ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษเล่มที่ 10 บทที่ 288 ความขมขื่นเมื่อต้องลาจาก

Now you are reading ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ Chapter เล่มที่ 10 บทที่ 288 ความขมขื่นเมื่อต้องลาจาก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ข้ารู้ แต่การจากไปของข้าย่อมเป็นผลดีต่อตัวนาง”

มุมปากของชิงหูยกขึ้น คิดไม่ถึงเลยว่าจวบจนกระทั่งตอนนี้ เขาจะยังมิอาจใช้ชีวิตอย่างอิสระได้

“จะยังกลับมาหรือไม่?”

หยุนจู๋ห่มผ้าให้หลินเมิ้งหยา ทว่าชิงหูกลับอุ้มนางเอาไว้ในอ้อมกอด ก่อนจะพานางเข้าไปในห้องแล้ววางร่างบางลงบนเตียง

“ไม่รู้ บางทีอาจจะไม่ได้กลับมาอีก หรือบางที…อาจจะได้กลับมาบอกลานางเป็นครั้งสุดท้าย”

วางร่างบางลงบนเตียง ก่อนจะตอบเสียงแผ่วเบา

“ดูแลตัวเองด้วย เจ้าสำนักจะต้องรอการกลับมาของเจ้า”

จ้องมองหลินเมิ้งหยาอย่างเนิ่นนานอีกครั้ง ชิงหูชักสายตาอาลัยอาวรณ์ออกจากใบหน้านวล เหตุใดเจ้าเด็กน้อยที่มักทำให้เขาเหนื่อยอยู่ตลอดคนนี้จึงไม่ปรากฏตัวในชีวิตของเขาให้เร็วกว่านี้กันเล่า?

หยุนจู๋มองชิงหูที่หายลับไปต่อหน้าตน ก่อนจะหันหน้ามามองหลินเมิ้งหยาที่กำลังหลับสนิทพร้อมทั้งส่ายหน้า

เขา…ยังคงเหมือนเมื่อสิบกว่าปีก่อน เพื่อคนสำคัญที่สุดในชีวิต เขายอมสละได้แม้กระทั่งชีวิตของตนเอง

หยิบยาขวดหนึ่งออกจากวงแขน ภายในคือยาแก้อาการมึนเมา นางหมุนตัว ก่อนจะประคองร่างของหลินเมิ้งหยาขึ้นมาแล้วหยิบยาใส่ปากไปหนึ่งเม็ด หากมิใช่เพราะนางมอมเหล้าเจ้าสำนักแล้วล่ะก็ บางทีชิงหูอาจไม่มีโอกาสได้บอกลานางเลยด้วยซ้ำ

อย่าคิดว่าเจ้าสำนักเป็นเด็กไม่รู้เรื่องรู้ราว นางมองออกว่าเด็กคนนี้มีหัวใจที่พร้อมจะปกป้องผู้อื่น

ทันทีที่ได้สติจากอาการมึนเมา หลินเมิ้งหยารู้สึกปวดหัวจนแทบระเบิด

ยกมือขึ้นออกแรงนวดขมับ เอ๋? นางจำได้ว่าชิงหูอยู่ที่นี่นี่นา ทุกครั้งที่นางตื่นขึ้นมา ชิงหูมักจะอยู่ข้างๆ และล้อเลียนตนเองเวลาเมาเสมอ

เหตุใดคราวนี้จึงมีเพียงนางคนเดียวในห้องอันแสนว่างเปล่านี้กันเล่า?

“เจ้าสำนักตื่นแล้วเหรอ นี่คือน้ำแกงแก้อาการมึนเมา ดื่มสักหน่อยเถิด อาการปวดหัวจะดีขึ้น”

หยุนจู๋ยกน้ำแกงเข้ามาด้วยตนเอง เมื่ออยู่ในกลุ่มสามสหาย นางไม่เคยใช้คนอื่นเข้ามาดูแลหลินเมิ้งหยา

ฉะนั้นทุกคนต่างคิดว่านางและเจ้าสำนักมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน

“เจ้าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์เล่า? เหตุใดข้าจึงไม่เห็นเขา? รีบตามเขามาเถิด ตลอดหลายวันมานี้งานยุ่งมากเหลือเกิน อีกไม่กี่วันก็จะปีใหม่แล้ว เหตุใดเขาจึงไม่กลับมากัน”

หลินเมิ้งหยาถามหาเหมือนตนเองเป็นคนในครอบครัวของชิงหู

มือของหยุนจู๋ชะงักกลางอากาศ ก่อนจะวางถ้วยน้ำแกงลงบนมือของหลินเมิ้งหยา มุมปากหยักยิ้มเล็กน้อย

“เขา…ไม่กลับมาอีกแล้ว”

“อะไรนะ? เป็นไปไม่ได้หรอก ที่นี่คือบ้านของเขา พวกเราเป็นครอบครัวของเขา จะมีใครบ้างไม่อยากกลับมาอยู่กับครอบครัวของตัวเอง? เจ้าบอกข้ามาตรงๆ เถิดว่าเขาทำเรื่องไม่ดีปิดบังข้าใช่หรือไม่ เขาไปหลบอยู่ที่ไหน?”

หยุนจู๋เปิดผ้าม่านออก แสงแดงจากภายนอกส่องเข้ามาภายใน ทว่ามือของนางกลับเย็นเฉียบ

“เขาจากไปแล้วจริงๆ เจ้าสำนักอย่าได้ถามอีกเลย เพื่อปกป้องความปลอดภัยของท่าน เพื่ออนาคตของกลุ่มสามสหาย ดังนั้นเขาจึงต้องไป ฉะนั้นเจ้าสำนักได้โปรดทำเหมือนว่าไม่เคยพบเจอคนคนนี้มาก่อนเถิด”

ชิงหูจากไปแล้ว? สมองของหลินเมิ้งหยากลายเป็นอัมพาตชั่วคราวเพราะพิษเหล้า

จากไปแล้ว? ไม่กลับมาแล้ว?

หรือเขามีคนรู้ใจ?

หลินเมิ้งหยาเอียงศีรษะจ้องมองหยุนจู๋ สายตายังคงเปี่ยมไปด้วยความสงสัย

หยุนจู๋นิ่งเงียบไม่พูดอะไร ชิงหูกำชับเอาไว้แล้วว่าห้ามบอกอะไรเจ้าสำนักเป็นอันขาด

“อืม ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าออกไปก่อนเถิด ข้าอยาก…อยู่เงียบๆ คนเดียว”

แม้แต่หยุนจู๋เองก็คิดไม่ถึงเลยว่าหลินเมิ้งหยาจะตอบเพียงว่าเข้าใจแล้ว

นางชะงัก ก่อนจะถอยตัวออกไป

หลินเมิ้งหยายกถ้วยน้ำแกงอุ่นๆ ที่ถืออยู่ในมือแตะริมฝีปากแล้วกลืนลงไป

ขมเหลือเกิน แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังจิบเข้าไปทีละนิด

กระเพาะอุ่นวาบเพราะน้ำแกง แต่หัวใจกลับเย็นเฉียบ

นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าคนที่มักจะปฏิบัติกับนางอย่างอ่อนโยนและใส่ใจเสมอมาอย่างชิงหูจะจากนางไปเช่นนี้

ยิ่งไปกว่านั้น เขาจากไปโดยที่นางยังไม่มีโอกาสกระทั่งจะเอ่ยคำร่ำลา

เมื่อดื่มน้ำแกงเสร็จ การเคลื่อนไหวของหลินเมิ้งหยาจึงกลับมาเป็นปกติ

ชิงหูจากไปแล้ว เขาจากไปแล้วจริงๆ

ความคิดนี้วนเวียนอยู่ในสมองราวกับระเบิดถูกปลดสลักก็มิปาน สมองของนางกลายเป็นน้ำวน

ทำไมเขาจึงไปจากที่นี่? เขาเคยบอกเอาไว้ว่าเขามอบชีวิตที่เหลืออยู่ของเขาให้กับนางมิใช่หรือ? นางยังไม่ทันได้ทำยาถอนพิษเลย เจ้าจิ้งจอกโง่ทำไมไม่รอก่อน?

หัวใจว่างเปล่า อยากร้องไห้แต่กลับร้องไม่ออก

ความรู้สึกที่อยากร้องไห้แต่ร้องไม่ออกทำให้หลินเมิ้งหยากลายเป็นคนไร้จิตวิญญาณ นางเห็นชิงหูเป็นคนสำคัญในครอบครัวเสมอมา นอกจากท่านพี่แล้ว มีเพียงชิงหูเท่านั้นที่ทำให้นางรู้สึกสบายใจ

เพราะอะไร…เพราะอะไรเขาจึงต้องจากไป?

หยุนจู๋จะต้องรู้อย่างแน่นอน นางต้องรู้เรื่องนี้

“หยุนจู๋ หยุนจู๋”

ร้องเรียกหยุนจู๋เสียงดัง บางทีหยุนจู๋อาจรู้อยู่แล้วว่าหลินเมิ้งหยาจะต้องเอ่ยถาม ดังนั้นนางจึงถอนหายใจแล้วแต่ไม่ยอมปรากฏตัวต่อหน้านาง

“เหตุใดเขาต้องไปด้วย? เจ้าบอกข้ามาเถิดว่าเหตุใดเขาต้องจากไป?”

หลินเมิ้งหยาเอ่ยถามเสียงดัง แม้หยุนจู๋จะไม่ปรากฏตัวออกมา ทว่าเสียงของนางยังคงลอยมาตามลม

“เขามีเหตุผลของเขา ขออภัยท่านเจ้าสำนัก ข้ารู้เรื่องนี้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ฉะนั้นท่านอย่าได้ถามอีกเลย ยิ่งไปกว่านั้นข้ารับปากกับชิงหูเอาไว้แล้ว ข้ามิอาจผิดคำพูด”

หลินเมิ้งหยายืนพิงประตู หยดน้ำตารินไหลอาบแก้ม

พี่เยว่ถิงจากไป วันนี้ชิงหูเองก็จากไปแล้ว ราวกับว่าคนที่ดีกับนางกำลังจากไปทีละคน นานแค่ไหนแล้วนะ นานมากขนาดไหนแล้วที่นางมิได้รู้สึกหัวใจแหลกสลายเช่นนี้

เพราะอะไร เพราะเหตุใดพวกเขาจึงมิอาจอยู่เคียงข้างนางได้?

“เจ้าสำนัก ข้าเชื่อว่าเขาจะต้องกลับมาอย่างแน่นอน เมื่อสิบปีก่อนพวกเราเคยไปทำภารกิจร่วมกัน ร่างกายของเขาถูกดาบฟันนับไม่ถ้วน เหตุเพราะเขายังมีสิ่งที่ตนเองโหยหา ดังนั้นเขาจึงกลับมาจากประตูนรก ท่านเชื่อข้าเถิด ความรู้สึกที่เขามีต่อท่านลึกซึ้งยิ่งกว่าตอนนั้น สักวันหนึ่งเขาจะต้องกลับมาอย่างแน่นอน”

นั่งลงบนหลังคา หยุนจู๋หวนนึกถึงความทรงจำเมื่อสิบปีก่อน

เขาจะต้องกลับมาอย่างแน่นอน เขาคือชิงหู เขาคือคนที่เคยเป็นผู้นำของเถาฮวาอู๋ เขาจะยอมตายด้วยน้ำมือของคนคนนั้นง่ายๆ ได้อย่างไร?

พวกเขาล้วนเป็นคนที่กลับมาจากขุมนรกมิใช่หรือ?

“ฮือ ฮือ…”

หลินเมิ้งหยาส่งเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น ท่าทางของนางในเวลานี้ไม่เหมือนเจ้าสำนักแห่งกลุ่มสามสหายเลยแม้แต่น้อย นางเหมือนเด็กที่ต้องการร้องไห้เพื่อระบายความเจ็บปวด

“ร้องออกมาเถิด บางครั้งข้าก็อิจฉาพวกเจ้าเหลือเกิน คนที่ยังสามารถร้องไห้ได้นั้นโชคดียิ่งกว่าคนที่อยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา”

หยุนจู๋หยิบขลุ่ยไม้ไผ่ออกมา ก่อนจะเป่าเป็นท่วงทำนองอันแสนอบอุ่นอ่อนโยน หลินเมิ้งหยาที่ได้ฟังค่อยๆ หยุดร้องไห้

ใช่แล้ว หยุนจู๋พูดถูก ชิงหูจะต้องกลับมา คนที่จากบ้านไป สักวันหนึ่งจะต้องกลับมาบ้านอย่างแน่นอน

สิ่งที่นางต้องทำคือการรอคอย

ในที่สุดพระชายาที่ขังตัวเองอยู่แต่ห้องก็ยอมออกมา

แม้หัวใจจะยังคงคิดถึงชิงหูและกังวลถึงความปลอดภัยของเขา แต่หลินเมิ้งหยารู้ดีว่านางจะปล่อยตัวเองให้เป็นคนอ่อนแอเช่นนี้ตลอดไปไม่ได้

แม้ความรักของนางจะตายจากไปแล้ว แต่นางยังมีคนไกลให้คอยคิดถึง

ฉะนั้นนางจะต้องหาทางออกไปจากจวนอวี้ให้เร็วที่สุด ตอนนี้นางไตร่ตรองเอาไว้อย่างดีแล้ว เมื่อใดที่นางรักษาอาการประชวรของฮ่องเต้จนหายดี เมื่อนั้นนางจะถวายฎีกาขอหย่าร้าง

นางจะใช้ชีวิตอยู่ในกลุ่มสามสหาย นางจะรอวันที่ชิงหูกลับมา

“พี่สาว ในที่สุดท่านก็ออกมาแล้ว ข้าเป็นห่วงท่านเหลือเกิน”

ภายในสวน เสี่ยวอวี้ซึ่งสวมผ้าคลุมสีเขียวหยกเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม

เคาะหน้าผากเขา หลินเมิ้งหยาสั่งให้คนนำกล่องขนมที่นางทำขึ้นมาเพื่อมอบให้กับหวานเหยียนเลี่ยออกมาส่งมอบให้กับเสี่ยวอวี้

“ข้ารู้ว่าวันนี้เจ้ามาบอกลา เส้นทางที่ต้องไปช่างไกลนัก เจ้าต้องระวังตัวเองด้วย หากเกิดปัญหา เช่นนั้นจงส่งข่าวมา จริงสิ เจ้าจะต้องพาเสี่ยวจินไปด้วยเข้าใจหรือไม่?”

‘จากลา’ ราวกับเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติของหลินเมิ้งหยาเสียแล้ว

หลังจากผ่านเรื่องของชิงหูมา นางก็เข้มแข็งขึ้นมาก ดังนั้นนางจึงสามารถเผชิญหน้ากับการจากลาของเสี่ยวอวี้ได้

ทุกคนย่อมต้องเติบโต

แม้จะไม่อยากแยกจาก แต่ถึงกระนั้นก็ยังต้องปล่อยมือเพื่อให้พวกเขาจากไปชั่วคราว

“พี่สาว ข้าขอโทษ อันที่จริงข้าอยากไปหลังจากเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่แล้ว แต่ท่านอาเลี่ย…”

ดวงตาของเสี่ยวอวี้เผยให้เห็นถึงความลำบากใจ หลินเมิ้งหยาลุกขึ้น เดินไปหยุดตรงหน้าเขา ก่อนจะยื่นมือเล็กเข้าไปจัดแต่งเสื้อผ้าให้เขา

“ไปเถิด เจ้ามีเรื่องที่ต้องทำ จากนี้ไปพวกเรายังสามารถมาพบกันใหม่ได้มิใช่หรือ?”

แย้มยิ้มกว้าง ไม่มีใครมองออกว่าหลินเมิ้งหยากำลังเก็บซ่อนความเจ็บปวดไว้ในใจ

เสี่ยวอวี้พยักหน้าลง เขาจะต้องกลับมาพบพี่สาวอีกให้ได้

“เสี่ยวอวี้ขอร่ำลาพี่สาวตรงนี้ หวังว่าพี่สาวจะมีความสุขตลอดไป”

ถวายคำนับ เสี่ยวอวี้ยังคงรู้สึกอาลัยอาวรณ์ แต่เขาก็จำเป็นต้องกลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง

“อืม ระวังตัวด้วย”

หลินเมิ้งหยาโบกมือทั้งส่งยิ้มให้ แม้รอยยิ้มนั้นจะแข็งทื่อมากก็ตาม

จะร้องไห้ไม่ได้! เสี่ยวอวี้ชอบเห็นนางยิ้มที่สุด หากนางร้อง เด็กคนนี้จะต้องเป็นห่วง แม้นางจะช่วยเขาไม่ได้ แต่อย่างน้อยนางก็ต้องทำให้เขาสบายใจ

ส่งเขาที่หน้าประตู มองดูเสี่ยวอวี้และหวานเหยียนเลี่ยที่นั่งรถม้าลับหายไป หยดน้ำตาเอ่อล้นปริ่มขอบตา

“ไปเถิด กลับกัน”

แหงนหน้ามองท้องฟ้า หลินเมิ้งหยาไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตาของตนเอง

โลกนี้ย่อมมีการจากลาเสมอ นางไม่อาจเห็นแก่ตัวและขังทุกคนเอาไว้กับตนเองได้

“นายหญิงเป็นอะไรหรือไม่? ข้ารู้ว่าการจากไปของนายน้อยอวี้ทำให้ท่านเสียใจ แต่ท่านยังมีพวกเราอยู่ข้างๆ นะเจ้าคะ”

ป๋ายจื่อเอ่ยปลอบโยนเบาๆ หลินเมิ้งหยากวาดสายตามองสาวใช้ทั้งสี่ของตนเอง ก่อนจะหัวเราะ

“ตอนนี้ถึงเวลาหาคู่ดูตัวให้พวกเจ้าแล้ว”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษเล่มที่ 10 บทที่ 288 ความขมขื่นเมื่อต้องลาจาก

Now you are reading ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ Chapter เล่มที่ 10 บทที่ 288 ความขมขื่นเมื่อต้องลาจาก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ข้ารู้ แต่การจากไปของข้าย่อมเป็นผลดีต่อตัวนาง”

มุมปากของชิงหูยกขึ้น คิดไม่ถึงเลยว่าจวบจนกระทั่งตอนนี้ เขาจะยังมิอาจใช้ชีวิตอย่างอิสระได้

“จะยังกลับมาหรือไม่?”

หยุนจู๋ห่มผ้าให้หลินเมิ้งหยา ทว่าชิงหูกลับอุ้มนางเอาไว้ในอ้อมกอด ก่อนจะพานางเข้าไปในห้องแล้ววางร่างบางลงบนเตียง

“ไม่รู้ บางทีอาจจะไม่ได้กลับมาอีก หรือบางที…อาจจะได้กลับมาบอกลานางเป็นครั้งสุดท้าย”

วางร่างบางลงบนเตียง ก่อนจะตอบเสียงแผ่วเบา

“ดูแลตัวเองด้วย เจ้าสำนักจะต้องรอการกลับมาของเจ้า”

จ้องมองหลินเมิ้งหยาอย่างเนิ่นนานอีกครั้ง ชิงหูชักสายตาอาลัยอาวรณ์ออกจากใบหน้านวล เหตุใดเจ้าเด็กน้อยที่มักทำให้เขาเหนื่อยอยู่ตลอดคนนี้จึงไม่ปรากฏตัวในชีวิตของเขาให้เร็วกว่านี้กันเล่า?

หยุนจู๋มองชิงหูที่หายลับไปต่อหน้าตน ก่อนจะหันหน้ามามองหลินเมิ้งหยาที่กำลังหลับสนิทพร้อมทั้งส่ายหน้า

เขา…ยังคงเหมือนเมื่อสิบกว่าปีก่อน เพื่อคนสำคัญที่สุดในชีวิต เขายอมสละได้แม้กระทั่งชีวิตของตนเอง

หยิบยาขวดหนึ่งออกจากวงแขน ภายในคือยาแก้อาการมึนเมา นางหมุนตัว ก่อนจะประคองร่างของหลินเมิ้งหยาขึ้นมาแล้วหยิบยาใส่ปากไปหนึ่งเม็ด หากมิใช่เพราะนางมอมเหล้าเจ้าสำนักแล้วล่ะก็ บางทีชิงหูอาจไม่มีโอกาสได้บอกลานางเลยด้วยซ้ำ

อย่าคิดว่าเจ้าสำนักเป็นเด็กไม่รู้เรื่องรู้ราว นางมองออกว่าเด็กคนนี้มีหัวใจที่พร้อมจะปกป้องผู้อื่น

ทันทีที่ได้สติจากอาการมึนเมา หลินเมิ้งหยารู้สึกปวดหัวจนแทบระเบิด

ยกมือขึ้นออกแรงนวดขมับ เอ๋? นางจำได้ว่าชิงหูอยู่ที่นี่นี่นา ทุกครั้งที่นางตื่นขึ้นมา ชิงหูมักจะอยู่ข้างๆ และล้อเลียนตนเองเวลาเมาเสมอ

เหตุใดคราวนี้จึงมีเพียงนางคนเดียวในห้องอันแสนว่างเปล่านี้กันเล่า?

“เจ้าสำนักตื่นแล้วเหรอ นี่คือน้ำแกงแก้อาการมึนเมา ดื่มสักหน่อยเถิด อาการปวดหัวจะดีขึ้น”

หยุนจู๋ยกน้ำแกงเข้ามาด้วยตนเอง เมื่ออยู่ในกลุ่มสามสหาย นางไม่เคยใช้คนอื่นเข้ามาดูแลหลินเมิ้งหยา

ฉะนั้นทุกคนต่างคิดว่านางและเจ้าสำนักมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน

“เจ้าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์เล่า? เหตุใดข้าจึงไม่เห็นเขา? รีบตามเขามาเถิด ตลอดหลายวันมานี้งานยุ่งมากเหลือเกิน อีกไม่กี่วันก็จะปีใหม่แล้ว เหตุใดเขาจึงไม่กลับมากัน”

หลินเมิ้งหยาถามหาเหมือนตนเองเป็นคนในครอบครัวของชิงหู

มือของหยุนจู๋ชะงักกลางอากาศ ก่อนจะวางถ้วยน้ำแกงลงบนมือของหลินเมิ้งหยา มุมปากหยักยิ้มเล็กน้อย

“เขา…ไม่กลับมาอีกแล้ว”

“อะไรนะ? เป็นไปไม่ได้หรอก ที่นี่คือบ้านของเขา พวกเราเป็นครอบครัวของเขา จะมีใครบ้างไม่อยากกลับมาอยู่กับครอบครัวของตัวเอง? เจ้าบอกข้ามาตรงๆ เถิดว่าเขาทำเรื่องไม่ดีปิดบังข้าใช่หรือไม่ เขาไปหลบอยู่ที่ไหน?”

หยุนจู๋เปิดผ้าม่านออก แสงแดงจากภายนอกส่องเข้ามาภายใน ทว่ามือของนางกลับเย็นเฉียบ

“เขาจากไปแล้วจริงๆ เจ้าสำนักอย่าได้ถามอีกเลย เพื่อปกป้องความปลอดภัยของท่าน เพื่ออนาคตของกลุ่มสามสหาย ดังนั้นเขาจึงต้องไป ฉะนั้นเจ้าสำนักได้โปรดทำเหมือนว่าไม่เคยพบเจอคนคนนี้มาก่อนเถิด”

ชิงหูจากไปแล้ว? สมองของหลินเมิ้งหยากลายเป็นอัมพาตชั่วคราวเพราะพิษเหล้า

จากไปแล้ว? ไม่กลับมาแล้ว?

หรือเขามีคนรู้ใจ?

หลินเมิ้งหยาเอียงศีรษะจ้องมองหยุนจู๋ สายตายังคงเปี่ยมไปด้วยความสงสัย

หยุนจู๋นิ่งเงียบไม่พูดอะไร ชิงหูกำชับเอาไว้แล้วว่าห้ามบอกอะไรเจ้าสำนักเป็นอันขาด

“อืม ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าออกไปก่อนเถิด ข้าอยาก…อยู่เงียบๆ คนเดียว”

แม้แต่หยุนจู๋เองก็คิดไม่ถึงเลยว่าหลินเมิ้งหยาจะตอบเพียงว่าเข้าใจแล้ว

นางชะงัก ก่อนจะถอยตัวออกไป

หลินเมิ้งหยายกถ้วยน้ำแกงอุ่นๆ ที่ถืออยู่ในมือแตะริมฝีปากแล้วกลืนลงไป

ขมเหลือเกิน แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังจิบเข้าไปทีละนิด

กระเพาะอุ่นวาบเพราะน้ำแกง แต่หัวใจกลับเย็นเฉียบ

นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าคนที่มักจะปฏิบัติกับนางอย่างอ่อนโยนและใส่ใจเสมอมาอย่างชิงหูจะจากนางไปเช่นนี้

ยิ่งไปกว่านั้น เขาจากไปโดยที่นางยังไม่มีโอกาสกระทั่งจะเอ่ยคำร่ำลา

เมื่อดื่มน้ำแกงเสร็จ การเคลื่อนไหวของหลินเมิ้งหยาจึงกลับมาเป็นปกติ

ชิงหูจากไปแล้ว เขาจากไปแล้วจริงๆ

ความคิดนี้วนเวียนอยู่ในสมองราวกับระเบิดถูกปลดสลักก็มิปาน สมองของนางกลายเป็นน้ำวน

ทำไมเขาจึงไปจากที่นี่? เขาเคยบอกเอาไว้ว่าเขามอบชีวิตที่เหลืออยู่ของเขาให้กับนางมิใช่หรือ? นางยังไม่ทันได้ทำยาถอนพิษเลย เจ้าจิ้งจอกโง่ทำไมไม่รอก่อน?

หัวใจว่างเปล่า อยากร้องไห้แต่กลับร้องไม่ออก

ความรู้สึกที่อยากร้องไห้แต่ร้องไม่ออกทำให้หลินเมิ้งหยากลายเป็นคนไร้จิตวิญญาณ นางเห็นชิงหูเป็นคนสำคัญในครอบครัวเสมอมา นอกจากท่านพี่แล้ว มีเพียงชิงหูเท่านั้นที่ทำให้นางรู้สึกสบายใจ

เพราะอะไร…เพราะอะไรเขาจึงต้องจากไป?

หยุนจู๋จะต้องรู้อย่างแน่นอน นางต้องรู้เรื่องนี้

“หยุนจู๋ หยุนจู๋”

ร้องเรียกหยุนจู๋เสียงดัง บางทีหยุนจู๋อาจรู้อยู่แล้วว่าหลินเมิ้งหยาจะต้องเอ่ยถาม ดังนั้นนางจึงถอนหายใจแล้วแต่ไม่ยอมปรากฏตัวต่อหน้านาง

“เหตุใดเขาต้องไปด้วย? เจ้าบอกข้ามาเถิดว่าเหตุใดเขาต้องจากไป?”

หลินเมิ้งหยาเอ่ยถามเสียงดัง แม้หยุนจู๋จะไม่ปรากฏตัวออกมา ทว่าเสียงของนางยังคงลอยมาตามลม

“เขามีเหตุผลของเขา ขออภัยท่านเจ้าสำนัก ข้ารู้เรื่องนี้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ฉะนั้นท่านอย่าได้ถามอีกเลย ยิ่งไปกว่านั้นข้ารับปากกับชิงหูเอาไว้แล้ว ข้ามิอาจผิดคำพูด”

หลินเมิ้งหยายืนพิงประตู หยดน้ำตารินไหลอาบแก้ม

พี่เยว่ถิงจากไป วันนี้ชิงหูเองก็จากไปแล้ว ราวกับว่าคนที่ดีกับนางกำลังจากไปทีละคน นานแค่ไหนแล้วนะ นานมากขนาดไหนแล้วที่นางมิได้รู้สึกหัวใจแหลกสลายเช่นนี้

เพราะอะไร เพราะเหตุใดพวกเขาจึงมิอาจอยู่เคียงข้างนางได้?

“เจ้าสำนัก ข้าเชื่อว่าเขาจะต้องกลับมาอย่างแน่นอน เมื่อสิบปีก่อนพวกเราเคยไปทำภารกิจร่วมกัน ร่างกายของเขาถูกดาบฟันนับไม่ถ้วน เหตุเพราะเขายังมีสิ่งที่ตนเองโหยหา ดังนั้นเขาจึงกลับมาจากประตูนรก ท่านเชื่อข้าเถิด ความรู้สึกที่เขามีต่อท่านลึกซึ้งยิ่งกว่าตอนนั้น สักวันหนึ่งเขาจะต้องกลับมาอย่างแน่นอน”

นั่งลงบนหลังคา หยุนจู๋หวนนึกถึงความทรงจำเมื่อสิบปีก่อน

เขาจะต้องกลับมาอย่างแน่นอน เขาคือชิงหู เขาคือคนที่เคยเป็นผู้นำของเถาฮวาอู๋ เขาจะยอมตายด้วยน้ำมือของคนคนนั้นง่ายๆ ได้อย่างไร?

พวกเขาล้วนเป็นคนที่กลับมาจากขุมนรกมิใช่หรือ?

“ฮือ ฮือ…”

หลินเมิ้งหยาส่งเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น ท่าทางของนางในเวลานี้ไม่เหมือนเจ้าสำนักแห่งกลุ่มสามสหายเลยแม้แต่น้อย นางเหมือนเด็กที่ต้องการร้องไห้เพื่อระบายความเจ็บปวด

“ร้องออกมาเถิด บางครั้งข้าก็อิจฉาพวกเจ้าเหลือเกิน คนที่ยังสามารถร้องไห้ได้นั้นโชคดียิ่งกว่าคนที่อยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา”

หยุนจู๋หยิบขลุ่ยไม้ไผ่ออกมา ก่อนจะเป่าเป็นท่วงทำนองอันแสนอบอุ่นอ่อนโยน หลินเมิ้งหยาที่ได้ฟังค่อยๆ หยุดร้องไห้

ใช่แล้ว หยุนจู๋พูดถูก ชิงหูจะต้องกลับมา คนที่จากบ้านไป สักวันหนึ่งจะต้องกลับมาบ้านอย่างแน่นอน

สิ่งที่นางต้องทำคือการรอคอย

ในที่สุดพระชายาที่ขังตัวเองอยู่แต่ห้องก็ยอมออกมา

แม้หัวใจจะยังคงคิดถึงชิงหูและกังวลถึงความปลอดภัยของเขา แต่หลินเมิ้งหยารู้ดีว่านางจะปล่อยตัวเองให้เป็นคนอ่อนแอเช่นนี้ตลอดไปไม่ได้

แม้ความรักของนางจะตายจากไปแล้ว แต่นางยังมีคนไกลให้คอยคิดถึง

ฉะนั้นนางจะต้องหาทางออกไปจากจวนอวี้ให้เร็วที่สุด ตอนนี้นางไตร่ตรองเอาไว้อย่างดีแล้ว เมื่อใดที่นางรักษาอาการประชวรของฮ่องเต้จนหายดี เมื่อนั้นนางจะถวายฎีกาขอหย่าร้าง

นางจะใช้ชีวิตอยู่ในกลุ่มสามสหาย นางจะรอวันที่ชิงหูกลับมา

“พี่สาว ในที่สุดท่านก็ออกมาแล้ว ข้าเป็นห่วงท่านเหลือเกิน”

ภายในสวน เสี่ยวอวี้ซึ่งสวมผ้าคลุมสีเขียวหยกเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม

เคาะหน้าผากเขา หลินเมิ้งหยาสั่งให้คนนำกล่องขนมที่นางทำขึ้นมาเพื่อมอบให้กับหวานเหยียนเลี่ยออกมาส่งมอบให้กับเสี่ยวอวี้

“ข้ารู้ว่าวันนี้เจ้ามาบอกลา เส้นทางที่ต้องไปช่างไกลนัก เจ้าต้องระวังตัวเองด้วย หากเกิดปัญหา เช่นนั้นจงส่งข่าวมา จริงสิ เจ้าจะต้องพาเสี่ยวจินไปด้วยเข้าใจหรือไม่?”

‘จากลา’ ราวกับเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติของหลินเมิ้งหยาเสียแล้ว

หลังจากผ่านเรื่องของชิงหูมา นางก็เข้มแข็งขึ้นมาก ดังนั้นนางจึงสามารถเผชิญหน้ากับการจากลาของเสี่ยวอวี้ได้

ทุกคนย่อมต้องเติบโต

แม้จะไม่อยากแยกจาก แต่ถึงกระนั้นก็ยังต้องปล่อยมือเพื่อให้พวกเขาจากไปชั่วคราว

“พี่สาว ข้าขอโทษ อันที่จริงข้าอยากไปหลังจากเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่แล้ว แต่ท่านอาเลี่ย…”

ดวงตาของเสี่ยวอวี้เผยให้เห็นถึงความลำบากใจ หลินเมิ้งหยาลุกขึ้น เดินไปหยุดตรงหน้าเขา ก่อนจะยื่นมือเล็กเข้าไปจัดแต่งเสื้อผ้าให้เขา

“ไปเถิด เจ้ามีเรื่องที่ต้องทำ จากนี้ไปพวกเรายังสามารถมาพบกันใหม่ได้มิใช่หรือ?”

แย้มยิ้มกว้าง ไม่มีใครมองออกว่าหลินเมิ้งหยากำลังเก็บซ่อนความเจ็บปวดไว้ในใจ

เสี่ยวอวี้พยักหน้าลง เขาจะต้องกลับมาพบพี่สาวอีกให้ได้

“เสี่ยวอวี้ขอร่ำลาพี่สาวตรงนี้ หวังว่าพี่สาวจะมีความสุขตลอดไป”

ถวายคำนับ เสี่ยวอวี้ยังคงรู้สึกอาลัยอาวรณ์ แต่เขาก็จำเป็นต้องกลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง

“อืม ระวังตัวด้วย”

หลินเมิ้งหยาโบกมือทั้งส่งยิ้มให้ แม้รอยยิ้มนั้นจะแข็งทื่อมากก็ตาม

จะร้องไห้ไม่ได้! เสี่ยวอวี้ชอบเห็นนางยิ้มที่สุด หากนางร้อง เด็กคนนี้จะต้องเป็นห่วง แม้นางจะช่วยเขาไม่ได้ แต่อย่างน้อยนางก็ต้องทำให้เขาสบายใจ

ส่งเขาที่หน้าประตู มองดูเสี่ยวอวี้และหวานเหยียนเลี่ยที่นั่งรถม้าลับหายไป หยดน้ำตาเอ่อล้นปริ่มขอบตา

“ไปเถิด กลับกัน”

แหงนหน้ามองท้องฟ้า หลินเมิ้งหยาไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตาของตนเอง

โลกนี้ย่อมมีการจากลาเสมอ นางไม่อาจเห็นแก่ตัวและขังทุกคนเอาไว้กับตนเองได้

“นายหญิงเป็นอะไรหรือไม่? ข้ารู้ว่าการจากไปของนายน้อยอวี้ทำให้ท่านเสียใจ แต่ท่านยังมีพวกเราอยู่ข้างๆ นะเจ้าคะ”

ป๋ายจื่อเอ่ยปลอบโยนเบาๆ หลินเมิ้งหยากวาดสายตามองสาวใช้ทั้งสี่ของตนเอง ก่อนจะหัวเราะ

“ตอนนี้ถึงเวลาหาคู่ดูตัวให้พวกเจ้าแล้ว”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+