พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่งบทที่ 339.2สงสัย (2)

Now you are reading พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง Chapter บทที่ 339.2สงสัย (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เวลาสั้นๆ เพียงแค่ปีเดียว ตระกูลโจวอบรมสั่งสอนได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ไม่ว่าตระกูลโจวจะลงทุนลงแรงไปเท่าใด ทว่ารูปแกะสลักที่งดงามย่อมมาจากไม้ชั้นดี เช่นนั้นแล้วเจ้าเด็กบ้านี่… ไม่ได้บ้าอย่างนั้นหรือ

“เจียวเหนียง เจ้ามาหาท่านลุง มีเรื่องอันใดหรือ”

ฮูหยินใหญ่เฉิงชิงถามขึ้นก่อน

นายใหญ่เฉิงเพิ่งได้สติกลับคืนมา เขาจ้องมองหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้า

ก่อนจะเอ่ยปากพูด นางหันมาคำนับให้แก่ฮูหยินใหญ่เฉิง

“ข้าอยากดู ลำดับบรรพชน” นางเอ่ย

พอคำนั้นพูดออกไป ฮูหยินใหญ่เฉิงก็ชะงักไปในทันที

พวกเขาเองก็เคยคิดว่าหญิงผู้นี้อาจจะพูดจาเหลวไหลตามประสา แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจะเอ่ยคำพูดพิลึกชอบกลเช่นนี้ออกมาได้อย่างหน้าตาเฉย

“เจ้าจะดูไปทำไมหรือ” ฮูหยินใหญ่เฉิงถาม

ทว่าเฉิงเจียวเหนียงยังไม่ทันตอบ นายใหญ่เฉิงก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน

“มีคนจากเมืองหลวงมาสู่ขอ เจ้ารู้อยู่ก่อนแล้วใช่หรือไม่” เขาถาม

ฮูหยินใหญ่เฉิงสะดุ้งตกใจก่อนจะหันไปมองด้วยสีหน้าตื่นกระหนก

เหตุใดจู่ๆ ถึงถามเช่นนั้น

นายใหญ่เฉิงเองก็ตกใจกับสิ่งที่ตนถามออกไปเช่นกัน อันที่จริงเขาเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้ถามเช่นนั้น

“พวกเขามาสู่ขอจริงหรือเจ้าคะ” เฉิงเจียวเหนียงยิ้มบางพลางพยักหน้า “ข้ารู้”

ฮูหยินใหญ่เฉิงไม่ได้ประหลาดใจกับคำตอบนัก เรื่องเช่นนี้ตระกูลโจวย่อมปรึกษากับนางก่อนหน้าแล้ว

ทว่านายใหญ่เฉิงกลับดูเหม่อลอยไป เพียงแค่ประโยคสั้น ทว่ากลับให้ความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย อยากจะพูดออกไปแต่กลับพูดไม่ออก

“เช่นนั้นแล้วท่านลุงของเจียวเหนียงต้องการอะไร” ฮูหยินใหญ่เฉิงถาม “เจ้าเชื่อท่านลุงของเจ้า หรือจะเชื่อตระกูลเรา”

นางพูดจบก็มองไปยังสาวใช้ที่นั่งอยู่หน้าประตู

สาวใช้นิ่งเงียบมาโดยตลอด ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาด้วยซ้ำ

ดูก็รู้ว่าเตรียมคำพูดมาแล้วอย่างดี ยามนี้จึงไม่จำเป็นต้องกังวลสิท่า

ฮูหยินใหญ่เฉิงเย้ยหยันอยู่ในใจ

“ข้าเชื่อตัวเองเจ้าค่ะ” เฉิงเจียวเหนียงตอบแล้วหันไปทางนายใหญ่เฉิง “ดังนั้นท่านลุงได้โปรดให้ข้าดูลำดับบรรพชนด้วยเถิดเจ้าค่ะ ข้าอยากรู้ว่าข้าคือใคร”

คำตอบนั้นพาลทำให้ฮูหยินใหญ่เฉิงต้องขมวดคิ้ว ส่วนนายใหญ่เฉิงกลับแววตาเป็นประกาย

นางเชื่อตัวเอง อยากจะรู้ว่าเป็นตนตระกูลใดกันอย่างนั้นหรือ ก็ย่อมเป็นคนตระกูลเฉิงอยู่แล้ว หากเป็นคนตระกูลโจว เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็คงไม่ฟัง!

“หากเจ้าคิดเช่นนั้นก็ดี” เขาเอ่ยพลางพยักหน้าแล้วมองไปข้างนอก “ลิ่วเหวิน”

ไม่นานชายชราท่าทางแสนซื่อตรงก็เดินเข้ามาในห้องอย่างรีบร้อน

“นายใหญ่มีรับสั่งอันใดหรือขอรับ” เขาคำนับก่อนจะเอ่ยอย่างนอบน้อม

“พานางไปดูลำดับบรรพชน” นายใหญ่เฉิงพูดจบก็นึกขึ้นได้ว่านางไม่รู้หนังสือ “เจ้าอ่านให้นางฟัง”

ชายผู้นั้นขานรับ ก่อนจะชำเลืองมองเฉิงเจียวเหนียง แล้วออกไปรอที่นอกห้อง

เฉิงเจียวเหนียงคำนับขอบคุณก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินตามออกไป

“นางพูดอะไรของนาง หมายความว่าอย่างไร จะดูลำดับบรรพชนไปทำไมกัน” ฮูหยินใหญ่เฉิงขมวดคิ้วถาม “แล้วเหตุใดท่านถึงยอมให้นางดู”

“นางพูดแล้วนี่ว่าจะเป็นคนตระกูลเฉิง จึงไม่เชื่อคำของตระกูลโจว” นายใหญ่เฉิงลูบเคราพลางพยักหน้าเอ่ย

ฮูหยินใหญ่เฉิงหันไปมองเข้า

“นางพูดหรือ นางพูดเมื่อใดกัน เหตุใดข้าถึงไม่ได้ยิน” นางถาม

มือที่ลูบเคราอยู่ของนายใหญ่เฉิงชะงักไป

“ก็เมื่อครู่นางพูดไม่ใช่หรือว่าอยากดูลำดับบรรพชน เพราะอยากรู้ว่าตนเป็นใคร และนางก็จะเชื่อตัวนางเอง…” เขาเสียงตะกุกตะกัก

พูดยังไม่ทันจบฮูหยินใหญ่เฉิงก็โมโหเลือดขึ้นหน้าจนต้องเอ่ยแทรก

“นางพูดเองเสียที่ไหนกัน ท่านพูดเองชัดๆ!” นางตะโกนลั่น “ท่านเสียสติไปแล้วหรือ คิดอะไรเหลวไหล!”

นั่นสินะ เขาคิดอะไรเหลวไหล นางพูดอีกอย่าง เหตุใดเขาถึงคิดไปอีกอย่างได้

เพียงแต่ตอนที่มองหญิงผู้นั้นพูดคำนี้ออกมา เขากลับรู้สึกว่านางหมายความเช่นนี้…

แล้วนางไม่ได้หมายความเช่นนี้หรือ เขาเองหรอกหรือที่คิดมากจนเกินไป แล้วเหตุใดเขาถึงคิดมาก ราวกับว่านับแต่ที่หญิงผู้นั้นเอ่ยออกมาประโยคแรก บทสนทนานั้นก็จะมีนางเป็นผู้นำเสียอย่างนั้น….

แต่ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือนางทำมันได้อย่างแยบยลนัก ราวกับว่าเป็นเรื่องธรรมดา นางทำเช่นนั้นได้อย่างไร! ลูกหลานคนหนึ่งทำเช่นนี้ต่อหน้าเขาได้อย่างไร แถมยังเป็นเด็กบ้านั่นอีกต่างหาก

ต้องมีอะไรบางอย่างผิดแปลกไปแน่นอน

นายใหญ่เฉิงก้มหน้ายกมือขึ้นมานวดขมับอย่างอดไม่ได้

“อยากดูก็ดูไปเถิด หาใช่ของสำคัญแต่อย่างใด” เขาเอ่ยพึมพำออกมา

พูดจบจนเองก็ชะงักไป

ลำดับบรรพชน…

เหมือนนี่จะเป็นครั้งที่สองในรอบสองเดือนแล้วที่มีคนมาขอดูลำดับบรรพชน

แล้วทั้งสองหนนี้มีความเกี่ยวเนื่องกันอย่างนั้นหรือ

ความคิดแวบเข้ามาในหัว ทว่านายใหญ่เฉิงกลับรีบสลัดความคิดนั้นทิ้งไป

จะเกี่ยวเนื่องกันได้อย่างไร เขาคิดมากไปอีกแล้ว! คราวก่อนเป็นขุนนางจากเมืองหลวง จะเกี่ยวเนื่องกับเด็กบ้านของตระกูลเขาได้อย่างไร!

พอพูดถึงเมื่อคราวก่อน คนเมืองหลวงพวกนั้นต้องการอะไรกันแน่ มาตรวจสอบข้อมูลการสอบขุนนางจริงๆ หรือ ข้อมูลการสอบของขุนนางผู้น้อยต่างเมืองเช่นนี้ สำคัญถึงขนาดต้องให้คนจากทางการของเมืองหลวงมาตรวจสอบเลยหรือ

ทั้งยังน่าแปลกที่พวกเขากลับไม่ได้ถามถึงนายใหญ่เฉิงด้วย

เมืองหลวง วังหลัง ภายในตำหนักของไทเฮามีผู้คนนั่งพูดคุยหัวเราะกันอยู่เต็มไปหมด

“ใช่แล้ว องค์ชาย” เกาหลิงปอใบหน้ายิ้มแย้มในชุดขุนนาง จู่ๆ ก็หันไปถามจิ้นอันจวิ้นอ๋องที่กำลังเล่นหมากรุกกับองค์ชายรองอยู่

จิ้นอันจวิ้นอ๋องมองมาด้วยรอยยิ้ม

“กัวเฉวียนจากกรมพระคลัง ท่านรู้จักหรือไม่” เกาหลิงปอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

จิ้นอันจวิ้นอ๋องพยักหน้า

“เคยได้ยินชื่อ เป็นผู้พิพากษาใช่หรือไม่ เหมือนเคยได้ยินผู้ใดพูดถึง” เขาเอ่ยพลางขมวดคิ้วครุ่นคิด ก่อนจะหันไปทางองค์ชายใหญ่ที่นั่งหลังตรงอยู่ “เคยได้ยินองค์ชายใหญ่พูดถึง บอกว่าตอนว่าความเขาพูดถึงเรื่องอะไรสักอย่าง”

องค์ชายใหญ่ไม่ตอบ ทว่ากุ้ยเฟยที่นั่งอยู่ข้างกายกลับยิ้มออกมา

“เด็กน้อยจะไปเข้าใจงานราชการแผ่นดินได้อย่างไร พวกเจ้าอย่าได้เอามาพูดเหลวไหล” นางเอ่ย

องค์ชายใหญ่เข้าไปนั่งในศาลาว่าการ แถมยังเอ่ยถึงชื่อของคนอื่น กิริยาเช่นนี้ไม่เหมาะสมยิ่งนัก

เกาหลิงปอเองก็รู้ดี จึงรีบหัวเราะกลบเกลื่อนแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนมนา

เขาไม่มีทางพูดเรื่องที่จะเป็นผลร้ายต่อองค์ชายใหญ่เป็นแน่

จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มบาง พลางก้มหน้าเล่นหมากรุกกับองค์ชายรองต่อ

“คนผู้นั้นทำไมหรือ” ไทเฮาที่นอนอยู่บนเตียงที่เยื้องออกไปได้ยินพวกเขาพูดคุยกัน จึงเอ่ยถามขึ้น

“ไม่มีอันใดหรอกพ่ะย่ะค่ะ ได้ข่าวมาว่าช่วงก่อนเขาส่งคนไปตรวจข้อมูลของขุนนางผู้น้อยคนหนึ่งเป็นการส่วนตัว จึงรู้ว่าแปลกชอบกลพ่ะย่ะค่ะ” เกาหลิงปอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“ไม่เห็นแปลกนี่ ข้อมูลสอบขุนนางจะละเลยได้อย่างไร เป็นหน้าที่ของกรมพระคลังอยู่แล้วมิใช่หรือ ช่วยจัดการดูแลแทนฝ่าบาท” ไทเฮายิ้มเอ่ย

ทุกคนพากันหัวเราะ

“ไทเฮา กรมพระคลังมิได้มีหน้าที่เพียงเท่านั้นนะพ่ะย่ะค่ะ” เกาหลิงปอเอ่ยพลางหัวเราะ

“อืม หากพวกเขาทำหน้าที่นี้ได้ดีก็นับว่าไม่เลวแล้ว” ไทเฮาเองก็หัวเราะเช่นกัน

เรืองในราชสำนัก วังหลังมิควรก้าวก่าย ไม่ต้องรอให้ผู้ใดเตือน ไทเฮาก็เปลี่ยนเรื่องคุยด้วยตนเอง นางพูดคุยหัวเราะอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลาทุกคนแล้วออกไป

“องค์ชาย ช้าๆ พ่ะย่ะค่ะ อย่าวิ่ง”

พอก้าวออกมาจากตำหนักไทเฮา องค์ชายรองก็รีบจูงมือจิ้นอันจวิ้นอ๋องวิ่งเล่นในทันที ขันทีตื่นตกใจแทบแย่ พลางวิ่งตามไปกล่าวเตือน

“เร็วเข้า เร็วเข้า ข้าจะไปหาเสด็จพ่อ” องค์ชายรองเอ่ย

“เสด็จพ่อว่าราชการอยู่ เจ้าอย่าได้รบกวนท่าน” องค์ชายใหญ่เอ่ยพลางยกมือขึ้นกอดอก

องค์ชายรองหันมายิ้มให้แก่เขา

“เสด็จพ่อเรียกให้ข้าไปหา” เขาตอบ

“เจ้ารบเร้าฝ่าบาท ฝ่าบาทจนใจ จึงยอมตกลงเสียมากกว่า” จิ้นอันจวิ้นอ๋องพูดต่อพลางหัวเราะออกมา มือข้างหนึ่งจูงมือองค์ชายรองไว้ เพื่อให้อีกคนเดินช้าลง

คำพูดนั้นทำให้สีหน้าขององค์ชายใหญ่แจ่มใสขึ้นมาไม่น้อย เขาเชิดหน้าขึ้น

“ข้าจะไปทำการบ้าน” เขาเอ่ยพลางเหลียวกลับไปมองกุ้ยเฟยและเกาหลิงปอ

กุ้ยเฟยส่งยิ้มไหม้

“เพคะ ไปเถิดเพคะ” นางตอบ

“องค์ชายช่างพากเพียรแท้” เกาหลิงปอพยักหน้าเอ่ยชม

องค์ชายใหญ่พึงพอใจไม่น้อยก่อนจะหลังกลับแล้วก้าวเท้าเดินออกไป

มองดูพวกเขาเดินไกลออกไป รอยยิ้มบนใบหน้าของกุ้ยเฟยก็เลือนหายไปในทันที สายตาหันมองไปทางองค์ชายรองที่เดินไกลออกไปเช่นกัน

“ลิ่วเกอร์ฉลาดหลักแหม ฝ่าบาทยิ่งเอ็นดูมากขึ้นทุกวัน” นางเอ่ยน้ำเสียงเนิบนาบ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่งบทที่ 339.2สงสัย (2)

Now you are reading พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง Chapter บทที่ 339.2สงสัย (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เวลาสั้นๆ เพียงแค่ปีเดียว ตระกูลโจวอบรมสั่งสอนได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ไม่ว่าตระกูลโจวจะลงทุนลงแรงไปเท่าใด ทว่ารูปแกะสลักที่งดงามย่อมมาจากไม้ชั้นดี เช่นนั้นแล้วเจ้าเด็กบ้านี่… ไม่ได้บ้าอย่างนั้นหรือ

“เจียวเหนียง เจ้ามาหาท่านลุง มีเรื่องอันใดหรือ”

ฮูหยินใหญ่เฉิงชิงถามขึ้นก่อน

นายใหญ่เฉิงเพิ่งได้สติกลับคืนมา เขาจ้องมองหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้า

ก่อนจะเอ่ยปากพูด นางหันมาคำนับให้แก่ฮูหยินใหญ่เฉิง

“ข้าอยากดู ลำดับบรรพชน” นางเอ่ย

พอคำนั้นพูดออกไป ฮูหยินใหญ่เฉิงก็ชะงักไปในทันที

พวกเขาเองก็เคยคิดว่าหญิงผู้นี้อาจจะพูดจาเหลวไหลตามประสา แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจะเอ่ยคำพูดพิลึกชอบกลเช่นนี้ออกมาได้อย่างหน้าตาเฉย

“เจ้าจะดูไปทำไมหรือ” ฮูหยินใหญ่เฉิงถาม

ทว่าเฉิงเจียวเหนียงยังไม่ทันตอบ นายใหญ่เฉิงก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน

“มีคนจากเมืองหลวงมาสู่ขอ เจ้ารู้อยู่ก่อนแล้วใช่หรือไม่” เขาถาม

ฮูหยินใหญ่เฉิงสะดุ้งตกใจก่อนจะหันไปมองด้วยสีหน้าตื่นกระหนก

เหตุใดจู่ๆ ถึงถามเช่นนั้น

นายใหญ่เฉิงเองก็ตกใจกับสิ่งที่ตนถามออกไปเช่นกัน อันที่จริงเขาเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้ถามเช่นนั้น

“พวกเขามาสู่ขอจริงหรือเจ้าคะ” เฉิงเจียวเหนียงยิ้มบางพลางพยักหน้า “ข้ารู้”

ฮูหยินใหญ่เฉิงไม่ได้ประหลาดใจกับคำตอบนัก เรื่องเช่นนี้ตระกูลโจวย่อมปรึกษากับนางก่อนหน้าแล้ว

ทว่านายใหญ่เฉิงกลับดูเหม่อลอยไป เพียงแค่ประโยคสั้น ทว่ากลับให้ความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย อยากจะพูดออกไปแต่กลับพูดไม่ออก

“เช่นนั้นแล้วท่านลุงของเจียวเหนียงต้องการอะไร” ฮูหยินใหญ่เฉิงถาม “เจ้าเชื่อท่านลุงของเจ้า หรือจะเชื่อตระกูลเรา”

นางพูดจบก็มองไปยังสาวใช้ที่นั่งอยู่หน้าประตู

สาวใช้นิ่งเงียบมาโดยตลอด ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาด้วยซ้ำ

ดูก็รู้ว่าเตรียมคำพูดมาแล้วอย่างดี ยามนี้จึงไม่จำเป็นต้องกังวลสิท่า

ฮูหยินใหญ่เฉิงเย้ยหยันอยู่ในใจ

“ข้าเชื่อตัวเองเจ้าค่ะ” เฉิงเจียวเหนียงตอบแล้วหันไปทางนายใหญ่เฉิง “ดังนั้นท่านลุงได้โปรดให้ข้าดูลำดับบรรพชนด้วยเถิดเจ้าค่ะ ข้าอยากรู้ว่าข้าคือใคร”

คำตอบนั้นพาลทำให้ฮูหยินใหญ่เฉิงต้องขมวดคิ้ว ส่วนนายใหญ่เฉิงกลับแววตาเป็นประกาย

นางเชื่อตัวเอง อยากจะรู้ว่าเป็นตนตระกูลใดกันอย่างนั้นหรือ ก็ย่อมเป็นคนตระกูลเฉิงอยู่แล้ว หากเป็นคนตระกูลโจว เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็คงไม่ฟัง!

“หากเจ้าคิดเช่นนั้นก็ดี” เขาเอ่ยพลางพยักหน้าแล้วมองไปข้างนอก “ลิ่วเหวิน”

ไม่นานชายชราท่าทางแสนซื่อตรงก็เดินเข้ามาในห้องอย่างรีบร้อน

“นายใหญ่มีรับสั่งอันใดหรือขอรับ” เขาคำนับก่อนจะเอ่ยอย่างนอบน้อม

“พานางไปดูลำดับบรรพชน” นายใหญ่เฉิงพูดจบก็นึกขึ้นได้ว่านางไม่รู้หนังสือ “เจ้าอ่านให้นางฟัง”

ชายผู้นั้นขานรับ ก่อนจะชำเลืองมองเฉิงเจียวเหนียง แล้วออกไปรอที่นอกห้อง

เฉิงเจียวเหนียงคำนับขอบคุณก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินตามออกไป

“นางพูดอะไรของนาง หมายความว่าอย่างไร จะดูลำดับบรรพชนไปทำไมกัน” ฮูหยินใหญ่เฉิงขมวดคิ้วถาม “แล้วเหตุใดท่านถึงยอมให้นางดู”

“นางพูดแล้วนี่ว่าจะเป็นคนตระกูลเฉิง จึงไม่เชื่อคำของตระกูลโจว” นายใหญ่เฉิงลูบเคราพลางพยักหน้าเอ่ย

ฮูหยินใหญ่เฉิงหันไปมองเข้า

“นางพูดหรือ นางพูดเมื่อใดกัน เหตุใดข้าถึงไม่ได้ยิน” นางถาม

มือที่ลูบเคราอยู่ของนายใหญ่เฉิงชะงักไป

“ก็เมื่อครู่นางพูดไม่ใช่หรือว่าอยากดูลำดับบรรพชน เพราะอยากรู้ว่าตนเป็นใคร และนางก็จะเชื่อตัวนางเอง…” เขาเสียงตะกุกตะกัก

พูดยังไม่ทันจบฮูหยินใหญ่เฉิงก็โมโหเลือดขึ้นหน้าจนต้องเอ่ยแทรก

“นางพูดเองเสียที่ไหนกัน ท่านพูดเองชัดๆ!” นางตะโกนลั่น “ท่านเสียสติไปแล้วหรือ คิดอะไรเหลวไหล!”

นั่นสินะ เขาคิดอะไรเหลวไหล นางพูดอีกอย่าง เหตุใดเขาถึงคิดไปอีกอย่างได้

เพียงแต่ตอนที่มองหญิงผู้นั้นพูดคำนี้ออกมา เขากลับรู้สึกว่านางหมายความเช่นนี้…

แล้วนางไม่ได้หมายความเช่นนี้หรือ เขาเองหรอกหรือที่คิดมากจนเกินไป แล้วเหตุใดเขาถึงคิดมาก ราวกับว่านับแต่ที่หญิงผู้นั้นเอ่ยออกมาประโยคแรก บทสนทนานั้นก็จะมีนางเป็นผู้นำเสียอย่างนั้น….

แต่ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือนางทำมันได้อย่างแยบยลนัก ราวกับว่าเป็นเรื่องธรรมดา นางทำเช่นนั้นได้อย่างไร! ลูกหลานคนหนึ่งทำเช่นนี้ต่อหน้าเขาได้อย่างไร แถมยังเป็นเด็กบ้านั่นอีกต่างหาก

ต้องมีอะไรบางอย่างผิดแปลกไปแน่นอน

นายใหญ่เฉิงก้มหน้ายกมือขึ้นมานวดขมับอย่างอดไม่ได้

“อยากดูก็ดูไปเถิด หาใช่ของสำคัญแต่อย่างใด” เขาเอ่ยพึมพำออกมา

พูดจบจนเองก็ชะงักไป

ลำดับบรรพชน…

เหมือนนี่จะเป็นครั้งที่สองในรอบสองเดือนแล้วที่มีคนมาขอดูลำดับบรรพชน

แล้วทั้งสองหนนี้มีความเกี่ยวเนื่องกันอย่างนั้นหรือ

ความคิดแวบเข้ามาในหัว ทว่านายใหญ่เฉิงกลับรีบสลัดความคิดนั้นทิ้งไป

จะเกี่ยวเนื่องกันได้อย่างไร เขาคิดมากไปอีกแล้ว! คราวก่อนเป็นขุนนางจากเมืองหลวง จะเกี่ยวเนื่องกับเด็กบ้านของตระกูลเขาได้อย่างไร!

พอพูดถึงเมื่อคราวก่อน คนเมืองหลวงพวกนั้นต้องการอะไรกันแน่ มาตรวจสอบข้อมูลการสอบขุนนางจริงๆ หรือ ข้อมูลการสอบของขุนนางผู้น้อยต่างเมืองเช่นนี้ สำคัญถึงขนาดต้องให้คนจากทางการของเมืองหลวงมาตรวจสอบเลยหรือ

ทั้งยังน่าแปลกที่พวกเขากลับไม่ได้ถามถึงนายใหญ่เฉิงด้วย

เมืองหลวง วังหลัง ภายในตำหนักของไทเฮามีผู้คนนั่งพูดคุยหัวเราะกันอยู่เต็มไปหมด

“ใช่แล้ว องค์ชาย” เกาหลิงปอใบหน้ายิ้มแย้มในชุดขุนนาง จู่ๆ ก็หันไปถามจิ้นอันจวิ้นอ๋องที่กำลังเล่นหมากรุกกับองค์ชายรองอยู่

จิ้นอันจวิ้นอ๋องมองมาด้วยรอยยิ้ม

“กัวเฉวียนจากกรมพระคลัง ท่านรู้จักหรือไม่” เกาหลิงปอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

จิ้นอันจวิ้นอ๋องพยักหน้า

“เคยได้ยินชื่อ เป็นผู้พิพากษาใช่หรือไม่ เหมือนเคยได้ยินผู้ใดพูดถึง” เขาเอ่ยพลางขมวดคิ้วครุ่นคิด ก่อนจะหันไปทางองค์ชายใหญ่ที่นั่งหลังตรงอยู่ “เคยได้ยินองค์ชายใหญ่พูดถึง บอกว่าตอนว่าความเขาพูดถึงเรื่องอะไรสักอย่าง”

องค์ชายใหญ่ไม่ตอบ ทว่ากุ้ยเฟยที่นั่งอยู่ข้างกายกลับยิ้มออกมา

“เด็กน้อยจะไปเข้าใจงานราชการแผ่นดินได้อย่างไร พวกเจ้าอย่าได้เอามาพูดเหลวไหล” นางเอ่ย

องค์ชายใหญ่เข้าไปนั่งในศาลาว่าการ แถมยังเอ่ยถึงชื่อของคนอื่น กิริยาเช่นนี้ไม่เหมาะสมยิ่งนัก

เกาหลิงปอเองก็รู้ดี จึงรีบหัวเราะกลบเกลื่อนแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนมนา

เขาไม่มีทางพูดเรื่องที่จะเป็นผลร้ายต่อองค์ชายใหญ่เป็นแน่

จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มบาง พลางก้มหน้าเล่นหมากรุกกับองค์ชายรองต่อ

“คนผู้นั้นทำไมหรือ” ไทเฮาที่นอนอยู่บนเตียงที่เยื้องออกไปได้ยินพวกเขาพูดคุยกัน จึงเอ่ยถามขึ้น

“ไม่มีอันใดหรอกพ่ะย่ะค่ะ ได้ข่าวมาว่าช่วงก่อนเขาส่งคนไปตรวจข้อมูลของขุนนางผู้น้อยคนหนึ่งเป็นการส่วนตัว จึงรู้ว่าแปลกชอบกลพ่ะย่ะค่ะ” เกาหลิงปอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“ไม่เห็นแปลกนี่ ข้อมูลสอบขุนนางจะละเลยได้อย่างไร เป็นหน้าที่ของกรมพระคลังอยู่แล้วมิใช่หรือ ช่วยจัดการดูแลแทนฝ่าบาท” ไทเฮายิ้มเอ่ย

ทุกคนพากันหัวเราะ

“ไทเฮา กรมพระคลังมิได้มีหน้าที่เพียงเท่านั้นนะพ่ะย่ะค่ะ” เกาหลิงปอเอ่ยพลางหัวเราะ

“อืม หากพวกเขาทำหน้าที่นี้ได้ดีก็นับว่าไม่เลวแล้ว” ไทเฮาเองก็หัวเราะเช่นกัน

เรืองในราชสำนัก วังหลังมิควรก้าวก่าย ไม่ต้องรอให้ผู้ใดเตือน ไทเฮาก็เปลี่ยนเรื่องคุยด้วยตนเอง นางพูดคุยหัวเราะอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลาทุกคนแล้วออกไป

“องค์ชาย ช้าๆ พ่ะย่ะค่ะ อย่าวิ่ง”

พอก้าวออกมาจากตำหนักไทเฮา องค์ชายรองก็รีบจูงมือจิ้นอันจวิ้นอ๋องวิ่งเล่นในทันที ขันทีตื่นตกใจแทบแย่ พลางวิ่งตามไปกล่าวเตือน

“เร็วเข้า เร็วเข้า ข้าจะไปหาเสด็จพ่อ” องค์ชายรองเอ่ย

“เสด็จพ่อว่าราชการอยู่ เจ้าอย่าได้รบกวนท่าน” องค์ชายใหญ่เอ่ยพลางยกมือขึ้นกอดอก

องค์ชายรองหันมายิ้มให้แก่เขา

“เสด็จพ่อเรียกให้ข้าไปหา” เขาตอบ

“เจ้ารบเร้าฝ่าบาท ฝ่าบาทจนใจ จึงยอมตกลงเสียมากกว่า” จิ้นอันจวิ้นอ๋องพูดต่อพลางหัวเราะออกมา มือข้างหนึ่งจูงมือองค์ชายรองไว้ เพื่อให้อีกคนเดินช้าลง

คำพูดนั้นทำให้สีหน้าขององค์ชายใหญ่แจ่มใสขึ้นมาไม่น้อย เขาเชิดหน้าขึ้น

“ข้าจะไปทำการบ้าน” เขาเอ่ยพลางเหลียวกลับไปมองกุ้ยเฟยและเกาหลิงปอ

กุ้ยเฟยส่งยิ้มไหม้

“เพคะ ไปเถิดเพคะ” นางตอบ

“องค์ชายช่างพากเพียรแท้” เกาหลิงปอพยักหน้าเอ่ยชม

องค์ชายใหญ่พึงพอใจไม่น้อยก่อนจะหลังกลับแล้วก้าวเท้าเดินออกไป

มองดูพวกเขาเดินไกลออกไป รอยยิ้มบนใบหน้าของกุ้ยเฟยก็เลือนหายไปในทันที สายตาหันมองไปทางองค์ชายรองที่เดินไกลออกไปเช่นกัน

“ลิ่วเกอร์ฉลาดหลักแหม ฝ่าบาทยิ่งเอ็นดูมากขึ้นทุกวัน” นางเอ่ยน้ำเสียงเนิบนาบ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+