทดสอบชายาอวี้สักหน่อยแล้ว

ถอนหายใจเบาๆ ดูท่าจากนี้ไปวังหลวงจะต้องพบเจอแต่เรื่องยุ่งยากเสียแล้ว

หลับสนิทฝันหวานตลอดคืน หลินเมิ้งหยาค่อนข้างมีความสามารถในการปรับตัว

เหตุเพราะเมื่อวานนางจัดการเจินจูและหมาหน่าวจนอยู่หมัด ดังนั้นเช้านี้พวกนางทั้งสองจึงรีบเข้ามาประคองตนเองล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้า

สีหน้าของเจินจูยังคงขาวซีด ขอบตาดำคล้ำ ชำเลืองมองหลินเมิ้งหยาด้วยความหวาดกลัว ราวกับว่านางคือปีศาจที่ผุดขึ้นมาจากนรก

“เจ้า…”

หลินเมิ้งหยาอ้าปากส่งเสียง มือของเจินจูสั่นเทิ้มจนหวีที่กำลังสางเส้นผมของหลินเมิ้งหยาร่วงหล่นลงพื้น

ราววกับถูกข่มขู่จนหวาดผวา หยาดน้ำตาไหลนองเปรอะเปื้อนใบหน้า ทรุดตัวลงคุกเข่าพร้อมทั้งโขกศีรษะลงบนพื้นต่อหน้าหลินเมิ้งหยา

“พระชายาได้โปรดไว้ชีวิตด้วยเพคะ…หนู่ปี้…หนู่ปี้ไม่ได้ตั้งใจ พระชายาได้โปรดไว้ชีวิตด้วย!”

หลินเมิ้งหยาเกือบหลุดขำพรืดขณะมองดูเจินจูซึ่งกำลังใช้ศีรษะโขกพื้นไม่หยุด ดูเหมือนนางจะสร้างภาพความทรงจำอันแสนเลวร้ายให้กับเจินจูไปเสียแล้ว

“เจ้าลุกขึ้นก่อนเถิด ข้าหาได้คิดอยากฆ่าแกงเจ้าไม่ เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องเล็ก ข้าไม่เอาผิดเจ้าหรอก”

ป๋ายซูยืนจ้องอยู่ด้านข้างตาไม่กะพริบ ใบหน้างดงามท่าทางเย็นชา ไม่ว่าใครก็ไม่อยากเข้ามาตอแย

เจินจูหวาดผวาอย่างหนัก หลินเมิ้งหยาทำอะไรไม่ได้นอกจากเรียกหมาหน่าวซึ่งซ่อนตัวอยู่อีกฝั่งมาประคองเพื่อนของนางออกไป

หลินเมิ้งหยามีพรสวรรค์ในการใช้คน โดยเฉพาะคนที่ถูกข่มขู่เรียบร้อยแล้ว การมีพวกนางสองคนมารับใช้ทำให้นางกับป๋ายซูรู้สึกเหมือนมีของเล่นฆ่าเวลา

“พวกเจ้ามีประสบการณ์การอยู่ในวังหลวง แม้ข้าจะไม่ใช่คนดีเท่าไรนัก แต่ถึงกระนั้นก็แยกออกว่าใครควรได้รับรางวัลหรือได้รับโทษ หากพวกเจ้าทำหน้าที่ของตนเองให้ดี ไร้ข้อบกพร่อง เช่นนั้นพวกเจ้าก็จะไม่ถูกข้าลงโทษ สำหรับข้าแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตรองอันใดมาก ขอเพียงแค่พวกเจ้าเชื่อฟังคำสั่งข้าก็พอ เข้าใจหรือไม่?”

สีหน้าของหลินเมิ้งหยาเรียบเฉย น้ำเสียงสงบนิ่ง

เจินจูและหมาหน่าวสบตากัน ก่อนจะลุกขึ้นถวายคำนับ

“เพคะ พวกหนู่ปี้น้อมรับคำสั่งสอนของพระชายา”

หลินเมิ้งหยาผงกศีรษะลง แม้พวกนางจะแสดงท่าทางสงบเสงี่ยม แต่หลินเมิ้งหยารู้ดีว่ามันหาได้มีความจริงใจ

เหล่านางในในวังหลวงล้วนมิใช่คนจิตใจดี เมื่อก่อนน้าจิ่นเยว่เคยเล่าให้ฟังว่าพวกนางในหรือขันทีล้วนเป็นคนหน้าซื่อใจคดที่พร้อมจะหักหลังนายตัวเองได้ตลอดเวลา

แม้นางจะไม่สามารถตบตีพวกนางจนตายได้ แต่ถึงกระนั้นก็มีวิธีสั่งสอนพวกนางหลายรูปแบบ

เมื่อวานเป็นเพียงวิธีหนึ่งเท่านั้น

แม้นางจะมิอาจไว้ใจเจินจูและหมาหน่าวได้ แต่ถึงกระนั้นพวกนางก็เป็นนางในของวังหลวง ดังนั้นการดูแลเสื้อผ้าหน้าผมจึงทำได้อย่างถนัดถนี่กว่าป๋ายซูมาก

เหตุเพราะเป็นวันปีใหม่ หลินเมิ้งหยาที่เพิ่งจะแต่งงานออกเรือนได้ไม่นานจึงสวมใส่ชุดหรูหรางดงาม

แต่เพราะฮ่องเต้ยังประชวร ซ้ำคืนวันสิ้นปียังเกิดเรื่องเลวร้ายเช่นนั้นขึ้น หลินเมิ้งหยาจึงเลือกสวมใส่ชุดสีหม่นปักลายสีทอง ปกเสื้อสีแดงมันเงา เท้าทั้งสองข้างสวมรองเท้าผ้าประดับไข่มุกและหยก

ศีรษะประดับเพียงปิ่นปักผมทองซึ่งเข้ากันได้ดีกับเส้นผมสีดำขลับ เยื้องย่างไปบนทางเดินอันทอดยาว ใบหน้าซึ่งถูกตกแต่งเล็กน้อยขับให้ใบหน้านวลงดงามราวกับหยก ความงามที่เผยโฉมนั้นแตกต่างจากหญิงสาวชาววังอย่างสิ้นเชิง

“นายหญิง วันนี้จะไปทำงานที่สำนักหมอหลวงทั้งวันหรือเจ้าคะ?”

ป๋ายซูเดินตามติดหลินเมิ้งหยา วันนี้หลินเมิ้งหยาพาหมาหน่าวมาเพียงคนเดียว ตอนนี้นางยืนรั้งท้ายโดยมิกล้าขยับเข้ามาใกล้

ครุ่นคิด หลินเมิ้งหยาพยักหน้าลง นางยังคงอยากเห็นชีพจรของฮ่องเต้ เมื่อวานซูถงทำให้เสียเรื่อง ดังนั้นวันนี้นางจะต้องได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ

“ของใช้ในวังหลวงล้วนมิใช่ของดีเหมือนอย่างในจวน ร่างกายของท่านรับไหวหรือไม่?”

มองดูสายตากังวลของสาวใช้ตนเอง เหตุเพราะเช้านี้นางรู้สึกไม่อยากอาหาร ดังนั้นนางจึงมิได้กินอาหารเช้าเหมือนอย่างเคย

นางหาใช่คนเลือกกินไม่ จากประสบการณ์การเป็นนักเรียนแพทย์มาห้าปี นอกจากอาการกระเพาะไม่ย่อยในช่วงเวลากลางคืนแล้ว นางล้วนกินทุกอย่างได้อย่างไม่ติดขัด

ทว่านางมีเรื่องกังวลใจจึงไม่รู้สึกอยากอาหารแต่เพียงเท่านั้น

“วางใจเถิด ข้ามิใช่เด็กแล้ว ข้าย่อมรู้ดีว่าควรดูแลตัวเองเช่นไร”

จับมือป๋ายซูพร้อมทั้งเอ่ยปลอบโยนนางเบาๆ

ขณะที่นายบ่าวกำลังสนทนากันอยู่นั้น อยู่ๆ เสียงอ้อยอิ่งเสียงหนึ่งพลันดังขัดขึ้น

“โอ้ นี่สาวงามที่ใดกันหรือ เหตุใดเห็นเปิ่นกงแล้วจึงไม่ถวายคำนับ หรือตาของเจ้างอกอยู่บนหัวกัน?”

คำพูดส่อเสียดเหยียดหยาม เห็นได้ชัดว่านางกำลังยกตนสูงกว่าผู้อื่น

หลินเมิ้งหยาเงยหน้า ก่อนจะได้เห็นหญิงงามสวมชุดชาววังซึ่งกำลังยืนอยู่ไม่ไกลจากตนเอง

ชุดที่สวมบ่งบอกว่านางคือสนมคนหนึ่ง ทว่านางกำลังจ้องมองมาด้วยสายตาเย็นชา ราวกับว่าพวกนางเป็นศัตรูกันแต่ชาติปางก่อนอย่างไรอย่างนั้น

“ถวายพระพรหยุนฉงหรงเหนียงเหนียง ฮุ่ยเจี๋ยอวี้เหนียงเหนียงและเฉิงเหม่ยเหริน หนู่ปี้เป็นนางในนามว่าหมาหน่าว ท่านนี้คือพระชายาของอ๋องอวี้เพคะ”

นับว่าสาวใช้ของตนมีไหวพริบค่อนข้างมาก หลินเมิ้งหยาจดจำเรื่องนี้เอาไว้ในใจ

นางไม่รู้สึกคุ้นหน้าทั้งสามคนเลยแม้แต่น้อย ราวกับเพิ่งจะได้เจอกันเป็นครั้งแรก

ทว่าหากนับตามธรรมเนียมแล้ว นางคือพระชายาระดับหนึ่ง ซ้ำอายุยังน้อย ดังนั้นจึงควรถวายคำนับพวกนางทั้งสาม

นางเพิ่งจะเข้าวังมาได้ไม่นาน ดังนั้นจึงควรปฏิบัติตามกฎระเบียบให้ดี ฉะนั้นแม้ฝ่ายตรงข้ามจะแสดงกิริยาวาจาไม่ดีใส่ แต่นางก็ควรจะอดทนอดกลั้น

“ถวายพระพรเหนียงเหนียงทั้งสามพระองค์ หม่อมฉันเพิ่งจะเข้าวังมาไม่นาน หากทำผิดพลาดประการใด เหนียงเหนียงได้โปรดชี้แนะด้วยเพคะ”

หยุนฉงหรงใบหน้างดงามโดดเด่น เสื้อผ้าหรูหราสง่างาม

พยักหน้าให้นางเล็กน้อย สีหน้าประหลาดใจ ทว่าใบหน้ากลับเปื้อนยิ้มอ่อนโยน

ทางด้านซ้ายมือของนางคือหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกับหลินเมิ้งหยา นางก้มๆ เงยๆ มองหลินเมิ้งหยาราวกับประหลาดใจเป็นอย่างมาก แต่อาจเพราะนางอายุน้อยที่สุด ดังนั้นเครื่องประดับจึงน้อยชิ้นตาม หลินเมิ้งหยาเดาว่านางจะต้องเป็นเฉิงเหม่ยเหรินอย่างแน่นอน

ส่วนผู้หญิงที่ยืนอยู่ทางด้านขวามือของหยุนฉงหรงมีใบหน้างดงาม แต่ไม่งดงามเท่าหยุนฉงหรง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด หลินเมิ้งหยาจึงสัมผัสได้ถึงแรงอาฆาตจากสายตาของนาง

แปลกเหลือเกิน นางหาใช่หยางกุ้ยเฟย ซ้ำยังมิได้คิดจะตะเกียกตะกายขึ้นปีนเตียงของฮ่องเต้ เหตุใดเจี๋ยอวี้เหนียงเหนียงจึงมีท่าทีเกลียดชังนางเหลือเกิน?

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+