พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่งบทที่ 368 ค่อยเป็นค่อยไป

Now you are reading พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง Chapter บทที่ 368 ค่อยเป็นค่อยไป at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

รถม้าหยุดลงบนถนนใหญ่อีกครั้ง บ่าวหญิงทั้งสองนางและปั้นฉินพากันหอบจากหนังสือรถม้าคันหลังเข้ามา

“นายหญิง เท่านี้พอหรือยังเจ้าคะ” พวกนางถาม

ม่านรถถูกแหวกออก เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้ามองดูกองหนังสือที่พวกนางขนเข้ามา

รถม้าที่เดิมทีไม่ได้ใหญ่โตอะไรนักนั้นมีหนังสือกองอยู่เต็มไปหมด พอยามนี้ขนเข้ามาอีกก็ยิ่งทำให้ดูแออัดเสียยิ่งกว่าเดิม

“นายหญิงอ่านสักครู่แล้วพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ เพ่งมากไปจะเสียสายตาเอา” ปั้นฉินตัดพ้อ

เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า ในมือยังคงเปิดหนังสืออยู่

รถม้าเคลื่อนต่อไปอย่างเชื่องช้า

เพราะเป็นตระกูลที่สืบทอดตำแหน่งโหรหลวงกันมารุ่นสู่รุ่น การอ่านตำราพงศาวดารจึงเป็นสิ่งที่นางทำมาตั้งแต่เล็ก แต่พอนึกย้อนกลับไป ตอนนี้นางกลับจำเรื่องราวที่บันทึกในหนังสือที่ตนเคยเปิดอ่านไม่ได้สักเท่าไหร่

นั่นเป็นเพราะในตำราจดบันทึกเพียงเรื่องราวสำคัญ ประวัติศาสตร์ยาวนานรับร้อยปี เรื่องราวของผู้คนนั้นเล็กน้อยเสียจนไม่ควรค่าแก่การบันทึกเลยหรือไร คนมีชื่อเสียงที่นางเคยได้ยินชื่อหรือได้พบเจอในตอนนี้ กลับไม่มีผู้ใดถูกบันทึกเรื่องราวไว้ในประวัติศาสตร์เลยสักคน

อย่างเช่นเหล่าขุนนางผู้ยิ่งใหญ่กลับไม่มีผู้ใดนามว่าเฉินเซ่า แต่เรื่องของจางฉุนนั้นยังพอมีอยู่ในบันทึกบ้าง แต่ก็เขียนไว้เพียงแค่ว่าเขาคือผู้ถ่ายทอดคำสอนของขงจื๊อเท่านั้น ทว่าไม่มีเรื่องราวยามที่เขาเข้าร่วมพิพากษาคดีในราชสำนัก ยิ่งเรื่องของตระกูลฉินหรือตระกูลโจวก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

ฮ่องเต้องค์ต่อไปคือลูกชายคนโตสินะ

เฉิงเจียวเหนียงวางหนังสือในมือลงก่อนจะยกนิ้วขึ้นนับ หลังจากนี้อีกห้าปีเขาจะขึ้นครองราชย์ ครองบัลลังก์นานกว่าสี่สิบห้าปี ส่วนผู้คนก็เพิ่งจะเห็นความสามารถของเฉิงผิงผู้เป็นบรรพบุรุษของนางในตอนนั้น ทว่าตระกูลเฉิงยังไม่เริ่มเข้าสู่ราชสำนักในตอนนั้น เพราะความจริงแล้วท่านบรรพบุรุษนั้นใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย อยู่ในเมืองป่าเขาอย่างเจียวโจว เขียนตำราเผยแพร่ ใช้ชีวิตอย่างสันโดษมาโดยตลอด

ถึงอย่างนั้นก็เหมือนกับตระกูลอื่นๆ รุ่นแรกของตระกูลเป็นผู้วางรากฐาน รุ่นที่สองสืบสาน จนมาถึงรุ่นที่สามจึงจะเจริญรุ่งเรือง

รากฐานที่บรรพบุรุษเฉิงผิงทิ้งไว้ใช้ชนรุ่นหลังคือตำราโบราณที่เขาเขียน คำสอนอันลึกซึ้งและชื่อเสียงที่สั่งสมมา

แล้วตระกูลเฉิงเหนือของนางในตอนนี้เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ไปได้

ยามนี้ชื่อเสียงของพวกเขาเลื่องลือไปทั่วเมืองเจียงโจวก็จริง แต่ร้อยปีหลังจากนี้กลับต้องสูญสิ้นราวกับไม่เคยมีอยู่

อักษรแต่ละตัวในพงศาวดารนั้นล้ำค่ายิ่งกว่าทองคำพันชั่ง ทุกหน้าทุกบรรทัดต่างบันทึกเพียงช่วงปี ส่วนเรื่องในชีวิตประจำวันที่ไม่สลักสำคัญ ผู้ใดจะบันทึกลงไปกัน หากเป็นเช่นนั้นคงไม่มีผู้ใดใฝ่ฝันว่าจะมีชื่อจารึกไว้ในประวัติศาสตร์กันหรอก

หากอ่านเจอสิ่งที่อยู่ในความทรงจำของนางแล้วอย่างไรเล่า

เฉิงเจียวเหนียงว่าหนังสือในมือลงแล้วหลับตา

ทั้งผู้คนและเรื่องราวพวกนี้เกี่ยวข้องกับนางแล้วอย่างไรเล่า!

สามร้อยปีจากนี้ แม้นางจะมีชีวิตอยู่แล้วอย่างไรเล่า ก็ยังถูกคนใกล้ชิดฆ่าตายอย่างทรมานอยู่ดี ทั้งยังไม่กำลังพอจะหยุดยั้ง ทั้งยังไม่อาจแก้แค้นได้

ต้าเหลียง ตระกูลหยาง…

ตระกูลหยาง!

เฉิงเจียวเหนียงลืมตาขึ้นมาในทันใด ก่อนจะเอื้อมมือไปแหวกม่าน

“หยุดรถ” นางเอ่ย

ผู้ติดตามที่อยู่ข้างรถรีบหยุดรถในทันใด พลางหันหัวม้าเพื่อรับคำสั่ง

“ข้าจะไปเหลียงโจว”

“เหลียงโจวหรือขอรับ”

พ่อบ้านเฉากุมหมวกเดินเข้ามาอย่างเร็วไว พอได้ยินคำพูดของเฉิงเจียวเหนียงก็ได้แต่สงสัย

“ตอนนี้หรือขอรับ”

เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า

“ข้าอยากไปเดินเล่นน่ะ” นางเอ่ย

เดินเล่นอีกแล้วอย่างนั้นหรือ!

พ่อบ้านเฉาที่ได้ฟังเรื่องราวออกไปเดินเล่นของนางมาก่อนหน้านี้ ก็สะดุ้งตกใจในทันที

หากไปเดินเล่นในเมืองที่เป็นทางผ่านก็ว่าไปอย่าง แต่หากจะไปเดินเล่นถึงเหลียงโจวนั้นถือว่าเป็นเรื่องใหญ่เอาการ เหตุใดจู่ๆ ถึงนึกถึงเหลียงโจวขึ้นมา หากจะไปหาสหายเก่าอย่างที่เฉิงผิงบอกก็ต้องไปปิ้งโจวสิ

“นายหญิงขอรับ เหลียงโจวนั้นไกลนัก…” เขาคิดอยู่นานกว่าจะพูดออกมา “ยิ่งยามหน้าหนาวเช่นนี้ จากจะไปจริงๆ กลับบ้านไปเตรียมตัวเสียก่อน ดีหรือไม่ขอรับ ทั้งของกินทั้งเสื้อผ้าจะได้เตรียมพร้อม”

เฉิงเจียวเหนียงยิ้มแล้วพยักหน้า

“ใช่ เช่นนั้นถึงจะถูก” นางเอ่ย “ไปกันต่อเถิด พวกเรากลับบ้านกันก่อน แล้วค่อยตกลงกันอีกที”

ยังดี ยังดี ยังไม่ถือว่าเปลี่ยนไปมากมาย ยังพูดจามีเหตุมีผลอยู่บ้าง พ่อบ้านเฉาถอนหายใจอย่างโล่งอก นายหญิงยังพูดจารู้เรื่อง เพียงแต่อาจจะอารมณ์แปรปรวนไปบ้าง นอกนั้นก็ไม่มีอะไรผิดแปลกไป

“ไปได้แล้ว ไปได้แล้ว รีบกลับให้ถึงบ้านก่อนฟ้ามืด!” พ่อบ้านเฉาหันหลังกลับมาก่อนจะโบกไม้โบกมือตะโกนสั่งการ

ณ เรือนตระกูลเฉิง อาการของนายใหญ่เฉิงดีขึ้นมาก สามารถลุกเดินเหินได้แล้ว ทว่าแม้โรคภัยจะหายไปแล้ว แต่จิตใจกลับไม่ดีขึ้นสักเท่าไหร่

ทางการมาหาถึงบ้านไม่เว้นแต่ละวัน มาถามไถ่บ้างละ มาบอกข่าวบ้างละ มาเยี่ยมบ้างล่ะ มาตรวจสอบบ้างล่ะ วุ่นวายเสียจนไม่เป็นอันสงบกายสงบใจ และสืบเนื่องจากร้านทั้งสองถูกปิด ข่าวลือมากมายเกี่ยวกับตระกูลเฉิงจึงแพร่สะพัดไปทั้งเมือง จนทำให้กิจการร้านค้าอื่นพาลซบเซาไปด้วย แม้จะยังไม่ถึงเวลาแร้งลงรุมทึ้ง แต่ก็ส่งส่วยค่าน้ำชาออกไปไม่น้อยแล้วเหมือนกัน ทั้งสถานการณ์ก็ท่าทางดูจะแย่ลงเรื่อยๆ

“นายรองเล่า” เขาเดินวนไปวนมาก่อนจะเอ่ยถาม

เมื่อครู่เขาเพิ่งส่งคนไปตามนายรองเฉิงให้มาปรึกษากันเรื่องสินเดิม เวลาก็ผ่านไปนานพอสมควรแล้ว หากจะคลานมาก็ควรมาถึงได้แล้ว

“นายรองกลับไปประจำการแล้วขอรับ…” บ่าวก้มหน้าตอบ

นายใหญ่เฉิงทั้งตกใจทั้งโมโห

“ใครให้เขากลับไปกัน กลับไปตั้งแต่เมื่อใด” เขาตะคอกถาม

“นายใหญ่ อย่าโมโหไปเลยเจ้าค่ะ” ฮูหยินใหญ่เฉิงก้าวฉับเข้ามาในห้องก่อนจะเอ่ยเกลี้ยกล่อม

นายใหญ่เฉิงหายใจหอบกระชั้น ก่อนจะถูกฮูหยินใหญ่เฉิงประคองในนั่งลง

“จะไม่ให้ข้าโมโหได้อย่างไร!” เขากัดฟันเอ่ย “สมกับเป็นพ่อลูกกันดีแท้ ใจดำอำมหิตดั่งเดรัจฉานมิปาน!”

“คงรวมหัววางแผนลับหลังไว้แล้วเป็นแน่ พอฮูหยินรองกลับมา ชายรองก็เปลี่ยนไป แต่ก่อนเสนอหน้ามาที่เรือนได้วันละสามหน แต่ดูตอนนี้สิ คิดจะไปก็ไป ไม่บอกไม่กล่าวกันสักคำ” ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ย น้ำเสียงขุ่นเคืองอย่างปิดไม่มิด “ข้าจะให้คนไล่นางหญิงสารเลวนั่นออกไป ส่งกลับไปอยู่ตระกูลเผิงเสีย ให้พวกเขารู้เสียบางว่าลูกสาวที่ตนอบรบสั่งสอนมานั้นเป็นอย่างไร!”

นายใหญ่เฉิงคว้าแขนนางไว้

“พอได้แล้ว!” เขาเอ่ย “นางคงอยากให้เจ้าไล่ออกจากเรือนจนตัวสั่นเสียมากกว่า จะได้ไปป่าวประกาศให้ทั่ว เสียหน้าตระกูลเฉิงของเราเสียเปล่าๆ”

“ตอนนี้ยังไม่เรียกเสียหน้าอีกหรือ” ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ยเสียงฮึดฮัด

“อย่างน้อยหากเปิดประตูเรือนลงแล้วก็ถือว่าเป็นเรื่องภายในตระกูล” นายใหญ่เฉิงเอ่ยเสียงหอบ

“แล้วตอนนี้ปิดได้หรือเจ้าคะ” ฮูหยินใหญ่เฉิงถาม

นายใหญ่เฉิงกำถ้วยชายไว้แน่น

“ได้สิ นางก็แค่อยากได้สินเดิมมิใช่หรือ” เขากัดฟันเอ่ย “ก็ให้นางไปเสีย!”

ให้นางไปเสียอย่างนั้นหรือ ฮูหยินใหญ่เฉิงทวนเสียงสูง

“แล้วพวกเราจะได้อะไร ขายหน้าแถมยังขาดทุนอีกต่างหาก” นางเอ่ย ทั้งโมโหทั้งปวดใจจนมือไม้สั่นไปหมด

ทรัพย์สินพวกนั้นเป็นทรัพย์สินของตระกูลโจวที่ติดตัวมาตอนแต่งงาน แต่หลายปีที่ผ่านมาล้วนแต่เป็นหยาดเหงื่อแรงกายของพวกนางที่ทำมาค้าขาย จะยกให้เป็นสินเดิมของผู้อื่นได้เช่นไร!

“เจ้าคงลืมไปแล้ว” นายใหญ่เฉิงถอนหายใจ “เดิมทีก็เป็นสินเดิมของนางอยู่แล้ว”

ฮูหยินใหญ่เฉิงกัดปากแน่น โกรธจนหน้าเขียว

“ปิดประตูจัดการเรื่องในบ้านให้เสร็จเสียก่อน เรื่องของตระกูลใหญ่อย่างตระกูลเฉิงหากแพร่งพรายออกไป รังแต่จะเป็นขี้ปากชาวบ้าน” นายใหญ่เฉิงเอ่ย พลางหันไปถามข้างนอก “นางกลับมาแล้วหรือยัง”

“ยังเจ้าค่ะ” แม่นมที่อยู่หน้าประตูตอบ “แต่ว่านายใหญ่เจ้าคะ สาวใช้นางนั้นกับพ่อบ้านตระกูลโจวรีบร้อนออกไปที่ใดก็ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อคืน ตอนนี้ยังไม่กลับมาเลยเจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าไปรับแม่นางผู้นั้นหรือเปล่า”

“เมื่อคืนวานหรือ รีบร้อนออกไปอย่างนั้นหรือ” นายใหญ่เฉิงขมวดคิ้วถามก่อนจะขยับนั่งตัวตรง

“เจ้าค่ะ” แม่นมพยักหน้า “เหมือนว่ามีคนกลับมาส่งข่าวอะไรสักอย่าง จากนั้นพวกเขารีบร้อนพากันออกไป ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรกับแม่นางผู้นั้นหรือเปล่า…”

ฮูหยินใหญ่เฉิงแค่นหัวเราะ

“เป็นสาวเป็นนางอยู่ดีไม่ว่าดีก็ออกไปข้างนอกเช่นนั้น ไม่เกิดเรื่องก็แปลกแล้ว” นางเอ่ย

หากเกิดเรื่องกับนางจริงล่ะก็! ก็เท่ากับว่าสวรรค์มีตาแล้วกระมัง!

“อีกประเดี๋ยวก็คงกลับมา พวกเจ้าจับตาดูเอาไว้ หากกลับมาแล้วให้ส่งข่าวทันที” นายใหญ่เฉิงเอ่ย

แม่นมขานรับ

หลังจากค่ำคืนอันเงียบสงัด เมื่อถึงยามฟ้าสาง แม่นมรอให้นายใหญ่เฉิงกินยาให้เรียบร้อยเสียก่อนจึงรีบเข้ามารายงาน บอกว่าแม่นางเฉิงกลับมาแล้ว

“กลับมากลางดึกเมื่อคืนเจ้าค่ะ” นางตอบ “เมื่อครู่ฮูหยินรองก็ไปหาที่ฝั่งโน้นแล้ว”

ฮูหยินใหญ่เฉิงแค่นยิ้ม

นายใหญ่เฉิงนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะนั่งลง

“นายใหญ่ พวกเราไม่ไปไม่ได้นะเจ้าคะ” ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ย

นายใหญ่เฉิงกระแอมดังลั่น ก่อนจะเรียกให้พ่อบ้านเข้ามา

“เจ้าไปหานางในนามของข้า นอกนางว่าข้าจะยกสินเดิมให้แก่นาง” เขาเอ่ย

พ่อบ้านขานรับแล้วออกไป

สีหน้าของฮูหยินใหญ่เฉิงเจ็บปวดอย่างปิดไม่ปิด

“เจ้าอย่าเสียใจไปเลย สินเดิมคืนนางไปแล้ว พอถึงตอนนั้นก็เป็นของบ้านแม่เจ้าอยู่ดี ก็เหมือนเรือล่มในหนอง อีกอย่างพอถึงตอนนั้นเจ้าอาจจะได้เป็นคนดูแลต่อก็เป็นได้” นายใหญ่เฉิงเอ่ยปลอบ “เจ้าลองคิดดู หากยังรั้งสินเดิมไว้ บ้านชายรองก็จะมีข้ออ้างเรื่องหมั้นหมายได้ หากเป็นเช่นนั้นพวกเราจะไม่มีทางหนีทีไล่เอา”

ก็มีเหตุผลอยู่เหมือนกัน ในเมื่อมาถึงขนาดนี้แล้วก็คงจำต้องทำเช่นนี้ ฮูหยินใหญ่เฉิงพยักหน้า ยอมถอยออกมาก้าวหนึ่งก่อน วันหลังค่อยว่ากัน

พอพ่อบ้านออกไปได้ไม่นาน ก็มีแม่นมเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน

“ฮูหยินเจ้าคะ ฮูหยินหวังมาเจ้าค่ะ” นางตอบ

มาได้เวลาพอดี ฮูหยินใหญ่เฉิงรีบจัดแจงเสื้อผ้า มีแต่เรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน ไม่รู้ว่าจะจัดงานหมั้นทันก่อนปีใหม่หรือไม่

นายใหญ่เฉิงลุกขึ้นยืนก่อนจะขอตัวออกไป ฮูหยินใหญ่เฉิงนั่งรออยู่ในห้องโถง ทว่ารอแล้วรอเล่าก็ไม่เห็นฮูหยินหวังจะเดินเข้าประตูมา

“เกิดอะไรขึ้น” นางขมวดคิ้วถาม

แม่นมเองก็ประหลาดใจก่อนจะรีบออกไปดูข้างนอก ไม่นานก็กลับมาด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน ทว่าด้านหลังก็ยังไม่มีฮูหยินหวังตามมาเช่นเดิม

ตาฝาดหรือ จะตาฝาดได้อย่างไร

“ฮูหยินเจ้าคะ ฮูหยินหวัง…” แม่นมเอ่ยอย่างกล้าๆ กลัวๆ

“นางเป็นอะไรไป” ฮูหยินใหญ่เฉิงถาม

“นางไปฝั่งใต้เจ้าค่ะ” แม่นมตอบ

ฝั่งใต้อย่างนั้นหรือ

ฮูหยินใหญ่เฉิงสงสัย

“ไปทำอะไรที่ฝั่งใต้” นางถาม

“เมื่อครู่ตอนที่อยู่หน้าประตู นางถามว่าแม่นางเฉิงกลับมาหรือยัง… บังเอิญว่าพ่อบ้านผ่านมาพอดี เขาจึงตอบไปว่ากลับมาแล้ว หลังจากนั้น…” แม่นมเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก เรื่องนี้ช่างเหนือความคาดหมายจนนางไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรออกไป “หลังจากนั้นฮูหยินหวังก็ตามไปฝั่งโน้นเจ้าค่ะ…”

“เจ้าจะบอกว่า นางไปหาเด็กบ้านั่นหรือ” ฮูหยินใหญ่เฉิงถามสีหน้างุนงง

นางไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม

“น่าจะเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ” แม่นมตอบ

“นางจะไปพบเด็กบ้านั่นทำไมกัน มาเยี่ยมลูกสะใภ้อย่างนั้นหรือ” ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ย “ถึงอย่างนั้นก็ควรมาพบข้าก่อนมิใช่หรือ มีอย่างที่ไหนถึงได้ไปพบนางก่อนเช่นนั้น”

ถึงได้บอกว่าแปลกอย่างไรเล่า แม่นมประหม่าเสียจนไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไป ส่วนนายใหญ่เฉิงที่อยู่ในห้องได้ยินเข้าก็เอ่ยถามขั้น

“เมื่อครู่เจ้าบอกว่า ฮูหยินหวังถามว่าแม่นางเฉิงกลับมาแล้วหรือยังอย่างนั้นหรือ” นายใหญ่เฉิงถาม

แม่นมนิ่งไปครู่หนึ่ง นางครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะพยักหน้า

“เจ้าค่ะ ตอนฮูหยินหวังลงรถมาก็ถามเช่นนั้นเลยเจ้าค่ะ” นางตอบ

นายใหญ่เฉิงขมวดคิ้วอย่างสงสัย

“นางรู้ได้อย่างไรว่าหญิงผู้นั้นออกไปที่อื่น” เขาถาม

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่งบทที่ 368 ค่อยเป็นค่อยไป

Now you are reading พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง Chapter บทที่ 368 ค่อยเป็นค่อยไป at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

รถม้าหยุดลงบนถนนใหญ่อีกครั้ง บ่าวหญิงทั้งสองนางและปั้นฉินพากันหอบจากหนังสือรถม้าคันหลังเข้ามา

“นายหญิง เท่านี้พอหรือยังเจ้าคะ” พวกนางถาม

ม่านรถถูกแหวกออก เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้ามองดูกองหนังสือที่พวกนางขนเข้ามา

รถม้าที่เดิมทีไม่ได้ใหญ่โตอะไรนักนั้นมีหนังสือกองอยู่เต็มไปหมด พอยามนี้ขนเข้ามาอีกก็ยิ่งทำให้ดูแออัดเสียยิ่งกว่าเดิม

“นายหญิงอ่านสักครู่แล้วพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ เพ่งมากไปจะเสียสายตาเอา” ปั้นฉินตัดพ้อ

เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า ในมือยังคงเปิดหนังสืออยู่

รถม้าเคลื่อนต่อไปอย่างเชื่องช้า

เพราะเป็นตระกูลที่สืบทอดตำแหน่งโหรหลวงกันมารุ่นสู่รุ่น การอ่านตำราพงศาวดารจึงเป็นสิ่งที่นางทำมาตั้งแต่เล็ก แต่พอนึกย้อนกลับไป ตอนนี้นางกลับจำเรื่องราวที่บันทึกในหนังสือที่ตนเคยเปิดอ่านไม่ได้สักเท่าไหร่

นั่นเป็นเพราะในตำราจดบันทึกเพียงเรื่องราวสำคัญ ประวัติศาสตร์ยาวนานรับร้อยปี เรื่องราวของผู้คนนั้นเล็กน้อยเสียจนไม่ควรค่าแก่การบันทึกเลยหรือไร คนมีชื่อเสียงที่นางเคยได้ยินชื่อหรือได้พบเจอในตอนนี้ กลับไม่มีผู้ใดถูกบันทึกเรื่องราวไว้ในประวัติศาสตร์เลยสักคน

อย่างเช่นเหล่าขุนนางผู้ยิ่งใหญ่กลับไม่มีผู้ใดนามว่าเฉินเซ่า แต่เรื่องของจางฉุนนั้นยังพอมีอยู่ในบันทึกบ้าง แต่ก็เขียนไว้เพียงแค่ว่าเขาคือผู้ถ่ายทอดคำสอนของขงจื๊อเท่านั้น ทว่าไม่มีเรื่องราวยามที่เขาเข้าร่วมพิพากษาคดีในราชสำนัก ยิ่งเรื่องของตระกูลฉินหรือตระกูลโจวก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

ฮ่องเต้องค์ต่อไปคือลูกชายคนโตสินะ

เฉิงเจียวเหนียงวางหนังสือในมือลงก่อนจะยกนิ้วขึ้นนับ หลังจากนี้อีกห้าปีเขาจะขึ้นครองราชย์ ครองบัลลังก์นานกว่าสี่สิบห้าปี ส่วนผู้คนก็เพิ่งจะเห็นความสามารถของเฉิงผิงผู้เป็นบรรพบุรุษของนางในตอนนั้น ทว่าตระกูลเฉิงยังไม่เริ่มเข้าสู่ราชสำนักในตอนนั้น เพราะความจริงแล้วท่านบรรพบุรุษนั้นใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย อยู่ในเมืองป่าเขาอย่างเจียวโจว เขียนตำราเผยแพร่ ใช้ชีวิตอย่างสันโดษมาโดยตลอด

ถึงอย่างนั้นก็เหมือนกับตระกูลอื่นๆ รุ่นแรกของตระกูลเป็นผู้วางรากฐาน รุ่นที่สองสืบสาน จนมาถึงรุ่นที่สามจึงจะเจริญรุ่งเรือง

รากฐานที่บรรพบุรุษเฉิงผิงทิ้งไว้ใช้ชนรุ่นหลังคือตำราโบราณที่เขาเขียน คำสอนอันลึกซึ้งและชื่อเสียงที่สั่งสมมา

แล้วตระกูลเฉิงเหนือของนางในตอนนี้เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ไปได้

ยามนี้ชื่อเสียงของพวกเขาเลื่องลือไปทั่วเมืองเจียงโจวก็จริง แต่ร้อยปีหลังจากนี้กลับต้องสูญสิ้นราวกับไม่เคยมีอยู่

อักษรแต่ละตัวในพงศาวดารนั้นล้ำค่ายิ่งกว่าทองคำพันชั่ง ทุกหน้าทุกบรรทัดต่างบันทึกเพียงช่วงปี ส่วนเรื่องในชีวิตประจำวันที่ไม่สลักสำคัญ ผู้ใดจะบันทึกลงไปกัน หากเป็นเช่นนั้นคงไม่มีผู้ใดใฝ่ฝันว่าจะมีชื่อจารึกไว้ในประวัติศาสตร์กันหรอก

หากอ่านเจอสิ่งที่อยู่ในความทรงจำของนางแล้วอย่างไรเล่า

เฉิงเจียวเหนียงว่าหนังสือในมือลงแล้วหลับตา

ทั้งผู้คนและเรื่องราวพวกนี้เกี่ยวข้องกับนางแล้วอย่างไรเล่า!

สามร้อยปีจากนี้ แม้นางจะมีชีวิตอยู่แล้วอย่างไรเล่า ก็ยังถูกคนใกล้ชิดฆ่าตายอย่างทรมานอยู่ดี ทั้งยังไม่กำลังพอจะหยุดยั้ง ทั้งยังไม่อาจแก้แค้นได้

ต้าเหลียง ตระกูลหยาง…

ตระกูลหยาง!

เฉิงเจียวเหนียงลืมตาขึ้นมาในทันใด ก่อนจะเอื้อมมือไปแหวกม่าน

“หยุดรถ” นางเอ่ย

ผู้ติดตามที่อยู่ข้างรถรีบหยุดรถในทันใด พลางหันหัวม้าเพื่อรับคำสั่ง

“ข้าจะไปเหลียงโจว”

“เหลียงโจวหรือขอรับ”

พ่อบ้านเฉากุมหมวกเดินเข้ามาอย่างเร็วไว พอได้ยินคำพูดของเฉิงเจียวเหนียงก็ได้แต่สงสัย

“ตอนนี้หรือขอรับ”

เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า

“ข้าอยากไปเดินเล่นน่ะ” นางเอ่ย

เดินเล่นอีกแล้วอย่างนั้นหรือ!

พ่อบ้านเฉาที่ได้ฟังเรื่องราวออกไปเดินเล่นของนางมาก่อนหน้านี้ ก็สะดุ้งตกใจในทันที

หากไปเดินเล่นในเมืองที่เป็นทางผ่านก็ว่าไปอย่าง แต่หากจะไปเดินเล่นถึงเหลียงโจวนั้นถือว่าเป็นเรื่องใหญ่เอาการ เหตุใดจู่ๆ ถึงนึกถึงเหลียงโจวขึ้นมา หากจะไปหาสหายเก่าอย่างที่เฉิงผิงบอกก็ต้องไปปิ้งโจวสิ

“นายหญิงขอรับ เหลียงโจวนั้นไกลนัก…” เขาคิดอยู่นานกว่าจะพูดออกมา “ยิ่งยามหน้าหนาวเช่นนี้ จากจะไปจริงๆ กลับบ้านไปเตรียมตัวเสียก่อน ดีหรือไม่ขอรับ ทั้งของกินทั้งเสื้อผ้าจะได้เตรียมพร้อม”

เฉิงเจียวเหนียงยิ้มแล้วพยักหน้า

“ใช่ เช่นนั้นถึงจะถูก” นางเอ่ย “ไปกันต่อเถิด พวกเรากลับบ้านกันก่อน แล้วค่อยตกลงกันอีกที”

ยังดี ยังดี ยังไม่ถือว่าเปลี่ยนไปมากมาย ยังพูดจามีเหตุมีผลอยู่บ้าง พ่อบ้านเฉาถอนหายใจอย่างโล่งอก นายหญิงยังพูดจารู้เรื่อง เพียงแต่อาจจะอารมณ์แปรปรวนไปบ้าง นอกนั้นก็ไม่มีอะไรผิดแปลกไป

“ไปได้แล้ว ไปได้แล้ว รีบกลับให้ถึงบ้านก่อนฟ้ามืด!” พ่อบ้านเฉาหันหลังกลับมาก่อนจะโบกไม้โบกมือตะโกนสั่งการ

ณ เรือนตระกูลเฉิง อาการของนายใหญ่เฉิงดีขึ้นมาก สามารถลุกเดินเหินได้แล้ว ทว่าแม้โรคภัยจะหายไปแล้ว แต่จิตใจกลับไม่ดีขึ้นสักเท่าไหร่

ทางการมาหาถึงบ้านไม่เว้นแต่ละวัน มาถามไถ่บ้างละ มาบอกข่าวบ้างละ มาเยี่ยมบ้างล่ะ มาตรวจสอบบ้างล่ะ วุ่นวายเสียจนไม่เป็นอันสงบกายสงบใจ และสืบเนื่องจากร้านทั้งสองถูกปิด ข่าวลือมากมายเกี่ยวกับตระกูลเฉิงจึงแพร่สะพัดไปทั้งเมือง จนทำให้กิจการร้านค้าอื่นพาลซบเซาไปด้วย แม้จะยังไม่ถึงเวลาแร้งลงรุมทึ้ง แต่ก็ส่งส่วยค่าน้ำชาออกไปไม่น้อยแล้วเหมือนกัน ทั้งสถานการณ์ก็ท่าทางดูจะแย่ลงเรื่อยๆ

“นายรองเล่า” เขาเดินวนไปวนมาก่อนจะเอ่ยถาม

เมื่อครู่เขาเพิ่งส่งคนไปตามนายรองเฉิงให้มาปรึกษากันเรื่องสินเดิม เวลาก็ผ่านไปนานพอสมควรแล้ว หากจะคลานมาก็ควรมาถึงได้แล้ว

“นายรองกลับไปประจำการแล้วขอรับ…” บ่าวก้มหน้าตอบ

นายใหญ่เฉิงทั้งตกใจทั้งโมโห

“ใครให้เขากลับไปกัน กลับไปตั้งแต่เมื่อใด” เขาตะคอกถาม

“นายใหญ่ อย่าโมโหไปเลยเจ้าค่ะ” ฮูหยินใหญ่เฉิงก้าวฉับเข้ามาในห้องก่อนจะเอ่ยเกลี้ยกล่อม

นายใหญ่เฉิงหายใจหอบกระชั้น ก่อนจะถูกฮูหยินใหญ่เฉิงประคองในนั่งลง

“จะไม่ให้ข้าโมโหได้อย่างไร!” เขากัดฟันเอ่ย “สมกับเป็นพ่อลูกกันดีแท้ ใจดำอำมหิตดั่งเดรัจฉานมิปาน!”

“คงรวมหัววางแผนลับหลังไว้แล้วเป็นแน่ พอฮูหยินรองกลับมา ชายรองก็เปลี่ยนไป แต่ก่อนเสนอหน้ามาที่เรือนได้วันละสามหน แต่ดูตอนนี้สิ คิดจะไปก็ไป ไม่บอกไม่กล่าวกันสักคำ” ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ย น้ำเสียงขุ่นเคืองอย่างปิดไม่มิด “ข้าจะให้คนไล่นางหญิงสารเลวนั่นออกไป ส่งกลับไปอยู่ตระกูลเผิงเสีย ให้พวกเขารู้เสียบางว่าลูกสาวที่ตนอบรบสั่งสอนมานั้นเป็นอย่างไร!”

นายใหญ่เฉิงคว้าแขนนางไว้

“พอได้แล้ว!” เขาเอ่ย “นางคงอยากให้เจ้าไล่ออกจากเรือนจนตัวสั่นเสียมากกว่า จะได้ไปป่าวประกาศให้ทั่ว เสียหน้าตระกูลเฉิงของเราเสียเปล่าๆ”

“ตอนนี้ยังไม่เรียกเสียหน้าอีกหรือ” ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ยเสียงฮึดฮัด

“อย่างน้อยหากเปิดประตูเรือนลงแล้วก็ถือว่าเป็นเรื่องภายในตระกูล” นายใหญ่เฉิงเอ่ยเสียงหอบ

“แล้วตอนนี้ปิดได้หรือเจ้าคะ” ฮูหยินใหญ่เฉิงถาม

นายใหญ่เฉิงกำถ้วยชายไว้แน่น

“ได้สิ นางก็แค่อยากได้สินเดิมมิใช่หรือ” เขากัดฟันเอ่ย “ก็ให้นางไปเสีย!”

ให้นางไปเสียอย่างนั้นหรือ ฮูหยินใหญ่เฉิงทวนเสียงสูง

“แล้วพวกเราจะได้อะไร ขายหน้าแถมยังขาดทุนอีกต่างหาก” นางเอ่ย ทั้งโมโหทั้งปวดใจจนมือไม้สั่นไปหมด

ทรัพย์สินพวกนั้นเป็นทรัพย์สินของตระกูลโจวที่ติดตัวมาตอนแต่งงาน แต่หลายปีที่ผ่านมาล้วนแต่เป็นหยาดเหงื่อแรงกายของพวกนางที่ทำมาค้าขาย จะยกให้เป็นสินเดิมของผู้อื่นได้เช่นไร!

“เจ้าคงลืมไปแล้ว” นายใหญ่เฉิงถอนหายใจ “เดิมทีก็เป็นสินเดิมของนางอยู่แล้ว”

ฮูหยินใหญ่เฉิงกัดปากแน่น โกรธจนหน้าเขียว

“ปิดประตูจัดการเรื่องในบ้านให้เสร็จเสียก่อน เรื่องของตระกูลใหญ่อย่างตระกูลเฉิงหากแพร่งพรายออกไป รังแต่จะเป็นขี้ปากชาวบ้าน” นายใหญ่เฉิงเอ่ย พลางหันไปถามข้างนอก “นางกลับมาแล้วหรือยัง”

“ยังเจ้าค่ะ” แม่นมที่อยู่หน้าประตูตอบ “แต่ว่านายใหญ่เจ้าคะ สาวใช้นางนั้นกับพ่อบ้านตระกูลโจวรีบร้อนออกไปที่ใดก็ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อคืน ตอนนี้ยังไม่กลับมาเลยเจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าไปรับแม่นางผู้นั้นหรือเปล่า”

“เมื่อคืนวานหรือ รีบร้อนออกไปอย่างนั้นหรือ” นายใหญ่เฉิงขมวดคิ้วถามก่อนจะขยับนั่งตัวตรง

“เจ้าค่ะ” แม่นมพยักหน้า “เหมือนว่ามีคนกลับมาส่งข่าวอะไรสักอย่าง จากนั้นพวกเขารีบร้อนพากันออกไป ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรกับแม่นางผู้นั้นหรือเปล่า…”

ฮูหยินใหญ่เฉิงแค่นหัวเราะ

“เป็นสาวเป็นนางอยู่ดีไม่ว่าดีก็ออกไปข้างนอกเช่นนั้น ไม่เกิดเรื่องก็แปลกแล้ว” นางเอ่ย

หากเกิดเรื่องกับนางจริงล่ะก็! ก็เท่ากับว่าสวรรค์มีตาแล้วกระมัง!

“อีกประเดี๋ยวก็คงกลับมา พวกเจ้าจับตาดูเอาไว้ หากกลับมาแล้วให้ส่งข่าวทันที” นายใหญ่เฉิงเอ่ย

แม่นมขานรับ

หลังจากค่ำคืนอันเงียบสงัด เมื่อถึงยามฟ้าสาง แม่นมรอให้นายใหญ่เฉิงกินยาให้เรียบร้อยเสียก่อนจึงรีบเข้ามารายงาน บอกว่าแม่นางเฉิงกลับมาแล้ว

“กลับมากลางดึกเมื่อคืนเจ้าค่ะ” นางตอบ “เมื่อครู่ฮูหยินรองก็ไปหาที่ฝั่งโน้นแล้ว”

ฮูหยินใหญ่เฉิงแค่นยิ้ม

นายใหญ่เฉิงนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะนั่งลง

“นายใหญ่ พวกเราไม่ไปไม่ได้นะเจ้าคะ” ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ย

นายใหญ่เฉิงกระแอมดังลั่น ก่อนจะเรียกให้พ่อบ้านเข้ามา

“เจ้าไปหานางในนามของข้า นอกนางว่าข้าจะยกสินเดิมให้แก่นาง” เขาเอ่ย

พ่อบ้านขานรับแล้วออกไป

สีหน้าของฮูหยินใหญ่เฉิงเจ็บปวดอย่างปิดไม่ปิด

“เจ้าอย่าเสียใจไปเลย สินเดิมคืนนางไปแล้ว พอถึงตอนนั้นก็เป็นของบ้านแม่เจ้าอยู่ดี ก็เหมือนเรือล่มในหนอง อีกอย่างพอถึงตอนนั้นเจ้าอาจจะได้เป็นคนดูแลต่อก็เป็นได้” นายใหญ่เฉิงเอ่ยปลอบ “เจ้าลองคิดดู หากยังรั้งสินเดิมไว้ บ้านชายรองก็จะมีข้ออ้างเรื่องหมั้นหมายได้ หากเป็นเช่นนั้นพวกเราจะไม่มีทางหนีทีไล่เอา”

ก็มีเหตุผลอยู่เหมือนกัน ในเมื่อมาถึงขนาดนี้แล้วก็คงจำต้องทำเช่นนี้ ฮูหยินใหญ่เฉิงพยักหน้า ยอมถอยออกมาก้าวหนึ่งก่อน วันหลังค่อยว่ากัน

พอพ่อบ้านออกไปได้ไม่นาน ก็มีแม่นมเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน

“ฮูหยินเจ้าคะ ฮูหยินหวังมาเจ้าค่ะ” นางตอบ

มาได้เวลาพอดี ฮูหยินใหญ่เฉิงรีบจัดแจงเสื้อผ้า มีแต่เรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน ไม่รู้ว่าจะจัดงานหมั้นทันก่อนปีใหม่หรือไม่

นายใหญ่เฉิงลุกขึ้นยืนก่อนจะขอตัวออกไป ฮูหยินใหญ่เฉิงนั่งรออยู่ในห้องโถง ทว่ารอแล้วรอเล่าก็ไม่เห็นฮูหยินหวังจะเดินเข้าประตูมา

“เกิดอะไรขึ้น” นางขมวดคิ้วถาม

แม่นมเองก็ประหลาดใจก่อนจะรีบออกไปดูข้างนอก ไม่นานก็กลับมาด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน ทว่าด้านหลังก็ยังไม่มีฮูหยินหวังตามมาเช่นเดิม

ตาฝาดหรือ จะตาฝาดได้อย่างไร

“ฮูหยินเจ้าคะ ฮูหยินหวัง…” แม่นมเอ่ยอย่างกล้าๆ กลัวๆ

“นางเป็นอะไรไป” ฮูหยินใหญ่เฉิงถาม

“นางไปฝั่งใต้เจ้าค่ะ” แม่นมตอบ

ฝั่งใต้อย่างนั้นหรือ

ฮูหยินใหญ่เฉิงสงสัย

“ไปทำอะไรที่ฝั่งใต้” นางถาม

“เมื่อครู่ตอนที่อยู่หน้าประตู นางถามว่าแม่นางเฉิงกลับมาหรือยัง… บังเอิญว่าพ่อบ้านผ่านมาพอดี เขาจึงตอบไปว่ากลับมาแล้ว หลังจากนั้น…” แม่นมเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก เรื่องนี้ช่างเหนือความคาดหมายจนนางไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรออกไป “หลังจากนั้นฮูหยินหวังก็ตามไปฝั่งโน้นเจ้าค่ะ…”

“เจ้าจะบอกว่า นางไปหาเด็กบ้านั่นหรือ” ฮูหยินใหญ่เฉิงถามสีหน้างุนงง

นางไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม

“น่าจะเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ” แม่นมตอบ

“นางจะไปพบเด็กบ้านั่นทำไมกัน มาเยี่ยมลูกสะใภ้อย่างนั้นหรือ” ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ย “ถึงอย่างนั้นก็ควรมาพบข้าก่อนมิใช่หรือ มีอย่างที่ไหนถึงได้ไปพบนางก่อนเช่นนั้น”

ถึงได้บอกว่าแปลกอย่างไรเล่า แม่นมประหม่าเสียจนไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไป ส่วนนายใหญ่เฉิงที่อยู่ในห้องได้ยินเข้าก็เอ่ยถามขั้น

“เมื่อครู่เจ้าบอกว่า ฮูหยินหวังถามว่าแม่นางเฉิงกลับมาแล้วหรือยังอย่างนั้นหรือ” นายใหญ่เฉิงถาม

แม่นมนิ่งไปครู่หนึ่ง นางครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะพยักหน้า

“เจ้าค่ะ ตอนฮูหยินหวังลงรถมาก็ถามเช่นนั้นเลยเจ้าค่ะ” นางตอบ

นายใหญ่เฉิงขมวดคิ้วอย่างสงสัย

“นางรู้ได้อย่างไรว่าหญิงผู้นั้นออกไปที่อื่น” เขาถาม

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+