ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษเล่มที่ 11 บทที่ 302 แขกที่ไม่ได้เชิญ

Now you are reading ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ Chapter เล่มที่ 11 บทที่ 302 แขกที่ไม่ได้เชิญ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ชิวอวี้ค่อนข้างอารมณ์ดี เขาพยักหน้าตอบป๋ายซูโดยไม่สนใจท่าทางเย็นชาของนาง

เขาถือห่อผ้ายื่นให้กับหลินเมิ้งหยา

“ข้าคิดว่าเจ้าที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในวังจะต้องรู้สึกกินไม่ได้นอนไม่หลับอย่างแน่นอน ฉะนั้นข้าจึงไปห้องเครื่องเพื่อนำของกินอร่อยๆ มาให้เจ้า แม้จะไม่ใช่ของมีราคามากนัก แต่ถึงกระนั้นก็ใช้ลับฟันได้อย่างดีเชียวล่ะ”

บางทีอาจเพราะใบหน้าอ่อนเยาว์หล่อเหลาของชิวอวี้ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังยิ้มแย้มอยู่เสมอ หลินเมิ้งหยาจึงรู้สึกเข้ากับเขาได้ง่าย

กลิ่นหอมยั่วยวนชวนน้ำลายสอของอาหารสารพัดอย่างถูกวางเรียงรายบนโต๊ะ

หลินเมิ้งหยามองดูห่อผ้า ก่อนจะหยิบโหยวเปาออกมาสองลูก แหวกห่อผ้าออกดู ก่อนจะพบว่ามันคือเป็ดย่าง

“นี่คืออาหารเลิศรสที่พ่อครัวหลวงของห้องเครื่องลงมือทำด้วยตนเอง ข้าขอร้องเขานานถึงสามวันกว่าเขาจะทำให้ เจ้าโชคดีมาก ลาภปากมาถึงแล้วล่ะ”

นอกจากเป็ดย่างแล้ว ยังมีตีนเป็ดตุ๋น ปีกเป็ดตุ๋นและอาหารอีกมากมาย เมื่อนำออกมาวาง ปรากฏว่าอาหารมีมากกว่าครึ่งโต๊ะ

“เจ้าเตรียมมันมาจัดงานปาร์ตี้ให้ข้าอย่างนั้นหรือ?”

หลินเมิ้งหยาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะขบขัน ชิงอวี้งุนงง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เข้าใจความหมายของคำว่าปาร์ตี้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็เป็นคนฉลาด เขาพอจะเดาได้ว่าหลินเมิ้งหยาหมายถึงอะไร

เขาหัวเราะ ก่อนจะดึงขวดเหล้าเล็กๆ และจอกเหล้าลวดลายงดงามออกจากวงแขน ท่าทางชำนิชำนาญเสมือนเขาทำเป็นกิจวัตร

“หากว่ากันตามธรรมเนียมประเพณี วันนี้คือวันแรกของปี พวกเราที่ไม่อาจออกไปทำอะไรตามใจปรารถนาได้มาเฉลิมฉลองกันสักเล็กน้อยเถิด”

ชิวอวี้เอ่ยราวกับกำลังเยาะหยันตัวเอง หลินเมิ้งหยานิ่งเงียบ

ใช่แล้ว เมื่อก่อนนางเองก็ยุ่งมาก เมื่อถึงช่วงปีใหม่ นางจะมีเวลาหยุดพักหลายวัน

ไม่คิดอะไรมาก ดึงมือป๋ายซูมานั่งที่โต๊ะด้วยกัน เอื้อมมือไปหยิบปีกไก่กลิ่นหอมยั่วน้ำลายแล้วกัดเข้าปาก

“ก่อนข้าจะเข้าวังมา ข้าได้เห็นโคมไฟสีแดงตามท้องถนน ได้ยินมาว่าวันนี้จะมีการแสดงเต้นระบำและเชิดมังกร”

หลินเมิ้งหยาเอ่ยออกมาด้วยความเสียดาย ตอนแรกนางคุยกับพวกสาวใช้แล้วว่าวันนี้จะพาพวกนางออกไปเที่ยวเล่น

แต่นางคงทำได้เพียงอยู่เงียบๆ ในวังหลวง

บรรยากาศอึมครึม ความเงียบครอบคลุมทั่วทั้งห้อง

“อยู่ในครอบครัวร่ำรวยมีชื่อเสียงแล้วอย่างไร? สู้เกิดในครอบครัวคนธรรมดายังจะดีเสียกว่า”

คำพูดของชิวอวี้เจือไว้ซึ่งความรู้สึกอิจฉาชีวิตของคนธรรมดา

หลินเมิ้งหยาชำเลืองมอง แม้เขาจะเป็นหมอหลวงที่มีฐานะสูงคนหนึ่ง แต่ถึงกระนั้นสิ่งของที่ใช้ก็ล้วนมิใช่ของราคาแพง สกุลชิวหาใช่สกุลมีชื่อเสียงในเมืองหลวง คาดว่าเขาจะต้องเป็นคุณชายที่มาจากเมืองอื่นอย่างแน่นอน

“แต่ถึงกระนั้นครอบครัวของคนธรรมดาก็อาจจะมิได้มีความสุขเสมอไป ความอิจฉาของครอบครัวสกุลใหญ่ที่ไม่ต้องกังวลเรื่องเสื้อผ้าหรือปากท้องอาจเป็นเพียงคำกล่าวอ้างยามพวกเขาเบื่อหน่ายแต่เพียงเท่านั้น คนจนกว่าจะได้เก็บเกี่ยวอาหารก็ต้องรอจนผ่านฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง ยิ่งถ้าอยู่ในช่วงสงครามก็จะยิ่งขาดแคลนอาหารและเครื่องนุ่งห่ม พวกเขาขายได้กระทั่งลูกเพื่อแลกกับอาหาร ชีวิตที่ไร้อนาคตเช่นนี้จะมีความสุขได้อย่างไร?”

ปากที่กำลังกินตีนเป็ดของชิวอวี้หยุดชะงัก

สายตาเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมจ้องมองหญิงสาวผู้มีใบหน้างดงามตรงหน้า

ตอนแรกเขาคิดว่าหญิงสาวผู้เกิดมาในครอบครัวของคนชนชั้นสูงและได้แต่งงานกับสามีที่มีฐานะสูงส่งคนนี้จะแตกต่างจากหญิงสาวทั่วไปเพียงเล็กน้อย

แต่หลังจากวันที่นางช่วยคนในค่ายทหาร จนกระทั่งวาดภาพที่ร้านเป่ยโหลว เขาจึงรับรู้ได้ว่าหญิงสาวตรงหน้าเปรียบเสมือนหยกหายาก

นางคือหยกล้ำค่าหายากของโลกใบนี้ หลินเมิ้งหยาไม่มีท่าทางเย่อหยิ่งถือตัว แต่กลับอ่อนหวานงดงามเสมือนสายน้ำไร้ซึ่งมลทิน แต่คำพูดของนางในวันนี้ไม่เหมือนคำพูดที่ออกมาจากปากคุณหนูซึ่งถูกเลี้ยงดูอย่างดีอยู่แต่ในจวนเลยแม้แต่น้อย

“สมัยยังอาศัยที่บ้าน ท่านพ่อของข้ามักเอ่ยชื่นชมท่านแม่ทัพหลินให้ฟังอยู่เสมอ เขาเล่าว่าท่านแม่ทัพเปรียบเสมือนวีรบุรุษที่พบเห็นได้ยาก ตอนนั้นข้าไม่คิดเห็นเช่นเดียวกับท่านพ่อ ข้ารู้สึกว่าเขาเป็นเพียงคนที่ทำอะไรบุ่มบ่ามไม่คิดชีวิตแต่เพียงเท่านั้น แต่พอมาวันนี้ข้าเพิ่งรู้ว่าคนที่สามารถสอนลูกสาวให้เติบโตขึ้นมาอย่างดีและมีจิตใจโอบอ้อมอารีเช่นนี้ได้ คนคนนั้นจะต้องเป็นคนฉลาดเฉลียวและกล้าหาญมากอย่างแน่นอน ชิวอวี้คนนี้มิต่างอันใดจากคนโง่เขลา ขออภัยที่เสียมารยาท”

พูดจบก็ยกมือทั้งสองขึ้นคำนับหลินเมิ้งหยา

หลินเมิ้งหยาคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมาเปิดเผยเช่นนี้ ดังนั้นความรู้สึกดีที่มีต่อเขาจึงเพิ่มมากขึ้น

แต่ถึงกระนั้นก็ยังรู้สึกประหลาดใจ

ใครกันนะที่อบรมสั่งสอนชายคนนี้มา

“คงจะโทษเจ้าไม่ได้ ข้ายังมีพี่ชายอีกคน หากพวกเจ้าได้พบกัน รับรองว่าจะต้องคุยกันถูกคออย่างแน่นอน”

ดวงตาของชิวอวี้เปล่งประกาย เขารีบร้อนตอบกลับ

“แน่นอน ตอนอยู่ที่ค่ายข้าได้เห็นเจ้ากับแม่ทัพหลินสนิทสนมกันมาก แต่ตอนนั้นข้ามีงานล้นมือ จึงไม่มีโอกาสเข้าพบปะ แต่ถ้าหากมีโอกาสอีกครั้ง ข้าจะต้องเชิญท่านแม่ทัพดื่มเหล้าสักจอกอย่างแน่นอน”

ชิวอวี้เอ่ยอย่างมีความสุข น่าเสียดายที่จอกเหล้าตรงหน้าเป็นเพียงจอกเล็กๆ

มิเช่นนั้นคาดว่าเขาคงจะต้องเมามายอย่างแน่นอน

“จริงสิ ข้าเพิ่งมาอยู่ที่นี่และได้ไปสำนักหมอหลวงเป็นครั้งแรก ดังนั้นจึงยังมีเรื่องที่ไม่เข้าใจ หากเจ้าสะดวก เช่นนั้นรบกวนชี้แนะข้าหน่อยได้หรือไม่?”

ชิวอวี้เงียบไป ก่อนจะวางจอกเหล้าในมือลง

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด อยู่ๆ สายตาของเขาพลันแปรเปลี่ยนเป็นดูแคลน

“ที่นั่นใช่สำนักหมอหลวงที่ไหนกัน คนเป็นหมอควรมีหัวใจที่ซื่อสัตย์ แต่พวกเขาเป็นเพียงกลุ่มปีศาจร้ายก็เท่านั้น แม้วันนี้ข้าจะไม่ได้อยู่ที่นั่น แต่ก็พอจะนึกภาพน่ารังเกียจของพวกเขาได้ชัดเจน พวกคนที่เจ้าได้เห็นเป็นเพียงคนที่มาเข้าเวรยามในวันนี้แต่เพียงเท่านั้น หากเจ้าได้พบกับหมอหลวงทุกคน เจ้าจะเข้าใจและรู้ซึ้งถึงคำว่าหน้าไหว้หลังหลอก”

นี่…นี่มัน….อันที่จริงหลินเมิ้งหยาก็พอจะเดาเอาไว้แล้ว ท่านอาจารย์เคยเล่าให้นางฟังด้วยตนเองว่าคนที่จะเข้ามาเป็นหมอหลวงได้จะต้องมีความทะเยอะทะยานและมีฝีมือ

แต่หลินเมิ้งหยาประหลาดใจเหลือเกิน ท่านอาจารย์ไม่เคยเหยียบเข้ามาในวังหลวงมาก่อน เช่นนั้นเหตุใดท่านอาจารย์จึงรู้เรื่องเหล่านี้เป็นอย่างดี?

“มีกาพย์กลอนที่พรรณนาเรื่องราวในวังหลวงได้อย่างถูกต้อง เกลี้ยกล่อมยมบาลฉุดกระชากวิญญาณมนุษย์ มิอาจหยุดผีพรายกัดกินหัวใจคน บังเหียนมิอาจรัดปากจิ้งจอก ม้ามิกินหญ้าแต่เป็นทอง คำพูดเหล่านี้กล่าวถึงใต้เท้าทั้งสี่แห่งสำนักหมอหลวง การดำรงอยู่ของพวกเขาทำให้ชีวิตของคนบริสุทธิ์ในวังหลวงต้องดับสูญไปมากมาย”

คิดไม่ถึงเลยว่าสำนักหมอหลวงภายในวังหลวงจะมีด้านมืดเช่นนี้

หลินเมิ้งหยานั่งฟังเงียบๆ แม้ชิวอวี้จะเป็นคนมีความอดทน แต่หลินเมิ้งหยาสัมผัสถึงอารมณ์ขุ่นมัวในน้ำเสียงของเขาได้อย่างชัดเจน

“วันนี้เจ้าได้เจอเจียงข่ายแล้วใช่หรือไม่ อันที่จริงเขาเองก็น่าจะเป็นญาติห่างๆ ของเจ้า เขาคือคนในครอบครัวของพระสนมเต๋อเฟย เขาอาศัยอำนาจของพระสนมเต๋อเฟยในการเข้าวังหลวง ได้ยินมาว่าคุณชายที่ได้รับความรักความเอ็นดูมากที่สุดในสกุลเจียงก็ได้เขาอบรมสั่งสอนจนกลายเป็นหมอขึ้นชื่อ ฉะนั้นเขาจึงกลายเป็นคนสำคัญของสกุลเจียง ชายคนนี้เป็นคนอารมณ์ฉุนเฉียว แต่เป็นคนที่รับมือง่ายที่สุดในบรรดาใต้เท้าทั้งสี่ เขาจะต้องอยากครอบครองวิชาควบคุมเข็มของเจ้าอย่างแน่นอน แต่ด้วยฐานะของเจ้า ฉะนั้นเขาจึงมิอาจลงมือได้ง่ายนัก ส่วนอีกสามคนที่เหลือหาใช่คนที่จะรับมือด้วยง่ายๆ”

หลินเมิ้งหยาคิดไม่ถึงเลยว่าจะมีเรื่องเช่นนี้มาเกี่ยวข้อง

“รองเจ้าสำนักหมอหลวงชุ่ยซือ หมอเหอเทียนเหอ หมอหมาเป่ยหมิงและเจียงข่าย พวกเขาทั้งสี่ถูกขนานนามว่ายมบาลทั้งสี่ ภายนอกดูเหมือนคนจริงใจและซื่อสัตย์ แต่ลับหลังเขากลับปลิดชีวิตคนโดยไร้ซึ่งความปรานี เรื่องของพวกเขาเหล่านี้มีมามาย ต่อให้เล่าสามวันสามคืนก็คงไม่หมด เจ้าต้องจำเอาไว้ให้ดี หากเป็นไปได้ก็อย่าพยายามเข้าไปข้องเกี่ยวกับพวกเขา พวกเขาล้วนมีกำลังสนับสนุนเป็นของตนเอง แม้เจ้าจะเป็นชายาอวี้ แต่ก็ยังมีคนสนับสนุนไม่มากพอ ส่วนข้าเป็นเพียงหมอหลวงตัวเล็กๆ ท่านอาจารย์ของข้าถูกพวกเขากำจัดออกไปแล้ว ต่อให้ข้าอยากปกป้องเจ้า เห็นจะมีเพียงแรงใจแต่ไร้ซึ่งกำลัง”

เห็นได้ชัดว่าชิวอวี้กำลังกล่าวเยาะหยันตัวเขาเอง

หลินเมิ้งหยากลับส่ายหน้า ก่อนจะรินสุราให้เขาหนึ่งจอก

“จอกนี้ ข้าต้องการขอบคุณท่านพี่ชิว คำพูดเหล่านี้คงมีเพียงเจ้าที่กล้าเล่าให้ข้าฟัง เจ้าจริงใจกับข้ามาก สิ่งเหล่านี้ช่วยข้าได้มากทีเดียว ต่อจากนี้ไปไม่ว่าเจ้าต้องการสิ่งใด ข้าจะพยายามช่วยเจ้า ข้าถือว่าเจ้าเป็นเพื่อนของข้าคนหนึ่งแล้ว”

หลินเมิ้งหยามองคนออก หากชิวอวี้เป็นเพียงหมอธรรมดา ป่านนี้นางคงไม่เห็นแม้แต่เงาของเขา

ที่เขามาในคืนนี้ก็เพราะมีสองเรื่องต้องการจะพูด

หนึ่ง เขามิได้ประสงค์ร้ายกับนาง มิเช่นนั้นเขาคงไม่เล่าเรื่องราวอย่างละเอียด โดยที่ตนเองอาจเสี่ยงที่จะถูกกำจัดอย่างแน่นอน

สอง เขาเป็นผู้ที่มีฝีมือล้ำเลิศ แม้วาจาจะแสดงออกถึงความไม่พึงพอใจต่อสำนักหมอหลวง แต่นางมองออก เขามิได้ใส่ใจสำนักหมอหลวงเท่าไรนัก

คิดไม่ถึงเลยว่าเพียงเข้าวังมาได้ไม่นาน นางจะได้เจอคนที่น่าสนใจเช่นนี้

“ในเมื่อเจ้าเรียกข้าว่าพี่ เช่นนั้นข้าจะปกป้องความปลอดภัยของเจ้าเอง ตอนนี้เวลาไม่ค่อยท่าแล้ว เอาไว้วันหน้าข้าจะมาพบเจ้าใหม่ จริงสิ ข้าเตรียมธูปหมีเซียงมาให้เจ้า อย่าเข้าใจผิด ข้าเตรียมมาให้เจ้าจัดการแม่นางสองคนนั้น เพียงเจ้าโยนมันลงเตาเผา ผู้ที่ได้กลิ่นจะรู้สึกเหนื่อยล้า แต่มิได้มีฤทธิ์ทำให้สลบไสล เพียงแค่จะทำให้รู้สึกง่วงนอนแต่เพียงเท่านั้น”

ก่อนจากไป ชิวอวี้หยิบกล่องเล็กกล่องหนึ่งออกมา

ยัดใส่มือหลินเมิ้งหยา ก่อนจะกำชับนางสองสามประโยค ซ้ำยังบอกอีกว่า หากต้องการความช่วยเหลือจากเขา เช่นนั้นจงไปรอเขาที่มุมกำแพงทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ จากนั้นใช้อิฐแดงทับขนนกเอาไว้ เขาจะพยายามหาทางมาพบนางให้ได้

เก็บของที่เขาให้มา ก่อนที่เขาจะแอบย่องออกไปจากเรือนเล็ก

โชคดีที่วันนี้หลินเมิ้งหยาทำให้เจินจูและหมาหน่าวหวาดผวา มิเช่นนั้นชิวอวี้คงมิได้กลับออกไปง่ายๆ อย่างแน่นอน

คิดไม่ถึงเลยว่าคืนนี้นางจะมีแขกที่ไม่ได้เชิญมาเยือน กว่านางจะดึงสติกลับมาอีกครั้ง พระจันทร์ก็ลอยเด่นอยู่บนฟ้าแล้ว

ล้างหน้าและเท้าด้วยน้ำอุ่น นางกับป๋ายซูมิได้เห็นกันเป็นเพียงนายบ่าว เริ่มพูดคุยกันบนเตียงภายใต้ผ้าห่ม

“ข้ารู้สึกว่านายหญิงสนิทสนมกับหมอชิวคนนี้ยิ่งนัก นายหญิง พวกเรายังอยู่ในวังหลวง เรื่องบางเรื่องพวกเราเองก็ต้องระมัดระวังให้ดีนะเจ้าคะ”

ป๋ายซูช่วยหลินเมิ้งหยานวดแขน ก่อนจะเอ่ยปากด้วยความกังวล

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษเล่มที่ 11 บทที่ 302 แขกที่ไม่ได้เชิญ

Now you are reading ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ Chapter เล่มที่ 11 บทที่ 302 แขกที่ไม่ได้เชิญ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ชิวอวี้ค่อนข้างอารมณ์ดี เขาพยักหน้าตอบป๋ายซูโดยไม่สนใจท่าทางเย็นชาของนาง

เขาถือห่อผ้ายื่นให้กับหลินเมิ้งหยา

“ข้าคิดว่าเจ้าที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในวังจะต้องรู้สึกกินไม่ได้นอนไม่หลับอย่างแน่นอน ฉะนั้นข้าจึงไปห้องเครื่องเพื่อนำของกินอร่อยๆ มาให้เจ้า แม้จะไม่ใช่ของมีราคามากนัก แต่ถึงกระนั้นก็ใช้ลับฟันได้อย่างดีเชียวล่ะ”

บางทีอาจเพราะใบหน้าอ่อนเยาว์หล่อเหลาของชิวอวี้ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังยิ้มแย้มอยู่เสมอ หลินเมิ้งหยาจึงรู้สึกเข้ากับเขาได้ง่าย

กลิ่นหอมยั่วยวนชวนน้ำลายสอของอาหารสารพัดอย่างถูกวางเรียงรายบนโต๊ะ

หลินเมิ้งหยามองดูห่อผ้า ก่อนจะหยิบโหยวเปาออกมาสองลูก แหวกห่อผ้าออกดู ก่อนจะพบว่ามันคือเป็ดย่าง

“นี่คืออาหารเลิศรสที่พ่อครัวหลวงของห้องเครื่องลงมือทำด้วยตนเอง ข้าขอร้องเขานานถึงสามวันกว่าเขาจะทำให้ เจ้าโชคดีมาก ลาภปากมาถึงแล้วล่ะ”

นอกจากเป็ดย่างแล้ว ยังมีตีนเป็ดตุ๋น ปีกเป็ดตุ๋นและอาหารอีกมากมาย เมื่อนำออกมาวาง ปรากฏว่าอาหารมีมากกว่าครึ่งโต๊ะ

“เจ้าเตรียมมันมาจัดงานปาร์ตี้ให้ข้าอย่างนั้นหรือ?”

หลินเมิ้งหยาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะขบขัน ชิงอวี้งุนงง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เข้าใจความหมายของคำว่าปาร์ตี้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็เป็นคนฉลาด เขาพอจะเดาได้ว่าหลินเมิ้งหยาหมายถึงอะไร

เขาหัวเราะ ก่อนจะดึงขวดเหล้าเล็กๆ และจอกเหล้าลวดลายงดงามออกจากวงแขน ท่าทางชำนิชำนาญเสมือนเขาทำเป็นกิจวัตร

“หากว่ากันตามธรรมเนียมประเพณี วันนี้คือวันแรกของปี พวกเราที่ไม่อาจออกไปทำอะไรตามใจปรารถนาได้มาเฉลิมฉลองกันสักเล็กน้อยเถิด”

ชิวอวี้เอ่ยราวกับกำลังเยาะหยันตัวเอง หลินเมิ้งหยานิ่งเงียบ

ใช่แล้ว เมื่อก่อนนางเองก็ยุ่งมาก เมื่อถึงช่วงปีใหม่ นางจะมีเวลาหยุดพักหลายวัน

ไม่คิดอะไรมาก ดึงมือป๋ายซูมานั่งที่โต๊ะด้วยกัน เอื้อมมือไปหยิบปีกไก่กลิ่นหอมยั่วน้ำลายแล้วกัดเข้าปาก

“ก่อนข้าจะเข้าวังมา ข้าได้เห็นโคมไฟสีแดงตามท้องถนน ได้ยินมาว่าวันนี้จะมีการแสดงเต้นระบำและเชิดมังกร”

หลินเมิ้งหยาเอ่ยออกมาด้วยความเสียดาย ตอนแรกนางคุยกับพวกสาวใช้แล้วว่าวันนี้จะพาพวกนางออกไปเที่ยวเล่น

แต่นางคงทำได้เพียงอยู่เงียบๆ ในวังหลวง

บรรยากาศอึมครึม ความเงียบครอบคลุมทั่วทั้งห้อง

“อยู่ในครอบครัวร่ำรวยมีชื่อเสียงแล้วอย่างไร? สู้เกิดในครอบครัวคนธรรมดายังจะดีเสียกว่า”

คำพูดของชิวอวี้เจือไว้ซึ่งความรู้สึกอิจฉาชีวิตของคนธรรมดา

หลินเมิ้งหยาชำเลืองมอง แม้เขาจะเป็นหมอหลวงที่มีฐานะสูงคนหนึ่ง แต่ถึงกระนั้นสิ่งของที่ใช้ก็ล้วนมิใช่ของราคาแพง สกุลชิวหาใช่สกุลมีชื่อเสียงในเมืองหลวง คาดว่าเขาจะต้องเป็นคุณชายที่มาจากเมืองอื่นอย่างแน่นอน

“แต่ถึงกระนั้นครอบครัวของคนธรรมดาก็อาจจะมิได้มีความสุขเสมอไป ความอิจฉาของครอบครัวสกุลใหญ่ที่ไม่ต้องกังวลเรื่องเสื้อผ้าหรือปากท้องอาจเป็นเพียงคำกล่าวอ้างยามพวกเขาเบื่อหน่ายแต่เพียงเท่านั้น คนจนกว่าจะได้เก็บเกี่ยวอาหารก็ต้องรอจนผ่านฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง ยิ่งถ้าอยู่ในช่วงสงครามก็จะยิ่งขาดแคลนอาหารและเครื่องนุ่งห่ม พวกเขาขายได้กระทั่งลูกเพื่อแลกกับอาหาร ชีวิตที่ไร้อนาคตเช่นนี้จะมีความสุขได้อย่างไร?”

ปากที่กำลังกินตีนเป็ดของชิวอวี้หยุดชะงัก

สายตาเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมจ้องมองหญิงสาวผู้มีใบหน้างดงามตรงหน้า

ตอนแรกเขาคิดว่าหญิงสาวผู้เกิดมาในครอบครัวของคนชนชั้นสูงและได้แต่งงานกับสามีที่มีฐานะสูงส่งคนนี้จะแตกต่างจากหญิงสาวทั่วไปเพียงเล็กน้อย

แต่หลังจากวันที่นางช่วยคนในค่ายทหาร จนกระทั่งวาดภาพที่ร้านเป่ยโหลว เขาจึงรับรู้ได้ว่าหญิงสาวตรงหน้าเปรียบเสมือนหยกหายาก

นางคือหยกล้ำค่าหายากของโลกใบนี้ หลินเมิ้งหยาไม่มีท่าทางเย่อหยิ่งถือตัว แต่กลับอ่อนหวานงดงามเสมือนสายน้ำไร้ซึ่งมลทิน แต่คำพูดของนางในวันนี้ไม่เหมือนคำพูดที่ออกมาจากปากคุณหนูซึ่งถูกเลี้ยงดูอย่างดีอยู่แต่ในจวนเลยแม้แต่น้อย

“สมัยยังอาศัยที่บ้าน ท่านพ่อของข้ามักเอ่ยชื่นชมท่านแม่ทัพหลินให้ฟังอยู่เสมอ เขาเล่าว่าท่านแม่ทัพเปรียบเสมือนวีรบุรุษที่พบเห็นได้ยาก ตอนนั้นข้าไม่คิดเห็นเช่นเดียวกับท่านพ่อ ข้ารู้สึกว่าเขาเป็นเพียงคนที่ทำอะไรบุ่มบ่ามไม่คิดชีวิตแต่เพียงเท่านั้น แต่พอมาวันนี้ข้าเพิ่งรู้ว่าคนที่สามารถสอนลูกสาวให้เติบโตขึ้นมาอย่างดีและมีจิตใจโอบอ้อมอารีเช่นนี้ได้ คนคนนั้นจะต้องเป็นคนฉลาดเฉลียวและกล้าหาญมากอย่างแน่นอน ชิวอวี้คนนี้มิต่างอันใดจากคนโง่เขลา ขออภัยที่เสียมารยาท”

พูดจบก็ยกมือทั้งสองขึ้นคำนับหลินเมิ้งหยา

หลินเมิ้งหยาคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมาเปิดเผยเช่นนี้ ดังนั้นความรู้สึกดีที่มีต่อเขาจึงเพิ่มมากขึ้น

แต่ถึงกระนั้นก็ยังรู้สึกประหลาดใจ

ใครกันนะที่อบรมสั่งสอนชายคนนี้มา

“คงจะโทษเจ้าไม่ได้ ข้ายังมีพี่ชายอีกคน หากพวกเจ้าได้พบกัน รับรองว่าจะต้องคุยกันถูกคออย่างแน่นอน”

ดวงตาของชิวอวี้เปล่งประกาย เขารีบร้อนตอบกลับ

“แน่นอน ตอนอยู่ที่ค่ายข้าได้เห็นเจ้ากับแม่ทัพหลินสนิทสนมกันมาก แต่ตอนนั้นข้ามีงานล้นมือ จึงไม่มีโอกาสเข้าพบปะ แต่ถ้าหากมีโอกาสอีกครั้ง ข้าจะต้องเชิญท่านแม่ทัพดื่มเหล้าสักจอกอย่างแน่นอน”

ชิวอวี้เอ่ยอย่างมีความสุข น่าเสียดายที่จอกเหล้าตรงหน้าเป็นเพียงจอกเล็กๆ

มิเช่นนั้นคาดว่าเขาคงจะต้องเมามายอย่างแน่นอน

“จริงสิ ข้าเพิ่งมาอยู่ที่นี่และได้ไปสำนักหมอหลวงเป็นครั้งแรก ดังนั้นจึงยังมีเรื่องที่ไม่เข้าใจ หากเจ้าสะดวก เช่นนั้นรบกวนชี้แนะข้าหน่อยได้หรือไม่?”

ชิวอวี้เงียบไป ก่อนจะวางจอกเหล้าในมือลง

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด อยู่ๆ สายตาของเขาพลันแปรเปลี่ยนเป็นดูแคลน

“ที่นั่นใช่สำนักหมอหลวงที่ไหนกัน คนเป็นหมอควรมีหัวใจที่ซื่อสัตย์ แต่พวกเขาเป็นเพียงกลุ่มปีศาจร้ายก็เท่านั้น แม้วันนี้ข้าจะไม่ได้อยู่ที่นั่น แต่ก็พอจะนึกภาพน่ารังเกียจของพวกเขาได้ชัดเจน พวกคนที่เจ้าได้เห็นเป็นเพียงคนที่มาเข้าเวรยามในวันนี้แต่เพียงเท่านั้น หากเจ้าได้พบกับหมอหลวงทุกคน เจ้าจะเข้าใจและรู้ซึ้งถึงคำว่าหน้าไหว้หลังหลอก”

นี่…นี่มัน….อันที่จริงหลินเมิ้งหยาก็พอจะเดาเอาไว้แล้ว ท่านอาจารย์เคยเล่าให้นางฟังด้วยตนเองว่าคนที่จะเข้ามาเป็นหมอหลวงได้จะต้องมีความทะเยอะทะยานและมีฝีมือ

แต่หลินเมิ้งหยาประหลาดใจเหลือเกิน ท่านอาจารย์ไม่เคยเหยียบเข้ามาในวังหลวงมาก่อน เช่นนั้นเหตุใดท่านอาจารย์จึงรู้เรื่องเหล่านี้เป็นอย่างดี?

“มีกาพย์กลอนที่พรรณนาเรื่องราวในวังหลวงได้อย่างถูกต้อง เกลี้ยกล่อมยมบาลฉุดกระชากวิญญาณมนุษย์ มิอาจหยุดผีพรายกัดกินหัวใจคน บังเหียนมิอาจรัดปากจิ้งจอก ม้ามิกินหญ้าแต่เป็นทอง คำพูดเหล่านี้กล่าวถึงใต้เท้าทั้งสี่แห่งสำนักหมอหลวง การดำรงอยู่ของพวกเขาทำให้ชีวิตของคนบริสุทธิ์ในวังหลวงต้องดับสูญไปมากมาย”

คิดไม่ถึงเลยว่าสำนักหมอหลวงภายในวังหลวงจะมีด้านมืดเช่นนี้

หลินเมิ้งหยานั่งฟังเงียบๆ แม้ชิวอวี้จะเป็นคนมีความอดทน แต่หลินเมิ้งหยาสัมผัสถึงอารมณ์ขุ่นมัวในน้ำเสียงของเขาได้อย่างชัดเจน

“วันนี้เจ้าได้เจอเจียงข่ายแล้วใช่หรือไม่ อันที่จริงเขาเองก็น่าจะเป็นญาติห่างๆ ของเจ้า เขาคือคนในครอบครัวของพระสนมเต๋อเฟย เขาอาศัยอำนาจของพระสนมเต๋อเฟยในการเข้าวังหลวง ได้ยินมาว่าคุณชายที่ได้รับความรักความเอ็นดูมากที่สุดในสกุลเจียงก็ได้เขาอบรมสั่งสอนจนกลายเป็นหมอขึ้นชื่อ ฉะนั้นเขาจึงกลายเป็นคนสำคัญของสกุลเจียง ชายคนนี้เป็นคนอารมณ์ฉุนเฉียว แต่เป็นคนที่รับมือง่ายที่สุดในบรรดาใต้เท้าทั้งสี่ เขาจะต้องอยากครอบครองวิชาควบคุมเข็มของเจ้าอย่างแน่นอน แต่ด้วยฐานะของเจ้า ฉะนั้นเขาจึงมิอาจลงมือได้ง่ายนัก ส่วนอีกสามคนที่เหลือหาใช่คนที่จะรับมือด้วยง่ายๆ”

หลินเมิ้งหยาคิดไม่ถึงเลยว่าจะมีเรื่องเช่นนี้มาเกี่ยวข้อง

“รองเจ้าสำนักหมอหลวงชุ่ยซือ หมอเหอเทียนเหอ หมอหมาเป่ยหมิงและเจียงข่าย พวกเขาทั้งสี่ถูกขนานนามว่ายมบาลทั้งสี่ ภายนอกดูเหมือนคนจริงใจและซื่อสัตย์ แต่ลับหลังเขากลับปลิดชีวิตคนโดยไร้ซึ่งความปรานี เรื่องของพวกเขาเหล่านี้มีมามาย ต่อให้เล่าสามวันสามคืนก็คงไม่หมด เจ้าต้องจำเอาไว้ให้ดี หากเป็นไปได้ก็อย่าพยายามเข้าไปข้องเกี่ยวกับพวกเขา พวกเขาล้วนมีกำลังสนับสนุนเป็นของตนเอง แม้เจ้าจะเป็นชายาอวี้ แต่ก็ยังมีคนสนับสนุนไม่มากพอ ส่วนข้าเป็นเพียงหมอหลวงตัวเล็กๆ ท่านอาจารย์ของข้าถูกพวกเขากำจัดออกไปแล้ว ต่อให้ข้าอยากปกป้องเจ้า เห็นจะมีเพียงแรงใจแต่ไร้ซึ่งกำลัง”

เห็นได้ชัดว่าชิวอวี้กำลังกล่าวเยาะหยันตัวเขาเอง

หลินเมิ้งหยากลับส่ายหน้า ก่อนจะรินสุราให้เขาหนึ่งจอก

“จอกนี้ ข้าต้องการขอบคุณท่านพี่ชิว คำพูดเหล่านี้คงมีเพียงเจ้าที่กล้าเล่าให้ข้าฟัง เจ้าจริงใจกับข้ามาก สิ่งเหล่านี้ช่วยข้าได้มากทีเดียว ต่อจากนี้ไปไม่ว่าเจ้าต้องการสิ่งใด ข้าจะพยายามช่วยเจ้า ข้าถือว่าเจ้าเป็นเพื่อนของข้าคนหนึ่งแล้ว”

หลินเมิ้งหยามองคนออก หากชิวอวี้เป็นเพียงหมอธรรมดา ป่านนี้นางคงไม่เห็นแม้แต่เงาของเขา

ที่เขามาในคืนนี้ก็เพราะมีสองเรื่องต้องการจะพูด

หนึ่ง เขามิได้ประสงค์ร้ายกับนาง มิเช่นนั้นเขาคงไม่เล่าเรื่องราวอย่างละเอียด โดยที่ตนเองอาจเสี่ยงที่จะถูกกำจัดอย่างแน่นอน

สอง เขาเป็นผู้ที่มีฝีมือล้ำเลิศ แม้วาจาจะแสดงออกถึงความไม่พึงพอใจต่อสำนักหมอหลวง แต่นางมองออก เขามิได้ใส่ใจสำนักหมอหลวงเท่าไรนัก

คิดไม่ถึงเลยว่าเพียงเข้าวังมาได้ไม่นาน นางจะได้เจอคนที่น่าสนใจเช่นนี้

“ในเมื่อเจ้าเรียกข้าว่าพี่ เช่นนั้นข้าจะปกป้องความปลอดภัยของเจ้าเอง ตอนนี้เวลาไม่ค่อยท่าแล้ว เอาไว้วันหน้าข้าจะมาพบเจ้าใหม่ จริงสิ ข้าเตรียมธูปหมีเซียงมาให้เจ้า อย่าเข้าใจผิด ข้าเตรียมมาให้เจ้าจัดการแม่นางสองคนนั้น เพียงเจ้าโยนมันลงเตาเผา ผู้ที่ได้กลิ่นจะรู้สึกเหนื่อยล้า แต่มิได้มีฤทธิ์ทำให้สลบไสล เพียงแค่จะทำให้รู้สึกง่วงนอนแต่เพียงเท่านั้น”

ก่อนจากไป ชิวอวี้หยิบกล่องเล็กกล่องหนึ่งออกมา

ยัดใส่มือหลินเมิ้งหยา ก่อนจะกำชับนางสองสามประโยค ซ้ำยังบอกอีกว่า หากต้องการความช่วยเหลือจากเขา เช่นนั้นจงไปรอเขาที่มุมกำแพงทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ จากนั้นใช้อิฐแดงทับขนนกเอาไว้ เขาจะพยายามหาทางมาพบนางให้ได้

เก็บของที่เขาให้มา ก่อนที่เขาจะแอบย่องออกไปจากเรือนเล็ก

โชคดีที่วันนี้หลินเมิ้งหยาทำให้เจินจูและหมาหน่าวหวาดผวา มิเช่นนั้นชิวอวี้คงมิได้กลับออกไปง่ายๆ อย่างแน่นอน

คิดไม่ถึงเลยว่าคืนนี้นางจะมีแขกที่ไม่ได้เชิญมาเยือน กว่านางจะดึงสติกลับมาอีกครั้ง พระจันทร์ก็ลอยเด่นอยู่บนฟ้าแล้ว

ล้างหน้าและเท้าด้วยน้ำอุ่น นางกับป๋ายซูมิได้เห็นกันเป็นเพียงนายบ่าว เริ่มพูดคุยกันบนเตียงภายใต้ผ้าห่ม

“ข้ารู้สึกว่านายหญิงสนิทสนมกับหมอชิวคนนี้ยิ่งนัก นายหญิง พวกเรายังอยู่ในวังหลวง เรื่องบางเรื่องพวกเราเองก็ต้องระมัดระวังให้ดีนะเจ้าคะ”

ป๋ายซูช่วยหลินเมิ้งหยานวดแขน ก่อนจะเอ่ยปากด้วยความกังวล

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+