พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่งบทที่ 408 ไม่ทำ

Now you are reading พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง Chapter บทที่ 408 ไม่ทำ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลังจากฟังเรื่องราวแล้ว จ้าวเฉิงก็พยักหน้าพลางมองไปยังฟ่านเจียงหลินที่คุกเข่าหมอบอยู่บนพื้น

“ลุกขึ้นเถิด” เขาเอ่ย

“ใต้เท้าได้โปรดช่วยเหลือพี่น้องพวกข้าด้วย ข้าน้อยไม่ได้ทำเพื่อเงินทอง แค่อยากกอบกู้ชื่อเสียง กอบกู้ชื่อเสียงก็เท่านั้น” ฟ่านเจียงหลินสะอื้นเอ่ย “เพื่อปลอบประโลมวิญญาณของพวกเขาที่อยู่บนสวรรค์”

สวีซื่อเกินตามเข้ามาโค้งคำนับ

“ข้าเข้าใจแล้ว” จ้าวเฉิงพูดพลางและส่งสัญญาณให้พวกเขาลุกขึ้น

ฟ่านเจียงหลินและสวีซื่อเกินคำนับขอบคุณพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนจะลุกขึ้นแล้วขอตัว

“ใต้เท้า ท่านคิดว่าอย่างไร” ผู้ติดตามเดินเข้ามาใกล้แล้วเอ่ยถาม

“ยังดูไม่ออกอีกหรือ” จ้าวเฉิงเอ่ยพลางมองดูฟ่านเจียงหลินที่ถูกพยุงเดินออกจากห้องโถง ก่อนจะถอนหายใจออกมา “หากเพียงเพื่อเงิน เพื่อรางวัลตอบแทนจะเสียใจถึงเพียงนี้หรือ”

ความเศร้าที่ออกมาจากข้างใน เงินที่ไหนก็ซื้อไม่ได้

ผู้ติดตามคนสนิทพยักหน้า

“แล้วจะทำเช่นไรต่อไปขอรับ” ผู้ติดตามเอ่ยถาม “ใต้เท้า จะบอกว่าเรื่องนี้นั้นเล็กก็เล็ก จะว่าเรื่องนี้นั้นใหญ่ก็ใหญ่”

หากจะทำให้เป็นเรื่องเล็ก ก็แค่รายงานคุณงามความดีที่พวกเขาทำไว้ต่อเบื้องบนอีกครั้ง ก็แค่เขียนหนังสือขึ้นมาสักฉบับ พริบตาเดียวพวกเสมียนก็เขียนเสร็จแล้ว แต่หากจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่ หากต้องรายงานจริงๆ แล้วล่ะก็ เรื่องลงโทษฟางซื่อจิ้นที่อวดอ้างตนเพื่อเงินรางวัลก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กไปเสียแล้ว เพราะเรื่องที่ใหญ่กว่านั้นก็คือ ราชสำนักจะต้องถามเขาว่าเหตุใดไม่สืบความให้แน่ชัดก่อนอวยยศหรือสำเร็จ ความผิดนี้สามารถทำให้ขุนนางน้อยใหญ่ทั้งแถบตะวันตกเฉียงเหนือถูกเนรเทศได้เลยทีเดียว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเรื่องที่เขาวางกลศึกผิดพลาดนั้นจะโดนหางเลขไปด้วย

หากเป็นเช่นนี้แล้ว ทัพตะวันตกเฉียงเหนือที่กำลังครื้นเครงกับรางวัลใหญ่ในตอนแรกก็หายไปในพริบตา

ผู้ตรวจการณ์จ้าวครุ่นคิดไม่เอ่ยคำใด สีหน้าของดูเขาเคร่งเครียดนัก

เสียงโครมครามดังขึ้นเมื่อชามดินเผาถูกปากระแทกพื้น เศษชามและน้ำชากระจายไปทั่วทั้งพื้นกระเบื้องเก่าทรุดโทรม

“ล้างมลทินให้ข้าอย่างนั้นหรือ คิดว่าข้าเป็นคนโง่หรืออย่างไร”

ฟางจ้งเหอตบโต๊ะตะโกนลั่น โกรธจนหน้าเขียว

“… ข้าจะล้างมลทินไปเป็นอะไร หากจะล้างมลทินให้ข้าก็สมควรไล่เจ้าหมอนั้นออกไป จับเขาขังคุกเสีย! ใช้กฎทหารจัดการ!”

เขาเอ่ยด้วยความเดือดดาลอย่างหยุดไม่อยู่ ก่อนจะใช้มือล้มโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืนเดินวนไปมา

เหล่าผู้ติดตามคนสนิทค่อยเกลี้ยกล่อมอย่างระมัดระวัง

“จ้าวเฉิงไม่มีเรื่องอันใดทำหรือย่างไร ข้ารู้อยู่แล้วว่าเขาไม่ค่อยชอบขี้หน้าข้า กลัวว่าข้าจะแย่งชิงตำแหน่งเขา

จึงจงใจใช้โอกาสนี้แก้เผ็ดข้า” ฟางจ้งเหอยกมือยกไม้ตะโกนโวยวาย

“ใต้เท้า ใต้เท้า ว่ากันว่าท่านชายโจวหกตระกูลโจวแห่งส่านโจวเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังขอรับ” ผู้ติดตามคนสนิทรีบพูดขึ้น

ฟางจ้งเหอยืนนิ่งไป

“ท่านชายโจวหกแห่งตระกูลโจวอย่างนั้นหรือ” เขาเอ่ยพลางขมวดคิ้ว ก่อนนึกจะอะไรขึ้นได้ “เจ้าหมอนั้น! ใช่แล้ว ที่แท้คือเขานี่เอง ที่วันนั้นไปพบผู้ตรวจการณ์…”

พูดจบก็หันมามองคนในห้อง

“เขามีความแค้นกับข้าหรือ”

“เขาไม่มีความเกลียดกับใต้เท้า แต่คิดว่าเขาน่าจะสนิทสนมกับอีกฝั่งขอรับ” ผู้ติดตามคนหนึ่งเอ่ยขึ้น

ในโลกนี้มีไม่มีความแค้นที่ไร้ต้นตอ

ฟางจ้งเหอหรี่ตาครุ่นคิด

“ตอนนั้นผู้ตรวจการณ์เคยพูดว่า ที่ส่งกำลังเสริมไปก็เป็นเจ้าเด็กแซ่โจวที่เอ่ยเตือน… ข้านึกว่าเขาจะทำเพื่อข้าเสียอีก… แต่ยามนี้ดูแล้ว คงทำเพื่อเจ้าพวกผีพวกนั้นสินะ”

“ใต้เท้า ตอนนี้เรื่องนั้นไม่สำคัญอีกต่อไป แต่ที่ผู้ตรวจการณ์ให้ความสนใจกับเรื่องนี้นี่สิ ข้าเกรงว่าจะไม่ดีนัก” ผู้ติดตามคนสนิทใจเอ่ยเตือน

“หรือใต้เท้าจะไปพบกับผู้ตรวจการณ์อีกสักหน” ผู้ติดตามอีกคนเอ่ยขึ้น

ฟางจ้งเหอแค่นหัวเราะ

“ข้าจะพบเขาอีกทำไม ร้อนตัวหรือ” เขาพูดขึ้นแล้ววนเดินไปมาก่อนจะหยุดยืนนิ่ง “มีคนส่งข่าวให้เขาได้ แล้วคิดว่าข้าจะไม่มีคนส่งข่าวบ้างหรืออย่างไร”

“ใต้เท้า ใต้เท้า หัวหน้าเจียงเรียกพบท่าน” ใครคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างรีบร้อนแล้วเอ่ยขึ้น

หัวหน้าเจียงย่างนั้นหรือ วันหนึ่งผ่านไป เขายังคงครุ่นคิดว่าจะจัดการจ้าวเฉิงอย่างไรให้อยู่หมัด

ตำแหน่งอุปทูตของฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือยังคงว่างอยู่ เจียงเหวินหยวนยังคงรับรองผู้บังคับบัญชากองทหารม้า แม้ว่ายังมีผู้บังคับบัญชาที่รักษาการแทนอย่างโจวเฟิ่งเสียง แต่สำหรับทัพตะวันตกเฉียงเหนือแล้ว เจียงเหวินหยวนก็ยังคงนับว่าเป็นผู้มีอิทธิพลอยู่ดี

เมื่อได้ยินที่เขาเรียกพบ จ้าวเฉิงไม่กล้าชักช้ารีบลุกขึ้นแล้วเดินออกไป ทันทีที่ก้าวเข้าประตูก็เห็นฟางจ้งเหอยืนอยู่ข้างใน จ้าวเฉิงหัวใจกระตุกวูบในทันที เขาเข้าใจแล้ว ขณะเดียวในใจเดือดดาลไม่น้อย

รายงานเรื่องข้ามหน้าข้ามตากันเช่นนี้ คงไม่มีขุนนางคนไหนใจชอบ

หากบอกว่าฟางจ้งเหอผู้นี้ไม่ได้คิดร้ายอยู่ในใจ ผีที่ไหนจะเชื่อกัน!

ถามไถ่กิจการบ้านเมืองและกองทัพได้ครู่หนึ่ง เจียงเหวินหยวนก็เปลี่ยนหัวข้อเป็นเรื่องข่าวลือที่เกิดขึ้นในตอนนี้

“ยามนี้ศึกเพิ่งสงบลง ทัพตะวันตกเฉียงเหนือยังมีภารกิจอีกมากมาย เรื่องเล็กเช่นนี้ ทั้งยังไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอันใด อย่าได้เปลืองแรงไปคิดถึง” เขาพูดเสียงเนิบพลางวางถ้วยชาในมือลง

จ้าวเฉิงโค้งคำนับแล้วขานรับ หางตาเหลือบมองฟางจ้งเหอที่กำลังหัวเราะอย่างลำพองใจ

“แต่ว่าใต้เท้า เรื่องที่ฟ่านเจียงหลินพูดหากไม่ตรวจสอบถี่ถ้วน ข้าเกรงว่าใจของผู้คนจะไม่เป็นสุข” เขาเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยอีกครั้ง

เจ้าหมอนี่จงใจหรืออย่างไร หัวหน้าเจียงพูดชัดเจนเช่นนั้นแล้ว เขายังกล้าพูดถึงเรื่องนี้อีก!

ฟางจ้งเหอใบหน้าซีดเผือด ก่อนก้าวไปข้างหน้าอย่างอดไม่ได้

“ใต้เท้าผู้ตรวจการณ์ ท่านหมายความว่าอย่างไร ท่านสงสัยในตัวข้าหรือ” เขาพูดอย่างไม่เกรงใจ

อย่างไรเสียวันหน้าเขาก็จะกลายเป็นหัวหน้าป้อมอยู่แล้ว ไม่ใช้เป็นเบี้ยล่างของผู้ตรวจการณ์อีกต่อไป ทั้งยังมีเจียงเหวินหยวนเป็นที่พึ่งพิง เหตุใดต้องเกรงกลัวเขาด้วย!

“ข้าแค่ต้องการล้างมลทินให้แก่ใต้เท้าฟาง” ผู้ตรวจการณ์จ้าวเอ่ย

“ล้างมลทินให้ข้าอย่างนั้นหรือ ความบริสุทธิ์ของข้านั้นถูก…” ฟางจงเหอกัดฟัน จ้องเขาตาเขม็งก่อนจะพูดออกมา

“เอาล่ะ ความบริสุทธิ์ของใต้เท้าฟางไม่จำเป็นต้องได้รับการพิสูจน์ ในทางกลับกันคนเหล่านั้น ก็หาใช่ผู้ไร้มลทินแต่อย่างใด” เจียงเหวินหยวนขัดจังหวะพวกเขาที่กำลังพูดแล้วยืนขึ้น

เมื่อคำพูดเหล่านั้นเอ่ยออกมา จ้าวเฉิงและฟางจ้งเหอต่างก็ตกตะลึง มองไปที่เจียงเหวินหยวนด้วยความประหลาดใจไม่น้อย

หรือว่าใต้เท้ารู้จักคนพวกนั้นด้วยหรือ

ทหารผู้น้อยพวกนั้น…มีชื่อเสียงขนาดนี้เชียวหรือ

“พวกเขาเคยก่อความเดือดร้อนและฆ่าผู้บังคับบัญชามาก่อน ที่กลับมาคราวนี้ก็เพื่อทำคุณทดแทนโทษที่ได้รับ” เจียงเหวินหยวนเอ่ย พลางรำพึงอยู่ในใจ

หลังจากก่อความวุ่นวายในเมืองหลวง พวกเขาก็ก่อเรื่องใหญ่โตขึ้นที่นี่อีกครั้ง

ทำคุณแลกรางวัลอย่างนั้นหรือ เหลวไหลสิ้นดี! พวกเขากล้าพูดออกมาได้อย่างไร!

คิดไม่ถึงเลยว่าจะตายกันเกือบหมด ดียิ่งนัก พวกตัวปัญหาสร้างเรื่องวุ่นวายเช่นตายไปเสียได้ก็ดี ตอนนี้เหลือแค่สองคนยังกล้าสร้างก่อเรื่องอีกหรือ คราวก่อนก็ปั่นป่วนเสียคนเขาแทบจะหลุดจากตำแหน่งไปแล้ว คราวนี้ยังจะมาสั่นคลอนบัลลังก์เขายังไม่ทันได้นั่งอีกหรือ

“ทหารพวกนั้นตั้งใจสร้างเรื่อง เชื่อไม่ได้ ทว่าคำพูดของเขานั้นทำให้ใจคนสั่นไหว สิ่งใดที่ควรทำก็ต้องทำ หากทำให้ใจชาวเมืองหวาดหวั่น นั่นก็เป็นเพราะขุนนางอย่างพวกเจ้าปกครองไม่เข้มงวดพอ”

เจียงเหวินหยวนเอ่ยน้ำเสียงจริงจัง

จ้าวเฉิงและฟางจ้งเหอรีบโค้งคำนับ ไม่กล้าพูดอะไรต่อ

ฟ่านเจียงหลินและสวีซื่อเกินที่กำลังรอข่าวคราว จึงได้มาพบผู้ตรวจการณ์จ้าวอีกครั้ง ทว่ากลับถูกปิดประตูไล่

“ใต้เท้า ใต้เท้า …” ฟ่านเจียงหลินค้ำไม้เท้าพร้อมจะพุ่งตัวเข้าข้างใน

สวีซื่อเกินยื่นมือออกมารั้งเขาไว้

“พี่ใหญ่ ช่างเถิด” เขาพูดพลางมองดูศาลาว่าการอันยิ่งใหญ่ก่อนจะฝืนยิ้มออกมา “ไม่มีประโยชน์แล้ว”

ฟ่านเจียงหลิน กัดฟันพลางมองไปที่ศาลาว่าการ

“ข้าไม่มีประโยชน์แล้ว…” เขาพึมพำออกมา

ไม่มีประโยชน์…. พวกเขาเหมือนมดตัวจ้อย จะมีประโยชน์อะไรในสายตาใต้เท้าขุนนางนี้…

“ไม่ใช่ว่าเราไร้ประโยชน์” สวีซื่อเกินเอ่ย “พวกเขาต่างหากที่ไร้ประโยชน์!”

พูดจบก็ยื่นมือออกไปประคองฟ่านเจียงหลิน

“พี่ใหญ่ ไปเถอะ” เขาพูดพลางหันหลังเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง

….

“ท่านชายโจวหก ท่านทำอะไรน่ะ!”

ชายผู้ยื่นหนึ่งมือออกไปจะคว้าตัวท่านชายโจวหกไว้แต่คว้าไม่ทัน

ชายหนุ่มพุ่งเข้าไปในศาลาว่าการราวกับวัวกระทิงตัวน้อย

“เจ้าเด็กนี่!” ชายผู้นั้นกระทืบเท้า ก่อนจะยื่นมือออกไปคว้าตัวเขาไว้อีกครั้ง

พวกเขายืนอยู่ด้านนอกของโถงศาลาว่าการแล้ว เสียงพูดคุยหัวเราะจากข้างในดังลอยออกมา เห็นได้ชัดว่ามีผู้คนนั่งอยู่เต็มทั้งโถง

“หากพวกเขายังมีชีวิตอยู่ ก็ควรจะถามอยู่หรอก แต่ตอนนี้คนเหล่านั้นตายไปแล้ว ไม่มีผู้ใดเอาผิดคนเป็นเพื่อคนตาย! เจ้าอย่าได้โวยวายเป็นเด็กไปหน่อยเลย!” ชายผู้นั้นกดเสียงต่ำ

ท่านชายโจวหกมองไปที่โถงศาลาว่าการ

“มีคนทำเช่นนั้น” เขาเอ่ย “ข้าจะทำ นางเองก็คงจะทำ”

เขาหรือ นางหรือ ผู้ใดกัน

ชายผู้นั้นตกใจ เมื่อท่านชายโจวหกสะบัดตัวออกจากเขาแล้วก้าวเข้าไปในโถงว่าการ

เสียงพูดและหัวเราะในห้องโถงของศาลาว่าการหยุดลงในทันใด

ชายที่อยู่ข้างนอกผู้นั้นกระทืบด้วยความโกรธแล้วตามเข้าไป

ในห้องโถงใหญ่มีขุนนางนั่งอยู่หลายสิบคน งานเลี้ยงวันนี้จัดขึ้นเพื่อเหล่าขุนนางที่ได้เลื่อนตำแหน่งจากศึกครั้งนี้

พอเห็นท่านชายหนุ่มน้อยแสนดื้อรั้นยืนอยู่ที่กลางโถง ฟางจ้งเหอหัวเราะลั่น

“ใช่แล้ว ข้าพูดเอง” เจียงเหวินหยวนมองดูท่านชายโจวหกแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “มีปัญหาอะไรหรือ”

“ใต้เท้าตรวจสอบแล้วหรือ” ท่านชายโจวหกถาม

เจียงเหวินหยวนยิ้มแล้วมองไปที่เด็กหนุ่มเลือดร้อน

“เรื่องเช่นนี้ไม่ต้องตรวจสอบ” เขาเอ่ยแล้วลุกยืนขึ้นพลางผายมือออกไป “ข้าเชื่อว่าลูกน้องของข้ากล้าหาญชำนาญศึก ไม่กลัวตาย ไร้มลทิน ก็เหมือนกับที่ข้าเชื่อว่าท่านชายโจวหกเป็นเด็กหนุ่มที่ถูกยั่วยุจากผู้อื่นได้ง่ายโดยเช่นกัน”

“ใต้เท้า ชายหกเป็นเช่นนี้จริงๆ สามหาวนัก” ผู้อาวุโสของตระกูลโจวรีบลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยขอโทษพลางจ้องมองไปที่ท่านชายโจวหก พูดด้วยเสียงแผ่วเบาที่มีเพียงพวกเขาสองคนที่ได้ยิน “อย่าลืมล่ะเจ้าแซ่โจว หากกล้าหาเรื่องอีก ข้าจะส่งเจ้ากลับเมืองหลวง”

ท่านชายโจวหกกำหมัดกัดฟันใบหน้าบูดบึ้ง

“ใต้เท้า เรื่องนี้จะไม่กระทบถึงผู้ใดแน่นอน พวกเขาไม่ได้ทำเพื่อคุณงามความดีของตนแล้วใส่ร้ายผู้อื่นเช่นนั้นพวกต้องการเพียงแค่ชื่อเสียงคุณความดี พวกเขาไม่ต้องการเงิน ต้องการเพียงแค่ชื่อเสียงจากคุณความดีนี้” เขาก้าวไปข้างหน้าก่อนจะก้มหน้าเอ่ยเสียงกระซิบข้างกายเจียงเหวินหยวน “สำหรับใต้เท้าแล้ว ช่างเป็นเรื่องแสนง่ายดาย”

ใช่แล้ว ง่ายดายนัก แต่เหตุใดเขาต้องทำเช่นนั้นด้วย

คนเราไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อให้ตนเองสุขสบายหรอกหรือ เหตุใดต้องหาเรื่องใส่ตัวด้วย

เจียงเหวินหยวนหัวเราะ

“ท่านชายโจว การทหารมิใช่เรื่องเด็กเล่น” เขาเอ่ย “ทุกศึกย่อมมีคนเจ็บ ท่านชายโจวต้องลองให้คุ้นเคยสักหนสองหน หากไม่ไหว ก็กลับบ้านไปเสียเถิด”

เหล่าคนจากตระกูลโจวรีบก้าวเข้าไปคว้าตัวท่านชายโจวหกกลับมา ถลึงตาใส่เขาไปพลาง เอ่ยขอโทษ เจียงเหวินหยวนไปพลาง

เจียงเหวินหยวนไม่สนใจพวกเขาอีกต่อไป ก่อนจะหันไปทักทายแขกคนอื่นที่นั่งอยู่ด้วยรอยยิ้ม

“ไปเถิด ไปเถิด พวกเราไปยินดีกับทุกท่านที่ได้เลื่อนยศกัน มีเรื่องอะไรค่อยคุยกันวันหลัง” เขาเอ่ยแล้วยกเท้าเดินไป

ทันใดนั้นห้องโถงก็มีคึกครื้นขึ้นมา ทุกคนต่างพูดคุยหัวเราะ พลางเดินตามเจียงเหวินหยวนเดินออกไป

ฟางจ้งเหอจงใจเดินผ่านท่านชายโจวหกด้วยท่าทางหยิ่งผยอง

“ใต้เท้าเจียง” ท่านชายโจวหกเรียกเขาอีกครั้ง ไม่สนว่าชายที่อยู่ข้างๆ เขาจะจ้องเขม็งอยู่ก่อนจะหันหลังกลับไป

เจียงเหวินหยวนที่เดินไปถึงหน้าประตูแล้วก็หยุดยืนนิ่ง คนอื่นๆ ต่างก็หยุดเดินในทันทีเช่นกัน

“ใต้เท้า เจียง” ท่านชายโจวหกเอ่ย “ท่านจะต้องเสียใจ”

คิดว่าเขาจะพูดอะไรเสียอีก ที่แท้ก็เป็นแค่คำพูดระบายโทสะ คำพูดแสนน่าขันของเด็กหนุ่มที่กำลังเดือดดาล

เจียงเหวินหยวนหัวเราะ ทั้งยังไม่หันกลับไปมองก่อนจะก้าวต่อไป ทุกคนพากันเดินตามไปด้วยความครื้นเครง

ฝีเท้าของฟางจ้งเหอหยุดชะงักลง

ท่านจะต้องเสียใจ

ประโยคนี้อีกแล้ว

เขาหันกลับไปมองชายหนุ่มที่ยังคงยืนอยู่ในห้องโถงของศาลาว่าการ ทั้งภายในและภายนอกมีเพียงแสงสลัว จนมองไม่เห็นสีหน้าของชายหนุ่ม เห็นเพียงเงาร่างกำยำของเขาที่ยืนอยู่ตรงนั้น

จะต้องเสียใจ จะต้องเสียใจ

เจ้าต่างหากที่จะต้องเสียใจที่ทำให้ใต้เท้าเจียงขุ่นเคือง คอยดูเถิดว่าเจ้ามีชีวิตอยู่ที่นี่อย่างเป็นสุขได้อย่างไร!

ฟางจ้งเหอเบ้ปากก่อนจะก้าวเท้าเดินตามทุกคนไป

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด