พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่งบทที่ 321.2 ยกมือ (2)

Now you are reading พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง Chapter บทที่ 321.2 ยกมือ (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“กี่โมงแล้ว คนมาเปลี่ยนเวรเหตุใดยังมาไม่ถึงอีก…” คนหนึ่งเอ่ยขึ้น

“หลับไม่ตื่นกระมัง…” อีกคนหนึ่งยืนพิงกำแพงเอ่ยอย่างเกียจคร้าย พูดไม่ทันจบก็กระเด้งตัวยืนตรงในทันใด ก่อนจะไถลตัวไปตามกำแพง

คนฝั่งตรงเห็นแล้วก็หัวเราะชอบใจ

“เจ้าง่วงถึงเพียงนี้ จะมีแรงสู้ศึกได้อย่างไร… ” เขาเอ่ยพลางหัวเราะ ทว่ายังไม่ทันสิ้นเสียง ใบหูก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาบางอย่าง ดวงตาของเขาเบิกโพลง ยกมือขึ้นมากุมลำคอของตัวเอง เลือดไหลอาบผ่านซอกนิ้วมือ

“มี…”

หลังจากคำสุดท้ายที่เปล่งออกมาร่างของเขาก็ล้มลงบนพื้น

เสียงบางสิ่งกระทบพื้นพาให้คนทั้งห้าที่นั่งอยู่บนพื้นแตกตื่น ก่อนจะหันไปมองทหารองครักษ์ที่ “หลับจนล้ม” ลงบนพื้น

ประตูถูกเปิดออก

“หวังต้า!” ขุนนางร้องตะโกนอย่างตกใจในทันใด

นายอากรส่งเสียงชู่ให้เขาลดเสียง

“อยากตายหรืออย่างไร” เขาถลึงตาใส่พลางกดเสียงต่ำ

ด้านหลังมีคนตามเข้ามาอีกสองคน ก่อนจะช่วยกันปลุกและแก้มัดคนที่อยู่บนพื้น

“หวังต้า ข้ารู้ว่าเจ้าต้องมาช่วยข้าแน่นอน” ขุนนางผู้น้อยเอ่ยอย่างดีใจน้ำตาไหลนอง

นายอากรส่งเสียงถุย

“ไม่ได้เรื่อง” เขาเอ่ยพลางส่ายหน้า “เดินไหวหรือไม่ เร็วเข้า”

แม้จะถูกทุบตีจนเจ็บไปทั้งตัว แต่พอนึกถึงการหนีเอาชีวิตรอดแล้วทุกคนยังคงมีแรงฮึดขึ้นมา แต่ละคนพากันพยุงตัวเดินออกไปจากเรือน

“หวังต้า เช่นนี้จะมีประโยชน์อันใด พวกข้าหนีออกมาแบบนี้แล้ว วันหน้าจะเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งก็คงไม่มีหวังเสียแล้วสิ…” ขุนนางผู้น้อยนึกอะไรขึ้นได้ก็เอ่ยออกมาอย่างร้อนรนใจ

คนเราก็เป็นเสียอย่างนี้ มักใหญ่ใฝ่สูง ยามใกล้ตายก็ตะเกียดตะกายเอาชีวิตรอด พอรอดตายแล้วก็เอาแต่ห่วงลาภยศศักดิ์ศรี

“วางใจเถิด” นายอากรส่งเสียงฮึดฮัดก่อนจะหยิบของบางสิ่งออกมาจากแขนเสื้อ

ภายใต้แสงไฟสลัว เห็นขัดแล้วว่าสิ่งนั้นคืออะไร ดวงตาของขุนนางผู้น้อยก็พลันเบิกโพรงขึ้นมา

“ไส้ตะเกียง!” เขาร้องตะโกน ก่อนจะหันไปมองอีกสองคนข้างๆ ทีมีน้ำเต้าห้อยอยู่ที่เอว เป็นเพราะยืนใกล้กัน ยามลดพันผ่านจึงได้กลิ่นน้ำมันคละคลุ้ง เขาขบฟันกรอด “นี่มัน… นี่มัน…”

“เร็วเข้า” นายอากรถลึงตาเอ่ยบอกเข้า “หรือว่าเจ้าอยากจะนอนในหลุมด้วย”

ขุนนางผู้น้อยที่เพิ่งได้สติไม่กล้าเอ่ยอะไรไปมากกว่านั้น ก่อนจะรีบเดินออกไป

ไฟภายในศาลาพักม้าถูกพวกเขาใช้หินดับจนหมดก่อนหน้าแล้ว ความมืดปกคลุมชายเงาของชายทั้งหกที่ก้าวเดินออกไป วินาทีที่ก้าวเท้าออกจากศาลาพักม้า ด้านหลังของพวกเขาก็มีกองเพลิงลุกโชนขึ้น

“ไฟไหม้!”

ภายในศาลาพักม้ายังไม่มีเสียงร้องตะโกนแต่อย่างใด ทว่ากลับมีเสียงดังมาจากข้างนอก ชายทั้งหกพลันตกใจขึ้นมา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาเห็นว่ากระโจมตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม มีคนสี่คนถือคบเพลิงเฝ้าเวรยามอยู่

หลังจากเสียงตะโกนของพวกเขา คนภายในศาลาพักม้าก็รู้สึกตัวในทันใด ก่อนจะมีเสียงร้องไห้เสียงตะโกนโหวกเหวกโกลาหลตามมา

ลมราตรีพัดกรรโชก เปลวเพลิงลุกโชนภายในพริบตา

พ่อบ้านเฉาและเหล่าบ่าวตื่นขึ้นมาแล้ว พอเห็นภาพเบื้องหน้าก็ตกใจในบัดดล

“รีบดับไฟ!”

ทุกคนพากันกรูเข้าไป

“ไปแค่สิบคนก็พอ ที่เหลืออยู่คอยคุ้มกันกระโจม” พ่อบ้านเฉาตะโกนสั่งการ

ทันใดนั้นก็มีคนหอบข้าวของหม้อไหที่ยังไม่ทันได้เก็บดีวิ่งออกมา

ภายในศาลาพักม้าโกลาหลวุ่นวาย

ยามมองดูกองเพลิงโหมกระพือ ความหวาดกลัวที่เคยมีในจิตใจก็พลันหายไป แทนที่ด้วยความลิงโลด

คิดจะพรากชีวิตและครอบครัวของข้าไปอย่างนั้นหรือ ไม่ง่ายดายเช่นนั้นหรอก!

ขุนนางผู้น้อยเหลียวไปมองศาลาพักม้าอย่างลำพองใจ แสงจากกองเพลิงสว่างจ้าขึ้นเรื่อยๆ สะท้อนร่างของพวกเขาให้เห็นอย่างชัดเจน

“พวกเจ้าไปหาที่หลบซ่อนตัวก่อน” นายอากรเอ่ยพลางก้าวเดินต่อไปข้างหน้า ทว่ากลับหันไปเห็นขุนนางผู้น้อยมองออกไปริมทาง

“โธ่เว้ย นังสารเลวนั่นทำแผนการของข้าพังพินาศ ทำให้พวกข้าต้องโดนทุบตี!” ขุนนางผู้น้อยเอ่ยอย่างโกรธแค้น

พอหันไปมองตามสายตาของเขา นายอากรก็เห็นว่ามีคนวิ่งออกมาจากกระโจมมากมาย ทั้งยังเหลือคนยืนเฝ้าเวรที่ข้างกระโจม ที่พากันชี้นิ้วไปทางศาลาพักม้าด้วยสีหน้าหวาดกลัว

ทั้งยังมีหญิงสาวอีกสองคนเดินออกมาจากกระโจม

“เจ้าพวกนั้นน่ะหรือที่ร้องทุกข์จนแผนของพวกเราพังยับเยิน” เขาถาม

ขุนนางผู้น้อยพยักหน้า

“แถมพวกมันยังทุบตีข้าอีกต่างหาก” เขาเอ่ยพลางเหลียวไปมองทหารสี่นาย

ทหารทั้งสี่พยักหน้า

“หวังต้า เอาไส้ตะเกียงมาให้ข้า…” จู่ๆ ขุนนางผู้น้อยก็เอ่ยขึ้น ก่อนจะยื่นมือออกมา

“จะทำอะไร” นายอากรเอ่ย “รีบไปหาที่ซ่อนตัวเถิด พอไหม้เสร็จแล้วพวกเจ้าจะออกมา”

“ข้าจะจุดไฟให้ความอบอุ่นแก่พวกมันเสียหน่อย” ขุนนางผู้น้อยเอ่ยพลางหัวเราะ

ถึงคราวสั่งสอนเจ้าพวกไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงสักที

นายอากรชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะยื่นไส้ตะเกียงในมือให้เขาพร้อมกับไหน้ำมัน

ยามนี้ผู้คนวิ่งพล่านอยู่ด้านนอกศาลาพักม้าก็มารวมกลุ่มกันแล้ว ขุนนางผู้น้อยไม่กลัวว่าผู้ใดจะเห็นข้า มือข้างหนึ่งถือไส้ตะเกียง มือข้างหนึ่งถึงไหน้ำมันก่อนจะวิ่งแฝงตัวเข้าไปในฝูงชน

“เกิดอะไรขึ้น เกิดอะไรขึ้น” ท่านชายหวังสิบเจ็ดสะบัดผ้าคลุมออก ผมเพ่ายุ่งเหยิงก่อนจะตกตะลึงเมื่อได้เห็นศาลาพักม้า ปากก็ร้องไม่หยุด “อยู่ดีๆ เหตุใดถึงไฟไหม้ได้!”

ไม่มีผู้ใดตอบเขา เพราะมีฝูงชนวิ่งไปมามากมาย เหล่าผู้ติดตามก็มัวแต่คอยกัดพวกเขาไม่ให้วิ่งเข้ามา

มีเพียงบ่าวชราที่ยืนอยู่ข้างท่านชายหวังสิบเจ็ด ปั้นฉินเองก็ยืนอยู่ข้างเฉิงเจียวเหนียงที่หน้ากระโจมมองดูกองเพลิงมอดไหม้

หากเทียบกับท่านชายหวังสิบเจ็ดที่ตกใจแล้ว บ่าวชรานั้นตกใจยิ่งกว่า เขามองดูกองไฟ แล้วหันไปมองเฉิงเจียวเหนียง

มีอันตรายจริงๆ ด้วย…

นางเป็นเทพเซียนผู้หยั่งรู้หรืออย่างไร

เป็นไปได้อย่างไร เรื่องบังเอิญอย่างนั้นหรือ

ทันในนั้นดวงตาของเขาก็เบิกโพลงขึ้นมา จ้องมองแม่นางน้อยที่แหวกผ้าคลุมผืนใหญ่ออกมา ก่อนจะชูของบางสิ่งในมือขึ้น

นั่นคือ..ธนูอย่างนั้นหรือ!

นางคิดจะทำอย่างไร

ขณะเดียวกันกับที่เขาจ้องมองอยู่นั้น แม่นางผู้นั้นก็ง้างธนูขึ้น มีเสียงผึ่งดังขึ้น ธนูก้านยาวพุ่งตรงออกไปข้างหน้า

ขณะเดียวกันขุนนางผู้น้อยที่แฝงตัวเข้าไปในฝูงชนก็แกว่งไส้ตะเกียงในมือไปมา มืออีกข้างก็หมุนควงไหน้ำมันอย่างเพลินเพลินใจ

ตายเสียเถิด…

วินาทีนั้นศรธนูที่ทะยานเข้าก็เสียบทะลุลำคอของขุนนางผู้น้อยในทันใด

ขุนนางผู้น้อยตายจากไปโดยที่ยังไม่รู้สึกตัวเสียด้วยซ้ำ ร่างของเข้าล้มลงไปบนพื้น ไส้ตะเกียงที่จุดไฟแล้วร่วงหลนลงบนร่างของเขา ไหน้ำมันในมือก็หกรดบนร่าง

เสียงกรีดร้องดังขึ้น ทันใดนั้นเปลวเพลิงก็ลุกขึ้นท่ามกลางฝูงชน

เหล่าคนที่พากันวิ่งพล่านกรีดร้องขึ้นมาอย่างโกลาหล

นี่มันเกิดอะไรขึ้น นี่มันเกิดอะไรขึ้น

ทุกคนต่างตกตะลึง ศาลาพักม้าไฟไหม้ คนนอกศาลาก็ติดไฟเองได้อย่างนั้นหรือ

นายอากรและทหารอีกสี่คนที่ยืนอยู่ในเงามืดนิ่งชะงัก

พลาดทำไส้ตะเกียงและน้ำมันหกรดตัวเองอย่างนั้นหรือ

นี่คือความคิดแรกที่แล่นเข้ามาในหัวของนายอากร ทว่าจะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร เหตุใดจู่ๆ ถึงเป็นเช่นนั้นไปได้เล่า

แย่แล้ว! จะมาตายก่อนไฟดับได้อย่างไร!

เขารีบหันหลังกลับในทันที พลางจ้องมองไปยังกระโจมที่ตั้งอยู่ ห่างออกไปไม่ไกลก็เห็นศรธนูเล็งมาที่เขาท่ามกลางแสงไฟพร่ามัว

“มานี่!”

เสียงแหลมของหญิงสาวดังขึ้นท่ามกลางสายลมยามราตรี

เสียงนั้นพาให้ผู้คนหันมองมา ท่านชายหวังสิบเจ็ดก็ตาเบิกโพลงเช่นกัน

นางยกธนูขึ้นมาทำไมกัน จะดับไฟหรือ

นางเรียกผู้ใดให้เข้ามา

เขามองตามทางที่ศรธนูชี้ออกไป

ก็เห็นแสงไฟสีแดงกระพริบริบหรี่อยู่ท่ามกลางความมืด คนห้าคนยืนอยู่ที่มุมหนึ่งของศาลาพักม้า หนึ่งในนั้นมองมาอย่างตกตะลึง

“ไม่เชื่อง!” เฉิงเจียวเหนียงเอ่นก่อนจะลดธนูในมือลง

สายตาของนายอากรมองไม่เห็นรอบข้างแม้แต่นิด เขาเห็นเพียงเปลวไฟจากปลายศรธนูที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เมื่อด้านหลังศรธนูนั้น คือหญิงสาวร่างบางในผ้าคลุมที่ปลิวสไวเพราะแรงลม จากเงาที่เห็นเหมือนดั่งปีกของค้างคาวที่แผ่สยาย

นี่มันเกิดอะไรขึ้น

นั่นคือความคิดสุดท้ายที่ผุดขึ้นมาในหัวของนายอากร ก่อนที่ศรธนุจะแทงทะลุใต้คางของเขาและปักแน่นบนลำคอ ไม่มีแม้แต่เสียงร้องโหยหวน ร่างทั้งร่างล้มลงบนพื้นในทันใด ไม่ขยับไหวแม้แต่นิด

เมื่อเห็นคนตายอยู่ตรงหน้า ทหารองครักษ์ทั้งสี่นายก็ได้สติขึ้นมาในทันใด เสียงร้องของชายฉกรรจ์นั้นแหลมเล็กเสียงยิ่งกว่าเสียงกรีดร้องของหญิงสาว

มีคนฆ่ากัน!

มีคนฆ่ากัน!

กว่าผู้คนโดยรอบจะรู้ตัว ภาพเบื้องหน้าก็สับสนวุ่นวายไปหมด

มีคนฆ่ากัน! มีคนฆ่ากัน!

สายตาของท่านชายหวังสิบเจ็ดมองตามศรธนูที่พุ่งออกไป เพราะแสงจากเปลวไฟที่ลุกโชนก็เห็นคนคนหนึ่งล้มตายลงในพริบตา

ตั้งแต่เกิดมานี่เป็นครั้งที่เขาได้เห็นคนฆ่ากัน!

แถมคนฆ่ายังเป็นหญิงสาวอีกด้วย!

แถมหญิงผู้นั้นยังเป็นคู่หมั้นของเขาอีกด้วย!

เขาหันไปมองคู่หมั้นของตนอย่างเหม่อลอย…

เฉิงเจียวเหนียงคงถือธนูอยู่ในมือ ก่อนจะเอี้ยวตัวไปคว้าศรธนูจากด้านหลัง แล้วเล็งไปที่เหล่าทหารองครักษ์ที่กำลังร้องโหยหวน

“มานี่!” นางตะโกนคำเดิมออกไปอีกครั้ง

เหล่าทหารองครักษ์ที่แทบจะเสียสติไปแล้วไม่ได้ยินเสียงของนางเลยแม้แต่นิด ทว่าท่านชายหวังสิบเจ็ดนั้นได้ยินอย่างชัดเจน

มานี่…

ไม่เชื่อง…

เช่นนั้นก็ตายไปเสียเถิด…

ไม่เชื่อง… ก็ต้องตาย…

ท่านชายหวังสิบเจ็ดกลืนน้ำลายลงคอ

“มีคนฆ่ากัน!”

เขากรีดร้องออกมาก่อนหมดสติเป็นลมล้มไป หลีกหนีความโกลาหลวุ่นวาย ดำดิ่งสู่ความมืดมิดอันเงียบสงัด

ค่ำคืนอันมืดสนิท ศาลาพักม้าที่มีแต่เสียงโหวกเหวกโวยวายในที่สุดก็เงียบสงัดลง

โจมของเฉิงเจียวเหนียงที่ตั้งอยู่นอกศาลาพักม้าก็เพิ่งจะเงียบสงบลงหลังจากที่ท่านชายหวังสิบเจ็ดเข้ามาอาละวาดยกใหญ่

ปั้นฉินมองดูเฉิงเจียวเหนียงที่หลับตานอนอยู่บนแคร่ก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก นางโน้มตัวลงนอนบนเสื่ออย่างระมัดระวัง พอนอนลงก็มองเห็นคันธนูที่วางอยู่บนที่วางเท้าริมเตียงของเฉิงเจียวเหนียง

แม้จะอยู่ระหว่างทาง นิสัยเดิมของนายหญิงก็ไม่เคยเปลี่ยน คัดอักษร อ่านหนังสือและซ้อมธนู

ปั้นฉินยิ้มบางออกมา ก่อนจะหลับตานอนลง

เสียงฝีเท้าย่องเข้ามาทางด้านหลังของศาลาพักม้าดังขึ้น ทว่าความมืดมิดกลับกลืนกินจนมองไม่เห็นผู้ใด

ในโรงฝืนแสงไฟสว่างวาบ หากมองผ่านช่องหน้าต่างเข้าไปก็เห็นชายหนุ่มห้าคนที่ใบหน้าบอบช้ำถูกมัดติดกันอยู่ หน้าประตูมีทหารองครักษ์สองนาย กำลังขยี้ตาอ้าปากหาววอด

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่งบทที่ 321.2 ยกมือ (2)

Now you are reading พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง Chapter บทที่ 321.2 ยกมือ (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“กี่โมงแล้ว คนมาเปลี่ยนเวรเหตุใดยังมาไม่ถึงอีก…” คนหนึ่งเอ่ยขึ้น

“หลับไม่ตื่นกระมัง…” อีกคนหนึ่งยืนพิงกำแพงเอ่ยอย่างเกียจคร้าย พูดไม่ทันจบก็กระเด้งตัวยืนตรงในทันใด ก่อนจะไถลตัวไปตามกำแพง

คนฝั่งตรงเห็นแล้วก็หัวเราะชอบใจ

“เจ้าง่วงถึงเพียงนี้ จะมีแรงสู้ศึกได้อย่างไร… ” เขาเอ่ยพลางหัวเราะ ทว่ายังไม่ทันสิ้นเสียง ใบหูก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาบางอย่าง ดวงตาของเขาเบิกโพลง ยกมือขึ้นมากุมลำคอของตัวเอง เลือดไหลอาบผ่านซอกนิ้วมือ

“มี…”

หลังจากคำสุดท้ายที่เปล่งออกมาร่างของเขาก็ล้มลงบนพื้น

เสียงบางสิ่งกระทบพื้นพาให้คนทั้งห้าที่นั่งอยู่บนพื้นแตกตื่น ก่อนจะหันไปมองทหารองครักษ์ที่ “หลับจนล้ม” ลงบนพื้น

ประตูถูกเปิดออก

“หวังต้า!” ขุนนางร้องตะโกนอย่างตกใจในทันใด

นายอากรส่งเสียงชู่ให้เขาลดเสียง

“อยากตายหรืออย่างไร” เขาถลึงตาใส่พลางกดเสียงต่ำ

ด้านหลังมีคนตามเข้ามาอีกสองคน ก่อนจะช่วยกันปลุกและแก้มัดคนที่อยู่บนพื้น

“หวังต้า ข้ารู้ว่าเจ้าต้องมาช่วยข้าแน่นอน” ขุนนางผู้น้อยเอ่ยอย่างดีใจน้ำตาไหลนอง

นายอากรส่งเสียงถุย

“ไม่ได้เรื่อง” เขาเอ่ยพลางส่ายหน้า “เดินไหวหรือไม่ เร็วเข้า”

แม้จะถูกทุบตีจนเจ็บไปทั้งตัว แต่พอนึกถึงการหนีเอาชีวิตรอดแล้วทุกคนยังคงมีแรงฮึดขึ้นมา แต่ละคนพากันพยุงตัวเดินออกไปจากเรือน

“หวังต้า เช่นนี้จะมีประโยชน์อันใด พวกข้าหนีออกมาแบบนี้แล้ว วันหน้าจะเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งก็คงไม่มีหวังเสียแล้วสิ…” ขุนนางผู้น้อยนึกอะไรขึ้นได้ก็เอ่ยออกมาอย่างร้อนรนใจ

คนเราก็เป็นเสียอย่างนี้ มักใหญ่ใฝ่สูง ยามใกล้ตายก็ตะเกียดตะกายเอาชีวิตรอด พอรอดตายแล้วก็เอาแต่ห่วงลาภยศศักดิ์ศรี

“วางใจเถิด” นายอากรส่งเสียงฮึดฮัดก่อนจะหยิบของบางสิ่งออกมาจากแขนเสื้อ

ภายใต้แสงไฟสลัว เห็นขัดแล้วว่าสิ่งนั้นคืออะไร ดวงตาของขุนนางผู้น้อยก็พลันเบิกโพรงขึ้นมา

“ไส้ตะเกียง!” เขาร้องตะโกน ก่อนจะหันไปมองอีกสองคนข้างๆ ทีมีน้ำเต้าห้อยอยู่ที่เอว เป็นเพราะยืนใกล้กัน ยามลดพันผ่านจึงได้กลิ่นน้ำมันคละคลุ้ง เขาขบฟันกรอด “นี่มัน… นี่มัน…”

“เร็วเข้า” นายอากรถลึงตาเอ่ยบอกเข้า “หรือว่าเจ้าอยากจะนอนในหลุมด้วย”

ขุนนางผู้น้อยที่เพิ่งได้สติไม่กล้าเอ่ยอะไรไปมากกว่านั้น ก่อนจะรีบเดินออกไป

ไฟภายในศาลาพักม้าถูกพวกเขาใช้หินดับจนหมดก่อนหน้าแล้ว ความมืดปกคลุมชายเงาของชายทั้งหกที่ก้าวเดินออกไป วินาทีที่ก้าวเท้าออกจากศาลาพักม้า ด้านหลังของพวกเขาก็มีกองเพลิงลุกโชนขึ้น

“ไฟไหม้!”

ภายในศาลาพักม้ายังไม่มีเสียงร้องตะโกนแต่อย่างใด ทว่ากลับมีเสียงดังมาจากข้างนอก ชายทั้งหกพลันตกใจขึ้นมา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาเห็นว่ากระโจมตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม มีคนสี่คนถือคบเพลิงเฝ้าเวรยามอยู่

หลังจากเสียงตะโกนของพวกเขา คนภายในศาลาพักม้าก็รู้สึกตัวในทันใด ก่อนจะมีเสียงร้องไห้เสียงตะโกนโหวกเหวกโกลาหลตามมา

ลมราตรีพัดกรรโชก เปลวเพลิงลุกโชนภายในพริบตา

พ่อบ้านเฉาและเหล่าบ่าวตื่นขึ้นมาแล้ว พอเห็นภาพเบื้องหน้าก็ตกใจในบัดดล

“รีบดับไฟ!”

ทุกคนพากันกรูเข้าไป

“ไปแค่สิบคนก็พอ ที่เหลืออยู่คอยคุ้มกันกระโจม” พ่อบ้านเฉาตะโกนสั่งการ

ทันใดนั้นก็มีคนหอบข้าวของหม้อไหที่ยังไม่ทันได้เก็บดีวิ่งออกมา

ภายในศาลาพักม้าโกลาหลวุ่นวาย

ยามมองดูกองเพลิงโหมกระพือ ความหวาดกลัวที่เคยมีในจิตใจก็พลันหายไป แทนที่ด้วยความลิงโลด

คิดจะพรากชีวิตและครอบครัวของข้าไปอย่างนั้นหรือ ไม่ง่ายดายเช่นนั้นหรอก!

ขุนนางผู้น้อยเหลียวไปมองศาลาพักม้าอย่างลำพองใจ แสงจากกองเพลิงสว่างจ้าขึ้นเรื่อยๆ สะท้อนร่างของพวกเขาให้เห็นอย่างชัดเจน

“พวกเจ้าไปหาที่หลบซ่อนตัวก่อน” นายอากรเอ่ยพลางก้าวเดินต่อไปข้างหน้า ทว่ากลับหันไปเห็นขุนนางผู้น้อยมองออกไปริมทาง

“โธ่เว้ย นังสารเลวนั่นทำแผนการของข้าพังพินาศ ทำให้พวกข้าต้องโดนทุบตี!” ขุนนางผู้น้อยเอ่ยอย่างโกรธแค้น

พอหันไปมองตามสายตาของเขา นายอากรก็เห็นว่ามีคนวิ่งออกมาจากกระโจมมากมาย ทั้งยังเหลือคนยืนเฝ้าเวรที่ข้างกระโจม ที่พากันชี้นิ้วไปทางศาลาพักม้าด้วยสีหน้าหวาดกลัว

ทั้งยังมีหญิงสาวอีกสองคนเดินออกมาจากกระโจม

“เจ้าพวกนั้นน่ะหรือที่ร้องทุกข์จนแผนของพวกเราพังยับเยิน” เขาถาม

ขุนนางผู้น้อยพยักหน้า

“แถมพวกมันยังทุบตีข้าอีกต่างหาก” เขาเอ่ยพลางเหลียวไปมองทหารสี่นาย

ทหารทั้งสี่พยักหน้า

“หวังต้า เอาไส้ตะเกียงมาให้ข้า…” จู่ๆ ขุนนางผู้น้อยก็เอ่ยขึ้น ก่อนจะยื่นมือออกมา

“จะทำอะไร” นายอากรเอ่ย “รีบไปหาที่ซ่อนตัวเถิด พอไหม้เสร็จแล้วพวกเจ้าจะออกมา”

“ข้าจะจุดไฟให้ความอบอุ่นแก่พวกมันเสียหน่อย” ขุนนางผู้น้อยเอ่ยพลางหัวเราะ

ถึงคราวสั่งสอนเจ้าพวกไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงสักที

นายอากรชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะยื่นไส้ตะเกียงในมือให้เขาพร้อมกับไหน้ำมัน

ยามนี้ผู้คนวิ่งพล่านอยู่ด้านนอกศาลาพักม้าก็มารวมกลุ่มกันแล้ว ขุนนางผู้น้อยไม่กลัวว่าผู้ใดจะเห็นข้า มือข้างหนึ่งถือไส้ตะเกียง มือข้างหนึ่งถึงไหน้ำมันก่อนจะวิ่งแฝงตัวเข้าไปในฝูงชน

“เกิดอะไรขึ้น เกิดอะไรขึ้น” ท่านชายหวังสิบเจ็ดสะบัดผ้าคลุมออก ผมเพ่ายุ่งเหยิงก่อนจะตกตะลึงเมื่อได้เห็นศาลาพักม้า ปากก็ร้องไม่หยุด “อยู่ดีๆ เหตุใดถึงไฟไหม้ได้!”

ไม่มีผู้ใดตอบเขา เพราะมีฝูงชนวิ่งไปมามากมาย เหล่าผู้ติดตามก็มัวแต่คอยกัดพวกเขาไม่ให้วิ่งเข้ามา

มีเพียงบ่าวชราที่ยืนอยู่ข้างท่านชายหวังสิบเจ็ด ปั้นฉินเองก็ยืนอยู่ข้างเฉิงเจียวเหนียงที่หน้ากระโจมมองดูกองเพลิงมอดไหม้

หากเทียบกับท่านชายหวังสิบเจ็ดที่ตกใจแล้ว บ่าวชรานั้นตกใจยิ่งกว่า เขามองดูกองไฟ แล้วหันไปมองเฉิงเจียวเหนียง

มีอันตรายจริงๆ ด้วย…

นางเป็นเทพเซียนผู้หยั่งรู้หรืออย่างไร

เป็นไปได้อย่างไร เรื่องบังเอิญอย่างนั้นหรือ

ทันในนั้นดวงตาของเขาก็เบิกโพลงขึ้นมา จ้องมองแม่นางน้อยที่แหวกผ้าคลุมผืนใหญ่ออกมา ก่อนจะชูของบางสิ่งในมือขึ้น

นั่นคือ..ธนูอย่างนั้นหรือ!

นางคิดจะทำอย่างไร

ขณะเดียวกันกับที่เขาจ้องมองอยู่นั้น แม่นางผู้นั้นก็ง้างธนูขึ้น มีเสียงผึ่งดังขึ้น ธนูก้านยาวพุ่งตรงออกไปข้างหน้า

ขณะเดียวกันขุนนางผู้น้อยที่แฝงตัวเข้าไปในฝูงชนก็แกว่งไส้ตะเกียงในมือไปมา มืออีกข้างก็หมุนควงไหน้ำมันอย่างเพลินเพลินใจ

ตายเสียเถิด…

วินาทีนั้นศรธนูที่ทะยานเข้าก็เสียบทะลุลำคอของขุนนางผู้น้อยในทันใด

ขุนนางผู้น้อยตายจากไปโดยที่ยังไม่รู้สึกตัวเสียด้วยซ้ำ ร่างของเข้าล้มลงไปบนพื้น ไส้ตะเกียงที่จุดไฟแล้วร่วงหลนลงบนร่างของเขา ไหน้ำมันในมือก็หกรดบนร่าง

เสียงกรีดร้องดังขึ้น ทันใดนั้นเปลวเพลิงก็ลุกขึ้นท่ามกลางฝูงชน

เหล่าคนที่พากันวิ่งพล่านกรีดร้องขึ้นมาอย่างโกลาหล

นี่มันเกิดอะไรขึ้น นี่มันเกิดอะไรขึ้น

ทุกคนต่างตกตะลึง ศาลาพักม้าไฟไหม้ คนนอกศาลาก็ติดไฟเองได้อย่างนั้นหรือ

นายอากรและทหารอีกสี่คนที่ยืนอยู่ในเงามืดนิ่งชะงัก

พลาดทำไส้ตะเกียงและน้ำมันหกรดตัวเองอย่างนั้นหรือ

นี่คือความคิดแรกที่แล่นเข้ามาในหัวของนายอากร ทว่าจะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร เหตุใดจู่ๆ ถึงเป็นเช่นนั้นไปได้เล่า

แย่แล้ว! จะมาตายก่อนไฟดับได้อย่างไร!

เขารีบหันหลังกลับในทันที พลางจ้องมองไปยังกระโจมที่ตั้งอยู่ ห่างออกไปไม่ไกลก็เห็นศรธนูเล็งมาที่เขาท่ามกลางแสงไฟพร่ามัว

“มานี่!”

เสียงแหลมของหญิงสาวดังขึ้นท่ามกลางสายลมยามราตรี

เสียงนั้นพาให้ผู้คนหันมองมา ท่านชายหวังสิบเจ็ดก็ตาเบิกโพลงเช่นกัน

นางยกธนูขึ้นมาทำไมกัน จะดับไฟหรือ

นางเรียกผู้ใดให้เข้ามา

เขามองตามทางที่ศรธนูชี้ออกไป

ก็เห็นแสงไฟสีแดงกระพริบริบหรี่อยู่ท่ามกลางความมืด คนห้าคนยืนอยู่ที่มุมหนึ่งของศาลาพักม้า หนึ่งในนั้นมองมาอย่างตกตะลึง

“ไม่เชื่อง!” เฉิงเจียวเหนียงเอ่นก่อนจะลดธนูในมือลง

สายตาของนายอากรมองไม่เห็นรอบข้างแม้แต่นิด เขาเห็นเพียงเปลวไฟจากปลายศรธนูที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เมื่อด้านหลังศรธนูนั้น คือหญิงสาวร่างบางในผ้าคลุมที่ปลิวสไวเพราะแรงลม จากเงาที่เห็นเหมือนดั่งปีกของค้างคาวที่แผ่สยาย

นี่มันเกิดอะไรขึ้น

นั่นคือความคิดสุดท้ายที่ผุดขึ้นมาในหัวของนายอากร ก่อนที่ศรธนุจะแทงทะลุใต้คางของเขาและปักแน่นบนลำคอ ไม่มีแม้แต่เสียงร้องโหยหวน ร่างทั้งร่างล้มลงบนพื้นในทันใด ไม่ขยับไหวแม้แต่นิด

เมื่อเห็นคนตายอยู่ตรงหน้า ทหารองครักษ์ทั้งสี่นายก็ได้สติขึ้นมาในทันใด เสียงร้องของชายฉกรรจ์นั้นแหลมเล็กเสียงยิ่งกว่าเสียงกรีดร้องของหญิงสาว

มีคนฆ่ากัน!

มีคนฆ่ากัน!

กว่าผู้คนโดยรอบจะรู้ตัว ภาพเบื้องหน้าก็สับสนวุ่นวายไปหมด

มีคนฆ่ากัน! มีคนฆ่ากัน!

สายตาของท่านชายหวังสิบเจ็ดมองตามศรธนูที่พุ่งออกไป เพราะแสงจากเปลวไฟที่ลุกโชนก็เห็นคนคนหนึ่งล้มตายลงในพริบตา

ตั้งแต่เกิดมานี่เป็นครั้งที่เขาได้เห็นคนฆ่ากัน!

แถมคนฆ่ายังเป็นหญิงสาวอีกด้วย!

แถมหญิงผู้นั้นยังเป็นคู่หมั้นของเขาอีกด้วย!

เขาหันไปมองคู่หมั้นของตนอย่างเหม่อลอย…

เฉิงเจียวเหนียงคงถือธนูอยู่ในมือ ก่อนจะเอี้ยวตัวไปคว้าศรธนูจากด้านหลัง แล้วเล็งไปที่เหล่าทหารองครักษ์ที่กำลังร้องโหยหวน

“มานี่!” นางตะโกนคำเดิมออกไปอีกครั้ง

เหล่าทหารองครักษ์ที่แทบจะเสียสติไปแล้วไม่ได้ยินเสียงของนางเลยแม้แต่นิด ทว่าท่านชายหวังสิบเจ็ดนั้นได้ยินอย่างชัดเจน

มานี่…

ไม่เชื่อง…

เช่นนั้นก็ตายไปเสียเถิด…

ไม่เชื่อง… ก็ต้องตาย…

ท่านชายหวังสิบเจ็ดกลืนน้ำลายลงคอ

“มีคนฆ่ากัน!”

เขากรีดร้องออกมาก่อนหมดสติเป็นลมล้มไป หลีกหนีความโกลาหลวุ่นวาย ดำดิ่งสู่ความมืดมิดอันเงียบสงัด

ค่ำคืนอันมืดสนิท ศาลาพักม้าที่มีแต่เสียงโหวกเหวกโวยวายในที่สุดก็เงียบสงัดลง

โจมของเฉิงเจียวเหนียงที่ตั้งอยู่นอกศาลาพักม้าก็เพิ่งจะเงียบสงบลงหลังจากที่ท่านชายหวังสิบเจ็ดเข้ามาอาละวาดยกใหญ่

ปั้นฉินมองดูเฉิงเจียวเหนียงที่หลับตานอนอยู่บนแคร่ก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก นางโน้มตัวลงนอนบนเสื่ออย่างระมัดระวัง พอนอนลงก็มองเห็นคันธนูที่วางอยู่บนที่วางเท้าริมเตียงของเฉิงเจียวเหนียง

แม้จะอยู่ระหว่างทาง นิสัยเดิมของนายหญิงก็ไม่เคยเปลี่ยน คัดอักษร อ่านหนังสือและซ้อมธนู

ปั้นฉินยิ้มบางออกมา ก่อนจะหลับตานอนลง

เสียงฝีเท้าย่องเข้ามาทางด้านหลังของศาลาพักม้าดังขึ้น ทว่าความมืดมิดกลับกลืนกินจนมองไม่เห็นผู้ใด

ในโรงฝืนแสงไฟสว่างวาบ หากมองผ่านช่องหน้าต่างเข้าไปก็เห็นชายหนุ่มห้าคนที่ใบหน้าบอบช้ำถูกมัดติดกันอยู่ หน้าประตูมีทหารองครักษ์สองนาย กำลังขยี้ตาอ้าปากหาววอด

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่งบทที่ 321.2 ยกมือ (2)

Now you are reading พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง Chapter บทที่ 321.2 ยกมือ (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“กี่โมงแล้ว คนมาเปลี่ยนเวรเหตุใดยังมาไม่ถึงอีก…” คนหนึ่งเอ่ยขึ้น

“หลับไม่ตื่นกระมัง…” อีกคนหนึ่งยืนพิงกำแพงเอ่ยอย่างเกียจคร้าย พูดไม่ทันจบก็กระเด้งตัวยืนตรงในทันใด ก่อนจะไถลตัวไปตามกำแพง

คนฝั่งตรงเห็นแล้วก็หัวเราะชอบใจ

“เจ้าง่วงถึงเพียงนี้ จะมีแรงสู้ศึกได้อย่างไร… ” เขาเอ่ยพลางหัวเราะ ทว่ายังไม่ทันสิ้นเสียง ใบหูก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาบางอย่าง ดวงตาของเขาเบิกโพลง ยกมือขึ้นมากุมลำคอของตัวเอง เลือดไหลอาบผ่านซอกนิ้วมือ

“มี…”

หลังจากคำสุดท้ายที่เปล่งออกมาร่างของเขาก็ล้มลงบนพื้น

เสียงบางสิ่งกระทบพื้นพาให้คนทั้งห้าที่นั่งอยู่บนพื้นแตกตื่น ก่อนจะหันไปมองทหารองครักษ์ที่ “หลับจนล้ม” ลงบนพื้น

ประตูถูกเปิดออก

“หวังต้า!” ขุนนางร้องตะโกนอย่างตกใจในทันใด

นายอากรส่งเสียงชู่ให้เขาลดเสียง

“อยากตายหรืออย่างไร” เขาถลึงตาใส่พลางกดเสียงต่ำ

ด้านหลังมีคนตามเข้ามาอีกสองคน ก่อนจะช่วยกันปลุกและแก้มัดคนที่อยู่บนพื้น

“หวังต้า ข้ารู้ว่าเจ้าต้องมาช่วยข้าแน่นอน” ขุนนางผู้น้อยเอ่ยอย่างดีใจน้ำตาไหลนอง

นายอากรส่งเสียงถุย

“ไม่ได้เรื่อง” เขาเอ่ยพลางส่ายหน้า “เดินไหวหรือไม่ เร็วเข้า”

แม้จะถูกทุบตีจนเจ็บไปทั้งตัว แต่พอนึกถึงการหนีเอาชีวิตรอดแล้วทุกคนยังคงมีแรงฮึดขึ้นมา แต่ละคนพากันพยุงตัวเดินออกไปจากเรือน

“หวังต้า เช่นนี้จะมีประโยชน์อันใด พวกข้าหนีออกมาแบบนี้แล้ว วันหน้าจะเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งก็คงไม่มีหวังเสียแล้วสิ…” ขุนนางผู้น้อยนึกอะไรขึ้นได้ก็เอ่ยออกมาอย่างร้อนรนใจ

คนเราก็เป็นเสียอย่างนี้ มักใหญ่ใฝ่สูง ยามใกล้ตายก็ตะเกียดตะกายเอาชีวิตรอด พอรอดตายแล้วก็เอาแต่ห่วงลาภยศศักดิ์ศรี

“วางใจเถิด” นายอากรส่งเสียงฮึดฮัดก่อนจะหยิบของบางสิ่งออกมาจากแขนเสื้อ

ภายใต้แสงไฟสลัว เห็นขัดแล้วว่าสิ่งนั้นคืออะไร ดวงตาของขุนนางผู้น้อยก็พลันเบิกโพรงขึ้นมา

“ไส้ตะเกียง!” เขาร้องตะโกน ก่อนจะหันไปมองอีกสองคนข้างๆ ทีมีน้ำเต้าห้อยอยู่ที่เอว เป็นเพราะยืนใกล้กัน ยามลดพันผ่านจึงได้กลิ่นน้ำมันคละคลุ้ง เขาขบฟันกรอด “นี่มัน… นี่มัน…”

“เร็วเข้า” นายอากรถลึงตาเอ่ยบอกเข้า “หรือว่าเจ้าอยากจะนอนในหลุมด้วย”

ขุนนางผู้น้อยที่เพิ่งได้สติไม่กล้าเอ่ยอะไรไปมากกว่านั้น ก่อนจะรีบเดินออกไป

ไฟภายในศาลาพักม้าถูกพวกเขาใช้หินดับจนหมดก่อนหน้าแล้ว ความมืดปกคลุมชายเงาของชายทั้งหกที่ก้าวเดินออกไป วินาทีที่ก้าวเท้าออกจากศาลาพักม้า ด้านหลังของพวกเขาก็มีกองเพลิงลุกโชนขึ้น

“ไฟไหม้!”

ภายในศาลาพักม้ายังไม่มีเสียงร้องตะโกนแต่อย่างใด ทว่ากลับมีเสียงดังมาจากข้างนอก ชายทั้งหกพลันตกใจขึ้นมา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาเห็นว่ากระโจมตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม มีคนสี่คนถือคบเพลิงเฝ้าเวรยามอยู่

หลังจากเสียงตะโกนของพวกเขา คนภายในศาลาพักม้าก็รู้สึกตัวในทันใด ก่อนจะมีเสียงร้องไห้เสียงตะโกนโหวกเหวกโกลาหลตามมา

ลมราตรีพัดกรรโชก เปลวเพลิงลุกโชนภายในพริบตา

พ่อบ้านเฉาและเหล่าบ่าวตื่นขึ้นมาแล้ว พอเห็นภาพเบื้องหน้าก็ตกใจในบัดดล

“รีบดับไฟ!”

ทุกคนพากันกรูเข้าไป

“ไปแค่สิบคนก็พอ ที่เหลืออยู่คอยคุ้มกันกระโจม” พ่อบ้านเฉาตะโกนสั่งการ

ทันใดนั้นก็มีคนหอบข้าวของหม้อไหที่ยังไม่ทันได้เก็บดีวิ่งออกมา

ภายในศาลาพักม้าโกลาหลวุ่นวาย

ยามมองดูกองเพลิงโหมกระพือ ความหวาดกลัวที่เคยมีในจิตใจก็พลันหายไป แทนที่ด้วยความลิงโลด

คิดจะพรากชีวิตและครอบครัวของข้าไปอย่างนั้นหรือ ไม่ง่ายดายเช่นนั้นหรอก!

ขุนนางผู้น้อยเหลียวไปมองศาลาพักม้าอย่างลำพองใจ แสงจากกองเพลิงสว่างจ้าขึ้นเรื่อยๆ สะท้อนร่างของพวกเขาให้เห็นอย่างชัดเจน

“พวกเจ้าไปหาที่หลบซ่อนตัวก่อน” นายอากรเอ่ยพลางก้าวเดินต่อไปข้างหน้า ทว่ากลับหันไปเห็นขุนนางผู้น้อยมองออกไปริมทาง

“โธ่เว้ย นังสารเลวนั่นทำแผนการของข้าพังพินาศ ทำให้พวกข้าต้องโดนทุบตี!” ขุนนางผู้น้อยเอ่ยอย่างโกรธแค้น

พอหันไปมองตามสายตาของเขา นายอากรก็เห็นว่ามีคนวิ่งออกมาจากกระโจมมากมาย ทั้งยังเหลือคนยืนเฝ้าเวรที่ข้างกระโจม ที่พากันชี้นิ้วไปทางศาลาพักม้าด้วยสีหน้าหวาดกลัว

ทั้งยังมีหญิงสาวอีกสองคนเดินออกมาจากกระโจม

“เจ้าพวกนั้นน่ะหรือที่ร้องทุกข์จนแผนของพวกเราพังยับเยิน” เขาถาม

ขุนนางผู้น้อยพยักหน้า

“แถมพวกมันยังทุบตีข้าอีกต่างหาก” เขาเอ่ยพลางเหลียวไปมองทหารสี่นาย

ทหารทั้งสี่พยักหน้า

“หวังต้า เอาไส้ตะเกียงมาให้ข้า…” จู่ๆ ขุนนางผู้น้อยก็เอ่ยขึ้น ก่อนจะยื่นมือออกมา

“จะทำอะไร” นายอากรเอ่ย “รีบไปหาที่ซ่อนตัวเถิด พอไหม้เสร็จแล้วพวกเจ้าจะออกมา”

“ข้าจะจุดไฟให้ความอบอุ่นแก่พวกมันเสียหน่อย” ขุนนางผู้น้อยเอ่ยพลางหัวเราะ

ถึงคราวสั่งสอนเจ้าพวกไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงสักที

นายอากรชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะยื่นไส้ตะเกียงในมือให้เขาพร้อมกับไหน้ำมัน

ยามนี้ผู้คนวิ่งพล่านอยู่ด้านนอกศาลาพักม้าก็มารวมกลุ่มกันแล้ว ขุนนางผู้น้อยไม่กลัวว่าผู้ใดจะเห็นข้า มือข้างหนึ่งถือไส้ตะเกียง มือข้างหนึ่งถึงไหน้ำมันก่อนจะวิ่งแฝงตัวเข้าไปในฝูงชน

“เกิดอะไรขึ้น เกิดอะไรขึ้น” ท่านชายหวังสิบเจ็ดสะบัดผ้าคลุมออก ผมเพ่ายุ่งเหยิงก่อนจะตกตะลึงเมื่อได้เห็นศาลาพักม้า ปากก็ร้องไม่หยุด “อยู่ดีๆ เหตุใดถึงไฟไหม้ได้!”

ไม่มีผู้ใดตอบเขา เพราะมีฝูงชนวิ่งไปมามากมาย เหล่าผู้ติดตามก็มัวแต่คอยกัดพวกเขาไม่ให้วิ่งเข้ามา

มีเพียงบ่าวชราที่ยืนอยู่ข้างท่านชายหวังสิบเจ็ด ปั้นฉินเองก็ยืนอยู่ข้างเฉิงเจียวเหนียงที่หน้ากระโจมมองดูกองเพลิงมอดไหม้

หากเทียบกับท่านชายหวังสิบเจ็ดที่ตกใจแล้ว บ่าวชรานั้นตกใจยิ่งกว่า เขามองดูกองไฟ แล้วหันไปมองเฉิงเจียวเหนียง

มีอันตรายจริงๆ ด้วย…

นางเป็นเทพเซียนผู้หยั่งรู้หรืออย่างไร

เป็นไปได้อย่างไร เรื่องบังเอิญอย่างนั้นหรือ

ทันในนั้นดวงตาของเขาก็เบิกโพลงขึ้นมา จ้องมองแม่นางน้อยที่แหวกผ้าคลุมผืนใหญ่ออกมา ก่อนจะชูของบางสิ่งในมือขึ้น

นั่นคือ..ธนูอย่างนั้นหรือ!

นางคิดจะทำอย่างไร

ขณะเดียวกันกับที่เขาจ้องมองอยู่นั้น แม่นางผู้นั้นก็ง้างธนูขึ้น มีเสียงผึ่งดังขึ้น ธนูก้านยาวพุ่งตรงออกไปข้างหน้า

ขณะเดียวกันขุนนางผู้น้อยที่แฝงตัวเข้าไปในฝูงชนก็แกว่งไส้ตะเกียงในมือไปมา มืออีกข้างก็หมุนควงไหน้ำมันอย่างเพลินเพลินใจ

ตายเสียเถิด…

วินาทีนั้นศรธนูที่ทะยานเข้าก็เสียบทะลุลำคอของขุนนางผู้น้อยในทันใด

ขุนนางผู้น้อยตายจากไปโดยที่ยังไม่รู้สึกตัวเสียด้วยซ้ำ ร่างของเข้าล้มลงไปบนพื้น ไส้ตะเกียงที่จุดไฟแล้วร่วงหลนลงบนร่างของเขา ไหน้ำมันในมือก็หกรดบนร่าง

เสียงกรีดร้องดังขึ้น ทันใดนั้นเปลวเพลิงก็ลุกขึ้นท่ามกลางฝูงชน

เหล่าคนที่พากันวิ่งพล่านกรีดร้องขึ้นมาอย่างโกลาหล

นี่มันเกิดอะไรขึ้น นี่มันเกิดอะไรขึ้น

ทุกคนต่างตกตะลึง ศาลาพักม้าไฟไหม้ คนนอกศาลาก็ติดไฟเองได้อย่างนั้นหรือ

นายอากรและทหารอีกสี่คนที่ยืนอยู่ในเงามืดนิ่งชะงัก

พลาดทำไส้ตะเกียงและน้ำมันหกรดตัวเองอย่างนั้นหรือ

นี่คือความคิดแรกที่แล่นเข้ามาในหัวของนายอากร ทว่าจะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร เหตุใดจู่ๆ ถึงเป็นเช่นนั้นไปได้เล่า

แย่แล้ว! จะมาตายก่อนไฟดับได้อย่างไร!

เขารีบหันหลังกลับในทันที พลางจ้องมองไปยังกระโจมที่ตั้งอยู่ ห่างออกไปไม่ไกลก็เห็นศรธนูเล็งมาที่เขาท่ามกลางแสงไฟพร่ามัว

“มานี่!”

เสียงแหลมของหญิงสาวดังขึ้นท่ามกลางสายลมยามราตรี

เสียงนั้นพาให้ผู้คนหันมองมา ท่านชายหวังสิบเจ็ดก็ตาเบิกโพลงเช่นกัน

นางยกธนูขึ้นมาทำไมกัน จะดับไฟหรือ

นางเรียกผู้ใดให้เข้ามา

เขามองตามทางที่ศรธนูชี้ออกไป

ก็เห็นแสงไฟสีแดงกระพริบริบหรี่อยู่ท่ามกลางความมืด คนห้าคนยืนอยู่ที่มุมหนึ่งของศาลาพักม้า หนึ่งในนั้นมองมาอย่างตกตะลึง

“ไม่เชื่อง!” เฉิงเจียวเหนียงเอ่นก่อนจะลดธนูในมือลง

สายตาของนายอากรมองไม่เห็นรอบข้างแม้แต่นิด เขาเห็นเพียงเปลวไฟจากปลายศรธนูที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เมื่อด้านหลังศรธนูนั้น คือหญิงสาวร่างบางในผ้าคลุมที่ปลิวสไวเพราะแรงลม จากเงาที่เห็นเหมือนดั่งปีกของค้างคาวที่แผ่สยาย

นี่มันเกิดอะไรขึ้น

นั่นคือความคิดสุดท้ายที่ผุดขึ้นมาในหัวของนายอากร ก่อนที่ศรธนุจะแทงทะลุใต้คางของเขาและปักแน่นบนลำคอ ไม่มีแม้แต่เสียงร้องโหยหวน ร่างทั้งร่างล้มลงบนพื้นในทันใด ไม่ขยับไหวแม้แต่นิด

เมื่อเห็นคนตายอยู่ตรงหน้า ทหารองครักษ์ทั้งสี่นายก็ได้สติขึ้นมาในทันใด เสียงร้องของชายฉกรรจ์นั้นแหลมเล็กเสียงยิ่งกว่าเสียงกรีดร้องของหญิงสาว

มีคนฆ่ากัน!

มีคนฆ่ากัน!

กว่าผู้คนโดยรอบจะรู้ตัว ภาพเบื้องหน้าก็สับสนวุ่นวายไปหมด

มีคนฆ่ากัน! มีคนฆ่ากัน!

สายตาของท่านชายหวังสิบเจ็ดมองตามศรธนูที่พุ่งออกไป เพราะแสงจากเปลวไฟที่ลุกโชนก็เห็นคนคนหนึ่งล้มตายลงในพริบตา

ตั้งแต่เกิดมานี่เป็นครั้งที่เขาได้เห็นคนฆ่ากัน!

แถมคนฆ่ายังเป็นหญิงสาวอีกด้วย!

แถมหญิงผู้นั้นยังเป็นคู่หมั้นของเขาอีกด้วย!

เขาหันไปมองคู่หมั้นของตนอย่างเหม่อลอย…

เฉิงเจียวเหนียงคงถือธนูอยู่ในมือ ก่อนจะเอี้ยวตัวไปคว้าศรธนูจากด้านหลัง แล้วเล็งไปที่เหล่าทหารองครักษ์ที่กำลังร้องโหยหวน

“มานี่!” นางตะโกนคำเดิมออกไปอีกครั้ง

เหล่าทหารองครักษ์ที่แทบจะเสียสติไปแล้วไม่ได้ยินเสียงของนางเลยแม้แต่นิด ทว่าท่านชายหวังสิบเจ็ดนั้นได้ยินอย่างชัดเจน

มานี่…

ไม่เชื่อง…

เช่นนั้นก็ตายไปเสียเถิด…

ไม่เชื่อง… ก็ต้องตาย…

ท่านชายหวังสิบเจ็ดกลืนน้ำลายลงคอ

“มีคนฆ่ากัน!”

เขากรีดร้องออกมาก่อนหมดสติเป็นลมล้มไป หลีกหนีความโกลาหลวุ่นวาย ดำดิ่งสู่ความมืดมิดอันเงียบสงัด

ค่ำคืนอันมืดสนิท ศาลาพักม้าที่มีแต่เสียงโหวกเหวกโวยวายในที่สุดก็เงียบสงัดลง

โจมของเฉิงเจียวเหนียงที่ตั้งอยู่นอกศาลาพักม้าก็เพิ่งจะเงียบสงบลงหลังจากที่ท่านชายหวังสิบเจ็ดเข้ามาอาละวาดยกใหญ่

ปั้นฉินมองดูเฉิงเจียวเหนียงที่หลับตานอนอยู่บนแคร่ก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก นางโน้มตัวลงนอนบนเสื่ออย่างระมัดระวัง พอนอนลงก็มองเห็นคันธนูที่วางอยู่บนที่วางเท้าริมเตียงของเฉิงเจียวเหนียง

แม้จะอยู่ระหว่างทาง นิสัยเดิมของนายหญิงก็ไม่เคยเปลี่ยน คัดอักษร อ่านหนังสือและซ้อมธนู

ปั้นฉินยิ้มบางออกมา ก่อนจะหลับตานอนลง

เสียงฝีเท้าย่องเข้ามาทางด้านหลังของศาลาพักม้าดังขึ้น ทว่าความมืดมิดกลับกลืนกินจนมองไม่เห็นผู้ใด

ในโรงฝืนแสงไฟสว่างวาบ หากมองผ่านช่องหน้าต่างเข้าไปก็เห็นชายหนุ่มห้าคนที่ใบหน้าบอบช้ำถูกมัดติดกันอยู่ หน้าประตูมีทหารองครักษ์สองนาย กำลังขยี้ตาอ้าปากหาววอด

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่งบทที่ 321.2 ยกมือ (2)

Now you are reading พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง Chapter บทที่ 321.2 ยกมือ (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“กี่โมงแล้ว คนมาเปลี่ยนเวรเหตุใดยังมาไม่ถึงอีก…” คนหนึ่งเอ่ยขึ้น

“หลับไม่ตื่นกระมัง…” อีกคนหนึ่งยืนพิงกำแพงเอ่ยอย่างเกียจคร้าย พูดไม่ทันจบก็กระเด้งตัวยืนตรงในทันใด ก่อนจะไถลตัวไปตามกำแพง

คนฝั่งตรงเห็นแล้วก็หัวเราะชอบใจ

“เจ้าง่วงถึงเพียงนี้ จะมีแรงสู้ศึกได้อย่างไร… ” เขาเอ่ยพลางหัวเราะ ทว่ายังไม่ทันสิ้นเสียง ใบหูก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาบางอย่าง ดวงตาของเขาเบิกโพลง ยกมือขึ้นมากุมลำคอของตัวเอง เลือดไหลอาบผ่านซอกนิ้วมือ

“มี…”

หลังจากคำสุดท้ายที่เปล่งออกมาร่างของเขาก็ล้มลงบนพื้น

เสียงบางสิ่งกระทบพื้นพาให้คนทั้งห้าที่นั่งอยู่บนพื้นแตกตื่น ก่อนจะหันไปมองทหารองครักษ์ที่ “หลับจนล้ม” ลงบนพื้น

ประตูถูกเปิดออก

“หวังต้า!” ขุนนางร้องตะโกนอย่างตกใจในทันใด

นายอากรส่งเสียงชู่ให้เขาลดเสียง

“อยากตายหรืออย่างไร” เขาถลึงตาใส่พลางกดเสียงต่ำ

ด้านหลังมีคนตามเข้ามาอีกสองคน ก่อนจะช่วยกันปลุกและแก้มัดคนที่อยู่บนพื้น

“หวังต้า ข้ารู้ว่าเจ้าต้องมาช่วยข้าแน่นอน” ขุนนางผู้น้อยเอ่ยอย่างดีใจน้ำตาไหลนอง

นายอากรส่งเสียงถุย

“ไม่ได้เรื่อง” เขาเอ่ยพลางส่ายหน้า “เดินไหวหรือไม่ เร็วเข้า”

แม้จะถูกทุบตีจนเจ็บไปทั้งตัว แต่พอนึกถึงการหนีเอาชีวิตรอดแล้วทุกคนยังคงมีแรงฮึดขึ้นมา แต่ละคนพากันพยุงตัวเดินออกไปจากเรือน

“หวังต้า เช่นนี้จะมีประโยชน์อันใด พวกข้าหนีออกมาแบบนี้แล้ว วันหน้าจะเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งก็คงไม่มีหวังเสียแล้วสิ…” ขุนนางผู้น้อยนึกอะไรขึ้นได้ก็เอ่ยออกมาอย่างร้อนรนใจ

คนเราก็เป็นเสียอย่างนี้ มักใหญ่ใฝ่สูง ยามใกล้ตายก็ตะเกียดตะกายเอาชีวิตรอด พอรอดตายแล้วก็เอาแต่ห่วงลาภยศศักดิ์ศรี

“วางใจเถิด” นายอากรส่งเสียงฮึดฮัดก่อนจะหยิบของบางสิ่งออกมาจากแขนเสื้อ

ภายใต้แสงไฟสลัว เห็นขัดแล้วว่าสิ่งนั้นคืออะไร ดวงตาของขุนนางผู้น้อยก็พลันเบิกโพรงขึ้นมา

“ไส้ตะเกียง!” เขาร้องตะโกน ก่อนจะหันไปมองอีกสองคนข้างๆ ทีมีน้ำเต้าห้อยอยู่ที่เอว เป็นเพราะยืนใกล้กัน ยามลดพันผ่านจึงได้กลิ่นน้ำมันคละคลุ้ง เขาขบฟันกรอด “นี่มัน… นี่มัน…”

“เร็วเข้า” นายอากรถลึงตาเอ่ยบอกเข้า “หรือว่าเจ้าอยากจะนอนในหลุมด้วย”

ขุนนางผู้น้อยที่เพิ่งได้สติไม่กล้าเอ่ยอะไรไปมากกว่านั้น ก่อนจะรีบเดินออกไป

ไฟภายในศาลาพักม้าถูกพวกเขาใช้หินดับจนหมดก่อนหน้าแล้ว ความมืดปกคลุมชายเงาของชายทั้งหกที่ก้าวเดินออกไป วินาทีที่ก้าวเท้าออกจากศาลาพักม้า ด้านหลังของพวกเขาก็มีกองเพลิงลุกโชนขึ้น

“ไฟไหม้!”

ภายในศาลาพักม้ายังไม่มีเสียงร้องตะโกนแต่อย่างใด ทว่ากลับมีเสียงดังมาจากข้างนอก ชายทั้งหกพลันตกใจขึ้นมา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาเห็นว่ากระโจมตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม มีคนสี่คนถือคบเพลิงเฝ้าเวรยามอยู่

หลังจากเสียงตะโกนของพวกเขา คนภายในศาลาพักม้าก็รู้สึกตัวในทันใด ก่อนจะมีเสียงร้องไห้เสียงตะโกนโหวกเหวกโกลาหลตามมา

ลมราตรีพัดกรรโชก เปลวเพลิงลุกโชนภายในพริบตา

พ่อบ้านเฉาและเหล่าบ่าวตื่นขึ้นมาแล้ว พอเห็นภาพเบื้องหน้าก็ตกใจในบัดดล

“รีบดับไฟ!”

ทุกคนพากันกรูเข้าไป

“ไปแค่สิบคนก็พอ ที่เหลืออยู่คอยคุ้มกันกระโจม” พ่อบ้านเฉาตะโกนสั่งการ

ทันใดนั้นก็มีคนหอบข้าวของหม้อไหที่ยังไม่ทันได้เก็บดีวิ่งออกมา

ภายในศาลาพักม้าโกลาหลวุ่นวาย

ยามมองดูกองเพลิงโหมกระพือ ความหวาดกลัวที่เคยมีในจิตใจก็พลันหายไป แทนที่ด้วยความลิงโลด

คิดจะพรากชีวิตและครอบครัวของข้าไปอย่างนั้นหรือ ไม่ง่ายดายเช่นนั้นหรอก!

ขุนนางผู้น้อยเหลียวไปมองศาลาพักม้าอย่างลำพองใจ แสงจากกองเพลิงสว่างจ้าขึ้นเรื่อยๆ สะท้อนร่างของพวกเขาให้เห็นอย่างชัดเจน

“พวกเจ้าไปหาที่หลบซ่อนตัวก่อน” นายอากรเอ่ยพลางก้าวเดินต่อไปข้างหน้า ทว่ากลับหันไปเห็นขุนนางผู้น้อยมองออกไปริมทาง

“โธ่เว้ย นังสารเลวนั่นทำแผนการของข้าพังพินาศ ทำให้พวกข้าต้องโดนทุบตี!” ขุนนางผู้น้อยเอ่ยอย่างโกรธแค้น

พอหันไปมองตามสายตาของเขา นายอากรก็เห็นว่ามีคนวิ่งออกมาจากกระโจมมากมาย ทั้งยังเหลือคนยืนเฝ้าเวรที่ข้างกระโจม ที่พากันชี้นิ้วไปทางศาลาพักม้าด้วยสีหน้าหวาดกลัว

ทั้งยังมีหญิงสาวอีกสองคนเดินออกมาจากกระโจม

“เจ้าพวกนั้นน่ะหรือที่ร้องทุกข์จนแผนของพวกเราพังยับเยิน” เขาถาม

ขุนนางผู้น้อยพยักหน้า

“แถมพวกมันยังทุบตีข้าอีกต่างหาก” เขาเอ่ยพลางเหลียวไปมองทหารสี่นาย

ทหารทั้งสี่พยักหน้า

“หวังต้า เอาไส้ตะเกียงมาให้ข้า…” จู่ๆ ขุนนางผู้น้อยก็เอ่ยขึ้น ก่อนจะยื่นมือออกมา

“จะทำอะไร” นายอากรเอ่ย “รีบไปหาที่ซ่อนตัวเถิด พอไหม้เสร็จแล้วพวกเจ้าจะออกมา”

“ข้าจะจุดไฟให้ความอบอุ่นแก่พวกมันเสียหน่อย” ขุนนางผู้น้อยเอ่ยพลางหัวเราะ

ถึงคราวสั่งสอนเจ้าพวกไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงสักที

นายอากรชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะยื่นไส้ตะเกียงในมือให้เขาพร้อมกับไหน้ำมัน

ยามนี้ผู้คนวิ่งพล่านอยู่ด้านนอกศาลาพักม้าก็มารวมกลุ่มกันแล้ว ขุนนางผู้น้อยไม่กลัวว่าผู้ใดจะเห็นข้า มือข้างหนึ่งถือไส้ตะเกียง มือข้างหนึ่งถึงไหน้ำมันก่อนจะวิ่งแฝงตัวเข้าไปในฝูงชน

“เกิดอะไรขึ้น เกิดอะไรขึ้น” ท่านชายหวังสิบเจ็ดสะบัดผ้าคลุมออก ผมเพ่ายุ่งเหยิงก่อนจะตกตะลึงเมื่อได้เห็นศาลาพักม้า ปากก็ร้องไม่หยุด “อยู่ดีๆ เหตุใดถึงไฟไหม้ได้!”

ไม่มีผู้ใดตอบเขา เพราะมีฝูงชนวิ่งไปมามากมาย เหล่าผู้ติดตามก็มัวแต่คอยกัดพวกเขาไม่ให้วิ่งเข้ามา

มีเพียงบ่าวชราที่ยืนอยู่ข้างท่านชายหวังสิบเจ็ด ปั้นฉินเองก็ยืนอยู่ข้างเฉิงเจียวเหนียงที่หน้ากระโจมมองดูกองเพลิงมอดไหม้

หากเทียบกับท่านชายหวังสิบเจ็ดที่ตกใจแล้ว บ่าวชรานั้นตกใจยิ่งกว่า เขามองดูกองไฟ แล้วหันไปมองเฉิงเจียวเหนียง

มีอันตรายจริงๆ ด้วย…

นางเป็นเทพเซียนผู้หยั่งรู้หรืออย่างไร

เป็นไปได้อย่างไร เรื่องบังเอิญอย่างนั้นหรือ

ทันในนั้นดวงตาของเขาก็เบิกโพลงขึ้นมา จ้องมองแม่นางน้อยที่แหวกผ้าคลุมผืนใหญ่ออกมา ก่อนจะชูของบางสิ่งในมือขึ้น

นั่นคือ..ธนูอย่างนั้นหรือ!

นางคิดจะทำอย่างไร

ขณะเดียวกันกับที่เขาจ้องมองอยู่นั้น แม่นางผู้นั้นก็ง้างธนูขึ้น มีเสียงผึ่งดังขึ้น ธนูก้านยาวพุ่งตรงออกไปข้างหน้า

ขณะเดียวกันขุนนางผู้น้อยที่แฝงตัวเข้าไปในฝูงชนก็แกว่งไส้ตะเกียงในมือไปมา มืออีกข้างก็หมุนควงไหน้ำมันอย่างเพลินเพลินใจ

ตายเสียเถิด…

วินาทีนั้นศรธนูที่ทะยานเข้าก็เสียบทะลุลำคอของขุนนางผู้น้อยในทันใด

ขุนนางผู้น้อยตายจากไปโดยที่ยังไม่รู้สึกตัวเสียด้วยซ้ำ ร่างของเข้าล้มลงไปบนพื้น ไส้ตะเกียงที่จุดไฟแล้วร่วงหลนลงบนร่างของเขา ไหน้ำมันในมือก็หกรดบนร่าง

เสียงกรีดร้องดังขึ้น ทันใดนั้นเปลวเพลิงก็ลุกขึ้นท่ามกลางฝูงชน

เหล่าคนที่พากันวิ่งพล่านกรีดร้องขึ้นมาอย่างโกลาหล

นี่มันเกิดอะไรขึ้น นี่มันเกิดอะไรขึ้น

ทุกคนต่างตกตะลึง ศาลาพักม้าไฟไหม้ คนนอกศาลาก็ติดไฟเองได้อย่างนั้นหรือ

นายอากรและทหารอีกสี่คนที่ยืนอยู่ในเงามืดนิ่งชะงัก

พลาดทำไส้ตะเกียงและน้ำมันหกรดตัวเองอย่างนั้นหรือ

นี่คือความคิดแรกที่แล่นเข้ามาในหัวของนายอากร ทว่าจะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร เหตุใดจู่ๆ ถึงเป็นเช่นนั้นไปได้เล่า

แย่แล้ว! จะมาตายก่อนไฟดับได้อย่างไร!

เขารีบหันหลังกลับในทันที พลางจ้องมองไปยังกระโจมที่ตั้งอยู่ ห่างออกไปไม่ไกลก็เห็นศรธนูเล็งมาที่เขาท่ามกลางแสงไฟพร่ามัว

“มานี่!”

เสียงแหลมของหญิงสาวดังขึ้นท่ามกลางสายลมยามราตรี

เสียงนั้นพาให้ผู้คนหันมองมา ท่านชายหวังสิบเจ็ดก็ตาเบิกโพลงเช่นกัน

นางยกธนูขึ้นมาทำไมกัน จะดับไฟหรือ

นางเรียกผู้ใดให้เข้ามา

เขามองตามทางที่ศรธนูชี้ออกไป

ก็เห็นแสงไฟสีแดงกระพริบริบหรี่อยู่ท่ามกลางความมืด คนห้าคนยืนอยู่ที่มุมหนึ่งของศาลาพักม้า หนึ่งในนั้นมองมาอย่างตกตะลึง

“ไม่เชื่อง!” เฉิงเจียวเหนียงเอ่นก่อนจะลดธนูในมือลง

สายตาของนายอากรมองไม่เห็นรอบข้างแม้แต่นิด เขาเห็นเพียงเปลวไฟจากปลายศรธนูที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เมื่อด้านหลังศรธนูนั้น คือหญิงสาวร่างบางในผ้าคลุมที่ปลิวสไวเพราะแรงลม จากเงาที่เห็นเหมือนดั่งปีกของค้างคาวที่แผ่สยาย

นี่มันเกิดอะไรขึ้น

นั่นคือความคิดสุดท้ายที่ผุดขึ้นมาในหัวของนายอากร ก่อนที่ศรธนุจะแทงทะลุใต้คางของเขาและปักแน่นบนลำคอ ไม่มีแม้แต่เสียงร้องโหยหวน ร่างทั้งร่างล้มลงบนพื้นในทันใด ไม่ขยับไหวแม้แต่นิด

เมื่อเห็นคนตายอยู่ตรงหน้า ทหารองครักษ์ทั้งสี่นายก็ได้สติขึ้นมาในทันใด เสียงร้องของชายฉกรรจ์นั้นแหลมเล็กเสียงยิ่งกว่าเสียงกรีดร้องของหญิงสาว

มีคนฆ่ากัน!

มีคนฆ่ากัน!

กว่าผู้คนโดยรอบจะรู้ตัว ภาพเบื้องหน้าก็สับสนวุ่นวายไปหมด

มีคนฆ่ากัน! มีคนฆ่ากัน!

สายตาของท่านชายหวังสิบเจ็ดมองตามศรธนูที่พุ่งออกไป เพราะแสงจากเปลวไฟที่ลุกโชนก็เห็นคนคนหนึ่งล้มตายลงในพริบตา

ตั้งแต่เกิดมานี่เป็นครั้งที่เขาได้เห็นคนฆ่ากัน!

แถมคนฆ่ายังเป็นหญิงสาวอีกด้วย!

แถมหญิงผู้นั้นยังเป็นคู่หมั้นของเขาอีกด้วย!

เขาหันไปมองคู่หมั้นของตนอย่างเหม่อลอย…

เฉิงเจียวเหนียงคงถือธนูอยู่ในมือ ก่อนจะเอี้ยวตัวไปคว้าศรธนูจากด้านหลัง แล้วเล็งไปที่เหล่าทหารองครักษ์ที่กำลังร้องโหยหวน

“มานี่!” นางตะโกนคำเดิมออกไปอีกครั้ง

เหล่าทหารองครักษ์ที่แทบจะเสียสติไปแล้วไม่ได้ยินเสียงของนางเลยแม้แต่นิด ทว่าท่านชายหวังสิบเจ็ดนั้นได้ยินอย่างชัดเจน

มานี่…

ไม่เชื่อง…

เช่นนั้นก็ตายไปเสียเถิด…

ไม่เชื่อง… ก็ต้องตาย…

ท่านชายหวังสิบเจ็ดกลืนน้ำลายลงคอ

“มีคนฆ่ากัน!”

เขากรีดร้องออกมาก่อนหมดสติเป็นลมล้มไป หลีกหนีความโกลาหลวุ่นวาย ดำดิ่งสู่ความมืดมิดอันเงียบสงัด

ค่ำคืนอันมืดสนิท ศาลาพักม้าที่มีแต่เสียงโหวกเหวกโวยวายในที่สุดก็เงียบสงัดลง

โจมของเฉิงเจียวเหนียงที่ตั้งอยู่นอกศาลาพักม้าก็เพิ่งจะเงียบสงบลงหลังจากที่ท่านชายหวังสิบเจ็ดเข้ามาอาละวาดยกใหญ่

ปั้นฉินมองดูเฉิงเจียวเหนียงที่หลับตานอนอยู่บนแคร่ก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก นางโน้มตัวลงนอนบนเสื่ออย่างระมัดระวัง พอนอนลงก็มองเห็นคันธนูที่วางอยู่บนที่วางเท้าริมเตียงของเฉิงเจียวเหนียง

แม้จะอยู่ระหว่างทาง นิสัยเดิมของนายหญิงก็ไม่เคยเปลี่ยน คัดอักษร อ่านหนังสือและซ้อมธนู

ปั้นฉินยิ้มบางออกมา ก่อนจะหลับตานอนลง

เสียงฝีเท้าย่องเข้ามาทางด้านหลังของศาลาพักม้าดังขึ้น ทว่าความมืดมิดกลับกลืนกินจนมองไม่เห็นผู้ใด

ในโรงฝืนแสงไฟสว่างวาบ หากมองผ่านช่องหน้าต่างเข้าไปก็เห็นชายหนุ่มห้าคนที่ใบหน้าบอบช้ำถูกมัดติดกันอยู่ หน้าประตูมีทหารองครักษ์สองนาย กำลังขยี้ตาอ้าปากหาววอด

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+