พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่งบทที่ 428 ดูภาพ

Now you are reading พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง Chapter บทที่ 428 ดูภาพ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ไม่มีผู้ใด​ขาด​ประชุม​ราชสำนัก​วันนี้​ แม้แต่​ฮ่องเต้​ที่​ไม่ค่อย​ปรากฏตัว​ก็​ยัง​เข้าร่วม​

ขันที​สอง​นาย​กำลัง​คลี่​ภาพ​วาดภาพ​หนึ่ง​กลาง​ท้องพระโรง​อย่าง​เบามือ​

“ปู่​ของ​หลูซือ​อัน​ หลูเจี๋ย​ เป็น​ผู้​วาดภาพ​นี้​ เรา​จำได้​ว่า​ฮ่องเต้​พระองค์​ก่อน​โปรดปราน​นัก​ จึงรับสั่ง​ให้​แขวน​ไว้​ใน​ตำหนัก​ที่​ประทับ​”

ฮ่องเต้​ที่นั่ง​อยู่​บน​บัลลังก์​เอ่ย​เสียง​เรียบ​

“เพียงแต่​ลูกหลาน​รุ่นหลัง​พร​สรรค์​ไม่เพียงพอ​ ไม่สามารถ​สืบทอด​วิชา​ของ​เขา​ไว้​ได้​ ทั้ง​ยัง​มุ่งศึกษา​ตำรา​วิชาการ​เสีย​มากกว่า​ งาน​วาดเขียน​จึงได้​ถดถอย​ ผลงาน​ของ​หลูเจี๋ย​จึงกลายเป็น​ของล้ำค่า​ใน​วันนี้​”

น้อย​นัก​ที่​การประชุม​ราชสำนัก​จะถกเถียง​กัน​เรื่อง​โคลงกลอน​หรือ​ศิลปะ​ เพราะ​มักจะ​ถูก​ผู้ตรวจ​การกล่าวหา​ว่า​มัวแต่​เริง​สำราญ​จน​ไม่สนใจ​การงาน​ แต่​ใน​วันนี้​ไม่มีผู้ตรวจการ​คนใด​ปริปาก​ แต่กลับ​พินิจ​พิจารณา​ภาพ​ที่​กาง​อยู่​กลาง​โถงอย่าง​จดจ่อ​ ดวงตา​ทุก​คู่​ล้วน​เปล่งประกาย​ ราวกับ​มอง​แกะ​น้อย​กำลัง​โดน​เชือด​ พลาง​ครุ่นคิด​ว่า​จะกัด​กิน​ส่วน​ใด​เป็น​คำ​แรก​ดี​

“แม้หลูซือ​อัน​จะมิได้​ฝึกฝน​จน​ช่ำชอง​เท่า​คน​เป็น​ปู่​ แต่​ก็​ไม่ทำให้​ต้นตระกูล​ต้อง​ขายหน้า​ ขอ​เหล่า​ขุนนาง​ทั้งหลาย​โปรด​ดู​ ดู​ว่า​ภาพวาด​ของ​เขา​เป็น​เช่นไร​บ้าง​”

ขุน​นางใน​การประชุม​ราชสำนัก​มีไม่มาก​ สอง​แถว​ยืน​เรียง​กัน​ประมาณ​สิบ​กว่า​คน​ ทว่า​พอ​ได้ยิน​คำพูด​ของ​ฮ่องเต้​ แต่กลับ​ไร้​ซึ่งเสียง​ตอบรับ​ ทั้ง​ยัง​ไม่มีผู้ใด​ก้าว​เท้า​ออกมา​

“ฝ่าบาท​ หลูซือ​อัน​ใช้อำนาจหน้าที่​ใน​ทาง​มิชอบ​… ”

ขุนนาง​ผู้​หนึ่ง​เห็น​แววตา​เกา​ห​ลิง​ปอ​ จึงรวบรวม​ความกล้า​แล้ว​ยืน​ขึ้น​พูด​

ทว่า​ยัง​ไม่ทัน​ได้​พูด​จบ​ฮ่องเต้​ก็​เอ่ย​แทรก​ขึ้น​มาก่อน​

“หลูซือ​อัน​ใช้อำนาจหน้าที่​ใน​ทาง​มิชอบ​ เรา​รู้ดี​ ไม่จำเป็นต้อง​ให้​พวก​เจ้าย้ำ​เตือน​ ยาม​นี้​เรา​กำลัง​พูดถึง​ภาพวาด​” ฮ่องเต้​เอ่ย​เสียง​เรียบ​ “ยาม​นี้​เรา​ให้​พวก​เจ้าดู​ว่า​ภาพวาด​นี้​วาด​ได้ดี​หรือไม่​!”

ไม่มีผู้ใด​กล้า​พูด​ต่อ​

“ถวายบังคม​ฝ่าบาท​”

เสียงดัง​กังวาน​ของ​ชายหนุ่ม​ดัง​ขึ้น​ ทำลาย​บรรยากาศ​แสน​อึดอัด​ลง​

พอ​เห็น​จิ้น​อัน​จวิ้น​อ๋อง​ก้าว​ออกมา​มา องค์​ชาย​ใหญ่​ที่อยู่​ข้าง​กัน​ก็​เดิน​ตามติด​ ก่อน​จะชิงยืน​นิ่ง​อยู่​ที่​หน้า​ภาพวาด​ก่อน​

จิ้น​อัน​จวิ้น​อ๋อง​ยิ้ม​บาง​ชะงัก​ฝีเท้า​ลง​แล้ว​หลีกทาง​ให้​

พอ​มีเหล่า​องค์​ชาย​เปิดฉาก​ เฉินเซ่า​ก็​ก้าวเดิน​มาหยุด​อยู่​ข้างหน้า​เช่นกัน​ คน​ที่​เหลือ​ก็​ทยอย​ตาม​กัน​มาตามลำดับ​ศักดิ์​ของ​ตำแหน่ง​

ภาพวาด​ผืน​ยาว​นี้​ เริ่มต้น​จาก​ประตู​ตะวันตก​ของ​เมืองหลวง​ ภาพ​ทิวทัศน์​ที่​วาด​ออกมา​นั้น​ไม่อาจ​เรียก​ได้​ว่า​งามสัก​เท่าไหร่​ ลายเส้น​พู่กัน​แสน​ธรรมดา​ แต่​โดดเด่น​ที่​ความมีชีวิตชีวา​

เดิมที​ท้องพระโรง​นั้น​เงียบสงัด​แม้เหล่า​ขุนนาง​จะเริ่ม​ขยับ​เข้ามา​ใกล้​ จนกระทั่ง​เริ่ม​มีเสียง​กระซิบ​ถกเถียง​ดัง​ขึ้น​

แน่นอน​ว่า​เหล่า​ขุนนาง​ ณ ที่​นี้​ไม่ได้​เห็น​เหตุการณ์​ใน​วันนั้น​กับ​ตา​ของ​ตนเอง​ แต่​อย่าง​น้อย​ก็​ต้อง​ได้ยิน​ข่าวคราว​บ้าง​ ภาพวาด​ที่ตั้ง​ตระหง่าน​อยู่​ตรงหน้า​ใน​ยาม​นี้​ ราวกับ​กำลัง​พา​พวกเขา​เข้าไป​อยู่​ใน​เหตุการณ์​นั้น​อย่าง​ใกล้ชิด​

สมกับ​ที่​เป็น​หลานชาย​ของ​หลูเจี๋ย​ ลายเส้น​ปลาย​พู่กัน​ของ​หลู่​ซือ​อันนั้น​ละเอียด​ยิ่งนัก​ แม้แต่​ดอกไม้​ขาว​ที่​ประดับ​อยู่​บน​หัว​ม้าก็​ยัง​วาด​อย่าง​ประณีต​

ใน​ภาพ​มีทั้งคน​หาม​โลงศพ​ คน​ถือ​ธงดวงวิญญาณ​ คน​ยก​มือขึ้น​ปาด​น้ำตา​ คน​ที่​ใบหน้า​เรียบ​เฉย​ คน​ที่​ก้มหน้า​ แถมท่าทาง​ของ​เด็กน้อย​ที่อยู่​ใน​อ้อม​อก​ของ​ใครคนหนึ่ง​ก็​เปลี่ยน​ผัน​ไป​ตาม​การ​เคลื่อน​ขบวน​ บางครั้ง​ก็​ชูมือ​ออก​ไป​คว้า​ธงขาว​ บางครั้ง​ก็​ขยี้ตา​ บางครั้ง​ก็​อม​นิ้วมือ​ ช่างดู​ไร้เดียงสา​ยิ่งนัก​

สีหน้า​ของ​บรรดา​ชาย​หญิง​ทั้ง​คนหนุ่ม​ของ​แก่​ริมถนน​ก็​แตกต่าง​ บ้าง​ก็​กำลัง​ถามไถ่ด้วย​ความ​ตื่นตระหนก​ ทั้ง​ยังมี​สีหน้า​ของ​คนเมา​ที่​พยาม​ยาม​ยื้อแย่ง​เหล้า​กัน​ เขา​ก็​สามารถ​วาด​ออกมา​ได้​สมจริง​นัก​

จิ้น​อัน​จวิ้น​อ๋อง​เห็น​ดังนั้น​ก็​เม้มปาก​ยิ้ม​ออ​กม​อย่าง​ห้าม​ไม่อยู่​

ใน​ตอนแรก​องค์​ชาย​ใหญ่​ก้าว​ฉับ​อย่าง​ว่องไว​ แต่​พอ​หาง​ตา​เหลือบ​ไป​เห็น​จิ้ว​อัน​จวิ๋น​อ๋อง​เดิน​ช้าลง​ จังหวะ​ฝีเท้า​ของ​เขา​จึงช้าลง​ตาม​ เขา​มอง​จิ้น​อัน​จวิ้น​อ๋อง​ที่​เอาแต่​จอ​จ้อง​ไป​ที่​ภาพวาด​ ราวกับ​กลัว​ว่า​จะรายละเอียด​บางอย่าง​จะหลุด​ลอด​สายตา​ไป​ ทั้ง​ยัง​ขมวดคิ้ว​แน่น​

เขา​เกลียด​การ​ดู​ภาพวาด​! เพราะ​เหมือนกับ​การ​ดู​แผนที่​! ใน​สายตา​ของ​เขา​ลายเส้น​ขีดเขียน​อะไร​พวก​นั้น​ล้วนแต่​น่าเบื่อหน่าย​!

แต่​ตอนนี้​เขา​ไม่ใช่เด็กน้อย​เหมือน​แต่ก่อน​แล้ว​ องค์​ชาย​ใหญ่​เงยหน้า​ขึ้น​ สายตา​หยิ่งยโส​นั้น​จับจ้อง​ไป​ภาพวาด​อย่าง​พินิจ​พิจารณา​

เจอ​แล้ว​!

จิ้น​อัน​จวิ้น​อ๋อง​ชะงัก​ฝีเท้า​ลง​ สายตา​หยุด​อยู่​ที่​มุมหนึ่ง​ของ​ภาพ​ ท่ามกลาง​ฝูงชน​วุ่นวาย​ มีหญิงสาว​นาง​หนึ่ง​กำลัง​ยื่นมือ​ออก​ไป​ลูก​หัว​ม้า แม้จะสวม​หมวก​คุ​ลม​หน้า​ แต่​เข้า​ก็​รู้​ว่า​เป็น​ผู้ใด​

ภาพวาด​ของ​หลูซือ​อัน​เทียบ​ไม่ได้​กับ​ของ​คน​เป็น​ปู่​เลย​สักนิด​ เพราะ​ความจริง​แล้ว​เพียงแค่​หมวก​คลุม​หน้า​ไม่อาจ​ปกปิด​ท่าทาง​อันเป็น​เอกลักษณ์​ของ​หญิงสาว​ผู้​นั้น​ได้​อย่าง​แน่นอน​ แต่​จาก​ปลาย​พู่กัน​ของ​เขา​กลับ​กลายเป็น​เพียง​ภาพ​ไร้อารมณ์​

ตรงนี้​ต้อง​สูงขึ้น​อีก​นิด​ แขน​เสื้อ​ต้อง​กว้าง​ขึ้น​อีกหน่อย​ ถึงจะเป็น​หมวก​คลุม​หน้า​แต่​ก็​ไม่ควร​ลงสี​ดำ​สนิท​เช่นนี้​ อย่าง​น้อย​ก็​ต้อง​เผย​ให้​เห็น​ใบหน้า​ภายใน​บ้าง​…

“ฝ่าบาท​…”

เสียงเตือน​เรียก​สติ​ดัง​ขึ้น​ข้าง​กาย​

จิ้น​อัน​จวิ้น​อ๋อง​ยืน​ตัวตรง​ มองดู​เฉินเซ่า​พยักหน้า​ส่งสัญญาณ แล้วจึง​ก้าวเดิน​ไป​ข้างหน้า​

ดู​อะไร​กัน​ เหตุใด​ถึงได้​เหม่อลอย​เช่นนั้น​

เฉินเซ่า​มอง​ตามอย่าง​อด​ไม่ได้​ แต่​ก็​ไม่เห็น​ว่า​มีจุด​ใด​โดดเด่น​เป็นพิเศษ​

ภาพ​นี้​ร่าย​เรียง​เรื่องราว​ตั้งแต่​ประตูเมือง​ทิศตะวันออก​ ไป​จนถึง​ความ​ครื้นเครง​ที่​หน้า​หลุมศพ​ และ​ดอกไม้ไฟ​บน​ท้องฟ้า​

“วาด​ได้ดี​หรือไม่​” เสียง​ของ​ฮ่องเต้​ดัง​มาจาก​บน​บัลลังก์​

วาด​ได้​ไม่ดี​สัก​เท่าไหร่​ แต่​วาด​ได้​สมจริง​เสีย​จน​น่าหวาดกลัว​

เกา​ห​ลิง​ปอ​กัดฟัน​กรอด​

ภาพวาด​หรือ​การ​ร่าย​ร่ำ​ย่อม​แสดงออก​ได้​เด่นชัด​ยิ่งกว่า​บทกวี​ ทั้ง​ยัง​สะเทือนอารมณ์​คน​มากกว่า​

หาก​เหตุการณ์​นี้​พรรณนา​โดย​บท​ร้อยกรอง​ คง​น่าเบื่อหน่าย​เพราะ​คน​ขับร้อง​มิได้​รู้สึก​เช่นเดียวกับ​คนเขียน​ แต่​หาก​ใช้ภาพวาด​ถ่ายทอด​ออกมา​ ย่อม​สามารถ​สั่นคลอน​ความรู้สึกนึกคิด​ของ​ฮ่องเต้​ได้​บ้าง​

บน​แผ่น​กระดาษ​ปรากฏ​ภาพ​ของ​ขบวน​ส่งศพ​อัน​ยิ่งใหญ่​ รายล้อม​ไป​ด้วย​ฝูงชน​มากมาย​ ถ่ายทอด​ความโกลาหล​วุ่นวาย​ใน​เมืองหลวง​ได้​อย่าง​แจ่มแจ้ง สำหรับ​ฮ่องเต้​ที่หนึ่ง​ปี​ออกจาก​วัง​เพียงแค่​หน​สอง​หน​ แถมยัง​ออก​ไป​ถึงแค่​ตำหนัก​ที่​ตั้งอยู่​ไกล​ออก​ไป​ไม่กี่​ลี้​ ภาพ​ที่​ได้​เห็น​ทำให้​เขา​สะเทือนอารมณ์​ยิ่งนัก​

ภาพ​วาดภาพ​นี้​ราวกับ​พา​เขา​เข้าไป​อยู่​ใน​เหตุการณ์​วันนั้น​ ราวกับ​ได้​สัมผัส​และ​ความรู้สึก​นั้น​เกิดขึ้น​จริง​กับ​ตนเอง​

“ชาวเมือง​ทั้ง​โศกเศร้า​ทั้ง​คับแค้นใจ​ สิบ​คน​ได้​เห็น​ เก้า​คน​ตรอมใจ​ จาก​ตะวันออก​จรด​ตะวันตก​ ถนนหนทาง​เนืองแน่น​ไป​ด้วย​ผู้คน​ เงิน​กระดาษ​โปรยปราย​ลงมา​ดั่ง​หิมะ​ ธงส่งดวงวิญญาณ​ตั้งชัน​ดั่ง​พงไพร​ ทั้งเมือง​ต่าง​กล่าวขาน​ถึงเขา​เม่าหยวน​ซาน​”

“…กระหม่อม​ได้ยิน​ข่าว​มา จึงได้​สืบ​เรื่อง​ต่อ​เป็นการ​ลับ​ เพราะ​ไม่ต้องการ​ให้​การฉ้อฉล​เพื่อ​รับ​ความดี​ความชอบ​ของ​เจียง​เห​วิน​หยวน​แปดเปื้อน​ถึงฝ่าบาท​ ยาม​นี้​เหล่า​ชาวเมือง​นั้น​คับแค้นใจ​ ถูก​กดขี่​เสีย​จน​มิกล้า​ร้องเรียน​ เบื้องบน​จึงไม่อาจ​ได้ยิน​เสียง​ของ​พวกเขา​ ใน​วันที่​ข้า​จะต้อง​จาก​เมืองหลวง​แห่ง​นี้​ไป​ ข้า​ได้​เห็น​เหล่า​ชาวเมือง​ร้องเรียก​ให้​สวรรค์​รับ​ดวงวิญญาณ​ของ​เหล่า​นักรบ​ขึ้นไป​ กระหม่อม​ยอม​มิได้​หาก​ฝ่าบาท​จะต้อง​แปดเปื้อน​เพราะ​ความผิด​นี้​ และ​เพื่อ​หา​หลักฐาน​ว่า​เจียง​เห​วิน​หยวน​เป็น​ผู้​กระทำความผิด​ กระหม่อม​ยอม​ต้องโทษ​หมิ่น​เบื้องสูง​ หาก​มิเป็น​ดั่ง​ที่ว่า​ไว้​ กระหม่อม​ยิน​ยอมให้​ตัดหัว​ประจาน​ที่​หน้า​ประตู​เซวียนเต๋​อ.​..”

เสียง​ของ​ขันที​ที่​อ่าน​คำร้อง​ของ​หลูซือ​อัน​ดังก้อง​ไป​ทั่ว​ท้องพระโรง​ พาล​ให้​เหล่า​ขุนนาง​ที่​จ้องมอง​ภาพ​นั้น​นิ่งเงียบ​ไป​อีกครั้ง​

“พวก​เจ้าคิด​ว่า​ หลูซือ​อัน​วาด​ได้ดี​หรือไม่​” ฮ่องเต้​ถามอีกครั้ง​

องค์​ชาย​ใหญ่​อยาก​จะก้าว​ขึ้น​มาข้างหน้า​แล้ว​ออกความเห็น​ แต่​ก็​ไม่ว่า​จะพูด​อัน​ใด​ดี​ ยาม​นี้​หาก​จะบอ​กว่า​วาด​ได้​แย่​ ก็​เหมือน​พูด​ไป​เพื่อ​ขายผ้าเอาหน้ารอด​ ใน​เมื่อ​ยัง​ไม่แน่ชัด​ว่า​ฮ่องเต้​มีความหมายแฝง​อัน​ใด​ถึงได้​ถามเช่นนั้น​ หาก​ตอบ​ไม่ตรง​ใจก็​ยิ่ง​แย่​เข้าไป​กัน​ใหญ่​

วันก่อน​อาจารย์​ได้​สอน​เขา​ใน​คาบ​เรียน​ว่า​ พูด​ให้​น้อย​ เรื่อง​ที่​ตน​ไม่รู้​ ยิ่ง​ห้าม​พูด​เด็ดขาด​

ขณะที่​เขา​กำลัง​ลังเล​อยู่​นั้น​ จิ้น​อัน​จวิ้น​อ๋อง​ก็​ก้าว​ออก​มาจาก​แถว​

สายตา​ของ​คน​ทั้ง​ท้องพระโรง​หันไป​มอง​จิ้น​อัน​จวิ้น​อ๋อง​ บ้าง​ก็​มอง​อย่าง​โจ้งแจ้ง บ้าง​ก็​ลอบมอง​ ทว่า​ล้วนแต่​มอง​ด้วย​ความประหลาดใจ​อย่าง​ไม่อาจ​ปกปิด​

ทุกครั้งที่​ชิน​อ๋อง​มาร่วม​ประชุม​ราชสำนัก​ก็​เป็น​เหมือน​เพียง​ไม้ประดับ​ ไม่เหมือน​องค์​ชาย​ใหญ่​ องค์​ราช​ทายาท​ที่​ถูก​ฝึกฝน​จน​สามารถ​ร่วม​ออกความเห็น​ได้​ จิ้น​อัน​จวิ๋น​อ๋อง​เอง​ย่อม​รู้ดี​ จึงมักจะ​ถกเถียง​กับ​ฮ่องเต้​เป็นการ​ส่วนตัว​ แต่​ไม่แสดง​ความเห็น​ของ​ตน​ต่อหน้า​เหล่า​ขุน​นางใน​การประชุม​ราชสำนัก​

วันนี้​เป็นครั้งแรก​ของ​เขา​

ฮ่องเต้​หันไป​มอง​เขา​ สีหน้า​มอง​ไม่ออ​กว่า​เกรี้ยวกราด​หรือว่า​ดีใจ​

“ฝ่าบาท​จำภาพวาด​ลัดเลาะ​ป่า​เขา​ที่​กระหม่อม​ถวาย​ให้​พระองค์​ได้​หรือไม่​” สีหน้า​ของ​จิ้น​อัน​จวิ้น​อ๋อง​ดู​ผ่อนคลาย​ ทั้ง​ยัง​เอ่ย​ด้วย​ใบหน้า​ยิ้มแย้ม​ดัง​เช่นเคย​

ภาพ​อะไร​นะ​ เหล่า​ขุนนาง​ที่อยู่​ใน​ท้องพระโรง​ต่าง​สงสัย​ สีหน้า​ของ​ฮ่องเต้​เริ่ม​เปลี่ยนไป​

“กระหม่อม​เอง​ไม่ค่อย​รู้เรื่อง​ศิลปะ​นัก​ แต่​ก็​พอ​รู้​ว่า​ฝีมือ​วาดภาพ​ของ​หลูซือ​อันนั้น​ช่างแสน​ธรรมดา​ เก่งกาจ​กว่า​กระหม่อม​ไม่เท่าไหร่​” จิ้น​อัน​จวิ้น​อ๋อง​เอ่ย​ สายตา​มอง​ไป​ยัง​ภาพ​ที่​ขันที​กาง​อยู่​ “แต่ว่า​กระหม่อม​สัมผัส​ได้​ถึงความตั้งใจ​ของ​เขา​ เหมือนกับ​ภาพวาด​ที่​กระหม่อม​ถวาย​แก่​ฝ่าบาท​ใน​วันนั้น​ กระหม่อม​เอง​ก็​เคย​มีรู้สึก​เช่นนั้น​ ถึงได้​มองออก​ว่า​แต่ละ​ลายเส้น​พู่กัน​นั้น​มาจาก​ความเพียรพยายาม​”

ความตั้งใจ​อย่างนั้น​หรือ​!

ให้​ความเห็น​เช่นนี้​ก็ได้​อย่างนั้น​หรือ​! นี่​คือ​ความเห็น​ที่​มีต่อ​ภาพวาด​หรือ​เหตุการณ์​ที่​เกิดขึ้น​กัน​แน่​! นี่​คือ​ความเห็น​ที่​ฮ่องเต้​อยาก​ได้ยิน​สินะ​!

คำพูด​นั้น​ทำให้​เข้าใจ​ภาพวาด​นี้​ได้​อย่าง​ทะลุ​ปุ​โปร่ง​ ราวกับ​หยิบยก​เรื่องราว​ข้างหลัง​ภาพ​ให้​ปรากฏ​สู่สายตา​ของ​ทุกคน​!

ฟางเหว่​ย!​

ชีวิต​เจ้าคง​สุขสบาย​เกินไป​กระมัง​! เหตุใด​ถึงได้​แส่ไม่เข้าเรื่อง​เช่นนี้​!

เกา​ห​ลิง​ปอ​มอง​ไป​ทาง​จิ้น​อัน​จวิ้น​อ๋อง​ด้วย​ความ​ตื่นตระหนก​อย่าง​ไม่อาจ​ปกปิด​ ใน​ใจของ​เขา​เดือดดาล​

เขา​ไม่ได้​ตื่นกลัว​เพราะ​คำพูด​นั้น​ แต่​ตกใจ​เพราะ​คน​ที่​พูด​ประโยค​นั้น​ต่างหาก​ ไม่ว่า​อย่างไร​คำพูด​นี้​ต้อง​ถูก​ใคร​สัก​คน​เอ่ย​ขึ้น​เป็นแน่​ และ​ก็​ควรจะ​เป็นหนึ่ง​ใน​พวกพ้อง​ของ​เฉินเซ่า​ แต่​ไม่ใช่จิ้น​อัน​จวิ้น​อ๋อง​ที่​ไม่ได้ส่วน​เกี่ยวข้อง​อัน​ใด​กับ​เรื่อง​นี้​

หาก​เฉินเซ่า​เป็น​คนพูด​ หรือ​จะว่า​กัน​ตามหลักการ​แล้ว​ ก็​มีแต่​คน​ระดับ​เฉินเซ่า​เท่านั้น​ที่​พูด​ได้​ เพราะ​หลูซือ​อันเป็น​คน​ที่​เฉินเซ่า​แนะนำ​เข้ามา​ ใน​สายตา​ของ​ฮ่องเต้​แล้ว​เขา​คือ​พวกพ้อง​เฉินเซ่า​ แต่​หาก​เขา​ไม่พูด​ ก็​แสดงว่า​ใจเขา​มิได้คิด​ซื่อตรง​ แต่​หาก​เขา​ออกหน้า​แล้ว​บอ​กว่า​การกระทำ​ของ​หลูซือ​อันนั้น​ถูกต้อง​แล้ว​ ก็​เท่ากับ​ว่า​เขา​ช่วย​พวกพ้อง​ปิดบัง​ สุดท้าย​แล้ว​ไม่ว่า​เฉินเซ่า​จะพูด​หรือไม่​พูด​ ก็​ย่อม​เกิดผล​อย่างใดอย่างหนึ่ง​อยู่ดี​ แล้ว​จะยิ่ง​ทำให้​ฮ่องเต้​สงสัย​ใน​ตัว​เขา​

สงสัย​ว่า​เฉินเซ่า​คือ​ผู้​ชักใย​อยู่​เบื้องหลัง​เรื่อง​นี้​

แต่​ยาม​นี้​จู่ๆ จิ้น​อัน​จวิ้น​อ๋อง​กลับเป็น​คน​โพล่ง​ขึ้น​มาก่อน​ แถมยัง​เอ่ยถึง​ภาพวาด​ใน​อดีต​ พา​ให้​ฮ่องเต้​ยิ่ง​ครุ่นคิด​ จน​สถานการณ์​ใน​ตอนนี้​กลับตาลปัตร​ไป​กัน​หมด​แล้ว​!

“ฝ่าบาท​ กระหม่อม​ก็​เห็น​เช่นนั้น​พ่ะย่ะค่ะ​” เฉินเซ่า​ก้าว​ออกมา​แล้ว​เอ่ย​ขึ้น​

ได้ยิน​หรือยัง​ กลายเป็น​ว่า​เขา​เห็นด้วย​ แต่​มิใช่ความเห็น​ของ​เขา​เอง​! คำพูด​ที่​ต่างกัน​เพียงแค่​คำ​เดียว​กลับ​ทำให้​ฮ่องเต้​คลาย​ข้อกังขา​ใน​ใจที่​มีต่อ​เฉินเซ่า​ไป​ปลิด​ทิ้ง​!

“ฝ่าบาท​ หลูซือ​อัน​มีความตั้งใจ​ก็​จริง​ แต่​มีความ​ประสงค์ร้าย​แฝงอยู่​!” เกา​ห​ลิง​ปอ​โมโห​จน​ทนไม่ไหว​ อย่างไร​ก็​ต้อง​กู้​สถานการณ์​เบื้องหน้า​นี้​ให้​ได้เสีย​ก่อน​ เพื่อ​จะความเสียหาย​จะได้​ไม่บานปลาย​ไป​มากกว่า​นี้​

“…หลูซือ​อัน​กล่าวหา​เจียง​เห​วิน​หยวน​ว่า​แย่ง​ความดี​ความชอบ​ของ​ผู้ใต้บังคับบัญชา​มาเป็น​ของ​ตน​ ทั้ง​ยัง​ปกปิด​เรื่อง​นี้​ต่อ​ฝ่าบาท​ แต่​กระหม่อม​กับ​คิด​ว่า​เขา​กำลัง​ยุยง​ให้​ชาวเมือง​บีบคั้น​ฝ่าบาท​มากกว่า​…”

“…ยุยง​ชาวเมือง​อย่างนั้น​หรือ​ คน​นับ​หมื่น​ที่​ออกมา​ร่วม​ขบวน​นี้​น่ะ​หรือ​ ใต้เท้า​เกา​ช่างประเมิน​หลูซือ​อัน​สูงยิ่งนัก​…”

ท้อง​พระ​โถงที่​เคย​เงียบสงบ​ก็​เสียงดัง​เซ็งแซ่ขึ้น​มาใน​ทันใด​ มีทั้งคน​ที่​เห็นด้วย​และ​คน​ที่​คัดค้าน​ เสียงดัง​สนั่นราวกับ​ลม​ฝน​พายุ​มิปาน​

องค์​ชาย​ใหญ่​ได้​แต่​ยืน​นิ่ง​ แววตา​เหม่อลอย​

เขา​ยัง​ไม่ทัน​ได้สติ​ว่า​เกิดเรื่อง​อัน​ใด​ขึ้น​ด้วยซ้ำ​ เหตุใด​เหล่า​ขุนนาง​ที่​ปิดหูปิดตา​ นิ่งเงียบ​ราวกับ​สุนัข​แสน​เชื่อง​มาโดยตลอด​ กลับ​เริ่ม​แบ่ง​พรรค​แบ่ง​พวก​ขึ้น​มา ไม่นาน​ก็​เริ่ม​เถียง​กัน​จน​หน้าดำหน้าแดง​ แทบจะ​ถลก​แขน​เสื้อ​กระโจน​เข้าใส่​กัน​อยู่แล้ว​

เป็น​เช่นนี้​อีก​ตามเคย​ ไม่รู้​ว่า​พวกเขา​ทะเลาะ​กัน​เรื่อง​อัน​ใด​กัน​แน่​ ไร้สาระ​ยิ่งนัก​

องค์​ชาย​ใหญ่​ยืน​อยู่​กลาง​ท้องพระโรง​ รู้สึก​เหมือน​กำลัง​ย้อนกลับ​ไป​ยาม​ที่​เขา​ขึ้น​ว่าราชการ​แทน​เสด็จ​พ่อ​ตอน​ยัง​เด็ก​ แต่​ยาม​นี้​กลับ​รู้สึก​ทรมาน​เสีย​ยิ่งกว่า​ เพราะ​ตอนนั้น​อย่าง​น้อย​เขา​ก็ได้​นั่ง​บน​บัลลังก์​ ไม่ใช่ยืน​อยู่​เหมือน​ตอนนี้​

ไม่รู้​ว่า​คน​พวก​นี้​จะทะเลาะ​กัน​ไป​ถึงเมื่อไหร่​…

จิ้น​อัน​จวิ้น​อ๋อง​ผู้​จุด​ชวน​ดอกไม้ไฟ​ให้​ปะทุ​ขึ้น​กำลัง​ก้มหน้า​ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่​ ก่อน​จะเงยหน้า​ขึ้น​ด้วย​ใบหน้า​เรียบ​เฉย​ดังเดิม​ ทว่า​สาย​ตากลับ​หยุด​อยู่​ที่​ภาพวาด​น​นั้น​อีกครั้ง​ เสียง​โหวกเหวก​โวย​ด้านหลัง​ราว​กลับ​บทเพลง​บรรเลง​เคล้า​คลอ​

“ข้า​ชอบ​ภาพ​วาดภาพ​นี้​นัก​” เขา​เอ่ย​กระซิบ​กับ​องค์​ชาย​ใหญ่​

องค์​ชาย​ใหญ่​ไม่ชายตามอง​เขา​แม้แต่​นิด​

“องค์​ชาย​ดู​สิ วาด​ได้ดี​นัก​ สมจริง​เสีย​ยิ่ง​กระไร​ แต่ก่อน​ตอนที่​ข้า​ออกจาก​วัง​ไป​ ก็​มักจะ​ใช้เส้นทาง​จาก​ประตู​ตะวัน​ตกไป​ยัง​ประตู​ตะวัน​ออ​ก.​.. ข้า​จำสะพาน​นี้​ได้​ หัวสะพาน​มีสิงห์​อยู่​สามตัว​…” จิ้น​อัน​จวิ้น​อ๋อง​ไม่ใส่ใจทั้ง​ยัง​พูด​ต่อ​ พลาง​จ้องมอง​ไป​ที่​รูปภาพ​

องค์​ชาย​ใหญ่​ก้าว​ถอยห่าง​จาก​เขา​

สายตา​ของ​จิ้น​อัน​จวิ้น​อ๋อง​หยุด​อยู่​ที่​ดอกไม้ไฟ​บน​ภาพ​ ดอกไม้ไฟ​จาก​นอกเมือง​ใน​วันนั้น​เปล่งประกาย​งดงาม​ถึงเพียงนี้​เชียว​หรือ​

อันที่จริง​เขา​เอง​เห็น​แล้ว​กับ​ตา​ เพียงแต่​เห็น​เพียง​ประกาย​รำไร​เท่านั้น​ ยาม​ที่​ดอกไม้ไฟ​ปะทุ​กลาง​ท้องฟ้า​ เขา​กำลัง​พา​ลิ่ว​เกอร์​ไป​นั่งเล่น​บน​จุด​ที่สูง​ที่​ของ​วังหลวง​ที่​ไม่มีผู้ใด​ล่วงรู้​ ตอนนั้น​พวกเขา​ยัง​ตกใจ​จน​สะดุ้ง​ตัว​โยน​กัน​อยู่เลย​

ที่แท้​วันนั้น​เมืองหลวง​คึกคัก​ถึงเพียงนี้​เชียว​หรือ​

จิ้น​อัน​จวิ้น​อ๋อง​กวาดสายตา​มอง​ภาพวาด​ครั้งแล้วครั้งเล่า​

นาง​คง​โมโห​มาก​แน่ๆ​ ทั้ง​ยัง​เศร้าโศก​มาก​แน่ๆ​ สิ่งที่​นาง​มีเดิมที​นั้น​ช่างน้อย​นิด​ แต่​บัดนี้​ได้​สูญสิ้น​แล้ว​ทุกสิ่ง​

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด