พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง บทที่ 327.1 ทุกขลาภ (1)

Now you are reading พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง Chapter บทที่ 327.1 ทุกขลาภ (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“มีคนเอาเงินมาให้ชายสิบเก้าหนึ่งหมื่นก้วนอย่างนั้นหรือ”

ไม่นานข่าวก็ถูกส่งมาถึงเรือน พอได้ยินเช่นนั้นสองสามีภรรยาตระกูลหันก็ตกตะลึงอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะร้องออกมาเป็นเสียงเดียวกัน

“ใช่ขอรับ ใช่ขอรับ นายท่าน แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญขอรับ” พ่อบ้านเอ่ยพยักหน้ารัว พลางยกมือขึ้นมาเช็ดเหงื่อ

นี่ยังไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกหรือ

เถ้าแก่! กำไร! นี่แค่ตอนนี้เพียงนั้น!

นั่นก็เท่ากับว่าวันหน้าจะต้องมีเงินมากกว่านี้ เงินไหลมาไม่มีขาดสาย!

สองสามีภรรยาตระกูลหันนิ่งไปครู่หนึ่ง

“เขา เขาไปเป็นเถ้าแก่อย่างคนอื่นเขาตั้งแต่เมื่อใดกัน” ท่านพ่อหันเอ่ย “เป็นเถ้าแก่ร้านใดกัน”

ขณะเดียวกัน เถ้าแก่หันหยวนเฉาก็กำลังรื้อกล่องค้นตู้ บ่าวหนุ่มอีกสองสามคนก็เข้ามาช่วยด้วย ห้องหนังสือที่เคยเป็นระเบียบเรียบร้อย ยามนี้กลับโกลาหลวุ่นวาย

“ไม่มี ไม่มี…”

หันหยวนเฉาคลี่หนังสือม้วนแล้วม้วนเล่า ก่อนโยนลงจนกระจายเต็มโต๊ะไม้ ไม่นานถุงขนมที่เขียนอักษรสามตัวว่าเรือนไท่ผิงก็ถูกทับถมลงไป

“ท่านชาย หนังสือเล่มใดกันแน่หรือขอรับ” บ่าวหนุ่มถามพลางยกหลังมือขึ้นมาปาดเหงื่อ ก่อนเอ่ยถามอีกครั้งอยากอดไม่ได้

“หนังสือที่อยู่ในกล่องที่ข้าขนไปเมืองหลวงด้วยเมื่อปีก่อน…” หันหยวนเฉาเอ่ย

“นั่นก็ไม่น้อยเลยนะขอรับ อีกอย่างตอนขนกลับมาแล้วก็ไม่รู้เก็บไว้ที่ไหน ไม่รู้ว่าทิ้งไปหรือยัง…” เหล่าบ่าวเอ่ย

ทิ้งอย่างนั้นหรือ

หันหยวนเฉานิ่งไปครู่หนึ่ง

เขาพยายามนึก แต่นึกอย่างไรก็เห็นเพียงภาพของตัวเองเสียบสัญญาใบนั้นไว้ในหนังสือเล่มใดสักเล่ม เพียงแต่หนังสือเล่มไหนนั้นนึกอย่างไรก็นึกไม่ออกเสียที

หากเขาทำหายไปแล้วจริงๆ…

“หากหายจริง สองคนนั่นคงเอาเงินคืนไปใช่ไหมขอรับ…” บ่าวหนุ่มเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้

นั่นมันหนึ่งหมื่นก้วนเชียวนะ… หรืออาจจะมากกว่าหมื่นก้วนก็ได้…

แม้ตระกูลหันจะไม่ได้แร้นแค้นถึงขนาดไม่เคยเห็นเงินหมื่นก้วนมาก่อน แต่…นั่นมันหมื่นก้วนเชียวนะ! แล้วต่อไปวันหน้าก็อาจจะไม่ใช่แค่หนึ่งหมื่นก้วนด้วย

“หากหาสัญญาไม่เจอ ข้าก็คงไม่เอาเงินนั่นแล้วล่ะ” หันหยวนเฉาเอ่ย ถึงจะหาสัญญาเจอแล้ว เขาก็ยังลังเลอยู่ดีว่าจะรับเงินนั่นดีหรือไม่

“ชายสิบเก้า เกิดอะไรขึ้นกันแน่”

นายใหญ่และฮูหยินของตระกูลหันเองก็ตามมา มองดูห้องหนังสือที่ไม่มีแม้แต่ที่เดิน จึงทำได้เพียงยืนพูดอยู่หน้าประตู

“เจ้ากลายเป็นเถ้าแก่ของร้านนั้นได้อย่างไร ตอนไปติวสอบที่เมืองหลวงอย่างนั้นหรือ”

หันหยวนเฉาถอนหายใจ สีหน้าดูยุ่งเหยิงไม่น้อย

“เรื่องค่อนข้างยาวขอรับ…” เขาเอ่ย “แถมยังเป็นเพียงแค่เรื่องเด็กเล่นอีกต่างหาก…”

เขาพูดยังไม่ทันจบก็ได้ยินเสียงของบ่าวหนุ่มร้องตะโกนขึ้น

“ท่านชาย ใช่อันนี้หรือไม่ขอรับ!”

หันหยวนเฉาเหลียวกลับไปมอง ทันใดนั้นก็เห็นบ่าวหนุ่มหยิบกระดาษใบหนึ่งออกมาจากม้วนหนังสือ

“ใช่แล้ว อันนี้แหละ!” หันหยวนเฉาตะโกนลั่น ก่อนจะเขย่งปลายเดินเข้าไปในห้อง

กระดาษหน้าตาแสนเรียบง่ายวางแผ่อยู่บนโต๊ะ สิ่งแรกที่ปรากฏสู่สายตาคือตราประทับสีแดงสดของทางการ

‘ช่วงแรกอาจจะยังไม่ได้ค่าแรง ก็เลยให้หุ้นมาหนึ่งส่วนเพื่อเป็นการชดเชย… ข้าอยากตอบแทนบุญคุณท่าน จึงขอมอบหุ้นนี้ให้ท่านชาย…’

‘ท่านผู้มีพระคุณ หากไม่มีท่าน ข้าคงตายไปแล้ว คงไม่มีใครเลี้ยงดูลูกข้า…’

หันหยวนเฉาราวกับเห็นภาพของชายผู้นั้นโขกหัวคำนับอย่างร้อนรนลอยขึ้นมาตรงหน้า เอาเข้าจริงเขาเองจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำชายผู้นั้นหน้าตาเช่นไร

“เจ้าจะบอกว่าหุ้นนี้เป็นของตอบแทนจากผู้นั้นหรือ”

พอฟังเขาเล่าเรื่องจนจบ ท่านพ่อและท่านแม่หันก็ตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม แทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน

“นี่ยังไม่ครบปีเลย แค่หุ้นลมหุ้นเดียวก็ได้ส่วนแบ่งถึงหมื่นก้วนเชียวหรือ”

นี่มันอะไรกัน! ขายดีขนาดนั้นเชียวหรือ!

“พวกเขาเอาบัญชีมาให้ด้วยขอรับ” หันหยวนเฉาเอ่ยพลางชี้ไปบนโต๊ะ ก่อนจะเห็นว่าบนโต๊ะเต็มไปด้วยม้วนหนังสือกองพะเนิน เขาลุกยืนขึ้นแล้วเดินไปคุ้ยหนังสือกองนั้นก่อนจะหยิบบัญชีออกมาสองเล่ม แล้วหันกลับมายื่นให้แก่ท่านพ่อ

จังหวะที่กำลังหันกลับมาก็มีเสียงของหล่นดังตุบ

หันหยวนเฉาเหลียวกลับไปมอง ก็เห็นว่าเป็นถุงขนมจากร้านเรือนไท่ผิง

เรือนไท่ผิง…

เรือนไท่ผิง!

เขารีบเอื้อมมือออกไปหยิบขึ้นมาในทันทีก่อนจะพลิกมองดู

คงไม่ใช่ร้านเรือนไท่ผิงร้านนั้นจริงๆ หรอกใช่ไหม

“นี่คือบัญชีของจริง ไม่ใช่ของปลอมแปลง และไม่ได้ทำขึ้นมาสุ่มสี่สุ่มห้า… เจ้าดูสิมีตราประทับของศาลาว่าการยืนยันด้วย…” ท่านพ่อหันเอ่ย

ท่านแม่หันเหลียวไปมองแล้วพยักหน้า

“กิจการก็ไม่ได้ดีสักเท่าไหร่… ค่าใช้จ่ายก็มากมาย…” นางดูไปพูดไป “ถึงว่าล่ะตอนเปิดร้านช่วงแรกจึงไม่มีแม้แต่เงินจะจ่ายค่าแรง…”

พอกลับมานึกถึงทำเลของร้านจากที่ลูกชายบอก ดูท่าทางแล้วก็เหมือนร้านริมถนนธรรมดา

ปีหนึ่งจะได้กำไรรวมสักหมื่นก้วนก็ถือว่าไม่เลวแล้ว

สองสามีภรรยาเอาแต่ดูไม่พูดไม่จา สีหน้าก็เริ่มตกตะลึงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

“จู่ๆ เหตุใดถึงขายดีขึ้นมา” ท่านแม่หันถามออกมาอย่างอดไม่ได้

ท่านพ่อหันไม่พูดอะไรจนกระทั่งพลิกดูบัญชีจนหมดเล่ม แน่นอนว่าเขาเปิดดูเพียงคร่าวๆ เท่านั้น แต่ทว่ารายการต่างๆ นั้นไล่เรียงออกมาอย่างชัดเจน มองปราดเดียวก็เข้าใจ

“แรกเริ่มยังไม่มีชื่อเสียง กิจการย่อมไม่ดีนัก หากจู่ๆ เกิดมีชื่อขึ้นมา จะขายดีก็คงไม่แปลก” เขาเอ่ย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองหันหยวนเฉา “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดจู่ๆ ร้านถึงได้มีชื่อเสียงขึ้นมา”

ท่านชายหันเหม่อลอย จนท่านพ่อหันเรียกอยู่สองสามหนจึงเงยหน้าขึ้นมา

“นี่คืออะไรหรือ” ท่านแม่หันถามพลางมองไปที่ถุงในมือของหันหยวนเฉา

เสื้อผ้าบนร่างกายหรือข้าวของเครื่องใช้ของลูกชายล้วนแต่เป็นของที่ตระกูลจัดหา นอกจากถุงเครื่องหอมที่คู่หมั้นให้มา ไม่มีทางมีของจากที่อื่นอย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งของสีแดงสดที่หญิงสาวมักใช้กัน

สัญชาตญาณของหญิงสาวและคนแม่ทำให้นางเริ่มร้อนรน

“สิ่งนี้หรือ ได้มาจากท่านป้าขอรับ” หันหยวนเฉาเอ่ยพลางยิ้ม ก่อนจะเล่าให้ฟัง

ท่านแม่หันร้องอ๋อ ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าแล้วเทขนมออกมาชิ้นหนึ่ง แต่เป็นเพราะอยู่ก้นถุงจึงถูกกดทับจนแตกเป็นชิ้น นางดมก่อนจะลองชิม

“อืม ไม่เลวนี่” นางพยักหน้าพลางเอ่ยชม

“คงไม่ใช่ของเรือนไท่ผิงหรอกกระมัง” ท่านพ่อหันถาม

“ท่านพ่อ กว่าจะเดินทางจากเมืองหลวงมาถึงที่นี่ก็ใช้เวลานับเดือน จะเก็บไว้ได้นานขนาดนั้นได้เช่นไร” หันหยวนเฉาเอ่ยพลางหัวเราะ

ท่านพ่อหันก็เห็นเช่นนั้นก่อนเผยยิ้มออกมา

“เรือนไท่ผิงนี่น่าสนใจไม่น้อย” เขาเอ่ย

สามพ่อแม่ลูกนั่งล้อมวงกันอยู่ในห้องหนังสือ ม้วนหนังสือตำรากระจัดกระจายไปทั่ว มองดูแล้วช่างน่าขันนัก ยิ่งพอนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทั้งสามคนก็ยิ่งรู้สึกว่าช่างน่าขันเหลือเกิน

“ช่างเหลือเชื่อจริงๆ” ท่านแม่หันเอ่ยพลางมองไปที่บัญชี “ดูจากบัญชีแล้ว ปันผลกำไรที่ได้คราวหน้าคงไม่ใช่แค่หมื่นก้วนอย่างแน่นอน”

กำไรมหาศาลนัก ตอนนี้แค่ปันผลปีเดียวก็มากกว่าที่นาสินสอดสองผืนของนางเสียอีก แล้ววันหน้าเล่าจะเป็นเช่นไร

“คิดไม่ถึงเลยจริงๆ” หันหยวนเฉาเอ่ยพลางนึกย้อน “ตอนนั้นข้าเองก็ไม่ได้ใส่ใจนัก คิดเพียงแค่ว่าร้านริมถนนเช่นนั้น อีกซักครึ่งปีก็คงปิดตัวลง อีกใจหนึ่งก็คิดว่าหากเปิดต่อไปได้ก็ดี แต่จะได้กำไรสักเท่าไหร่กันเชียว…”

เขาก้มหน้ามองตั๋วเงิน สมุดบัญชี และหนังสือสัญญาเบื้องหน้า

หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเงินมากมายเช่นนั้น ตอนนั้นไม่ว่าอย่างไรเขาคงไม่มีทางรับไว้เป็นแน่

ไม่สิ ถึงรู้ตอนนี้ก็ยังไม่สายไปเสียหน่อย

“เงินนี้ข้ารับไว้ไม่ได้หรอก” เขาเอ่ย

ท่านพ่อและท่านแม่หันพยักหน้า

“เรื่องที่พ่อครัวผู้นั้นอยากตอบแทนบุญคุณพวกข้าขอรับไว้ แต่เงินนี้พวกข้ารับไว้ไม่ได้หรอก” พวกเขาเอ่ย

พอได้ยินสามพ่อแม่ลูกตระกูลหันเอ่ย ชายทั้งสองในห้องโถงก็ยิ้มออกมา

“เป็นดังที่พี่สาวบอกไว้ไม่มีผิด” พวกเขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “บอกว่าตระกูลหันน้ำใจงามดั่งอัญมณี หากคนมาเคาะประตูเรือนขอความช่วยเหลือ ย่อมเต็มใจช่วยไม่ว่าจะเป็นผู้ใด แต่หากเอาเงินมาให้ ย่อมไม่มีทางรับเป็นแน่”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง บทที่ 327.1 ทุกขลาภ (1)

Now you are reading พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง Chapter บทที่ 327.1 ทุกขลาภ (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“มีคนเอาเงินมาให้ชายสิบเก้าหนึ่งหมื่นก้วนอย่างนั้นหรือ”

ไม่นานข่าวก็ถูกส่งมาถึงเรือน พอได้ยินเช่นนั้นสองสามีภรรยาตระกูลหันก็ตกตะลึงอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะร้องออกมาเป็นเสียงเดียวกัน

“ใช่ขอรับ ใช่ขอรับ นายท่าน แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญขอรับ” พ่อบ้านเอ่ยพยักหน้ารัว พลางยกมือขึ้นมาเช็ดเหงื่อ

นี่ยังไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกหรือ

เถ้าแก่! กำไร! นี่แค่ตอนนี้เพียงนั้น!

นั่นก็เท่ากับว่าวันหน้าจะต้องมีเงินมากกว่านี้ เงินไหลมาไม่มีขาดสาย!

สองสามีภรรยาตระกูลหันนิ่งไปครู่หนึ่ง

“เขา เขาไปเป็นเถ้าแก่อย่างคนอื่นเขาตั้งแต่เมื่อใดกัน” ท่านพ่อหันเอ่ย “เป็นเถ้าแก่ร้านใดกัน”

ขณะเดียวกัน เถ้าแก่หันหยวนเฉาก็กำลังรื้อกล่องค้นตู้ บ่าวหนุ่มอีกสองสามคนก็เข้ามาช่วยด้วย ห้องหนังสือที่เคยเป็นระเบียบเรียบร้อย ยามนี้กลับโกลาหลวุ่นวาย

“ไม่มี ไม่มี…”

หันหยวนเฉาคลี่หนังสือม้วนแล้วม้วนเล่า ก่อนโยนลงจนกระจายเต็มโต๊ะไม้ ไม่นานถุงขนมที่เขียนอักษรสามตัวว่าเรือนไท่ผิงก็ถูกทับถมลงไป

“ท่านชาย หนังสือเล่มใดกันแน่หรือขอรับ” บ่าวหนุ่มถามพลางยกหลังมือขึ้นมาปาดเหงื่อ ก่อนเอ่ยถามอีกครั้งอยากอดไม่ได้

“หนังสือที่อยู่ในกล่องที่ข้าขนไปเมืองหลวงด้วยเมื่อปีก่อน…” หันหยวนเฉาเอ่ย

“นั่นก็ไม่น้อยเลยนะขอรับ อีกอย่างตอนขนกลับมาแล้วก็ไม่รู้เก็บไว้ที่ไหน ไม่รู้ว่าทิ้งไปหรือยัง…” เหล่าบ่าวเอ่ย

ทิ้งอย่างนั้นหรือ

หันหยวนเฉานิ่งไปครู่หนึ่ง

เขาพยายามนึก แต่นึกอย่างไรก็เห็นเพียงภาพของตัวเองเสียบสัญญาใบนั้นไว้ในหนังสือเล่มใดสักเล่ม เพียงแต่หนังสือเล่มไหนนั้นนึกอย่างไรก็นึกไม่ออกเสียที

หากเขาทำหายไปแล้วจริงๆ…

“หากหายจริง สองคนนั่นคงเอาเงินคืนไปใช่ไหมขอรับ…” บ่าวหนุ่มเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้

นั่นมันหนึ่งหมื่นก้วนเชียวนะ… หรืออาจจะมากกว่าหมื่นก้วนก็ได้…

แม้ตระกูลหันจะไม่ได้แร้นแค้นถึงขนาดไม่เคยเห็นเงินหมื่นก้วนมาก่อน แต่…นั่นมันหมื่นก้วนเชียวนะ! แล้วต่อไปวันหน้าก็อาจจะไม่ใช่แค่หนึ่งหมื่นก้วนด้วย

“หากหาสัญญาไม่เจอ ข้าก็คงไม่เอาเงินนั่นแล้วล่ะ” หันหยวนเฉาเอ่ย ถึงจะหาสัญญาเจอแล้ว เขาก็ยังลังเลอยู่ดีว่าจะรับเงินนั่นดีหรือไม่

“ชายสิบเก้า เกิดอะไรขึ้นกันแน่”

นายใหญ่และฮูหยินของตระกูลหันเองก็ตามมา มองดูห้องหนังสือที่ไม่มีแม้แต่ที่เดิน จึงทำได้เพียงยืนพูดอยู่หน้าประตู

“เจ้ากลายเป็นเถ้าแก่ของร้านนั้นได้อย่างไร ตอนไปติวสอบที่เมืองหลวงอย่างนั้นหรือ”

หันหยวนเฉาถอนหายใจ สีหน้าดูยุ่งเหยิงไม่น้อย

“เรื่องค่อนข้างยาวขอรับ…” เขาเอ่ย “แถมยังเป็นเพียงแค่เรื่องเด็กเล่นอีกต่างหาก…”

เขาพูดยังไม่ทันจบก็ได้ยินเสียงของบ่าวหนุ่มร้องตะโกนขึ้น

“ท่านชาย ใช่อันนี้หรือไม่ขอรับ!”

หันหยวนเฉาเหลียวกลับไปมอง ทันใดนั้นก็เห็นบ่าวหนุ่มหยิบกระดาษใบหนึ่งออกมาจากม้วนหนังสือ

“ใช่แล้ว อันนี้แหละ!” หันหยวนเฉาตะโกนลั่น ก่อนจะเขย่งปลายเดินเข้าไปในห้อง

กระดาษหน้าตาแสนเรียบง่ายวางแผ่อยู่บนโต๊ะ สิ่งแรกที่ปรากฏสู่สายตาคือตราประทับสีแดงสดของทางการ

‘ช่วงแรกอาจจะยังไม่ได้ค่าแรง ก็เลยให้หุ้นมาหนึ่งส่วนเพื่อเป็นการชดเชย… ข้าอยากตอบแทนบุญคุณท่าน จึงขอมอบหุ้นนี้ให้ท่านชาย…’

‘ท่านผู้มีพระคุณ หากไม่มีท่าน ข้าคงตายไปแล้ว คงไม่มีใครเลี้ยงดูลูกข้า…’

หันหยวนเฉาราวกับเห็นภาพของชายผู้นั้นโขกหัวคำนับอย่างร้อนรนลอยขึ้นมาตรงหน้า เอาเข้าจริงเขาเองจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำชายผู้นั้นหน้าตาเช่นไร

“เจ้าจะบอกว่าหุ้นนี้เป็นของตอบแทนจากผู้นั้นหรือ”

พอฟังเขาเล่าเรื่องจนจบ ท่านพ่อและท่านแม่หันก็ตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม แทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน

“นี่ยังไม่ครบปีเลย แค่หุ้นลมหุ้นเดียวก็ได้ส่วนแบ่งถึงหมื่นก้วนเชียวหรือ”

นี่มันอะไรกัน! ขายดีขนาดนั้นเชียวหรือ!

“พวกเขาเอาบัญชีมาให้ด้วยขอรับ” หันหยวนเฉาเอ่ยพลางชี้ไปบนโต๊ะ ก่อนจะเห็นว่าบนโต๊ะเต็มไปด้วยม้วนหนังสือกองพะเนิน เขาลุกยืนขึ้นแล้วเดินไปคุ้ยหนังสือกองนั้นก่อนจะหยิบบัญชีออกมาสองเล่ม แล้วหันกลับมายื่นให้แก่ท่านพ่อ

จังหวะที่กำลังหันกลับมาก็มีเสียงของหล่นดังตุบ

หันหยวนเฉาเหลียวกลับไปมอง ก็เห็นว่าเป็นถุงขนมจากร้านเรือนไท่ผิง

เรือนไท่ผิง…

เรือนไท่ผิง!

เขารีบเอื้อมมือออกไปหยิบขึ้นมาในทันทีก่อนจะพลิกมองดู

คงไม่ใช่ร้านเรือนไท่ผิงร้านนั้นจริงๆ หรอกใช่ไหม

“นี่คือบัญชีของจริง ไม่ใช่ของปลอมแปลง และไม่ได้ทำขึ้นมาสุ่มสี่สุ่มห้า… เจ้าดูสิมีตราประทับของศาลาว่าการยืนยันด้วย…” ท่านพ่อหันเอ่ย

ท่านแม่หันเหลียวไปมองแล้วพยักหน้า

“กิจการก็ไม่ได้ดีสักเท่าไหร่… ค่าใช้จ่ายก็มากมาย…” นางดูไปพูดไป “ถึงว่าล่ะตอนเปิดร้านช่วงแรกจึงไม่มีแม้แต่เงินจะจ่ายค่าแรง…”

พอกลับมานึกถึงทำเลของร้านจากที่ลูกชายบอก ดูท่าทางแล้วก็เหมือนร้านริมถนนธรรมดา

ปีหนึ่งจะได้กำไรรวมสักหมื่นก้วนก็ถือว่าไม่เลวแล้ว

สองสามีภรรยาเอาแต่ดูไม่พูดไม่จา สีหน้าก็เริ่มตกตะลึงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

“จู่ๆ เหตุใดถึงขายดีขึ้นมา” ท่านแม่หันถามออกมาอย่างอดไม่ได้

ท่านพ่อหันไม่พูดอะไรจนกระทั่งพลิกดูบัญชีจนหมดเล่ม แน่นอนว่าเขาเปิดดูเพียงคร่าวๆ เท่านั้น แต่ทว่ารายการต่างๆ นั้นไล่เรียงออกมาอย่างชัดเจน มองปราดเดียวก็เข้าใจ

“แรกเริ่มยังไม่มีชื่อเสียง กิจการย่อมไม่ดีนัก หากจู่ๆ เกิดมีชื่อขึ้นมา จะขายดีก็คงไม่แปลก” เขาเอ่ย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองหันหยวนเฉา “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดจู่ๆ ร้านถึงได้มีชื่อเสียงขึ้นมา”

ท่านชายหันเหม่อลอย จนท่านพ่อหันเรียกอยู่สองสามหนจึงเงยหน้าขึ้นมา

“นี่คืออะไรหรือ” ท่านแม่หันถามพลางมองไปที่ถุงในมือของหันหยวนเฉา

เสื้อผ้าบนร่างกายหรือข้าวของเครื่องใช้ของลูกชายล้วนแต่เป็นของที่ตระกูลจัดหา นอกจากถุงเครื่องหอมที่คู่หมั้นให้มา ไม่มีทางมีของจากที่อื่นอย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งของสีแดงสดที่หญิงสาวมักใช้กัน

สัญชาตญาณของหญิงสาวและคนแม่ทำให้นางเริ่มร้อนรน

“สิ่งนี้หรือ ได้มาจากท่านป้าขอรับ” หันหยวนเฉาเอ่ยพลางยิ้ม ก่อนจะเล่าให้ฟัง

ท่านแม่หันร้องอ๋อ ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าแล้วเทขนมออกมาชิ้นหนึ่ง แต่เป็นเพราะอยู่ก้นถุงจึงถูกกดทับจนแตกเป็นชิ้น นางดมก่อนจะลองชิม

“อืม ไม่เลวนี่” นางพยักหน้าพลางเอ่ยชม

“คงไม่ใช่ของเรือนไท่ผิงหรอกกระมัง” ท่านพ่อหันถาม

“ท่านพ่อ กว่าจะเดินทางจากเมืองหลวงมาถึงที่นี่ก็ใช้เวลานับเดือน จะเก็บไว้ได้นานขนาดนั้นได้เช่นไร” หันหยวนเฉาเอ่ยพลางหัวเราะ

ท่านพ่อหันก็เห็นเช่นนั้นก่อนเผยยิ้มออกมา

“เรือนไท่ผิงนี่น่าสนใจไม่น้อย” เขาเอ่ย

สามพ่อแม่ลูกนั่งล้อมวงกันอยู่ในห้องหนังสือ ม้วนหนังสือตำรากระจัดกระจายไปทั่ว มองดูแล้วช่างน่าขันนัก ยิ่งพอนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทั้งสามคนก็ยิ่งรู้สึกว่าช่างน่าขันเหลือเกิน

“ช่างเหลือเชื่อจริงๆ” ท่านแม่หันเอ่ยพลางมองไปที่บัญชี “ดูจากบัญชีแล้ว ปันผลกำไรที่ได้คราวหน้าคงไม่ใช่แค่หมื่นก้วนอย่างแน่นอน”

กำไรมหาศาลนัก ตอนนี้แค่ปันผลปีเดียวก็มากกว่าที่นาสินสอดสองผืนของนางเสียอีก แล้ววันหน้าเล่าจะเป็นเช่นไร

“คิดไม่ถึงเลยจริงๆ” หันหยวนเฉาเอ่ยพลางนึกย้อน “ตอนนั้นข้าเองก็ไม่ได้ใส่ใจนัก คิดเพียงแค่ว่าร้านริมถนนเช่นนั้น อีกซักครึ่งปีก็คงปิดตัวลง อีกใจหนึ่งก็คิดว่าหากเปิดต่อไปได้ก็ดี แต่จะได้กำไรสักเท่าไหร่กันเชียว…”

เขาก้มหน้ามองตั๋วเงิน สมุดบัญชี และหนังสือสัญญาเบื้องหน้า

หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเงินมากมายเช่นนั้น ตอนนั้นไม่ว่าอย่างไรเขาคงไม่มีทางรับไว้เป็นแน่

ไม่สิ ถึงรู้ตอนนี้ก็ยังไม่สายไปเสียหน่อย

“เงินนี้ข้ารับไว้ไม่ได้หรอก” เขาเอ่ย

ท่านพ่อและท่านแม่หันพยักหน้า

“เรื่องที่พ่อครัวผู้นั้นอยากตอบแทนบุญคุณพวกข้าขอรับไว้ แต่เงินนี้พวกข้ารับไว้ไม่ได้หรอก” พวกเขาเอ่ย

พอได้ยินสามพ่อแม่ลูกตระกูลหันเอ่ย ชายทั้งสองในห้องโถงก็ยิ้มออกมา

“เป็นดังที่พี่สาวบอกไว้ไม่มีผิด” พวกเขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “บอกว่าตระกูลหันน้ำใจงามดั่งอัญมณี หากคนมาเคาะประตูเรือนขอความช่วยเหลือ ย่อมเต็มใจช่วยไม่ว่าจะเป็นผู้ใด แต่หากเอาเงินมาให้ ย่อมไม่มีทางรับเป็นแน่”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง บทที่ 327.1 ทุกขลาภ (1)

Now you are reading พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง Chapter บทที่ 327.1 ทุกขลาภ (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“มีคนเอาเงินมาให้ชายสิบเก้าหนึ่งหมื่นก้วนอย่างนั้นหรือ”

ไม่นานข่าวก็ถูกส่งมาถึงเรือน พอได้ยินเช่นนั้นสองสามีภรรยาตระกูลหันก็ตกตะลึงอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะร้องออกมาเป็นเสียงเดียวกัน

“ใช่ขอรับ ใช่ขอรับ นายท่าน แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญขอรับ” พ่อบ้านเอ่ยพยักหน้ารัว พลางยกมือขึ้นมาเช็ดเหงื่อ

นี่ยังไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกหรือ

เถ้าแก่! กำไร! นี่แค่ตอนนี้เพียงนั้น!

นั่นก็เท่ากับว่าวันหน้าจะต้องมีเงินมากกว่านี้ เงินไหลมาไม่มีขาดสาย!

สองสามีภรรยาตระกูลหันนิ่งไปครู่หนึ่ง

“เขา เขาไปเป็นเถ้าแก่อย่างคนอื่นเขาตั้งแต่เมื่อใดกัน” ท่านพ่อหันเอ่ย “เป็นเถ้าแก่ร้านใดกัน”

ขณะเดียวกัน เถ้าแก่หันหยวนเฉาก็กำลังรื้อกล่องค้นตู้ บ่าวหนุ่มอีกสองสามคนก็เข้ามาช่วยด้วย ห้องหนังสือที่เคยเป็นระเบียบเรียบร้อย ยามนี้กลับโกลาหลวุ่นวาย

“ไม่มี ไม่มี…”

หันหยวนเฉาคลี่หนังสือม้วนแล้วม้วนเล่า ก่อนโยนลงจนกระจายเต็มโต๊ะไม้ ไม่นานถุงขนมที่เขียนอักษรสามตัวว่าเรือนไท่ผิงก็ถูกทับถมลงไป

“ท่านชาย หนังสือเล่มใดกันแน่หรือขอรับ” บ่าวหนุ่มถามพลางยกหลังมือขึ้นมาปาดเหงื่อ ก่อนเอ่ยถามอีกครั้งอยากอดไม่ได้

“หนังสือที่อยู่ในกล่องที่ข้าขนไปเมืองหลวงด้วยเมื่อปีก่อน…” หันหยวนเฉาเอ่ย

“นั่นก็ไม่น้อยเลยนะขอรับ อีกอย่างตอนขนกลับมาแล้วก็ไม่รู้เก็บไว้ที่ไหน ไม่รู้ว่าทิ้งไปหรือยัง…” เหล่าบ่าวเอ่ย

ทิ้งอย่างนั้นหรือ

หันหยวนเฉานิ่งไปครู่หนึ่ง

เขาพยายามนึก แต่นึกอย่างไรก็เห็นเพียงภาพของตัวเองเสียบสัญญาใบนั้นไว้ในหนังสือเล่มใดสักเล่ม เพียงแต่หนังสือเล่มไหนนั้นนึกอย่างไรก็นึกไม่ออกเสียที

หากเขาทำหายไปแล้วจริงๆ…

“หากหายจริง สองคนนั่นคงเอาเงินคืนไปใช่ไหมขอรับ…” บ่าวหนุ่มเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้

นั่นมันหนึ่งหมื่นก้วนเชียวนะ… หรืออาจจะมากกว่าหมื่นก้วนก็ได้…

แม้ตระกูลหันจะไม่ได้แร้นแค้นถึงขนาดไม่เคยเห็นเงินหมื่นก้วนมาก่อน แต่…นั่นมันหมื่นก้วนเชียวนะ! แล้วต่อไปวันหน้าก็อาจจะไม่ใช่แค่หนึ่งหมื่นก้วนด้วย

“หากหาสัญญาไม่เจอ ข้าก็คงไม่เอาเงินนั่นแล้วล่ะ” หันหยวนเฉาเอ่ย ถึงจะหาสัญญาเจอแล้ว เขาก็ยังลังเลอยู่ดีว่าจะรับเงินนั่นดีหรือไม่

“ชายสิบเก้า เกิดอะไรขึ้นกันแน่”

นายใหญ่และฮูหยินของตระกูลหันเองก็ตามมา มองดูห้องหนังสือที่ไม่มีแม้แต่ที่เดิน จึงทำได้เพียงยืนพูดอยู่หน้าประตู

“เจ้ากลายเป็นเถ้าแก่ของร้านนั้นได้อย่างไร ตอนไปติวสอบที่เมืองหลวงอย่างนั้นหรือ”

หันหยวนเฉาถอนหายใจ สีหน้าดูยุ่งเหยิงไม่น้อย

“เรื่องค่อนข้างยาวขอรับ…” เขาเอ่ย “แถมยังเป็นเพียงแค่เรื่องเด็กเล่นอีกต่างหาก…”

เขาพูดยังไม่ทันจบก็ได้ยินเสียงของบ่าวหนุ่มร้องตะโกนขึ้น

“ท่านชาย ใช่อันนี้หรือไม่ขอรับ!”

หันหยวนเฉาเหลียวกลับไปมอง ทันใดนั้นก็เห็นบ่าวหนุ่มหยิบกระดาษใบหนึ่งออกมาจากม้วนหนังสือ

“ใช่แล้ว อันนี้แหละ!” หันหยวนเฉาตะโกนลั่น ก่อนจะเขย่งปลายเดินเข้าไปในห้อง

กระดาษหน้าตาแสนเรียบง่ายวางแผ่อยู่บนโต๊ะ สิ่งแรกที่ปรากฏสู่สายตาคือตราประทับสีแดงสดของทางการ

‘ช่วงแรกอาจจะยังไม่ได้ค่าแรง ก็เลยให้หุ้นมาหนึ่งส่วนเพื่อเป็นการชดเชย… ข้าอยากตอบแทนบุญคุณท่าน จึงขอมอบหุ้นนี้ให้ท่านชาย…’

‘ท่านผู้มีพระคุณ หากไม่มีท่าน ข้าคงตายไปแล้ว คงไม่มีใครเลี้ยงดูลูกข้า…’

หันหยวนเฉาราวกับเห็นภาพของชายผู้นั้นโขกหัวคำนับอย่างร้อนรนลอยขึ้นมาตรงหน้า เอาเข้าจริงเขาเองจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำชายผู้นั้นหน้าตาเช่นไร

“เจ้าจะบอกว่าหุ้นนี้เป็นของตอบแทนจากผู้นั้นหรือ”

พอฟังเขาเล่าเรื่องจนจบ ท่านพ่อและท่านแม่หันก็ตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม แทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน

“นี่ยังไม่ครบปีเลย แค่หุ้นลมหุ้นเดียวก็ได้ส่วนแบ่งถึงหมื่นก้วนเชียวหรือ”

นี่มันอะไรกัน! ขายดีขนาดนั้นเชียวหรือ!

“พวกเขาเอาบัญชีมาให้ด้วยขอรับ” หันหยวนเฉาเอ่ยพลางชี้ไปบนโต๊ะ ก่อนจะเห็นว่าบนโต๊ะเต็มไปด้วยม้วนหนังสือกองพะเนิน เขาลุกยืนขึ้นแล้วเดินไปคุ้ยหนังสือกองนั้นก่อนจะหยิบบัญชีออกมาสองเล่ม แล้วหันกลับมายื่นให้แก่ท่านพ่อ

จังหวะที่กำลังหันกลับมาก็มีเสียงของหล่นดังตุบ

หันหยวนเฉาเหลียวกลับไปมอง ก็เห็นว่าเป็นถุงขนมจากร้านเรือนไท่ผิง

เรือนไท่ผิง…

เรือนไท่ผิง!

เขารีบเอื้อมมือออกไปหยิบขึ้นมาในทันทีก่อนจะพลิกมองดู

คงไม่ใช่ร้านเรือนไท่ผิงร้านนั้นจริงๆ หรอกใช่ไหม

“นี่คือบัญชีของจริง ไม่ใช่ของปลอมแปลง และไม่ได้ทำขึ้นมาสุ่มสี่สุ่มห้า… เจ้าดูสิมีตราประทับของศาลาว่าการยืนยันด้วย…” ท่านพ่อหันเอ่ย

ท่านแม่หันเหลียวไปมองแล้วพยักหน้า

“กิจการก็ไม่ได้ดีสักเท่าไหร่… ค่าใช้จ่ายก็มากมาย…” นางดูไปพูดไป “ถึงว่าล่ะตอนเปิดร้านช่วงแรกจึงไม่มีแม้แต่เงินจะจ่ายค่าแรง…”

พอกลับมานึกถึงทำเลของร้านจากที่ลูกชายบอก ดูท่าทางแล้วก็เหมือนร้านริมถนนธรรมดา

ปีหนึ่งจะได้กำไรรวมสักหมื่นก้วนก็ถือว่าไม่เลวแล้ว

สองสามีภรรยาเอาแต่ดูไม่พูดไม่จา สีหน้าก็เริ่มตกตะลึงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

“จู่ๆ เหตุใดถึงขายดีขึ้นมา” ท่านแม่หันถามออกมาอย่างอดไม่ได้

ท่านพ่อหันไม่พูดอะไรจนกระทั่งพลิกดูบัญชีจนหมดเล่ม แน่นอนว่าเขาเปิดดูเพียงคร่าวๆ เท่านั้น แต่ทว่ารายการต่างๆ นั้นไล่เรียงออกมาอย่างชัดเจน มองปราดเดียวก็เข้าใจ

“แรกเริ่มยังไม่มีชื่อเสียง กิจการย่อมไม่ดีนัก หากจู่ๆ เกิดมีชื่อขึ้นมา จะขายดีก็คงไม่แปลก” เขาเอ่ย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองหันหยวนเฉา “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดจู่ๆ ร้านถึงได้มีชื่อเสียงขึ้นมา”

ท่านชายหันเหม่อลอย จนท่านพ่อหันเรียกอยู่สองสามหนจึงเงยหน้าขึ้นมา

“นี่คืออะไรหรือ” ท่านแม่หันถามพลางมองไปที่ถุงในมือของหันหยวนเฉา

เสื้อผ้าบนร่างกายหรือข้าวของเครื่องใช้ของลูกชายล้วนแต่เป็นของที่ตระกูลจัดหา นอกจากถุงเครื่องหอมที่คู่หมั้นให้มา ไม่มีทางมีของจากที่อื่นอย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งของสีแดงสดที่หญิงสาวมักใช้กัน

สัญชาตญาณของหญิงสาวและคนแม่ทำให้นางเริ่มร้อนรน

“สิ่งนี้หรือ ได้มาจากท่านป้าขอรับ” หันหยวนเฉาเอ่ยพลางยิ้ม ก่อนจะเล่าให้ฟัง

ท่านแม่หันร้องอ๋อ ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าแล้วเทขนมออกมาชิ้นหนึ่ง แต่เป็นเพราะอยู่ก้นถุงจึงถูกกดทับจนแตกเป็นชิ้น นางดมก่อนจะลองชิม

“อืม ไม่เลวนี่” นางพยักหน้าพลางเอ่ยชม

“คงไม่ใช่ของเรือนไท่ผิงหรอกกระมัง” ท่านพ่อหันถาม

“ท่านพ่อ กว่าจะเดินทางจากเมืองหลวงมาถึงที่นี่ก็ใช้เวลานับเดือน จะเก็บไว้ได้นานขนาดนั้นได้เช่นไร” หันหยวนเฉาเอ่ยพลางหัวเราะ

ท่านพ่อหันก็เห็นเช่นนั้นก่อนเผยยิ้มออกมา

“เรือนไท่ผิงนี่น่าสนใจไม่น้อย” เขาเอ่ย

สามพ่อแม่ลูกนั่งล้อมวงกันอยู่ในห้องหนังสือ ม้วนหนังสือตำรากระจัดกระจายไปทั่ว มองดูแล้วช่างน่าขันนัก ยิ่งพอนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทั้งสามคนก็ยิ่งรู้สึกว่าช่างน่าขันเหลือเกิน

“ช่างเหลือเชื่อจริงๆ” ท่านแม่หันเอ่ยพลางมองไปที่บัญชี “ดูจากบัญชีแล้ว ปันผลกำไรที่ได้คราวหน้าคงไม่ใช่แค่หมื่นก้วนอย่างแน่นอน”

กำไรมหาศาลนัก ตอนนี้แค่ปันผลปีเดียวก็มากกว่าที่นาสินสอดสองผืนของนางเสียอีก แล้ววันหน้าเล่าจะเป็นเช่นไร

“คิดไม่ถึงเลยจริงๆ” หันหยวนเฉาเอ่ยพลางนึกย้อน “ตอนนั้นข้าเองก็ไม่ได้ใส่ใจนัก คิดเพียงแค่ว่าร้านริมถนนเช่นนั้น อีกซักครึ่งปีก็คงปิดตัวลง อีกใจหนึ่งก็คิดว่าหากเปิดต่อไปได้ก็ดี แต่จะได้กำไรสักเท่าไหร่กันเชียว…”

เขาก้มหน้ามองตั๋วเงิน สมุดบัญชี และหนังสือสัญญาเบื้องหน้า

หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเงินมากมายเช่นนั้น ตอนนั้นไม่ว่าอย่างไรเขาคงไม่มีทางรับไว้เป็นแน่

ไม่สิ ถึงรู้ตอนนี้ก็ยังไม่สายไปเสียหน่อย

“เงินนี้ข้ารับไว้ไม่ได้หรอก” เขาเอ่ย

ท่านพ่อและท่านแม่หันพยักหน้า

“เรื่องที่พ่อครัวผู้นั้นอยากตอบแทนบุญคุณพวกข้าขอรับไว้ แต่เงินนี้พวกข้ารับไว้ไม่ได้หรอก” พวกเขาเอ่ย

พอได้ยินสามพ่อแม่ลูกตระกูลหันเอ่ย ชายทั้งสองในห้องโถงก็ยิ้มออกมา

“เป็นดังที่พี่สาวบอกไว้ไม่มีผิด” พวกเขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “บอกว่าตระกูลหันน้ำใจงามดั่งอัญมณี หากคนมาเคาะประตูเรือนขอความช่วยเหลือ ย่อมเต็มใจช่วยไม่ว่าจะเป็นผู้ใด แต่หากเอาเงินมาให้ ย่อมไม่มีทางรับเป็นแน่”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง บทที่ 327.1 ทุกขลาภ (1)

Now you are reading พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง Chapter บทที่ 327.1 ทุกขลาภ (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“มีคนเอาเงินมาให้ชายสิบเก้าหนึ่งหมื่นก้วนอย่างนั้นหรือ”

ไม่นานข่าวก็ถูกส่งมาถึงเรือน พอได้ยินเช่นนั้นสองสามีภรรยาตระกูลหันก็ตกตะลึงอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะร้องออกมาเป็นเสียงเดียวกัน

“ใช่ขอรับ ใช่ขอรับ นายท่าน แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญขอรับ” พ่อบ้านเอ่ยพยักหน้ารัว พลางยกมือขึ้นมาเช็ดเหงื่อ

นี่ยังไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกหรือ

เถ้าแก่! กำไร! นี่แค่ตอนนี้เพียงนั้น!

นั่นก็เท่ากับว่าวันหน้าจะต้องมีเงินมากกว่านี้ เงินไหลมาไม่มีขาดสาย!

สองสามีภรรยาตระกูลหันนิ่งไปครู่หนึ่ง

“เขา เขาไปเป็นเถ้าแก่อย่างคนอื่นเขาตั้งแต่เมื่อใดกัน” ท่านพ่อหันเอ่ย “เป็นเถ้าแก่ร้านใดกัน”

ขณะเดียวกัน เถ้าแก่หันหยวนเฉาก็กำลังรื้อกล่องค้นตู้ บ่าวหนุ่มอีกสองสามคนก็เข้ามาช่วยด้วย ห้องหนังสือที่เคยเป็นระเบียบเรียบร้อย ยามนี้กลับโกลาหลวุ่นวาย

“ไม่มี ไม่มี…”

หันหยวนเฉาคลี่หนังสือม้วนแล้วม้วนเล่า ก่อนโยนลงจนกระจายเต็มโต๊ะไม้ ไม่นานถุงขนมที่เขียนอักษรสามตัวว่าเรือนไท่ผิงก็ถูกทับถมลงไป

“ท่านชาย หนังสือเล่มใดกันแน่หรือขอรับ” บ่าวหนุ่มถามพลางยกหลังมือขึ้นมาปาดเหงื่อ ก่อนเอ่ยถามอีกครั้งอยากอดไม่ได้

“หนังสือที่อยู่ในกล่องที่ข้าขนไปเมืองหลวงด้วยเมื่อปีก่อน…” หันหยวนเฉาเอ่ย

“นั่นก็ไม่น้อยเลยนะขอรับ อีกอย่างตอนขนกลับมาแล้วก็ไม่รู้เก็บไว้ที่ไหน ไม่รู้ว่าทิ้งไปหรือยัง…” เหล่าบ่าวเอ่ย

ทิ้งอย่างนั้นหรือ

หันหยวนเฉานิ่งไปครู่หนึ่ง

เขาพยายามนึก แต่นึกอย่างไรก็เห็นเพียงภาพของตัวเองเสียบสัญญาใบนั้นไว้ในหนังสือเล่มใดสักเล่ม เพียงแต่หนังสือเล่มไหนนั้นนึกอย่างไรก็นึกไม่ออกเสียที

หากเขาทำหายไปแล้วจริงๆ…

“หากหายจริง สองคนนั่นคงเอาเงินคืนไปใช่ไหมขอรับ…” บ่าวหนุ่มเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้

นั่นมันหนึ่งหมื่นก้วนเชียวนะ… หรืออาจจะมากกว่าหมื่นก้วนก็ได้…

แม้ตระกูลหันจะไม่ได้แร้นแค้นถึงขนาดไม่เคยเห็นเงินหมื่นก้วนมาก่อน แต่…นั่นมันหมื่นก้วนเชียวนะ! แล้วต่อไปวันหน้าก็อาจจะไม่ใช่แค่หนึ่งหมื่นก้วนด้วย

“หากหาสัญญาไม่เจอ ข้าก็คงไม่เอาเงินนั่นแล้วล่ะ” หันหยวนเฉาเอ่ย ถึงจะหาสัญญาเจอแล้ว เขาก็ยังลังเลอยู่ดีว่าจะรับเงินนั่นดีหรือไม่

“ชายสิบเก้า เกิดอะไรขึ้นกันแน่”

นายใหญ่และฮูหยินของตระกูลหันเองก็ตามมา มองดูห้องหนังสือที่ไม่มีแม้แต่ที่เดิน จึงทำได้เพียงยืนพูดอยู่หน้าประตู

“เจ้ากลายเป็นเถ้าแก่ของร้านนั้นได้อย่างไร ตอนไปติวสอบที่เมืองหลวงอย่างนั้นหรือ”

หันหยวนเฉาถอนหายใจ สีหน้าดูยุ่งเหยิงไม่น้อย

“เรื่องค่อนข้างยาวขอรับ…” เขาเอ่ย “แถมยังเป็นเพียงแค่เรื่องเด็กเล่นอีกต่างหาก…”

เขาพูดยังไม่ทันจบก็ได้ยินเสียงของบ่าวหนุ่มร้องตะโกนขึ้น

“ท่านชาย ใช่อันนี้หรือไม่ขอรับ!”

หันหยวนเฉาเหลียวกลับไปมอง ทันใดนั้นก็เห็นบ่าวหนุ่มหยิบกระดาษใบหนึ่งออกมาจากม้วนหนังสือ

“ใช่แล้ว อันนี้แหละ!” หันหยวนเฉาตะโกนลั่น ก่อนจะเขย่งปลายเดินเข้าไปในห้อง

กระดาษหน้าตาแสนเรียบง่ายวางแผ่อยู่บนโต๊ะ สิ่งแรกที่ปรากฏสู่สายตาคือตราประทับสีแดงสดของทางการ

‘ช่วงแรกอาจจะยังไม่ได้ค่าแรง ก็เลยให้หุ้นมาหนึ่งส่วนเพื่อเป็นการชดเชย… ข้าอยากตอบแทนบุญคุณท่าน จึงขอมอบหุ้นนี้ให้ท่านชาย…’

‘ท่านผู้มีพระคุณ หากไม่มีท่าน ข้าคงตายไปแล้ว คงไม่มีใครเลี้ยงดูลูกข้า…’

หันหยวนเฉาราวกับเห็นภาพของชายผู้นั้นโขกหัวคำนับอย่างร้อนรนลอยขึ้นมาตรงหน้า เอาเข้าจริงเขาเองจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำชายผู้นั้นหน้าตาเช่นไร

“เจ้าจะบอกว่าหุ้นนี้เป็นของตอบแทนจากผู้นั้นหรือ”

พอฟังเขาเล่าเรื่องจนจบ ท่านพ่อและท่านแม่หันก็ตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม แทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน

“นี่ยังไม่ครบปีเลย แค่หุ้นลมหุ้นเดียวก็ได้ส่วนแบ่งถึงหมื่นก้วนเชียวหรือ”

นี่มันอะไรกัน! ขายดีขนาดนั้นเชียวหรือ!

“พวกเขาเอาบัญชีมาให้ด้วยขอรับ” หันหยวนเฉาเอ่ยพลางชี้ไปบนโต๊ะ ก่อนจะเห็นว่าบนโต๊ะเต็มไปด้วยม้วนหนังสือกองพะเนิน เขาลุกยืนขึ้นแล้วเดินไปคุ้ยหนังสือกองนั้นก่อนจะหยิบบัญชีออกมาสองเล่ม แล้วหันกลับมายื่นให้แก่ท่านพ่อ

จังหวะที่กำลังหันกลับมาก็มีเสียงของหล่นดังตุบ

หันหยวนเฉาเหลียวกลับไปมอง ก็เห็นว่าเป็นถุงขนมจากร้านเรือนไท่ผิง

เรือนไท่ผิง…

เรือนไท่ผิง!

เขารีบเอื้อมมือออกไปหยิบขึ้นมาในทันทีก่อนจะพลิกมองดู

คงไม่ใช่ร้านเรือนไท่ผิงร้านนั้นจริงๆ หรอกใช่ไหม

“นี่คือบัญชีของจริง ไม่ใช่ของปลอมแปลง และไม่ได้ทำขึ้นมาสุ่มสี่สุ่มห้า… เจ้าดูสิมีตราประทับของศาลาว่าการยืนยันด้วย…” ท่านพ่อหันเอ่ย

ท่านแม่หันเหลียวไปมองแล้วพยักหน้า

“กิจการก็ไม่ได้ดีสักเท่าไหร่… ค่าใช้จ่ายก็มากมาย…” นางดูไปพูดไป “ถึงว่าล่ะตอนเปิดร้านช่วงแรกจึงไม่มีแม้แต่เงินจะจ่ายค่าแรง…”

พอกลับมานึกถึงทำเลของร้านจากที่ลูกชายบอก ดูท่าทางแล้วก็เหมือนร้านริมถนนธรรมดา

ปีหนึ่งจะได้กำไรรวมสักหมื่นก้วนก็ถือว่าไม่เลวแล้ว

สองสามีภรรยาเอาแต่ดูไม่พูดไม่จา สีหน้าก็เริ่มตกตะลึงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

“จู่ๆ เหตุใดถึงขายดีขึ้นมา” ท่านแม่หันถามออกมาอย่างอดไม่ได้

ท่านพ่อหันไม่พูดอะไรจนกระทั่งพลิกดูบัญชีจนหมดเล่ม แน่นอนว่าเขาเปิดดูเพียงคร่าวๆ เท่านั้น แต่ทว่ารายการต่างๆ นั้นไล่เรียงออกมาอย่างชัดเจน มองปราดเดียวก็เข้าใจ

“แรกเริ่มยังไม่มีชื่อเสียง กิจการย่อมไม่ดีนัก หากจู่ๆ เกิดมีชื่อขึ้นมา จะขายดีก็คงไม่แปลก” เขาเอ่ย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองหันหยวนเฉา “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดจู่ๆ ร้านถึงได้มีชื่อเสียงขึ้นมา”

ท่านชายหันเหม่อลอย จนท่านพ่อหันเรียกอยู่สองสามหนจึงเงยหน้าขึ้นมา

“นี่คืออะไรหรือ” ท่านแม่หันถามพลางมองไปที่ถุงในมือของหันหยวนเฉา

เสื้อผ้าบนร่างกายหรือข้าวของเครื่องใช้ของลูกชายล้วนแต่เป็นของที่ตระกูลจัดหา นอกจากถุงเครื่องหอมที่คู่หมั้นให้มา ไม่มีทางมีของจากที่อื่นอย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งของสีแดงสดที่หญิงสาวมักใช้กัน

สัญชาตญาณของหญิงสาวและคนแม่ทำให้นางเริ่มร้อนรน

“สิ่งนี้หรือ ได้มาจากท่านป้าขอรับ” หันหยวนเฉาเอ่ยพลางยิ้ม ก่อนจะเล่าให้ฟัง

ท่านแม่หันร้องอ๋อ ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าแล้วเทขนมออกมาชิ้นหนึ่ง แต่เป็นเพราะอยู่ก้นถุงจึงถูกกดทับจนแตกเป็นชิ้น นางดมก่อนจะลองชิม

“อืม ไม่เลวนี่” นางพยักหน้าพลางเอ่ยชม

“คงไม่ใช่ของเรือนไท่ผิงหรอกกระมัง” ท่านพ่อหันถาม

“ท่านพ่อ กว่าจะเดินทางจากเมืองหลวงมาถึงที่นี่ก็ใช้เวลานับเดือน จะเก็บไว้ได้นานขนาดนั้นได้เช่นไร” หันหยวนเฉาเอ่ยพลางหัวเราะ

ท่านพ่อหันก็เห็นเช่นนั้นก่อนเผยยิ้มออกมา

“เรือนไท่ผิงนี่น่าสนใจไม่น้อย” เขาเอ่ย

สามพ่อแม่ลูกนั่งล้อมวงกันอยู่ในห้องหนังสือ ม้วนหนังสือตำรากระจัดกระจายไปทั่ว มองดูแล้วช่างน่าขันนัก ยิ่งพอนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทั้งสามคนก็ยิ่งรู้สึกว่าช่างน่าขันเหลือเกิน

“ช่างเหลือเชื่อจริงๆ” ท่านแม่หันเอ่ยพลางมองไปที่บัญชี “ดูจากบัญชีแล้ว ปันผลกำไรที่ได้คราวหน้าคงไม่ใช่แค่หมื่นก้วนอย่างแน่นอน”

กำไรมหาศาลนัก ตอนนี้แค่ปันผลปีเดียวก็มากกว่าที่นาสินสอดสองผืนของนางเสียอีก แล้ววันหน้าเล่าจะเป็นเช่นไร

“คิดไม่ถึงเลยจริงๆ” หันหยวนเฉาเอ่ยพลางนึกย้อน “ตอนนั้นข้าเองก็ไม่ได้ใส่ใจนัก คิดเพียงแค่ว่าร้านริมถนนเช่นนั้น อีกซักครึ่งปีก็คงปิดตัวลง อีกใจหนึ่งก็คิดว่าหากเปิดต่อไปได้ก็ดี แต่จะได้กำไรสักเท่าไหร่กันเชียว…”

เขาก้มหน้ามองตั๋วเงิน สมุดบัญชี และหนังสือสัญญาเบื้องหน้า

หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเงินมากมายเช่นนั้น ตอนนั้นไม่ว่าอย่างไรเขาคงไม่มีทางรับไว้เป็นแน่

ไม่สิ ถึงรู้ตอนนี้ก็ยังไม่สายไปเสียหน่อย

“เงินนี้ข้ารับไว้ไม่ได้หรอก” เขาเอ่ย

ท่านพ่อและท่านแม่หันพยักหน้า

“เรื่องที่พ่อครัวผู้นั้นอยากตอบแทนบุญคุณพวกข้าขอรับไว้ แต่เงินนี้พวกข้ารับไว้ไม่ได้หรอก” พวกเขาเอ่ย

พอได้ยินสามพ่อแม่ลูกตระกูลหันเอ่ย ชายทั้งสองในห้องโถงก็ยิ้มออกมา

“เป็นดังที่พี่สาวบอกไว้ไม่มีผิด” พวกเขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “บอกว่าตระกูลหันน้ำใจงามดั่งอัญมณี หากคนมาเคาะประตูเรือนขอความช่วยเหลือ ย่อมเต็มใจช่วยไม่ว่าจะเป็นผู้ใด แต่หากเอาเงินมาให้ ย่อมไม่มีทางรับเป็นแน่”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+