ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษเล่มที่ 11 บทที่ 309 กลอุบายในวังหลวง

Now you are reading ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ Chapter เล่มที่ 11 บทที่ 309 กลอุบายในวังหลวง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“วันนี้โชคดีที่ชายาอวี้อยู่ที่นี่ ฮวาเอ๋อร์จึงยังคงอยู่รอดปลอดภัยเช่นนี้ เฮ้อ คนในวังหลวงเลือดเย็นยิ่งนัก คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะลงมืออย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้ หัวใจของคนเป็นแม่เช่นข้ายังคงรู้สึกหวาดกลัวอยู่มาก”

ถ้อยคำของพระสนมเสียนเฟยเสมือนกำลังยกย่องความดีงามของหลินเมิ้งหยา

หลินเมิ้งหยาส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย

“เหนียงเหนียงอย่าโทษตัวเองไปเลยเพคะ ถึงอย่างไรก็ต้องเตรียมการรับมือป้องกันให้ดี องค์ชายยังเด็ก เกรงว่าวังหลวงแห่งนี้จะต้องดูแลจัดการให้เข้มงวดยิ่งขึ้นแล้ว”

ไม่ว่าพระสนมเสียนเฟยจะอยู่ในตำแหน่งใด แต่การลงมือกับเด็กก็ยังเป็นการกระทำที่แสนโหดเหี้ยมอำมหิต นางมิอาจทนดูได้ ในเมื่อเรื่องเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาจะให้นางนิ่งดูดายได้อย่างไร

“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น แต่เพราะข้ามิต่างอันใดจากคนหูหนวกตาบอด วันนี้…วันนี้ถึงกับมีคนลงมือทำร้ายลูกชายใต้จมูกของข้า! ชายาอวี้ได้โปรดช่วยข้ากำจัดพวกคนโฉดชั่วเหล่านี้ด้วยเถิด”

แม้ยุ่งยากแต่ถึงกระนั้นก็ต้องช่วย หากแต่หลินเมิ้งหยาก็ไม่คิดออกหน้าออกตาอย่างชัดเจน

คนที่กล้าลงมือทั้งที่อยู่ในวังหลวงเช่นนี้ คาดว่าพระสนมเสียนเฟยจะต้องล่วงรู้ถึงอำนาจของผู้ที่อยู่เบื้องหลังมากกว่าตนเองเสียอีก

“พระสนมเสียนเฟยเพคะ มีบางเรื่องที่หม่อมฉันอยากพูด แต่มิรู้ว่าควรพูดหรือไม่”

เสียนเฟยไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ เหตุเพราะหลินเมิ้งหยาเองก็เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แล้ว

“การที่องค์ชายถูกปองร้าย แสดงว่าจะต้องเป็นเจตนาของใครบางคน หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ต่อให้พระสนมปกป้ององค์ชายทั้งวันทั้งคืนก็มิอาจปกป้องเขาเอาไว้ได้”

เสียนเฟยพยักหน้าลง หลินเมิ้งหยาพูดในสิ่งที่นางเป็นกังวล

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครเป็นผู้ประสงค์ร้ายต่อองค์ชายของนางทั้งที่อยู่ในวังหลวง

“พระชายารับสั่งถูกแล้ว แต่ฮวาเอ๋อร์ยังเด็ก หากส่งเขาไปเลี้ยงนอกวังหลวง เช่นนั้นพวกข้าสองแม่ลูกก็คงมิอาจได้เจอกันอีก ยิ่งไปกว่านั้น หากเกิดอะไรขึ้นกับฮวาเอ๋อร์ แล้วข้าจะมีชีวิตต่อไปได้เช่นไร”

ขณะพูด หยาดน้ำตาเริ่มเอ่อล้นออกมา ท่าทางน่าสงสารจับใจ

การแยกจากกันระหว่างแม่ลูกเป็นเรื่องที่เจ็บปวดจนมิอาจทานทน เสียนเฟยเป็นเพียงหญิงสาวอ่อนแอคนหนึ่งที่ใช้ความน่าสงสารมาขอร้องผู้อื่น

หากเป็นแต่ก่อนหลินเมิ้งหยาคงไม่สนใจนาง แต่เพราะนางเห็นแก่หน้าของอิงฮวา หลินเมิ้งหยาจึงทำได้เพียงต้องช่วยนาง

ก้มหน้าครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ย

“หากองค์ชายสิบยังคงฉลาดเฉลียวมีไหวพริบเช่นนี้อาจจะกลายเป็นหนามยอกอกของใครบางคนเอาได้ แต่ถ้าหากองค์ชายสิบหวาดผวาอย่างหนักเพราะถูกทำร้ายจากเหตุการณ์ในคราวนี้ หลังจากตื่นขึ้นมาแล้วจึงกลายเป็นคนสติฟั่นเฟือน เช่นนั้นภัยอันตรายก็อาจจะน้อยลงมิใช่หรือเพคะ?”

หลินเมิ้งหยามิจำเป็นต้องเอ่ยสิ่งใดอีก

เสียนเฟยเป็นคนฉลาด มิเช่นนั้นอิงฮวาคงไม่ฉลาดเฉลียวและมีไหวพริบเช่นนี้ หลังจากเสียนเฟยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางจึงเข้าใจความหมายที่หลินเมิ้งหยาต้องการจะสื่อ สีหน้าแสดงความยินดี ก่อนจะกล่าวขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“แผนการของพระชายาล้ำลึกยิ่งนัก แต่อิงฮวายังเล็ก หากถูกจับได้ขึ้นมาจะทำเช่นไรเล่า?”

หลินเมิ้งหยากลับไม่รู้สึกเช่นนั้น แม้เด็กน้อยจะน่ารักไร้เดียงสา แต่ถ้าหากใช้วิธีที่เหมาะสม ต่อให้ต้องปิดบังเรื่องนี้กับเทพเซียนก็ยังไม่อาจถูกจับได้

“คาดว่าเรื่องที่หม่อมฉันมาที่ตำหนักหย่งเหอจะต้องแพร่กระจายไปในวันรุ่งขึ้นอย่างแน่นอน หมอหลวงมิอาจมาเฝ้ารักษาตลอดทั้งวันทั้งคืนได้ เช่นนั้นหากพระสนมส่งองค์ชายมาให้หม่อมฉันดูแลก็จะเป็นเรื่องสมเหตุสมผลเพคะ”

เสียนเฟยแย้มยิ้มกว้าง คาดว่าเหตุผลที่แท้จริงที่นางยอมเชื่อคำพูดของหลินเมิ้งหยาน่าจะเพราะหลงเทียนอวี้

ในเมื่ออีกฝ่ายลงมือแล้ว หากนางไม่หาที่พึ่ง เช่นนั้นอนาคตนางจะตกอยู่ในที่นั่งลำบาก

“เช่นนั้นข้าต้องขอรบกวนพระชายาด้วย แม้ข้าจะอยู่ในวังหลัง แต่ถึงกระนั้นอำนาจก็ยังมีจำกัด ทว่าหากภายภาคหน้าชายาอวี้ต้องการสิ่งใด ข้าจะช่วยเหลือเจ้าอย่างเต็มกำลัง”

หลินเมิ้งหยาทำเพียงหัวเราะ แต่ไม่ปฏิเสธ

คำพูดของพระสนมเสียนเฟยมีทั้งความจริงใจและความหมายแฝง คนมักจะใช้วิธีการรับปากสัญญาเช่นนี้โดยไม่มีหลักฐานเพื่อมัดใจผู้อื่น

พระสนมเสียนเฟยยังชวนหลินเมิ้งหยาสนทนาอีกหลายเรื่อง หลินเมิ้งหยาเองก็เป็นผู้ฟังที่ดี วาจาอ่อนหวานที่เอื้อนเอ่ยทำให้ป๋ายซูที่คอยอยู่รับใช้มิอาจทนฟังอยู่ได้

เมื่อพระสนมเสียนเฟยกลับไปแล้ว ป๋ายซูจึงถอนหายใจ

“พระสนมพระองค์นี้ปากหวานราวน้ำผึ้งเดือนห้า หากข้าไม่รู้เรื่องมาก่อนคงเผลอคิดว่านายหญิงและนางเป็นพี่น้องแท้ๆ กันอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”

คนปากหวาน…แต่อาจมีพิษสงร้ายก็ได้

องค์ชายสิบต้องกลายเป็นสติเลอะเลือน หากนางเป็นพระสนมเสียนเฟยแล้วล่ะก็ บางทีอาจเลือกที่จะอดทนต่อคำครหาหรือไม่ก็โวยวายใหญ่โตไปเลย

ไม่รู้เลยว่าเสียนเฟยเหนียงเหนียงจะเลือกทางใด?

เมื่อฟ้าสว่าง หลินเมิ้งหยาจึงพาป๋ายซูกลับเรือน

เมื่อเจินจูและหมาหน่าวเห็นนางกลับมา พวกนางรีบเอ่ยปากสอบถามเสียยกใหญ่ แต่ถึงกระนั้นก็ยังยืนหลบอยู่ที่มุมหนึ่ง มิกล้าเข้ามาเผชิญหน้ากับพวกหลินเมิ้งหยาตรงๆ

“ความชั่วยังไม่บุบสลาย ข้าคิดว่าพวกนางจะปรับปรุงตัวแล้ว ที่ไหนได้ยังเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน”

ป๋ายซูแค่นหัวเราะเสียงเย็น หลินเมิ้งหยาทำเพียงหัวเราะตาม

พวกนางมีเจ้านายที่แท้จริงของตนเอง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีภารกิจสำคัญให้ต้องทำ ในเมื่อเป็นคำสั่ง ดังนั้นพวกนางจึงมิกล้าขัด

“ไม่ต้องสนใจพวกนาง ถึงอย่างไรเรื่องที่เกิดขึ้นกับองค์ชายสิบเมื่อวานก็เป็นเรื่องราวใหญ่โตแพร่สะพัดไปทั่วแล้ว พวกเราคงปิดเรื่องนี้เอาไว้ไม่มิด เช่นนั้นพวกเราอยู่เงียบๆ กันจะดีกว่า”

หลินเมิ้งหยาพาป๋ายซูกลับเข้าไปในห้องหลัก พูดคุยรับประทานอาหารอย่างสุขอุรา ก่อนจะพาป๋ายซูไปยังสำนักหมอหลวง

เหตุเพราะช่วงนี้สำนักหมอหลวงต้องผลัดเวรกันตลอดเวลา อย่าว่าแต่ใต้เท้าทั้งสี่เลย ขนาดชิวอวี้ยังมิปรากฏแม้แต่เงา

เรื่องที่เกิดขึ้นกับใต้เท้าชุ่ยทำให้คนเหล่านี้ล้วนหวาดกลัวป๋ายซูและหลินเมิ้งหยา ฉะนั้นพวกเขาจึงทำความเคารพนางอย่างถูกต้องตามกฎระเบียบ ก่อนจะปล่อยหลินเมิ้งหยากลับไปทำงานที่ห้องเล็กของตนเองอย่างอิสระ

หลินเมิ้งหยาเปิดระบบเซินหนงเพื่อหายาถอนพิษ โชคดีที่ตัวยาเหล่านั้นล้วนเป็นยาที่พบเห็นได้ทั่วไป ขอเพียงนางระมัดระวังสักหน่อย คนในสำนักหมอหลวงย่อมไม่สังเกตเห็นอย่างแน่นอน

แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหลังช่วงเวลาอาหารกลางวัน สำนักหมอหลวงที่เคยเงียบสงบจะเกิดเสียงอึกทึกครึกโครมขึ้นมา

หลินเมิ้งหยาชำเลืองมอง ก่อนจะได้สั่งให้ป๋ายซูออกไปตรวจสอบ

ไม่นาน ป๋ายซูกลับมาพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

“ได้ยินมาว่าตำหนักหย่งเหอราวกับถูกระเบิดเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นกับองค์ชายสิบเมื่อคืนเจ้าค่ะ เช้าวันนี้พระสนมเสียนเฟยจึงเสด็จไปยังหน้าตำหนักที่ประทับของฮ่องเต้แล้วร้องห่มร้องไห้เสมือนคนกำลังจะขาดใจเพื่อให้ฮ่องเต้ออกหน้าแทนนาง ต่อมาไม่รู้ว่าฮองเฮาเจรจาเช่นไร พระสนมเสียนเฟยโกรธจนพูดไม่ออกแล้วเป็นลมล้มพับไป ดังนั้นตำหนักหย่งเหอจึงเกิดการโกลาหลขึ้นเจ้าค่ะ”

หลินเมิ้งหยาที่กำลังตรวจสอบสมุนไพรผินหน้ามามองป๋ายซู

พระสนมเสียนเฟยนับว่าเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง การแสดงละครเช่นนี้จะทำให้เรื่องที่องค์ชายสิบสติเลอะเลือนสมจริงยิ่งขึ้น

เหตุเพราะทุกคนรู้ว่าองค์ชายสิบเป็นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวของพระสนมเสียนเฟย

แต่อยู่ๆ เขาก็กลายเป็นเด็กสติฟั่นเฟือน เช่นนั้นจะให้พระสนมเสียนเฟยอดรนทนไหวได้เช่นไร?

“อืม ข้ารู้แล้ว”

ไม่ว่าเรื่องนี้จะเป็นฝีมือของฮองเฮาหรือไม่ แต่ก็มิต่างอันใดจากการที่นางกำเผือกร้อนๆ เอาไว้ในมือ หากฮองเฮาจัดการเรื่องนี้ไม่ดีแล้วล่ะก็ เช่นนั้นจะตกเป็นขี้ปากชาวบ้านอย่างแน่นอน

คิดไม่ถึงเลยว่าพระสนมเสียนเฟยจะฉลาดเฉลียวถึงเพียงนี้

น่าเสียดาย ตอนนี้นางต้องปกป้องความปลอดภัยของตนเอง มิเช่นนั้นหากนางเข้าไปโยนฟืนลงในกองเพลิง ฮองเฮาคงตกอยู่ในที่นั่งลำบากอย่างแน่นอน

“จริงสิ ท่านอ๋องฝากคนมาส่งข่าวว่าช่วงบ่ายจะเข้าวังมาหาท่านเจ้าค่ะ”

หลินเมิ้งหยาชะงัก ก่อนจะผงกศีรษะลง

นางลอบถอนหายใจ เหตุใดเขาจึงคิดเข้าวังมาในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้กันนะ?

หลังจากรับประทานอาหารกลางวันแล้ว หลงเทียนอวี้จึงพาหลินขุยเข้าวังหลวง

ระหว่างเดินทาง เขาที่เข้าออกวังหลวงตั้งแต่เล็กจนโตนับครั้งไม่ถ้วนไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่จะรู้สึกกลัดกลุ้มใจเช่นนี้

นาง…จะสบายดีหรือไม่?

หลังจากกลับถึงจวนในวันนั้นจึงมีคนเล่ารายละเอียดทุกอย่างให้เขาฟังโดยไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว

เรื่องที่เขาวางแผนช่วยเหลือเสด็จพ่อรั่วไหลออกไป เหล่านักเต้นระบำของร้านเป่ยโหลวหายตัวไป

หากมิใช่เพราะเขาไหวตัวทัน ป่านนี้ความลับของร้านเป่ยโหลวคงแดงออกมาแล้ว

แต่ถึงกระนั้น ยามนี้ร้านเป่ยโหลวก็ถูกจับตามองอย่างเข้มงวด ดังนั้นเขาจึงต้องหยุดการเคลื่อนไหวของร้านเป่ยโหลวทั้งหมดและปล่อยให้คุณชายจู๋เป็นผู้จัดการ

เหล่านักแสดงทั้งหมดล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์ มิรู้เรื่องราวใดๆ แม้พวกนางจะเป็นคนของร้านเป่ยโหลว ทว่าพวกนางก็ไม่ถูกทรมานแต่อย่างใด

แต่สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงก็คือไท่จื่อและฮองเฮาหันไปเล่นงานหลินเมิ้งหยา พวกเขาคุมขังนางไว้ ดังนั้นหัวใจของเขาจึงรู้สึกร้อนรุ่มมิต่างอันใดจากการยืนอยู่บนกองเพลิง

สายตามองทอดยาว เรือนเล็กของหลินเมิ้งหยาอยู่ไม่ไกลแล้ว

หลงเทียนอวี้รีบสาวเท้าเร็วขึ้น ผลักประตูเปิดออก แต่เขาต้องผิดหวังเมื่อได้เห็นเพียงนางในแปลกหน้าสองคน

เจินจูและหมาหน่าวรู้จักอ๋องอวี้ ดังนั้นจึงรีบถวายคำนับ หลงเทียนอวี้ทำเพียงชำเลืองมองพวกนางด้วยสายตาเย็นชาโดยไม่เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว

“ลุกขึ้นเถิด พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่านายหญิงของข้าอยู่ที่ใด?”

หลินขุยที่รู้จักอุปนิสัยใจคอของหลงเทียนอวี้ดีรีบเอ่ยถามแทน เจินจูจึงส่งเสียงตอบอ้ำๆ อึ้งๆ

“ทูลท่านอ๋อง คาดว่าพระชายาน่าจะอยู่ที่สำนักหมอหลวงเพคะ ปกติแล้วพระชายามักจะอยู่ที่สำนักหมอหลวงตลอดทั้งวัน เพียงแต่หนู่ปี้ก็ไม่มั่นใจ เหตุเพราะเมื่อคืนพระชายาก็มิได้กลับเรือนตลอดทั้งคืน”

ตอบเสียงอ่อนน้อม ทว่าน้ำคำกลับแฝงไว้ด้วยเจตนายุแยง

สายตาของหลงเทียนอวี้ตวัดมองทางพวกนาง

เพียงประโยคเดียวเขาก็รู้ได้ทันทีว่าพวกนางเป็นคนของใคร

เขาคร้านจะฟังคำพูดยั่วยุไร้สาระ หลงเทียนอวี้หมุนตัวเตรียมจะเดินออกจากเรือน

“หากคิดจะอยู่เคียงข้างนาง พวกเจ้าควรทำตัวให้ฉลาดเสียหน่อย มิเช่นนั้นนางจะอันตรายเสียยิ่งกว่านายของพวกเจ้า”

ส่งเสียงเย็นชาดุจน้ำแข็ง หลินขุยเองก็ไม่อยากมองหน้าพวกนางให้เสียสายตาเช่นเดียวกัน

นายหญิงของพวกเขาเป็นคนฉลาด หากพวกนางไม่จริงใจกับหลินเมิ้งหยาแล้วล่ะก็ เกรงว่า….

เจินจูและหมาหน่าวสบตากัน แววตาฉายถึงความรู้สึกเสียใจในการกระทำของตนเอง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษเล่มที่ 11 บทที่ 309 กลอุบายในวังหลวง

Now you are reading ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ Chapter เล่มที่ 11 บทที่ 309 กลอุบายในวังหลวง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“วันนี้โชคดีที่ชายาอวี้อยู่ที่นี่ ฮวาเอ๋อร์จึงยังคงอยู่รอดปลอดภัยเช่นนี้ เฮ้อ คนในวังหลวงเลือดเย็นยิ่งนัก คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะลงมืออย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้ หัวใจของคนเป็นแม่เช่นข้ายังคงรู้สึกหวาดกลัวอยู่มาก”

ถ้อยคำของพระสนมเสียนเฟยเสมือนกำลังยกย่องความดีงามของหลินเมิ้งหยา

หลินเมิ้งหยาส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย

“เหนียงเหนียงอย่าโทษตัวเองไปเลยเพคะ ถึงอย่างไรก็ต้องเตรียมการรับมือป้องกันให้ดี องค์ชายยังเด็ก เกรงว่าวังหลวงแห่งนี้จะต้องดูแลจัดการให้เข้มงวดยิ่งขึ้นแล้ว”

ไม่ว่าพระสนมเสียนเฟยจะอยู่ในตำแหน่งใด แต่การลงมือกับเด็กก็ยังเป็นการกระทำที่แสนโหดเหี้ยมอำมหิต นางมิอาจทนดูได้ ในเมื่อเรื่องเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาจะให้นางนิ่งดูดายได้อย่างไร

“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น แต่เพราะข้ามิต่างอันใดจากคนหูหนวกตาบอด วันนี้…วันนี้ถึงกับมีคนลงมือทำร้ายลูกชายใต้จมูกของข้า! ชายาอวี้ได้โปรดช่วยข้ากำจัดพวกคนโฉดชั่วเหล่านี้ด้วยเถิด”

แม้ยุ่งยากแต่ถึงกระนั้นก็ต้องช่วย หากแต่หลินเมิ้งหยาก็ไม่คิดออกหน้าออกตาอย่างชัดเจน

คนที่กล้าลงมือทั้งที่อยู่ในวังหลวงเช่นนี้ คาดว่าพระสนมเสียนเฟยจะต้องล่วงรู้ถึงอำนาจของผู้ที่อยู่เบื้องหลังมากกว่าตนเองเสียอีก

“พระสนมเสียนเฟยเพคะ มีบางเรื่องที่หม่อมฉันอยากพูด แต่มิรู้ว่าควรพูดหรือไม่”

เสียนเฟยไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ เหตุเพราะหลินเมิ้งหยาเองก็เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แล้ว

“การที่องค์ชายถูกปองร้าย แสดงว่าจะต้องเป็นเจตนาของใครบางคน หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ต่อให้พระสนมปกป้ององค์ชายทั้งวันทั้งคืนก็มิอาจปกป้องเขาเอาไว้ได้”

เสียนเฟยพยักหน้าลง หลินเมิ้งหยาพูดในสิ่งที่นางเป็นกังวล

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครเป็นผู้ประสงค์ร้ายต่อองค์ชายของนางทั้งที่อยู่ในวังหลวง

“พระชายารับสั่งถูกแล้ว แต่ฮวาเอ๋อร์ยังเด็ก หากส่งเขาไปเลี้ยงนอกวังหลวง เช่นนั้นพวกข้าสองแม่ลูกก็คงมิอาจได้เจอกันอีก ยิ่งไปกว่านั้น หากเกิดอะไรขึ้นกับฮวาเอ๋อร์ แล้วข้าจะมีชีวิตต่อไปได้เช่นไร”

ขณะพูด หยาดน้ำตาเริ่มเอ่อล้นออกมา ท่าทางน่าสงสารจับใจ

การแยกจากกันระหว่างแม่ลูกเป็นเรื่องที่เจ็บปวดจนมิอาจทานทน เสียนเฟยเป็นเพียงหญิงสาวอ่อนแอคนหนึ่งที่ใช้ความน่าสงสารมาขอร้องผู้อื่น

หากเป็นแต่ก่อนหลินเมิ้งหยาคงไม่สนใจนาง แต่เพราะนางเห็นแก่หน้าของอิงฮวา หลินเมิ้งหยาจึงทำได้เพียงต้องช่วยนาง

ก้มหน้าครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ย

“หากองค์ชายสิบยังคงฉลาดเฉลียวมีไหวพริบเช่นนี้อาจจะกลายเป็นหนามยอกอกของใครบางคนเอาได้ แต่ถ้าหากองค์ชายสิบหวาดผวาอย่างหนักเพราะถูกทำร้ายจากเหตุการณ์ในคราวนี้ หลังจากตื่นขึ้นมาแล้วจึงกลายเป็นคนสติฟั่นเฟือน เช่นนั้นภัยอันตรายก็อาจจะน้อยลงมิใช่หรือเพคะ?”

หลินเมิ้งหยามิจำเป็นต้องเอ่ยสิ่งใดอีก

เสียนเฟยเป็นคนฉลาด มิเช่นนั้นอิงฮวาคงไม่ฉลาดเฉลียวและมีไหวพริบเช่นนี้ หลังจากเสียนเฟยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางจึงเข้าใจความหมายที่หลินเมิ้งหยาต้องการจะสื่อ สีหน้าแสดงความยินดี ก่อนจะกล่าวขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“แผนการของพระชายาล้ำลึกยิ่งนัก แต่อิงฮวายังเล็ก หากถูกจับได้ขึ้นมาจะทำเช่นไรเล่า?”

หลินเมิ้งหยากลับไม่รู้สึกเช่นนั้น แม้เด็กน้อยจะน่ารักไร้เดียงสา แต่ถ้าหากใช้วิธีที่เหมาะสม ต่อให้ต้องปิดบังเรื่องนี้กับเทพเซียนก็ยังไม่อาจถูกจับได้

“คาดว่าเรื่องที่หม่อมฉันมาที่ตำหนักหย่งเหอจะต้องแพร่กระจายไปในวันรุ่งขึ้นอย่างแน่นอน หมอหลวงมิอาจมาเฝ้ารักษาตลอดทั้งวันทั้งคืนได้ เช่นนั้นหากพระสนมส่งองค์ชายมาให้หม่อมฉันดูแลก็จะเป็นเรื่องสมเหตุสมผลเพคะ”

เสียนเฟยแย้มยิ้มกว้าง คาดว่าเหตุผลที่แท้จริงที่นางยอมเชื่อคำพูดของหลินเมิ้งหยาน่าจะเพราะหลงเทียนอวี้

ในเมื่ออีกฝ่ายลงมือแล้ว หากนางไม่หาที่พึ่ง เช่นนั้นอนาคตนางจะตกอยู่ในที่นั่งลำบาก

“เช่นนั้นข้าต้องขอรบกวนพระชายาด้วย แม้ข้าจะอยู่ในวังหลัง แต่ถึงกระนั้นอำนาจก็ยังมีจำกัด ทว่าหากภายภาคหน้าชายาอวี้ต้องการสิ่งใด ข้าจะช่วยเหลือเจ้าอย่างเต็มกำลัง”

หลินเมิ้งหยาทำเพียงหัวเราะ แต่ไม่ปฏิเสธ

คำพูดของพระสนมเสียนเฟยมีทั้งความจริงใจและความหมายแฝง คนมักจะใช้วิธีการรับปากสัญญาเช่นนี้โดยไม่มีหลักฐานเพื่อมัดใจผู้อื่น

พระสนมเสียนเฟยยังชวนหลินเมิ้งหยาสนทนาอีกหลายเรื่อง หลินเมิ้งหยาเองก็เป็นผู้ฟังที่ดี วาจาอ่อนหวานที่เอื้อนเอ่ยทำให้ป๋ายซูที่คอยอยู่รับใช้มิอาจทนฟังอยู่ได้

เมื่อพระสนมเสียนเฟยกลับไปแล้ว ป๋ายซูจึงถอนหายใจ

“พระสนมพระองค์นี้ปากหวานราวน้ำผึ้งเดือนห้า หากข้าไม่รู้เรื่องมาก่อนคงเผลอคิดว่านายหญิงและนางเป็นพี่น้องแท้ๆ กันอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”

คนปากหวาน…แต่อาจมีพิษสงร้ายก็ได้

องค์ชายสิบต้องกลายเป็นสติเลอะเลือน หากนางเป็นพระสนมเสียนเฟยแล้วล่ะก็ บางทีอาจเลือกที่จะอดทนต่อคำครหาหรือไม่ก็โวยวายใหญ่โตไปเลย

ไม่รู้เลยว่าเสียนเฟยเหนียงเหนียงจะเลือกทางใด?

เมื่อฟ้าสว่าง หลินเมิ้งหยาจึงพาป๋ายซูกลับเรือน

เมื่อเจินจูและหมาหน่าวเห็นนางกลับมา พวกนางรีบเอ่ยปากสอบถามเสียยกใหญ่ แต่ถึงกระนั้นก็ยังยืนหลบอยู่ที่มุมหนึ่ง มิกล้าเข้ามาเผชิญหน้ากับพวกหลินเมิ้งหยาตรงๆ

“ความชั่วยังไม่บุบสลาย ข้าคิดว่าพวกนางจะปรับปรุงตัวแล้ว ที่ไหนได้ยังเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน”

ป๋ายซูแค่นหัวเราะเสียงเย็น หลินเมิ้งหยาทำเพียงหัวเราะตาม

พวกนางมีเจ้านายที่แท้จริงของตนเอง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีภารกิจสำคัญให้ต้องทำ ในเมื่อเป็นคำสั่ง ดังนั้นพวกนางจึงมิกล้าขัด

“ไม่ต้องสนใจพวกนาง ถึงอย่างไรเรื่องที่เกิดขึ้นกับองค์ชายสิบเมื่อวานก็เป็นเรื่องราวใหญ่โตแพร่สะพัดไปทั่วแล้ว พวกเราคงปิดเรื่องนี้เอาไว้ไม่มิด เช่นนั้นพวกเราอยู่เงียบๆ กันจะดีกว่า”

หลินเมิ้งหยาพาป๋ายซูกลับเข้าไปในห้องหลัก พูดคุยรับประทานอาหารอย่างสุขอุรา ก่อนจะพาป๋ายซูไปยังสำนักหมอหลวง

เหตุเพราะช่วงนี้สำนักหมอหลวงต้องผลัดเวรกันตลอดเวลา อย่าว่าแต่ใต้เท้าทั้งสี่เลย ขนาดชิวอวี้ยังมิปรากฏแม้แต่เงา

เรื่องที่เกิดขึ้นกับใต้เท้าชุ่ยทำให้คนเหล่านี้ล้วนหวาดกลัวป๋ายซูและหลินเมิ้งหยา ฉะนั้นพวกเขาจึงทำความเคารพนางอย่างถูกต้องตามกฎระเบียบ ก่อนจะปล่อยหลินเมิ้งหยากลับไปทำงานที่ห้องเล็กของตนเองอย่างอิสระ

หลินเมิ้งหยาเปิดระบบเซินหนงเพื่อหายาถอนพิษ โชคดีที่ตัวยาเหล่านั้นล้วนเป็นยาที่พบเห็นได้ทั่วไป ขอเพียงนางระมัดระวังสักหน่อย คนในสำนักหมอหลวงย่อมไม่สังเกตเห็นอย่างแน่นอน

แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหลังช่วงเวลาอาหารกลางวัน สำนักหมอหลวงที่เคยเงียบสงบจะเกิดเสียงอึกทึกครึกโครมขึ้นมา

หลินเมิ้งหยาชำเลืองมอง ก่อนจะได้สั่งให้ป๋ายซูออกไปตรวจสอบ

ไม่นาน ป๋ายซูกลับมาพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

“ได้ยินมาว่าตำหนักหย่งเหอราวกับถูกระเบิดเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นกับองค์ชายสิบเมื่อคืนเจ้าค่ะ เช้าวันนี้พระสนมเสียนเฟยจึงเสด็จไปยังหน้าตำหนักที่ประทับของฮ่องเต้แล้วร้องห่มร้องไห้เสมือนคนกำลังจะขาดใจเพื่อให้ฮ่องเต้ออกหน้าแทนนาง ต่อมาไม่รู้ว่าฮองเฮาเจรจาเช่นไร พระสนมเสียนเฟยโกรธจนพูดไม่ออกแล้วเป็นลมล้มพับไป ดังนั้นตำหนักหย่งเหอจึงเกิดการโกลาหลขึ้นเจ้าค่ะ”

หลินเมิ้งหยาที่กำลังตรวจสอบสมุนไพรผินหน้ามามองป๋ายซู

พระสนมเสียนเฟยนับว่าเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง การแสดงละครเช่นนี้จะทำให้เรื่องที่องค์ชายสิบสติเลอะเลือนสมจริงยิ่งขึ้น

เหตุเพราะทุกคนรู้ว่าองค์ชายสิบเป็นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวของพระสนมเสียนเฟย

แต่อยู่ๆ เขาก็กลายเป็นเด็กสติฟั่นเฟือน เช่นนั้นจะให้พระสนมเสียนเฟยอดรนทนไหวได้เช่นไร?

“อืม ข้ารู้แล้ว”

ไม่ว่าเรื่องนี้จะเป็นฝีมือของฮองเฮาหรือไม่ แต่ก็มิต่างอันใดจากการที่นางกำเผือกร้อนๆ เอาไว้ในมือ หากฮองเฮาจัดการเรื่องนี้ไม่ดีแล้วล่ะก็ เช่นนั้นจะตกเป็นขี้ปากชาวบ้านอย่างแน่นอน

คิดไม่ถึงเลยว่าพระสนมเสียนเฟยจะฉลาดเฉลียวถึงเพียงนี้

น่าเสียดาย ตอนนี้นางต้องปกป้องความปลอดภัยของตนเอง มิเช่นนั้นหากนางเข้าไปโยนฟืนลงในกองเพลิง ฮองเฮาคงตกอยู่ในที่นั่งลำบากอย่างแน่นอน

“จริงสิ ท่านอ๋องฝากคนมาส่งข่าวว่าช่วงบ่ายจะเข้าวังมาหาท่านเจ้าค่ะ”

หลินเมิ้งหยาชะงัก ก่อนจะผงกศีรษะลง

นางลอบถอนหายใจ เหตุใดเขาจึงคิดเข้าวังมาในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้กันนะ?

หลังจากรับประทานอาหารกลางวันแล้ว หลงเทียนอวี้จึงพาหลินขุยเข้าวังหลวง

ระหว่างเดินทาง เขาที่เข้าออกวังหลวงตั้งแต่เล็กจนโตนับครั้งไม่ถ้วนไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่จะรู้สึกกลัดกลุ้มใจเช่นนี้

นาง…จะสบายดีหรือไม่?

หลังจากกลับถึงจวนในวันนั้นจึงมีคนเล่ารายละเอียดทุกอย่างให้เขาฟังโดยไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว

เรื่องที่เขาวางแผนช่วยเหลือเสด็จพ่อรั่วไหลออกไป เหล่านักเต้นระบำของร้านเป่ยโหลวหายตัวไป

หากมิใช่เพราะเขาไหวตัวทัน ป่านนี้ความลับของร้านเป่ยโหลวคงแดงออกมาแล้ว

แต่ถึงกระนั้น ยามนี้ร้านเป่ยโหลวก็ถูกจับตามองอย่างเข้มงวด ดังนั้นเขาจึงต้องหยุดการเคลื่อนไหวของร้านเป่ยโหลวทั้งหมดและปล่อยให้คุณชายจู๋เป็นผู้จัดการ

เหล่านักแสดงทั้งหมดล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์ มิรู้เรื่องราวใดๆ แม้พวกนางจะเป็นคนของร้านเป่ยโหลว ทว่าพวกนางก็ไม่ถูกทรมานแต่อย่างใด

แต่สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงก็คือไท่จื่อและฮองเฮาหันไปเล่นงานหลินเมิ้งหยา พวกเขาคุมขังนางไว้ ดังนั้นหัวใจของเขาจึงรู้สึกร้อนรุ่มมิต่างอันใดจากการยืนอยู่บนกองเพลิง

สายตามองทอดยาว เรือนเล็กของหลินเมิ้งหยาอยู่ไม่ไกลแล้ว

หลงเทียนอวี้รีบสาวเท้าเร็วขึ้น ผลักประตูเปิดออก แต่เขาต้องผิดหวังเมื่อได้เห็นเพียงนางในแปลกหน้าสองคน

เจินจูและหมาหน่าวรู้จักอ๋องอวี้ ดังนั้นจึงรีบถวายคำนับ หลงเทียนอวี้ทำเพียงชำเลืองมองพวกนางด้วยสายตาเย็นชาโดยไม่เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว

“ลุกขึ้นเถิด พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่านายหญิงของข้าอยู่ที่ใด?”

หลินขุยที่รู้จักอุปนิสัยใจคอของหลงเทียนอวี้ดีรีบเอ่ยถามแทน เจินจูจึงส่งเสียงตอบอ้ำๆ อึ้งๆ

“ทูลท่านอ๋อง คาดว่าพระชายาน่าจะอยู่ที่สำนักหมอหลวงเพคะ ปกติแล้วพระชายามักจะอยู่ที่สำนักหมอหลวงตลอดทั้งวัน เพียงแต่หนู่ปี้ก็ไม่มั่นใจ เหตุเพราะเมื่อคืนพระชายาก็มิได้กลับเรือนตลอดทั้งคืน”

ตอบเสียงอ่อนน้อม ทว่าน้ำคำกลับแฝงไว้ด้วยเจตนายุแยง

สายตาของหลงเทียนอวี้ตวัดมองทางพวกนาง

เพียงประโยคเดียวเขาก็รู้ได้ทันทีว่าพวกนางเป็นคนของใคร

เขาคร้านจะฟังคำพูดยั่วยุไร้สาระ หลงเทียนอวี้หมุนตัวเตรียมจะเดินออกจากเรือน

“หากคิดจะอยู่เคียงข้างนาง พวกเจ้าควรทำตัวให้ฉลาดเสียหน่อย มิเช่นนั้นนางจะอันตรายเสียยิ่งกว่านายของพวกเจ้า”

ส่งเสียงเย็นชาดุจน้ำแข็ง หลินขุยเองก็ไม่อยากมองหน้าพวกนางให้เสียสายตาเช่นเดียวกัน

นายหญิงของพวกเขาเป็นคนฉลาด หากพวกนางไม่จริงใจกับหลินเมิ้งหยาแล้วล่ะก็ เกรงว่า….

เจินจูและหมาหน่าวสบตากัน แววตาฉายถึงความรู้สึกเสียใจในการกระทำของตนเอง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+